“แฟน” เขาอุทานคำว่าแฟนที่ฉันใช้กับพีช สีหน้าดูงงเล็กน้อย“อื้อ…พีชนี่ริว เพื่อนเก่าเค้าสมัยเรียนมัธยม พอดีริวเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้านายเค้าเอง แล้วคืนนี้หาที่พักไม่ได้ เค้าเลยให้เขามานอนค้างที่บ้านเราก่อน พีชโอเคใช่ไหมอ่ะ” สรรพนามที่ฉันใช้แทนตัวเองมันดูไม่ชินปากบอกไม่ถูก แต่เวลานี้ฉันต้องทำทุกทางเพื่อให้ริวเชื่อว่าฉันมีแฟนแล้วส่วนพีชนั้นดูจะยิ่งงง งองูนี่วิ่งให้วุ่น กระทั่งได้สติ เมื่อถูกฉันหยิกหมับเข้าให้ที่สีข้างแรงๆ “โอเคครับ เพราะเพื่อนฟ้าก็เหมือนเพื่อนผม”“ที่รักน่ารักที่สุดเลย” ฉันหยิกแก้มยัยพีชอย่างเอ็นดู ทั้งๆ ที่ในใจนั้นจั๊กจี้ชวนขนลุก “แล้วนี่กินอะไรกันมาหรือยัง...หืม” “เรียบร้อยแล้วค่ะ” ฉันเอ่ยรับเสียงหวาน ส่วนพีชแอบทำท่าอ้วกอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “งั้นเดี๋ยวผมขึ้นไปจัดห้องเล็กให้เพื่อนฟ้าดีกว่า ดึกแล้วจะได้พักผ่อน” “ขอบคุณครับคุณพีช” “ครับ” เสียงแมนๆ ของพีชเอ่ยรับคำขอบคุณของริวไป “เดี๋ยวเค้าตามไปช่วยนะ” ฉันตะโกนไล่หลังพีชที่ตอนนี้กำลังขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะหันมาคุยกับริว“คุณนั่งรอตามสบาย ฉันขอตัวตามพีชไปดูห้องให้คุณก่อน”“เชิญครับ” เสียงทุ้มเอ่ยรับ ฉันจึงได้ทีร
“อิจฉา คืนนี้ก็บุกไปปล้ำริวเขาในห้องสิ แกจะได้ลิ้มรสผู้ชายเสียบ้าง อดๆ อยากๆ แบบนี้ เหี่ยวแห้งตายไม่รู้นะยะ” คำแนะนำของพีช ทำเอาฉันถลึงตาใส่ เรื่องอะไรฉันต้องไล่ปล้ำผู้ชายด้วยไม่ทราบ ถ้าเกิดมาไม่มีคู่ ก็ปล่อยให้อะไรๆ มันเหี่ยวไปเถอะ “ปากหรือนั่น เดี๋ยวคืนนี้ลงมาแอบกินคุกกี้หมดเลยนิ” ฉันได้ทีขู่ ส่วนพีชก็รีบคว้าโหลคุกกี้มากอดอย่างหวงแหน “อย่านะ อันนี้ของไทเลอร์ ส่วนของแกนู่น ฉันใส่ไว้ในโหลแก้วอันนู้น ไปกินสิ” ฉันมองไปตามพิกัดที่พีชชี้บอก ก่อนที่สายตาจะเห็นโหลคุกกี้ที่เป็นของฉัน เพราะคิดว่าตาฝาดจึงเดินมาดูใกล้ๆ“แล้วทำไมของฉันมันกระดำกระด่าง บางอันไหม้ บางอันก็ไหม๊ไหม้ แถมยังแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกยะ ผิดกับของไทเลอร์ที่งามยังกับมาสเตอร์เชฟมาเอง แกนี่มันสองมาตรฐานชัดๆ” “เอ้า! ก็นี่มันของคนที่ฉันรักนี่นา”“แล้วฉันแกไม่รักเหรอยัยพีช” ฉันเท้าสะเอวถาม ยัยพีชส่ายหน้าให้ ก่อนจะเริ่มเป็นแม่บ้านแม่เรือนด้วยการเดินดูปลั๊กไฟว่าถอดหมดหรือยัง ตามด้วยเดินไปดูรั้วบ้านใส่กลอนเสร็จก็เดินกลับมาล็อกประตู ปิดบ้านให้ฉันเหมือนทุกครั้งที่มาพักด้วย การมีพีชอยู่ ทำให้เธออุ่นใจเป็นร้อยเท่า “รัก…แต่น้อยกว่
เวลา 5.00 น.!เวลานี้ผมน่าจะหลับสนิทไปแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงเอาแต่นอนเอามือก่ายหน้าผาก มองเพดานห้องราวกับคนคิดไม่ตก อารมณ์คล้ายๆ คนกำลังอกหักรักคุด เมื่อรู้ว่าตอนนี้พราวฟ้ามีแฟนแล้ว และที่สำคัญ แฟนเธอยังหล่อและดูดีมากด้วยนี่สิ“ก็แค่แฟน ตอนนี้ยังไม่ได้แต่งงาน เอ็งก็มีสิทธิ์นะไอ้ริว” ผมพยายามพูดปลอบใจตัวเอง เหมือนจะแหย่ขาลงนรกไปข้างหนึ่งแล้วยังไงบอกไม่ถูก ที่คิดจะไปแทรกกลางเป็นมือที่สามของเธอแบบนั้นผมส่ายหน้าแรงๆ เพื่อไล่ความคิดบ้าๆ ให้ออกไปจากสมอง ในเมื่อมันนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่เดินทางมาเมืองไทยตั้งหลายชั่วโมง พอมาถึงก็ทำนั่นทำนี่อีกสารพัด ผมจึงลุกขึ้นมาออกกำลังกายด้วยการซิทอัพกับวิดพื้นฆ่าเวลา และหวังว่าสมองมันจะปลอดโปร่งขึ้นแต่เพราะเหงื่อที่ออกไม่หยุด ทำให้ผมต้องถอดเสื้อ เหลือเพียงกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนแต่ไม่ได้นอนตัวเดียวเท่านั้น เหงื่อที่ไหลซึมออกจากตัว ทำให้หัวของผมโปร่งขึ้นได้มากจริงๆ กระทั่งถึงหกโมงเช้า ก็เลยออกไปอาบน้ำ เพราะในห้องนอนผมไม่มีห้องน้ำ จึงต้องใช้ข้างนอกแต่ท
ฉันพยายามตั้งสติ พยายามทำงานของฉันให้เสร็จ ไม่วอกแวกคิดเรื่องของใครบางคนที่ขยันโผล่หน้ามาให้เห็นจัง เดี๋ยวก็เรียกขอชา ขอกาแฟ ขอน้ำเปล่า ขอเอกสารที่ต้องเซ็น หึ๋ย!...จะเรียกอะไรของเขาหนักหนาก็ไม่รู้ เธอนี่เดินเข้าเดินออก รวมๆ กันแล้วน่าจะหลายพันก้าวเมื่อเช้าฉันก็เกือบกำเดาไหล ผู้ชายอะไร มาอาศัยบ้านคนอื่นเขาอยู่แท้ๆ แต่เกือบจะแก้ผ้าเดินเข้าห้องน้ำ รู้หรอกว่าหุ่นดี ไม่ต้องอวดก็ได้มั้ง“สติ สติ ตั้งสติไว้ยัยฟ้า” ฉันไล่ภาพของริวให้ออกไปจากสมอง ก่อนจะกลับมาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานของตัวเองต่อห้าวันเท่านั้นที่ฉันจะต้องอยู่ใกล้เขา เพราะหลังจากนี้ก็คงต่างคนต่างอยู่เหมือนที่ผ่านๆ มา และฉันก็จะกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกหน ไม่ต้องวอกแวกเพราะใครอีกแต่ห้าวันนี้ฉันจะรอดชีวิตไหมนี่สิ เพราะแค่วันเดียวมันก็นานแสนนาน นานกว่าทุกวันที่ผ่านมาอีก“ฟ้า…ฟ้า”“คะ” ฉันขานรับแบบงงๆ พอตั้งสติได้ ริวก็มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
ฉันปิดบ้าน ใส่กุญแจให้เรียบร้อย ดูท่าคืนนี้พีชจะไม่กลับมานอนด้วยแน่นอน เพราะไทเลอร์เพิ่งบินมาถึงเมื่อเช้า จากนั้นฉันก็ขับรถเอากระเป๋าไปให้เขาที่โรงแรม จังหวะนั้นยัยพีชก็โทรศัพท์มาพอดี“ว่าไงยะ หายไปทั้งวันเลยนะ บ้านช่องไม่ยอมกลับ”“อย่าแซวน่า ฉันมาหาไทเลอร์ คืนนี้กะจะนอนค้างด้วย แกนอนคนเดียวได้นะ”“ได้สิ” พีชถามแปลกๆ ทำยังกับฉันเป็นเด็กอย่างนั้นแหละ“หรือถ้านอนไม่ได้ แกก็ให้ริวมานอนเป็นเพื่อน” นี่ถ้าอยู่ใกล้กันหน่อย ฉันกระโดดงับหูยัยพีชไปแล้วแน่ๆ มาแซวอะไรแบบนี้“หรา…นั่นมันบ้านฉันนะยะ ทำไมจะนอนไม่ได้”“เอ้า! ก็กลัวแกจะเหงานี่นา”“ชิส์…ทำมาเป็นพูดไปเถอะ ฉันไม่อิจฉาแกหรอก ขอให้คืนนี้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดนะยะ” ฉันเปลี่ยนเรื่องทันที เพราะขืนพูดต่อ มีแต่ฉันนี่แหละจะถูกต้อนให้จนมุม“สมพรปาก งั้นแค่นี้นะแก”“อื้อ” ตอบรับเส
“ไม่ดีกว่า พอดีพี่ไม่หนาว ขอตัวก่อนนะ” ฉันเดินเลี่ยงออกไป แต่กลับถูกเด็กหนุ่มคนที่พูดประโยคเมื่อครู่เข้ามาขวาง“อะไรวะ มาชวนดีๆ ทำเป็นเล่นตัวไปได้ ผัวก็มีทำเป็นเหมือนไม่เคย”“ฉุดไปเลยเอ็ง ฝนตกๆ แบบนี้ไม่มีใครสนใจหรอก” เสียงของเด็กหนุ่มที่ท่าทางเอาเรื่องที่สุดดังขึ้น และทั้งสามก็เริ่มคุกคามฉันด้วยการเดินตรงเข้ามาหาและเริ่มฉุดกระชากฉันไปยังรถที่จอดอยู่ฉันนับหนึ่ง สอง สามและเริ่มปฏิบัติการเอาตัวรอด ด้วยการใส่ทั้งศอก ทั้งเข่า จนเด็กหนุ่มทั้งสามคนรับมือไม่ไหว ร้องกันโอดโอยนี่ฉันบอกทุกๆ คนไปหรือยังคะ ว่าฉันชอบต่อยมวยมาก มากจนสามารถเอาทักษะนั้นมาใช้ป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี ไหนๆ ช่วงระยะหลังมานี้เธอก็ไม่ค่อยได้เข้ายิม ก็ใช้ทั้งสามคนเป็นคู่ซ้อมมันเลยแล้วกัน อยากซ่ากันดีนักแต่จังหวะที่ฉันกำลังจะจระเข้ฟาดหาง เสียงคุ้นๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น“เฮ้ย! น้อง จะทำอะไรเมียพี่”“เผ่นเร็ว” เสียงของเด
“อย่ามาทะลึ่งนะ ลืมไปแล้วหรือไง ว่าตอนนี้ฉันมีแฟนแล้ว” ฉันแหวใส่ ทั้งๆ ที่ฉันเองก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์ในตอนนั้นได้เลย รวมทั้งสัญญาของเราด้วย“ไม่ลืมครับ”“ก็ดีที่ไม่ลืม” ฉันแทงกั๊ก ทั้งๆ ที่ใจฉันมันหวั่นไหวกับการได้กลับมาพบเขามาก สิบปีที่ผ่านมาฉันเหมือนกำลังรอใครสักคน ซึ่งคนๆ นั้นจะใช่ริวหรือเปล่านะอยู่ๆ เราก็ไม่คุยอะไรกันอีก ฉันนั่งมองฝนไปด้วย จิบชาอุ่นๆ ในแก้วไปด้วย ส่วนริวเองก็นั่งเงียบๆ จิบกาแฟของเขาอยู่เช่นเดียวกันฉันซุกตัวอยู่กับโซฟา กอดหมอนนุ่มๆ พอร่างกายอุ่นขึ้น อาการง่วงก็เข้ามาเล่นงาน ฉันพยายามฝืนตัวเองไม่ให้ง่วง...ไม่ให้ง่วง แต่สุดท้ายก็ฝืนไม่ไหว“ดูท่าฝนจะตกทั้งคืน” หลังจากเงียบกันมานาน ผมก็พูดกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่พอหันมามองเธอกลับนั่งหลับไปเสียแล้ว นั่นทำให้ผมลุกขึ้นมาอุ้มเธอไปนอนบนเตียงเธอซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเหมือนเด็กๆ ผมจัดการถอดแว่นสายตาของเธอออกให้ นั่นทำให้ผมได้โอกาสมองเห็นห
“ถามว่าเป็นอะไร”“ไม่สบาย มีไข้นิดหน่อย ไปหาหมอมาแล้ว” ฉันตอบให้เสร็จ เพราะรู้ว่าเขาจะถามอะไรต่อ“งั้นก็ลาหยุดไป วันนี้ไม่ต้องทำงาน”“ไม่ได้ ฉันมีงานต้องทำอีกตั้งเยอะ งานสำคัญๆ ทั้งนั้นด้วย” ช่วงนี้ฉันลาไม่ได้จริงๆ นั่นเพราะเจ้านายไม่อยู่ เลขาอย่างฉันยังมาลาอีก งานมันก็จะไม่เดินกันพอดีน่ะสิ ต่อให้มีริวคอยดูอยู่ก็เถอะ“กลับไปพัก ต่อให้คุณตายในหน้าที่มันก็เท่านั้น เพราะไม่เกินสองอาทิตย์พี่ชายผมก็หาคนใหม่มาแทนคุณได้อยู่ดี”“เอ้า! อยู่ๆ มาแช่งกัน” ฉันมองเขาตาขวาง ก่อนจะเอะใจกับสรรพนามที่เขาเรียกฉันตอนนี้ว่าคุณ ไม่ได้เรียกชื่อเหมือนแต่ก่อน แทนที่จะรู้สึกดี แต่ทำไมฉันถึงหวิวๆ ในอก สัมผัสถึงความห่างเหินที่ก่อตัวขึ้น“ผมแค่อยากให้คุณดูแลตัวเอง ไม่ใช่ไม่สบายก็ยังฝืนทำงาน จะกลับไม่กลับ”“แต่งานฉัน…”“ผมจัดการเอง กลับไปได้แล้วไป ถ้าผมออกมาอีกที ยังเห็น
“ขอฟ้าแต่งงานก็พูดตรงๆ สิ อ้อมค้อมชักแม่น้ำอยู่นั่น”“โอเคๆ ฟ้าแต่งงานกับผมนะ” ประโยคขอแต่งงานจากริวดังขึ้น แม้ตอนนี้เขายังไม่ได้มีแหวนเพชรเม็ดโตหรือไม่ได้คุกเข่าขอฉันแต่งงานในสถานที่โรงแมนติก ท่ามกลางแสงจันทร์เหมือนในซีรีส์ ฉันก็จะตอบรับอย่างเต็มใจ เพราะฉันรักเขามากเหลือเกิน“แต่งค่ะ”“ดีใจจังที่ได้ยินแบบนี้” เขาคว้าฉันไปจูบ เป็นจูบที่ยังคงทำให้ฉันวาบหวามไปทั้งตัว และดูเหมือนจูบจะไม่พอ เพราะริวเริ่มยุบยับสำรวจร่างกายฉันอีกแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่ฉันจะชินกับสัมผัสที่เขาขยันมอบให้แบบนี้เหมือนกัน“นี่หยุดนะ ฟ้าให้แค่จูบ” ฉันแหวใส่เพราะความเขิน ตั้งแต่เจอเขาฉันกลายเป็นคนปากไม่ตรงกับใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้“อย่าลืมสิว่าตอนนี้ฟ้าไม่สบาย ต้องให้ผมคอยฉีดยาให้เรื่อยๆ” คำพูดห่ามๆ ของเขา ทำเอาฉันตัวร้อนผ่าว อาการเหมือนคนไข้จะกลับ“เอ้! ไม่เกี่ยวเลยนะ”“ดื้อแบบนี้ ไม
“ครับ…ก็วันที่ผมเห็นพีชควงแขนไปกับแฟนฝรั่งหน้าหล่อนั่นแหละ ผมโมโหเพราะคิดว่าพีชมาหลอกคบฟ้า เพื่อปิดบังรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกันของตัวเอง”“เฮ้อ...ริวนะริว”“ผมควรไถ่โทษพีชยังไงดี ฟ้าช่วยคิดหน่อยสิ” สีหน้าของริวรู้สึกผิดจริงๆ ฉันจึงช่วยคิดวิธีทำให้พีชอารมณ์ดี รับรองว่าวิธีนี้ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งริวเองก็เห็นด้วย“งั้นผมให้คนจัดการเลยนะ” ฉันหยักหน้าให้ ริวจึงหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาคนของเขา เพื่อให้จัดการตามที่ฉันบอก พรุ่งนี้พีชต้องกรี๊ดบ้านแตกแน่นอน“ฟ้า…เสาร์นี้ว่างไหมครับ” พอวางสายเสร็จ ริวก็เอ่ยขึ้น“ว่างค่ะ จะพาฟ้าไปไหน”“ไปหาพ่อกับแม่ผม ท่านคงอยากเห็นหน้าสะใภ้ เพราะผมบอกท่านทุกปีว่าถ้าเจอฟ้าจะพาไปหา” คำพูดของเขา ทำเอาฉันนิ่งไป เพราะรับรู้ถึงความเสียใจที่แทรกอยู่ในโทนเสียงของเขา“ริว”“ทำไมทำเสียงเศร้าแบบนี้&hel
ฉันตื่นมาในอ้อมกอดของริว เมื่อคืนฉันกับเขา เรา…โอ๊ย คิดแล้วก็เขิน หุบยิ้มแทบไม่ได้เลยทำไงดี ส่วนคนที่นอนกอดฉันอยู่ตอนนี้เหมือนจะยังไม่ตื่น เพราะยังหายใจสม่ำเสมออยู่ ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะยกมือขึ้นไปไล้บนริมฝีปากหยัก ที่มันทำให้ฉันร้อนๆ หนาวๆ ทุกครั้งเมื่อถูกเขาจูบแต่ความสุขของฉันก็มีอันต้องหยุดลงชั่วคราว เมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่มันวันทำงาน ไม่ใช่เช้าวันหยุด ฉันลนลานลุกขึ้นจากเตียง พอหันไปเห็นเวลาบนนาฬิกา เข่านี่แทบทรุด“สายแล้ว ทำไงดี” ฉันหมุนซ้ายหมุนขวา ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน กระทั่งคนบนเตียงเสนอความคิดเห็น“อาบน้ำด้วยกันไหม จะได้เร็ว”“ไม่ได้ๆ”“ได้สิ ไปอาบน้ำกัน” เขาลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะอุ้มฉันตรงเข้าห้องน้ำ เมื่อคืนเราก็อาบน้ำด้วยกันมา รอบหนึ่งแล้ว อาบน้ำ ถูสบู่ให้กัน มันทำให้ฉันอายพอๆ กับตอนที่อยู่บนเตียง“เดี๋ยวริว” ฉันพยายามห้าม เพราะกลัวเขาจะลีลาเหมือนเมื่อคืน เดี๋ยวก็ยิ่งสายกันไปใหญ่ แต่การอาบน้ำด้
ก่อนจะสะดุ้งวาบจนตัวชา เมื่อรับรู้ว่าริวฝังใบหน้าลงไปบนต้นขาแทนฝ่ามือที่ตอนนี้สัมผัสสูงขึ้นมาจนถึงหน้าอกของฉัน“อ่ะ…อ่าห์” เมื่อริวเริ่มจูบต้นขาของฉัน นั่นทำให้ฉันไม่อาจกลั้นเสียงครางไว้ได้เช่นเดียวกัน มันเสียวซ่านเหลือเกินร่างกายของฉันบิดเร้าไปมาตามไฟของความปรารถนาที่ถูกริวจุดขึ้น มันคือประสบการณ์แปลกใหม่ที่หอมหวาน น่าลิ้มลอง และตอนนี้ริวก็ทำให้ฉันต้องการเขามากขึ้น“ระ…ริว” ฉันเอ่ยเรียกชื่อเขากระท่อนกระแท่นไม่เต็มเสียง รู้ว่าตอนนี้เขาขยับจูบสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จากหน้าขามาที่หน้าท้องและกำลังถึงหน้าอกที่เขาใช้มือลูบไล้ไปก่อนหน้า แค่ถูกเขาใช้มือบีบคลึง ฉันก็แทบบ้า แต่ทันทีที่ริวเปลี่ยนมาใช้ริมฝีปากและปลายลิ้น สติของฉันก็กระเจิดกระเจิง“อื้อ” ฉันไม่อาจพูดอะไรออกมาได้จริงๆ เวลานี้สมองของฉันมันกำลังมึนงงไปหมด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาปลดตะขอบราเซียร์ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันรับรู้ได้แค่เพียงว่ากำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้า ยามที่ริวตวัดปลายลิ้นหยอกเย้ากับเม็ดยอดหน้าอกของฉันสลับกับการดูดดุนและบีบคลึงด้วยมือ สั
“ไม่ไปไหนแล้ว ผมจะอยู่ที่นี่ ถ้าฟ้าอยากให้ผมอยู่”“อยากให้อยู่สิ ไม่อย่างนั้นจะรอทำไม”“ฟ้า” เขาเอ่ยเรียกชื่อฉัน และฉันก็ชอบให้เขาเรียกแบบนี้ ไม่ใช่คำว่าคุณที่ฟังดูห่างเหินนั่นอีก เราสบตากันและกัน ก่อนที่เขาจะจูบฉันอีกครั้ง จูบที่หอมหวานทำให้ฉันสั่นสะท้าน หัวใจเต้นโครมคราม มือไม้ก็เย็นเฉียบไปหมดสัมผัสจากริมฝีปากของเขา ทำให้ฉันประหม่า ยามใดที่เขาค่อยๆ ละเล็มจูบซับอ้อยอิ่ง มันทำให้ฉันที่กำลังหลับตาพริ้มเกือบหยุดหายใจก็ว่าได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง เมื่อเขาถอนจูบออก“จะให้ผมหยุดหรือไปต่อ” เขาถามฉันมาแบบนี้ ฉันควรจะตอบเขาว่าไงดี“ว่าไง อยากให้ผมหยุดหรือไปต่อ” ใบหน้าของเราห่างกันแค่นิดเดียว เราจึงสัมผัสลมหายใจอุ่นๆ ของกันได้“ตะ…ต่อ” ฉันพึมพำบอกเบาๆ อายจนอยากมุดดินหนี และอยู่ๆ ตัวฉันก็ลอยขึ้นจากพื้น เพราะถูกเขาอุ้มเข้าบ้าน ริวตรงขึ้นไปบนห้องนอนของฉันทันทีเราทั้ง
เสียงออดหน้าบ้านที่ดังรัวราวกับปืนกล ทำให้ฉันที่ยังคงนั่งร้องไห้เป็นเผาเต่า ร้องชนิดที่ไม่เคยร้องแบบนี้มาก่อนต้องเงยหน้าขึ้นมอง แต่เพราะยังคงมีน้ำตาอยู่ จึงมองไม่ชัดว่าใครกันที่มากดออดเวลานี้ฉันปาดน้ำตาลวกๆ พร้อมกับสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ จากนั้นก็เดินไปหน้าบ้าน พอมองเห็นว่าใครก็ถึงกับยืนอึ้งไปเหมือนกัน“ริว” ฉันเอ่ยชื่อเขาออกมา จ้องตาเขาที่ตอนนี้ยืนจ้องฉันอยู่นอกรั้วบ้านราวกับจะกินเลือดกินเนื้อฉันอย่างนั้นแหละ“ผมลืมของ เลยกลับมาเอา” น้ำเสียงตึงๆ ดังขึ้น ทำเอาฉันงงว่าไปทำอะไรให้เขาโกรธกัน“อ้อ” เพราะเชื่อที่เขาพูด ฉันจึงเปิดประตูให้เขาเข้ามาในบ้าน ทันทีที่ฉันใส่กลอนประตูรั้วเสร็จ เขาก็คว้าฉันเข้าไปกอดและเขาก็จูบฉัน จูบแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจูบ…ที่ทำให้ฉันอึ้งจนยืนแข็งทื่อเป็นหินจูบ…ที่ทำให้ใจฉันเต้นแรง ตึกๆ ตักๆ ตึกๆๆๆ ตักๆๆๆๆจูบ…ที่ทำให้ฉันมีน้ำตา ทั้งๆ ที่ในใจนั้นไม่ได้รังเกียจสัมผัสจากเขาเลยสักนิด มันช่วยเติมเต็ม
ผมไม่ได้บังเอิญผ่านไปแถวบ้านพราวฟ้านั่นหรอก จงใจไปหาเธอคงถูกต้องกว่า แถมไม่ได้ไปมือเปล่า ยังซื้อข้าวต้มไปฝากเธอด้วยแต่พอไปถึง เธอกลับทำให้ผมโมโหที่นอนหลับสนิทโดยไม่ได้ล็อกประตูรั้ว แถมประตูเข้าบ้านก็ไม่ได้ใส่กลอนอีก มันน่าโมโหดีไหมล่ะ เรื่องเมื่อวานที่ถูกรถชนท้ายก็ทำผมโมโหไปทีหนึ่งแล้ว ยังจะมาวันนี้อีก ถ้าโจรมันมาปล้น คงยิ้มร่าที่เจ้าบ้านไม่ใส่กลอนประตูไว้เลยแบบนั้นพอเข้ามาในบ้าน ความโมโหของผมก็หายไป เมื่อเห็นเธอนอนหลับอยู่บนโซฟา สีหน้าดูอิดโรย ตัวก็ยังรุมๆ จนผมต้องไปหาผ้าขนหนูผืนเล็กๆ มาชุบน้ำ แล้วเอามาวางบนหน้าผากให้ ทำแบบนี้กระทั่งไข้ลดจึงเอาผ้าไปเก็บ จากนั้นก็เอาข้าวต้มที่ซื้อมาไปเทใส่ถ้วย กระทั่งได้ยินเสียงเธอดังขึ้น“ยัยพีช” ผมทวนคำที่เธอใช้เรียกคนรัก มันฟังดูแปลกๆ หรือนี่อาจจะเป็นชื่อเฉพาะ ที่คนรักเขาไว้เรียกกันมั้งผมเลิกคิดเรื่องนี้ กระทั่งเดินเข้าโรงแรม สายตาก็มองเห็นเจ้าของชื่อยัยพีช ที่ตอนนี้เดินควงแขนมากับผู้ชาย! ใช่ครับ ตาผมไม่ได้ฝาดไปแน่นอน คนรักของพราวฟ้าเดินควงมากับผู้ชาย มิหนำซ้ำทั้งคู่ย
“ถามว่าเป็นอะไร”“ไม่สบาย มีไข้นิดหน่อย ไปหาหมอมาแล้ว” ฉันตอบให้เสร็จ เพราะรู้ว่าเขาจะถามอะไรต่อ“งั้นก็ลาหยุดไป วันนี้ไม่ต้องทำงาน”“ไม่ได้ ฉันมีงานต้องทำอีกตั้งเยอะ งานสำคัญๆ ทั้งนั้นด้วย” ช่วงนี้ฉันลาไม่ได้จริงๆ นั่นเพราะเจ้านายไม่อยู่ เลขาอย่างฉันยังมาลาอีก งานมันก็จะไม่เดินกันพอดีน่ะสิ ต่อให้มีริวคอยดูอยู่ก็เถอะ“กลับไปพัก ต่อให้คุณตายในหน้าที่มันก็เท่านั้น เพราะไม่เกินสองอาทิตย์พี่ชายผมก็หาคนใหม่มาแทนคุณได้อยู่ดี”“เอ้า! อยู่ๆ มาแช่งกัน” ฉันมองเขาตาขวาง ก่อนจะเอะใจกับสรรพนามที่เขาเรียกฉันตอนนี้ว่าคุณ ไม่ได้เรียกชื่อเหมือนแต่ก่อน แทนที่จะรู้สึกดี แต่ทำไมฉันถึงหวิวๆ ในอก สัมผัสถึงความห่างเหินที่ก่อตัวขึ้น“ผมแค่อยากให้คุณดูแลตัวเอง ไม่ใช่ไม่สบายก็ยังฝืนทำงาน จะกลับไม่กลับ”“แต่งานฉัน…”“ผมจัดการเอง กลับไปได้แล้วไป ถ้าผมออกมาอีกที ยังเห็น
“อย่ามาทะลึ่งนะ ลืมไปแล้วหรือไง ว่าตอนนี้ฉันมีแฟนแล้ว” ฉันแหวใส่ ทั้งๆ ที่ฉันเองก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์ในตอนนั้นได้เลย รวมทั้งสัญญาของเราด้วย“ไม่ลืมครับ”“ก็ดีที่ไม่ลืม” ฉันแทงกั๊ก ทั้งๆ ที่ใจฉันมันหวั่นไหวกับการได้กลับมาพบเขามาก สิบปีที่ผ่านมาฉันเหมือนกำลังรอใครสักคน ซึ่งคนๆ นั้นจะใช่ริวหรือเปล่านะอยู่ๆ เราก็ไม่คุยอะไรกันอีก ฉันนั่งมองฝนไปด้วย จิบชาอุ่นๆ ในแก้วไปด้วย ส่วนริวเองก็นั่งเงียบๆ จิบกาแฟของเขาอยู่เช่นเดียวกันฉันซุกตัวอยู่กับโซฟา กอดหมอนนุ่มๆ พอร่างกายอุ่นขึ้น อาการง่วงก็เข้ามาเล่นงาน ฉันพยายามฝืนตัวเองไม่ให้ง่วง...ไม่ให้ง่วง แต่สุดท้ายก็ฝืนไม่ไหว“ดูท่าฝนจะตกทั้งคืน” หลังจากเงียบกันมานาน ผมก็พูดกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่พอหันมามองเธอกลับนั่งหลับไปเสียแล้ว นั่นทำให้ผมลุกขึ้นมาอุ้มเธอไปนอนบนเตียงเธอซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเหมือนเด็กๆ ผมจัดการถอดแว่นสายตาของเธอออกให้ นั่นทำให้ผมได้โอกาสมองเห็นห