เฟลิเป้ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น แต่ใบหน้าที่เขาเห็นนั้นเหมือนจริงมาก“เคธี่ เคธี่”เขาพึมพำกับตัวเองแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกอย่างแรงร่างบางที่ดูคุ้นเคยปรากฏขึ้นแวบ ๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามเขา เฟลิเป้จึงรีบตรงไปยังฝั่งตรงข้ามทันทีชายหนุ่มรีบตามไปเพื่อให้ทัน แต่เพราะตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานจึงทำให้แม้เขาจะอยากวิ่งฝ่าไฟจราจรไปแค่ไหน เขาก็หาจังหวะไม่ได้เลย“เคธี่ เคธี่!”เฟลิเป้ตะโกนใส่ด้านหลังของหญิงสาวจากระยะไกล แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ โดยสนใจแค่สิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ราวกับว่าไม่ได้ยินเฟลิเป้ที่ตะโกนใส่เธอ และราวกับว่าเธอไม่รู้จักคนที่ชื่อเคธี่เลยเฟลิเป้ไม่สามารถหาโอกาสที่จะวิ่งไปอีกฝั่งได้ เขาจึงได้แต่ไล่ตามผู้หญิงคนนั้นไปตามถนนสายเดิม และไม่ช้าเธอก็เดินเลี้ยวที่ตรงหัวมุมของสุดถนน“เคธี่!”เฟลิเป้ยอมไม่ได้ที่จะไม่ได้เห็นเธออีก เขาไม่สนใจจราจรและรีบข้ามถนนไปคนขับรถหลายคนต่างก็ลดกระจกลงและโผล่หน้าออกมาตะโกนใส่เฟลิเป้ “อยากตายหรือไง? พุ่งออกมากลางถนนแบบนี้เดี๋ยวก็ได้ตายฟรีหรอก!”เฟลิเป้ไม่มีอารมณ์จะสนใจคำพูดเหล่านั้น เขารู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด แต่ก็ไม่มีทางเลื
ความคิดของเธอเริ่มฟุ้งซ่านขณะมองไปยังร่างนี้“แม่ แม่…”เธอกลับมามีสติอีกครั้งด้วยความงุนงงเมื่อได้ยินเสียงเรียกของลูกชาย“แม่กลับบ้าน เราต้องรีบกลับบ้าน”“โอเคจ้ะ”เธอพยักหน้าแล้วหันกลับมาอีกครั้งในขณะที่อุ้มลูกชายตัวน้อยเอาไว้แต่หลังจากหันกลับมาแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังทิศทางที่เฟลิเป้จากไป…คฤหาสน์วิทแมนหลังอาหารเย็น ทั้งครอบครัวก็มานั่งคุยกันในห้องนั่งเล่นเมเดลีนรู้สึกว่างานล้นมือเมื่อทั้งลูก ๆ และแม่กำลังวุ่นอยู่รอบตัวโชคดีที่แจ็คสันและลิเลียนเป็นเด็กมีเหตุผล เธอจึงไม่ต้องใช้ความพยายามในการเกลี้ยกล่อมพวกเขามากนัก ตรงกันข้ามกับเอโลอิสที่ต้องการเพื่อนและการปลอบโยนมากที่สุดในขณะนี้เองพุดดิ้ง ลูกชายคนสุดท้องของเธอก็อยู่กับเมเดลีน เด็กน้อยเตะขาสั้น ๆ ของเขาแล้วคลานไปที่โซฟาก่อนที่จะเริ่มกวนให้เมเดลีนกอดและหอมเขา“แม่ กอด!”เด็กน้อยกะพริบตาโตที่มีชีวิตชีวา ก่อนจะขอกอดอย่างไร้เดียงสาเมื่อกำลังจะยื่นมือออกไป เจเรมี่ก็พาร่างเล็ก ๆ ของเขาออกไปเสียก่อน“เดี๋ยวแดดดี้กอดพุดดิ้งเอง”“แม่! อยากหาแม่!”คนตัวเล็กเตะขาสั้น ๆ อย่างดื้อรั้น ในขณะที่ยื่นมือเล็ก ๆ ไ
หลังจากที่ฌอนพูดถึงเรื่องนี้ ร่องรอยของความดีใจก็ฉายผ่านดวงตาอันหนักอึ้งของเจเรมี่ความทรงจำสำคัญที่เขาสูญเสียไปเพราะบุหรี่ที่ลาน่าทำขึ้นในตอนนั้นชัดเจนมากขึ้นในความคิดของเขาตอนนี้“ตอนนั้นผมไม่ได้เป็นคนจุดไฟ”ในที่สุดเจเรมี่ก็มีโอกาสบอกความจริง ฌอนและเมเดลีนหันกลับมามองเขาพร้อมกันฌอนขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านี้คุณก็บอกผมว่า แม้คุณจะสูญเสียความทรงจำไป และถูกลาน่าหลอกใช้ในตอนนั้น แต่ไฟ…”“ลาน่าขอให้คนจุดไฟไว้ล่วงหน้า จากนั้นเธอก็เรียกผมมาเป็นแพะรับบาป จุดประสงค์ของเธอคือทำให้เอวลีนคิดว่าผมเป็นคนจุดไฟเพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนพังลง”คำตอบของเจเรมี่ทำให้เอวลีนและฌอนตกใจเป็นอย่างมากแน่นอนว่าพวกเขาไม่สงสัยในสิ่งที่เจเรมี่กำลังบอกในตอนนี้เลย เพราะคนอย่างลาน่าสามารถทำสิ่งนั้นได้จริง ๆ“เจเรมี่ ทำไมคุณไม่เคยบอกเรื่องนี้กับฉันเลย?” เมเดลีนมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร และความรู้สึกผิดมากมายในใจเขาแบกรับความคับแค้นใจ การสูญเสียเธอ และการแต่งงานของพวกเขาก็ต้องจบลงเพราะเหตุนี้ แต่เขาไม่เคยปกป้องตัวเองเลยสักครั้ง“ในตอนนั้นผมสูบบุหรี่ที่ลาน่าทำมาให้โดยเฉพาะมากเกินไป ผมก็เลยสั
เธอนั่งยอง ๆ อยู่ตรงนั้น พวกเขาไม่รู้เลยว่าเธอเจออะไร แต่เอโลอิสกำลังมองดูมันด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ขณะฟยิบมันมาถือไว้ในมือ“เจอแล้ว! ฌอน มาดูสิ! นี่ไงเอวลีน!”เอโลอิสหันไปเรียกฌอน ก่อนจะโบกรูปรูปถ่ายครอบครัวที่ดำคล้ำในมือฌอนรีบเดินไปหาเอโลอิสเพื่อช่วยพยุงเธอให้ยืนขึ้น“เอลลี่ ลุกขึ้น”“ฌอน ดูสิ นี่ไงเอวลีนของเรา” เอโลอิสชี้ไปที่รูปภาพอันพร่ามัว “นี่ไงเอวลีน”ดวงตาของเมเดลีนคลอไปด้วยน้ำตา เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเธอเดินไปหาเอโลอิสแล้วจับมือของอีกฝ่ายเบา ๆ “แม่คะ เอวลีนอยู่นี่”เอโลอิสมองเมเดลีนเหมือนว่าเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจจริง ๆ ทันใดนั้นแววตาของเธอก็สว่างขึ้น “โอ้? เอวลีนคนนี้เกือบเหมือนเอวลีนของฉันเลยนะ”“...”เอโลอิสเอ่ยอย่างจริงจัง และคำพูดนั้นก็ทำร้ายจิตใจของเอวลีนมากเช่นกันเธอเป็นลูกสาวที่เอโลอิสโหยหาอยู่ในทุกวัน แต่ผู้เป็นแม่กลับปฏิบัติต่อเธอราวกับคนแปลกหน้า“ฌอน คุณไม่คิดอย่างนั้นเหรอ? เธอดูเกือบจะเหมือนกับเอวลีนของเราเลยนะ” เอโลอิสชี้ไปที่เมเดลีน ดวงตากลมโตของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และประหลาดใจฌอนยิ้มอย่างอ่อนโยน “ใช่ พวกเขาดูเหมือนกัน เอลลี่ ง
เมเดลีนรีบวิ่งไปยังบันไดที่พังลงมาทันทีฌอนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ได้ยินเสียงกรีดร้องบีบหัวใจของลูกสาว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปด้านในเมเดลีนรีบวิ่งไปยังจุดที่เจเรมี่ล้มลงอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นเขานอนนิ่งอยู่บนพื้น เธอก็รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างเสียดแทงเข้าไปในหัวใจ“เจเรมี่!”เมเดลีนหน้าซีดเธอรีบคุกเข่าลงประคองใบหน้าของเจเรมี่ไว้ในอ้อมแขน“เจเรมี่ ตื่นสิ เจเรมี่! อย่าทำให้ฉันกลัวสิ!” ดวงตากลมมืดหม่น มือไม้สั่นอย่างรุนแรงเธอปัดฝุ่นออกจากใบหน้าของเขา แล้วลูบคิ้วเข้มด้วยมืออันสั่นเทา จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาอย่างเงียบ ๆ“เจเรมี่ อย่าทำให้ฉันกลัวสิ ได้โปรด อย่าทำให้ฉันกลัวเลยนะ ถ้าไม่มีคุณฉันคงทนไม่ไหว ฉันทนไม่ได้ที่จะเสียคุณไป“เจเรมี่ ฉันเหนื่อยมากจากการเดินทางครั้งนี้ ตลอดชีวิตของฉัน ฉันแค่ต้องการให้คุณทะนุถนอมและอยู่ดูแลฉัน คุณจะปล่อยให้ฉันต้องอยู่ตามลำพังไม่ได้แล้วนะ ใช่ไหม? ได้โปรดเถอะ…”เมเดลีนกดหน้าผากของเธอแนบสนิทกับหน้าผากของเจเรมี่“เจเรมี่…”“เกิดอะไรขึ้นเอวลีน?” ฌอนมองไปยังเจเรมี่ซึ่งนอนหมดสติอยู่บนพื้น แล้วเหลือบไปเห็นรูบันไดที่ถล่มลงมาเหน
หลังจากได้รับคำยืนยันจากแพทย์ เมเดลีนก็ค่อย ๆ โล่งใจขึ้นมาแม้ว่าเจเรมี่จะไม่เป็นไรแล้ว แต่ตอนนี้ทุกคนก็ยังไม่พบเอโลอิสเลย“เอวลีน ดูแลเจเรมี่ด้วย เดี๋ยวพ่อจะไปตามหาแม่” ฌอนตบไหล่เมเดลีนเบา ๆ ก่อนจะออกมาเมื่อเมเดลีนเห็นแผ่นหลังฌอนที่วิ่งออกไป เธอก็เข้าใจได้ว่าในตอนนี้พ่อของเธอจะรู้สึกอย่างไรเอโลอิสเป็นความรักเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของฌอน เช่นเดียวกับที่เธอรักเจเรมี่ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่เธอรักมากที่สุด ความกังวลในใจที่จะเกิดขึ้นเธอก็คงจะอธิบายไม่ถูกเหมือนกันเจเรมี่ถูกย้ายไปยังห้องพักผู้ป่วยโดยมีเมเดลีนคอยดูแลอยู่ข้างเตียงเธอมองดูแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาด้วยแววตาอ่อนโยนเมเดลีนจับมือของเจเรมี่ไว้และก้มลงจูบหลังมือของเจเรมี่เบา ๆ “ฉันรู้ว่าคุณเสี่ยงเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของฉัน ขอบคุณนะคะ”“เราเป็นสามีภรรยากันนะ ทำไมคุณต้องขอบคุณผมด้วย”ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนและมีเสน่ห์แว่วเข้ามาในหูเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตากลมที่มีน้ำตาคลอก็สบเข้ากับดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของเจเรมี่“เจเรมี่ คุณฟื้นแล้ว!” เมเดลีนขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น“อืม” เจเรม
เฟลิเป้รู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในห้วงความฝันอันสวยงาม ทว่าตอนนี้เธออยู่ตรงหน้าเขาจริง ๆดวงตาของเขาเป็นสีแดงขณะที่ภาพของเธอคนนั้นพร่ามัว และหัวใจที่เต้นแรงจนผิดปกติก็ดังออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน“เคธี่…” เฟลิเป้เรียกเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงและมือที่สั่นไหวอย่างรุนแรง เขาค่อย ๆ ยกแขนขึ้นพยายามสัมผัสใบหน้าสวยหวานตรงหน้า แต่ก่อนที่จะทันได้แตะตัวเธอ จู่ ๆ เธอก็เบือนหน้าหนีเขาเธอเหลือบมองเฟลิเป้ที่ติดอยู่ในภวังค์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็รีบเดินไปอุ้มเด็กน้อยที่ชื่อฮวนขึ้นมา“ฮวน รู้จักลุงคนนี้เหรอ?” เธอถาม และคำถามนั้นก็ทำให้มือของเฟลิเป้ชะงักค้างอยู่กลางอากาศหัวใจที่เต้นแรงด้วยความสุขและดีใจดูเหมือนจะหยุดลงเท่านั้น ก่อนเขาจะรู้สึกเย็นยะเยือกไปจนถึงขั้วหัวใจ“ลุง รถ อันตราย” เด็กน้อยพูดแบบเด็ก ๆ ก่อนจะตบลูกบอลเบา ๆ “ลุงช่วยฮวนเก็บบอล”เด็กน้อยยังเด็กเกินไปจึงไม่สามารถอธิบายรายละเอียดได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอคนนั้นเข้าใจเขาเธออุ้มเด็กน้อยก่อนจะเดินไปหาเฟลิเป้ที่ดูงุนงง จากนั้นก็ส่งยิ้มที่อ่อนโยนและสุภาพให้เขา“ขอบคุณคุณมากนะคะ ที่ช่วยเก็บลูกบอลให้ลูกชายของฉัน” เธอขอบคุณเขาด้วยน้ำเสี
“ไม่ คุณไม่ใช่เคธี่” เฟลิเป้ไม่อาจแน่ใจได้มากกว่านี้ ในขณะที่เขาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้งหญิงสาวพ่นลมหายใจด้วยรอยยิ้มขุ่นเคือง และในตอนที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็มีเสียงอันอ่อนโยนของชายคนหนึ่งเรียกเธอ “เอมี่”หญิงสาวหันไปหาและยิ้มให้กับเจ้าของเสียงนั้นขณะที่อุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน“พ่ออยู่นี่ฮวน กลับบ้านกันเถอะ”“ครับ” เด็กน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และร้องเรียกชายที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยคนนั้นอย่างน่ารัก “พ่อ”เฟลิเป้รู้สึกเย็นในหัวใจขณะหันไปมองว่าชายคนนั้นอยู่ที่ไหน และเมื่อเห็นเขาก็รู้สึกว่าใบหน้านั้นค่อนข้างคุ้นเคยแม้ว่าเขาจะไม่ได้ติดต่อกับอดัมโดยตรง แต่เฟลิเป้ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครอดัมดูตกใจที่เห็นเฟลิเป้เช่นกัน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินมาหา“เฟลิเป้ วิทแมน อาของเจเรมี่ใช่ไหมครับ?” อดัมถามเฟลิเป้ชำเลืองมองอดัมก่อนที่เขาจะหันกลับมามองผู้หญิงที่ยืนข้าง ๆ อดัมอีกครั้งอดัมรับรู้ได้ถึงพฤติกรรมของอีกฝ่ายจึงส่งยิ้มอย่างสุภาพในขณะที่แนะนำตัว “นี่คือคู่หมั้นของผม เอมี่”“คู่หมั้น” เฟลิเป้ย้ำคำนั้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจ“เราเจอกันตอน
อดัมไม่ได้ให้เชอร์ลี่ย์เข้ามาด้วย ในขณะที่เขาพาทั้งเมเดลีนและเจเรมี่เข้ามาในห้องทำงานตัวเองห้องนั้นกว้างขวางและตกแต่งภายในอย่างหรูหรากว่าที่เห็นในโรงพยาบาล มีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ดูค่อนข้างล้ำสมัยวางอยู่รอบ ๆเมเดลีนยืนอยู่ข้าง ๆ เฝ้าดูอดัมทำการทดสอบต่าง ๆ กับเจเรมี่ในที่สุดอดัมก็เก็บตัวอย่างเลือดจากเจเรมี่มาวางบนอุปกรณ์เพื่อทำการวินิจฉัยทันทีเธอรู้สึกกระวนกระวายใจในระหว่างที่รอถึงอย่างนั้นเธอก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าสีของตัวอย่างเลือดเจเรมี่ไม่ได้เข้มอย่างที่เคยเป็น ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสัญญาณที่ดีประมาณสิบนาทีต่อมา ผลก็ออก“ทุกอย่างโอเคไหมอดัม?” เมเดลีนเอ่ยถาม“ไม่ต้องกังวลลินนี่ อาการผมจะดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน” เจเรมี่จับมือของเธอไว้แล้วปลอบโยน“ถ้าคุณอาการดีขึ้นมากแล้วทำไมวันนั้นคุณถึงทรุดลงกะทันหันแบบนั้นล่ะ?” เธอยังคงเอ่ยอย่างวิตกอดัมไม่ได้พูดอะไร เขาไล่สายตาผ่านรายงานวินิจฉัยสองครั้ง ก่อนจะมีแววตาเป็นประกาย ทว่าในไม่ช้าก็ต้องหายไป“ทุกอย่างดูดีทีเดียว ไม่มีอะไรผิดปกติ” อดัมพูดขณะที่มองเมเดลีน “ไม่ต้องกังวลมากไป เขากำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวน่ะ”ได้ยินอย่างนั้นเมเดลีนก็ถอนหายใจโล่งอก
เมเดลีนเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันที่เห็นใครบางคนลงมาจากรถ “เชอร์ลี่ย์ ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่?”เชอร์ลี่ย์ยิ้มอย่างเป็นมิตร “ฉันบอกว่าจะกลับบ้านไม่ใช่เหรอคะ นี่บ้านฉันน่ะ”เมเดลีนชี้ไปที่วิลล่าขนาดเล็กข้างหน้า “นี่คือบ้านของคุณเหรอคะ?”“ค่ะ ที่นี่คือบ้านของฉัน” เชอร์ลี่ย์พยักหน้าอย่างมั่นใจ จากนั้นเธอก็เดินไปหาอดัมด้วยท่าทางจริงจัง “อดัม พี่สาวกลับบ้านทั้งทีทำไมดูไม่มีความสุขเลยล่ะ”ข้อมูลใหม่นั้นทำให้เมเดลีนรู้สึกงุนงง “เชอร์ลีย์ คุณเป็นพี่สาวของอดัมเหรอคะ?”“ค่ะ ฉันเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเขา เรามีพ่อและแม่คนเดียวกัน” เชอร์ลี่ย์แตะไหล่ของอดัมเบา ๆ แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “อดัม ทำไมไม่แนะนำเพื่อนให้ฉันรู้จักเลยล่ะ?”อดัมได้ยินอย่างนั้นก็ฝืนยิ้มออกมาเบา ๆ “ฉันไม่จำเป็นต้องแนะนำหรอก เพราะดูเหมือนทุกคนจะรู้จักกันอยู่แล้ว” เขาก้าวไปข้างหน้าราวกับว่าเขาจงใจหลีกเลี่ยงเชอร์ลี่ย์ “เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”เชอร์ลี่ย์ยิ้มอย่างสดใส "ฉันไม่ได้อยู่บ้านมาหลายปี ฉันก็ควรจะได้ชื่นชมบ้านหลังนี้ที่เคยอยู่บ้างนะ”ขณะที่พูดเธอก็เดินนำเข้าไปในบ้านก่อนอดัมเชิญเมเดลีนและเจเรมี่เข้าไป “เข้ามาสิ”เมเดลีนพยักห
อดัมอึ้งไปครู่หนึ่ง “ว่าไงนะ? คุณกำลังพูดอะไร? คุณเป็นใคร? เอวลีนอยู่ไหน?”“จำฉันไม่ได้แล้วเหรอ? คุณก็เหมือนพ่อแม่ของคุณนั่นแหละอดัม ไร้หัวใจและโหดร้าย” เชอร์ลี่ย์ล้อเลียนอย่างเย็นชาอดัมเงียบไปชั่วครู่ก่อนสุดท้ายเขาจะตอบสนองกลับมา“เธอเองเหรอ” ราวกับว่ามีบางอย่างมากระตุ้นภายในใจเขาตกตะลึงปนประหลาดใจ“ใช่ ฉันเอง” เชอร์ลี่ย์ตอบอดัมอย่างไม่ลังเล “เดี๋ยวเร็ว ๆ นี้เราก็คงได้พบกัน แม้ว่าฉันไม่คิดว่านายจะตั้งตารอฉันหรอกใช่ไหม?”อดัมเงียบไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมเป็นเป็นเธอที่รับโทรศัพท์? เอวลีนอยู่ที่ไหน? เจเรมี่เป็นยังไงบ้าง?”คนฟังเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ฉันไม่ได้บอกหรอกเหรอ? ว่าเดี๋ยวเขาก็ตายแล้ว ภรรยาที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็จะต้องใจสลายไปด้วยน่ะ”“พูดบ้าอะไรเนี่ย! เขาไม่มีทางตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตได้!” น้ำเสียงของอดัมเอ่ยออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเล่นแบบนี้แน่!”อดัมรีบวางสายรอยยิ้มของเชอร์ลี่ย์กว้างขึ้นในขณะที่จ้องหน้าจอที่ค่อย ๆ หรี่แสงลงช้า ๆ“เป็นใครกันถึงมาห้ามไม่ให้ฉันเล่นน่ะอดัม? เป็นตัวแทนของคนสองคนนั้นที่ตายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนงั้นเหรอ? ฮึ”เธอเย้ยหยันแ
“เจเรมี่!”เมเดลีนพบว่าไม่สามารถทนรออยู่หน้าห้องน้ำได้อีกต่อไป เธอเปิดประตูแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ สิ่งที่เห็นคือเจเรมี่ที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวและเย็นชา ขณะที่ร่างของเชอร์ลี่ย์ล้มลงข้างอ่างอาบน้ำเมเดลีนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็รีบเช็คก่อนว่าเจเรมี่เป็นอย่างไรบ้าง แต่ด้วยความมีมารยาทเธอจึงรีบเข้าไปหาและพยุงเชอร์ลี่ย์เธอเพิ่งเอื้อมมือออกไป แต่โดนเจเรมี่จับแขนไว้แน่น เขาจับไว้แรงมากจนเธอรู้สึกเจ็บ“อย่าไปแตะต้องตัวเธอ”เจเรมี่เอ่ยเสียงเย็นสุดขีด“เจเรมี่?” เมเดลีนมองแววตาที่เฉียบคมของเขา “คุณโอเคไหม เจเรมี่? เกิดอะไรขึ้น ทำไมเชอร์ลี่ย์…” “ไม่ต้องกังวลค่ะ คุณนายวิทแมน ฉันไม่เป็นไร” เชอร์ลี่ย์จับข้างอ่างขณะที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง เธอชำเลืองมองสายตาเย็นชาของเจเรมี่จากหางตาก่อนจะหันไปยิ้มให้เมเดลีน“เจเรมี่ไม่ต้องการให้คุณสัมผัสฉันเพราะฉันทำเข็มหักโดยไม่ตั้งใจน่ะค่ะ มันคงจะแย่ถ้าคุณได้รับบาดเจ็บเพราะความผิดพลาดที่ไม่เป็นมืออาชีพของฉัน”จากนั้นเมเดลีนก็เห็นเข็มเล็ก ๆ หักยื่นออกมาจากแขนของเชอร์ลี่ย์หญิงสาวดึงเข็มออกมาอย่างใจเย็นโดยที่คิ้วเรียวของเธอไม่แม้แต่จะขยับเข้าหากัน“เจเร
เธอสัมผัสแขนของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล เพราะอุณหภูมิจากร่างกายของเจเรมี่ไม่เพิ่มขึ้นเลย “อุณหภูมิร่างกายของเขาต่ำเพราะเขาแช่น้ำแข็งน่ะค่ะ” เสียงของเชอร์ลี่ย์ดังขึ้นจากด้านหลังเมื่อหันไปมองเมเดลีนก็เห็นเชอร์ลี่ย์ค่อย ๆ เดินเข้ามาพร้อมเข็มฉีดยาในมือของเธอ“คุณช่วยรอข้างนอกได้ไหมคะคุณนายวิทแมน? ฉันไม่ชอบให้ใครมาเฝ้าเวลาต้องรักษาคนไข้น่ะค่ะ”เมเดลีนเข้าใจและลุกขึ้น แต่เจเรมี่จับมือเธอไว้เสียก่อน“อย่าไปนะลินนี่”“ไม่เป็นไรเจเรมี่ ให้เชอร์ลี่ย์ฉีดยาให้คุณแล้วคุณจะไม่เป็นไร โอเคไหม?” เมเดลีนเอ่ยราวกับว่าเขาเป็นเด็ก ก่อนจะปล่อยมือ“ขอบคุณนะคะ เชอร์ลี่ย์”“ด้วยความยินดีค่ะ ฉันยินดีที่ได้ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือค่ะ” เชอร์ลี่ย์ยิ้มเล็กน้อยเมเดลีนได้ยินอย่างนั้นก็ไม่คิดมากก่อนจะเดินออกไปเธอมองเจเรมี่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดประตู เห็นแววของเขาเริ่มมีสีแดงจาง ๆเขากำลังมองเธออย่างอ้อนวอนจู่ ๆ เมเดลีนก็รู้สึกว่าอยากจะเข้าไปอยู่ข้าง ๆ เขา แต่เชอร์ลี่ย์ก็หันกลับมาตรวจสอบว่าเมเดลีนออกไปจากห้องน้ำหรือยังตอนนั้นเองที่เมเดลีนเห็นรูปร่างสมส่วนของเชอร์ลี่ย์ซึ่งเปียกโช
เมเดลีนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งขณะที่ชำเลืองไปมองประตูห้องน้ำที่ปิดแน่น“อีกนิดเดียวมันก็จะจบแล้วเจเรมี่ อดทนอีกนิด“คุณจะปลดปล่อยความเจ็บปวดได้เหมือนที่ผ่านมาไง“ฉันเป็นหมอของคุณ แต่ฉันก็เป็นเพื่อนคุณด้วย ฉันช่วยคุณได้ อา…”เมเดลีนได้ยินเสียงของเชอร์ลี่ย์ดังออกมาไม่หยุดจนกระทั่งเธอกระซิบด้วยน้ำเสียงลุ่มหลงเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเหตุการณ์ภายในห้องน้ำก็เงียบลงพนักงานมองไปที่ห้องน้ำด้วยสายตาแปลก ๆ ก่อนที่จะหันไปพูดกับเมเดลีน“ผมเอาน้ำแข็งไปไว้ในห้องน้ำหมดแล้วครับ คุณนายวิทแมน ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมติดต่อเราได้เลยนะครับ”แล้วเมเดลีนก็ได้สติกลับคืนมาสู่ความจริง “ขอบคุณค่ะ”“ด้วยความยินดีครับ” พนักงานยิ้มเล็กน้อยและจากไปเมเดลีนลากกระเป๋าเดินทางของเชอร์ลี่ย์ไปที่ห้องน้ำ เมื่อเอื้อมมือไปเปิดประตูก็พบว่าประตูถูกล็อคจากด้านใน“ฉันเอาของขึ้นมาให้แล้วนะคะ เจเรมี่เป็นยังไงบ้าง?” เมเดลีนถามในขณะที่ไม่มีเสียงตอบรับมาจากข้างใน“เชอร์ลี่ย์? เชอร์ลี่ย์? เจเรมี่! เจเรมี่!" เธอเริ่มตื่นตระหนก และไม่สามารถทนต่อความเงียบในขณะนี้ได้อีกต่อไปก๊อก ก๊อก ก๊อก เธอเคาะประตูซ้ำ ๆ จนข้อนิ้วเริ่มแดง“
เมเดลีนขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว ขณะที่ก้าวออกไปเธอก็เห็นใครบางคนที่คุ้นเคยอยู่ตรงทางเดิน“เชอร์ลี่ย์?” เมเดลีนเรียกออกมาอย่างลังเลผู้หญิงที่เดินห่างออกไปเล็กน้อยหยุดเดินแล้วหันมามอง “ใช่ ฉันเองค่ะ คุณนายวิทแมน” เชอร์ลี่ย์ยิ้มและอธิบาย “ฉันลืมของบางอย่างไว้ในห้อง ก็เลยกลับมาหยิบ”เมเดลีนวิ่งไปหาเชอร์ลี่ย์ ผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างจากผู้ช่วยชีวิตของเธอในขณะนี้“พิษในร่างกายของเจเรมี่กำเริบกะทันหัน คุณเคยรักษาเขาใช่ไหมเชอร์ลี่ย์? คุณน่าจะช่วยเขาได้อีกครั้ง! ได้โปรดเถอะค่ะ ตอนนี้เขากำลังเจ็บปวดมาก!”ในตอนนั้นสีหน้าของเชอร์ลี่ย์ก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา “ตอนนี้เจเรมี่อยู่ที่ไหนคะ?”“ในห้องค่ะ!”“รีบพาฉันไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!” เชอร์ลี่ย์รีบเดินตามเมเดลีนไปเมื่อเข้าไปในห้องเมเดลีนก็เห็นว่าเจเรมี่สามารถลุกขึ้นนั่งพิงกับเตียงได้แล้ว เธอจึงรีบวิ่งไปหาเขาทันที “คุณจะไม่เป็นไรเจเรมี่ เชอร์ลี่ย์บังเอิญกลับมาที่โรงแรมเพราะลืมของเอาไว้ เธอสามารถช่วยคุณได้แน่!”เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาคมกริบก็หรี่ลง และเมื่อเห็นเชอร์ลี่ย์เดิยเข้ามาหา เขาก็ขยับตัวออกอย่างรังเกียจเชอร์ลี่ย์เองก็เห็นความไม่พ
เมเดลีนวิ่งออกจากห้องน้ำและเห็นเจเรมี่นอนกองอยู่บนพื้นข้างเตียง“เจเรมี่!”เธอรีบวิ่งไปคุกเข่าลงข้าง ๆ เขาอย่างลนลาน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันราวกับว่าเขากำลังทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส หัวใจของเมเดลีนเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก“เกิดอะไรขึ้นน่ะเจเรมี่? ยาพิษออกฤทธิ์อีกแล้วใช่ไหม?”เธอดึงไหล่ของเจเรมี่เพื่อให้เขาพิงมาที่ตัวเธอหากทำได้เธอก็อยากจะพาเขาไปที่เตียง แต่เธอกลับไม่แข็งแรงพอ“เกิดอะไรขึ้น? อดัมบอกเองนี่ว่ามันจะเกิดขึ้นไม่บ่อย แล้วทำไมตอนนี้อาการของคุณกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว”เมเดลีนกระวนกระวายขณะที่น้ำตาเริ่มไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ และหยดน้ำตาใส ๆ ของเธอก็ตกลงบนใบหน้าของเจเรมี่“ไม่ต้องกังวลลินนี่” เจเรมี่พูดผ่านความเจ็บปวด พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มของเธอเบา ๆ “ผมชินกับความเจ็บปวดแล้ว มันจะเจ็บไม่นาน เดี๋ยวผมก็อาการดีขึ้น”เขาปลอบโยนในขณะที่คลี่ยิ้มเพื่อคลายความกังวลของอีกฝ่ายแต่ยิ่งเจเรมี่คำนึงถึงอารมณ์ความรู้สึกของเธอมากเท่าไหร่ หัวใจของเมเดลีนก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น“อดัม ฉันจะโทรหาอดัม เขารู้ว่าต้องทำยังไง!” เมเดลีนรีบควานหาโทรศัพท์แล้วโทรหาอดัมทันทีแต่กลับไม่มีใครรับ
“สำหรับฉัน?” เมเดลีนรับของขวัญมาด้วยความสับสน ก่อนจะเห็นว่ามีข้อความติดมาด้วยในข้อความเขียนเอาไว้ว่า : [ฉันรีบไปหน่อยก็เลยไม่มีเวลาหาของขวัญสำหรับการเจอกันที่ดีกว่านี้ให้คุณ แต่หวังว่าคุณจะชอบสิ่งนี้นะคะ] ลงชื่อเชอร์ลี่ย์นี่เป็นของขวัญหลังจากพบกันครั้งแรกจากเชอร์ลี่ย์งั้นเหรอ?เมเดลีนรู้สึกประหลาดใจ “คุณมีข้อมูลติดต่อเชอร์ลี่ย์ไหมเจเรมี่? ฉันอยากจะขอบคุณเธอ”“ไม่” เจเรมี่ตอบห้วน ๆ “ไปกันเถอะ ส่วนอันนี้ก็ฝากพนักงานเอาไว้ที่นี่”“ทำแบบนั้นมันจะไม่ดูเสียมารยาทไปเหรอคะ?” เมเดลีนครุ่นคิดและตัดสินใจเอาของสิ่งนั้นกลับไปที่ห้องด้วยในที่สุด เจเรมี่ไม่พูดอะไรมากแล้วกลับไปที่ห้องพร้อมเมเดลีนระหว่างทางกลับเธอเปิดกล่องแล้วพบชุดอโรมาเทอราพีข้างในรูปร่างของขวดนั้นเป็นรูปงูดูแปลกตาเมเดลีนที่ไวต่อกลิ่นและเชี่ยวชาญด้านการผสมน้ำหอม เธอจึงลองดมดูแต่นอกจากกลิ่นปกติที่เคยดมแล้ว เธอสังเกตว่าสิ่งนี้มีกลิ่นบางอย่างที่เธอไม่เคยได้กลิ่นจากที่ไหนมาก่อนอยู่ด้วย“วางมันลงแล้วไปกันเถอะ ลินนี่ เดี๋ยวแผนวันนี้เราพังหมดนะ” น้ำเสียงราวกับว่าเจเรมี่กำลังเตือนเธอ เขาดูเกลียดของขวัญชิ้นนี้จริง ๆคำพูดของ