เฟลิเป้หยุดพูดชั่วครู่ขณะที่หัวใจเขาเริ่มเต้นเร็วขึ้น“แต่อะไร?” เจเรมี่ถามต่อด้วยความสงสัยเฟลิเป้จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หมอคนนี้อยู่กับฉันมาหลายปี เคธี่เองก็คุ้นเคยและสนิทกับเขาเหมือนกัน เขาปฏิบัติต่อเคธี่เหมือนเป็นลูกสาวอีกคนมาเสมอ แล้วเคธี่ก็เคารพเขามาก”เจเรมี่นึกถึงบางอย่างทันทีเมื่อได้ยินแบบนี้ “หมอที่กำลังพูดถึงคือคนเดียวกับที่รักษาผมหรือเปล่า?”เฟลิเป้พยักหน้า “เคธี่คงจะตกลงเงื่อนไขบางอย่างกับเขา เพราะถ้าเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป จะไม่มีทางได้เขามาเป็นคนรักษาให้แน่”“อย่าเพิ่งคิดไปไกล รีบโทรหาหมอคนนั้นแล้วถามก่อนดีกว่า” เจเรมี่เตือนการเต้นของหัวใจเริ่มเต้นรัวอย่างผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ เฟลิเป้หยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยความรู้สึกอ่อนแรงที่มือเขาควรจะโทรไปใช่ไหม?แล้วถ้าถูกปฏิเสธ เขาก็ต้องรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดพันเล่มเฉือนหัวใจแต่ถ้าเขาไม่ถาม ความหวังสุดท้ายที่เขามีก็จะหลุดลอยไปเฉย ๆ เจเรมี่รู้ว่าทำไมเฟลิเป้ถึงลังเล “ให้ผมช่วยโทรให้ไหม?”“ไม่ ไม่เป็นไร” เฟลิเป้ตั้งสติแล้วปฏิเสธ เขาดูโทรศัพท์แล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดโทรออกสักพักก็มีคนรับสายเฟลิเป้เหม่อลอยไปไกล
หลังจากที่เมเดลีนถามออกไปอย่างนั้น เปลวไฟแห่งความหวังก็เริ่มลุกโชนในใจของเฟลิเป้อีกครั้งหลังอาหารค่ำเฟลิเป้ที่กำลังเดินตามเจเรมี่ออกมาจากประตูคฤหาสน์วิทแมนก็หยุดเดินกะทันหัน“ฉันอยากรู้อะไรบางอย่าง” เฟลิเป้เงยหน้าเอ่ย ภายใต้แสงไฟจากถนนแววตาที่มุ่งมั่นสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนเจเรมี่เองรู้สึกได้สักพักแล้วจึงหันไปหาเขา “ผมจะแกล้งทำเป็นว่าคุณยอมมอบตัวกับผมแล้ว ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อซื้อเวลาให้คุณได้ไปสืบเรื่องของผู้หญิงคนนั้นที่ดูเหมือนกับเคธี่”“ขอบคุณ” เฟลิเป้ขอบคุณออกมาอย่างจริงใจ “ฉันอยากจะไปที่ที่ฉันเจอผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง เดี๋ยวฉันจะกลับมา”หลังจากที่พูดอย่างนั้น เขาก็หันกลับไปอย่างไร้กังวล เจเรมี่ยืนอยู่กับที่สักพักก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าบ้านไปเมเดลีนนั่งคุยกับเอโลอิสอยู่ที่โซฟา เห็นอย่างนั้นเจเรมี่ก็บอกได้ทันทีว่าสภาพจิตใจของเมเดลีนดีขึ้นมากแล้วเขาสงสัยว่าเธออาจโดนกระตุ้นอีกครั้งเมื่อเห็นไรอันล้มลงไปต่อหน้าต่อตา เพราะอย่างนั้นแล้วผลกระทบเชิงลบนี้จึงเข้าไปลบล้างกับสิ่งที่เธอเจอในอดีต ดังนั้นตอนนี้อาการของเมเดลีนจึงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นเจเรมี่เดินเข้
“สวัสดีค่ะ นี่ใครคะ?” เสียงอันบริสุทธิ์และไพเราะของผู้หญิงคนหนึ่งดังแว่วเข้าหูของเมเดลีนหญิงสาวถือโทรศัพท์ด้วยความมึนงง เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินเสียงนี้ช่างคุ้นเคยและยังคงตราตรึงไว้ในส่วนลึกที่สุดของความทรงจำเธอ“เคธี่?” เมเดลีนถามอย่างสงสัย“ใครคะ?” ผู้หญิงคนนั้นถามด้วยความงุนงง ราวกับว่าเธอไม่รู้จักชื่อ ‘เคธี่’เมเดลีนเองก็ผงะเช่นกัน แต่เมื่อเธอกำลังจะถามอีกครั้ง โทรศัพท์ก็ดูเหมือนจะถูกยื่นให้คนอื่นแล้ว จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของอดัม “เจเรมี่? มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า?”เมื่อได้ยินเสียงของอดัม เมเดลีนก็รีบบอกอาการของเจเรมี่ทันที “อดัม ยาพิษในร่างกายสามีฉันกำลังออกฤทธิ์อีกแล้ว คุณต้องมีวิธีที่จะช่วยเขาใช่ไหม! ฉันจะส่งที่อยู่ให้ คุณรีบมาทีนะ”“เข้าใจแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้” อดัมตอบรับทันทีเมเดลีนคิดว่าเธอน่าจะฟังดูสุภาพพอ เมื่อคิดถึงเรื่องที่อดัมร่วมมือกับไรอันในตอนนั้น เธอก็รู้สึกโกรธอยู่ในใจหลังจากที่วางสาย เธอก็เข้ามาประคองร่างสูงที่กำลังเหงื่อแตกพลั่ก หัวใจเจ็บปวดมากจนรู้สึกหายใจไม่ออกราวกับว่าเธอรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เจเรมี่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้“อีก
เมเดลีนยังคงรู้สึกงุนงงกับข้อมูลใหม่ที่เธอเพิ่งจะได้รับ และเธอก็ยังจำเสียงผู้หญิงที่รับสายโทรศัพท์ของอดัมได้อย่างชัดเจน“อดัม ตอนนี้คุณมีแฟนเหรอ?” เธอถามเพื่อความมั่นใจหลังจากที่พูดแบบนั้น เมเดลีนก็เห็นว่าอดัมผงะไปเล็กน้อย ในทางกลับกันเจเรมี่ก็มองอดัมด้วยความอยากรู้อยากเห็น“ทำไมคุณถามแบบนั้น ลินนี่?”“เปล่าคะ แค่ตอนที่ฉันโทรหาอดัมมีผู้หญิงคนหนึ่งรับโทรศัพท์แทนเขา ฉันรู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินเสียงนั้นจากที่ไหนสักแห่ง” เมเดลีนอธิบายด้วยรอยยิ้มและท่าทางสงบนิ่ง “อดัม ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่เรารู้จักหรือเปล่า?”“ไม่ พวกคุณไม่รู้จักหรอก” อดัมรีบปฏิเสธ แต่แล้วก็ยอมรับเล็กน้อย “แต่เธอเป็นแฟนผมจริง ๆ”เขาพูดพลางก้มมองเวลา “ผมคงต้องไปแล้ว แฟนผมเธอเป็นคนขี้กลัวเลยอาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวตอนกลางคืน”อดัมพูดก่อนจะเดินกลับออกไปหลังจากที่เมเดลีนเดินไปส่งเขาที่ประตู เธอก็รีบกลับมาที่ห้องแล้วหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเจเรมี่ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวที่ปรากฏในแววตา“เจเรมี่ เกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับอดัม ทำไมคุณถึงไว้ใจเขามากขนาดนั้น?”“เขาน่าจะถูกบังคับจนต้องอ
“ตอนไหนคะ?” เมเดลีนขยับเข้ามาใกล้เจเรมี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เจเรมี่ คุณรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอดัมกับเคธี่เหรอ?”“ผมไม่แน่ใจ” เขาส่ายหน้าเบา ๆ แต่มีร่องรอยของความเบิกบานในแววตา “ลินนี่ ถ้าเป็นแบบนั้นเคธี่อาจจะยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ อดัมไม่ใช่หมอธรรมดาทั่วไป เขามีความสามารถพอที่จะทำให้เคธี่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”หัวใจของเมเดลีนเต้นรัว “คงจะดีมากเลยถ้าเคธี่ยังมีชีวิตอยู่”เธอยิ้มและคล้องแขนไปรอบคอของเขา “เจเรมี่ ฉันรู้ว่าการเริ่มต้นใหม่ของเรามันยากแค่ไหน ฉันเลยหวังว่าเคธี่กับเฟลิเป้จะได้รับโอกาสนั้นเหมือนกัน”“ตราบใดที่เคธี่ยังมีชีวิตอยู่ ผมก็คิดว่าเฟลิเป้คงจะมีความสุข แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสเริ่มต้นใหม่ก็ตาม”“ค่ะ” เมเดลีนตอบแล้วซบลงที่อกของเจเรมี่เธอรู้สึกราวกับว่าไม่ต้องเผชิญความกังวลภายในใจอีกแล้ว เมื่อได้ดื่มด่ำกับความอบอุ่นจากอกแกร่งของเขาวันรุ่งขึ้น เมเดลีนอยากจะบอกเรื่องนี้กับเฟลิเป้ว่ามีความเป็นไปได้ที่เคธี่จะยังมีชีวิตอยู่ แต่เจเรมี่หยุดเธอเอาไว้เสียก่อน“ลินนี่ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย เรายังไม่แน่ใจ ผมกลัวว่ามันจะเป็นการให้ความหวังแล้วอาจทำให้เขารู้สึกผ
เมื่อคุณนายโจนส์เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งไม่พอใจ “ทำไมเขาเข้าไปได้ แต่ฉันเข้าไปหาลูกไม่ได้ล่ะ?”“คุณวิทแมนมาจากหน่วยสืบสวนภายในของอินเตอร์โพล เขาเป็นสายลับอาวุโสที่สอบสวนคดีของลูกชายคุณ ดังนั้นบอกผมทีว่าเขาควรจะเข้าไปได้ไหม?”“...” แม่ของไรอันเงียบ แล้วถอยห่างออกมาแต่ยิ่งรอนานเธอก็ยิ่งหงุดหงิด หลังจากคิดแบบนี้เธอก็ออกไปโทรศัพท์ภายในห้องไรอันเป็นเหมือนรูปปั้นที่ไร้ชีวิตในขณะที่จ้องมองคนที่กำลังเดินมาหาเขาอย่างไร้ความรู้สึก“ฉันต้องการเจอเอวลีน ไม่ใช่แก” ไรอันเอ่ย ราวกับว่าเขาต้องใช้แรงในการพูดเป็นอย่างมากสายตาของเจเรมี่สังเกตอาการของไรอันอย่างเย็นชา “แกคิดว่า แกคู่ควรที่จะได้เจอภรรยาของฉันตอนนี้เหรอ?”ไรอันเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อเจเรมี่ “เธอเป็นคนปลุกฉัน ดังนั้นเธอมีหน้าที่พูดในสิ่งที่เธอต้องการจะพูดกับฉันให้เสร็จ”“ไรอัน แกคิดว่าเธอมีเรื่องอยากจะบอกจริง ๆ งั้นเหรอ?” เจเรมี่หัวเราะอย่างเย็นชา “ฟางเส้นสุดท้ายสำหรับฉันคือการปล่อยให้คนที่ฉันรักมอบความตั้งใจที่จะช่วยให้แกได้มีชีวิตรอดต่อไป เธอจะไม่มาเจอแกอีก เลิกหวังได้แล้ว”ความผิดหวังปราก
ไรอันฉวยจดหมายมาไว้ในมือพลางไล่สายตาผ่านลายมืออันคุ้นเคย ทุกคำสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน“ปะ… เป็นไปไม่ได้…”การหายใจของไรอันเริ่มติดขัดเขาหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะอ่านมันยังไง คำพูดเหล่านั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง“ไม่ คุณปู่จะไม่ทำอะไรแบบนั้น…”ไรอันไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้ ริมฝีปากซีดและแห้งผากเริ่มพึมพำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาสีเทาเต็มไปด้วยการสูญเสียที่ไม่มีที่สิ้นสุด“ไรอัน ฉันรู้ว่ามันยากที่จะยอมรับเรื่องนี้ แต่มันคือความจริง” เจเรมี่เอ่ยอย่างใจเย็น“เป็นไปไม่ได้!” ไรอันใช้กำลังทั้งหมดคำรามออกมา ก่อนจะกุมหัวใจด้วยสีหน้าเจ็บปวดเจเรมี่เห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นและรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายอาจจะถูกเรื่องนี้กระตุ้นอย่างแรง ทว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกสงสารอีกฝ่ายไปด้วยเลยในความคิดของเขา ไรอันเป็นแบบนี้ก็เพราะการกระทำของเขาเองการฟื้นขึ้นมาได้นับว่าเป็นพรอันใหญ่หลวงสำหรับไรอันแล้วแต่ไม่ว่ายังไงเจเรมี่ก็ยังรีบเรียกหมอให้เขาทว่าเมื่อประตูเปิดออก นักข่าวกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นจากไไหนก็ไม่รู้ และพยายามอย่างมากที่จะเข้ามาดูว่าด้านในเกิดอะไรขึ้นเมื่อพ่อและแม่ของไรอันเห็นหมอ
“ถ้าคุณคิดว่าจะสามารถช่วยไรอันให้พ้นจากอาชญากรรมที่เขาก่อได้ด้วยวิธีแบบนี้ แสดงว่าคุณไร้เดียงสายิ่งกว่าลูกชายและลูกสาวของฉันเสียอีกนะ”ทันใดนั้นน้ำเสียงที่สดใสและบริสุทธิ์ก็ดังขึ้นจากฝูงชนที่โหวกเหวกหัวใจที่เต้นแรงของเจเรมี่เต็มไปด้วยความสุขเมื่อได้ยินเสียงนี้ เขามองเมเดลีนที่เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาด้วยท่าทางที่สง่างามนักข่าวเล็งกล้องไปที่เธอ และใช้โอกาสนี้ยิงคำถามเพิ่มเติม“คุณกำลังพูดเพื่อปกป้องคุณวิทแมนใช่ไหมคะ?”“ความสัมพันธ์ของคุณกับไรอัน โจนส์เป็นยังไงกันแน่ครับ?”“ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้สภาพจิตใจของคุณยังไม่ปกติ ตอนนี้บางคนก็บอกว่าคุณเสียสติไปแล้ว แน่ใจนะว่าคุณ…”“พวกคุณคิดว่าฉันดูเหมือนคนเสียสติหรือเปล่า?” เมเดลีนเดินไปหาเจเรมี่แล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับกล้องอย่างมั่นใจ “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดแทนใคร ฉันแค่หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงโดยเร็วที่สุด”เธอมองเจเรมี่ด้วยแววตาที่จริงจัง “เจเรมี่ ฉันรู้ว่าคุณกำลังพยายามรักษาศักดิ์ศรีของใครบางคน แต่สิ่งนี้ควรจะเกิดขึ้นอย่างยุติธรรมกับทุกฝ่ายเหมือนกัน ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการแสดงความเอื้อเฟื้อเช่นเดียวกันกับที่คุณทำ แล้วทำไมเราต้องทำร้ายตัว
อดัมไม่ได้ให้เชอร์ลี่ย์เข้ามาด้วย ในขณะที่เขาพาทั้งเมเดลีนและเจเรมี่เข้ามาในห้องทำงานตัวเองห้องนั้นกว้างขวางและตกแต่งภายในอย่างหรูหรากว่าที่เห็นในโรงพยาบาล มีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ดูค่อนข้างล้ำสมัยวางอยู่รอบ ๆเมเดลีนยืนอยู่ข้าง ๆ เฝ้าดูอดัมทำการทดสอบต่าง ๆ กับเจเรมี่ในที่สุดอดัมก็เก็บตัวอย่างเลือดจากเจเรมี่มาวางบนอุปกรณ์เพื่อทำการวินิจฉัยทันทีเธอรู้สึกกระวนกระวายใจในระหว่างที่รอถึงอย่างนั้นเธอก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าสีของตัวอย่างเลือดเจเรมี่ไม่ได้เข้มอย่างที่เคยเป็น ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสัญญาณที่ดีประมาณสิบนาทีต่อมา ผลก็ออก“ทุกอย่างโอเคไหมอดัม?” เมเดลีนเอ่ยถาม“ไม่ต้องกังวลลินนี่ อาการผมจะดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน” เจเรมี่จับมือของเธอไว้แล้วปลอบโยน“ถ้าคุณอาการดีขึ้นมากแล้วทำไมวันนั้นคุณถึงทรุดลงกะทันหันแบบนั้นล่ะ?” เธอยังคงเอ่ยอย่างวิตกอดัมไม่ได้พูดอะไร เขาไล่สายตาผ่านรายงานวินิจฉัยสองครั้ง ก่อนจะมีแววตาเป็นประกาย ทว่าในไม่ช้าก็ต้องหายไป“ทุกอย่างดูดีทีเดียว ไม่มีอะไรผิดปกติ” อดัมพูดขณะที่มองเมเดลีน “ไม่ต้องกังวลมากไป เขากำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวน่ะ”ได้ยินอย่างนั้นเมเดลีนก็ถอนหายใจโล่งอก
เมเดลีนเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันที่เห็นใครบางคนลงมาจากรถ “เชอร์ลี่ย์ ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่?”เชอร์ลี่ย์ยิ้มอย่างเป็นมิตร “ฉันบอกว่าจะกลับบ้านไม่ใช่เหรอคะ นี่บ้านฉันน่ะ”เมเดลีนชี้ไปที่วิลล่าขนาดเล็กข้างหน้า “นี่คือบ้านของคุณเหรอคะ?”“ค่ะ ที่นี่คือบ้านของฉัน” เชอร์ลี่ย์พยักหน้าอย่างมั่นใจ จากนั้นเธอก็เดินไปหาอดัมด้วยท่าทางจริงจัง “อดัม พี่สาวกลับบ้านทั้งทีทำไมดูไม่มีความสุขเลยล่ะ”ข้อมูลใหม่นั้นทำให้เมเดลีนรู้สึกงุนงง “เชอร์ลีย์ คุณเป็นพี่สาวของอดัมเหรอคะ?”“ค่ะ ฉันเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเขา เรามีพ่อและแม่คนเดียวกัน” เชอร์ลี่ย์แตะไหล่ของอดัมเบา ๆ แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “อดัม ทำไมไม่แนะนำเพื่อนให้ฉันรู้จักเลยล่ะ?”อดัมได้ยินอย่างนั้นก็ฝืนยิ้มออกมาเบา ๆ “ฉันไม่จำเป็นต้องแนะนำหรอก เพราะดูเหมือนทุกคนจะรู้จักกันอยู่แล้ว” เขาก้าวไปข้างหน้าราวกับว่าเขาจงใจหลีกเลี่ยงเชอร์ลี่ย์ “เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”เชอร์ลี่ย์ยิ้มอย่างสดใส "ฉันไม่ได้อยู่บ้านมาหลายปี ฉันก็ควรจะได้ชื่นชมบ้านหลังนี้ที่เคยอยู่บ้างนะ”ขณะที่พูดเธอก็เดินนำเข้าไปในบ้านก่อนอดัมเชิญเมเดลีนและเจเรมี่เข้าไป “เข้ามาสิ”เมเดลีนพยักห
อดัมอึ้งไปครู่หนึ่ง “ว่าไงนะ? คุณกำลังพูดอะไร? คุณเป็นใคร? เอวลีนอยู่ไหน?”“จำฉันไม่ได้แล้วเหรอ? คุณก็เหมือนพ่อแม่ของคุณนั่นแหละอดัม ไร้หัวใจและโหดร้าย” เชอร์ลี่ย์ล้อเลียนอย่างเย็นชาอดัมเงียบไปชั่วครู่ก่อนสุดท้ายเขาจะตอบสนองกลับมา“เธอเองเหรอ” ราวกับว่ามีบางอย่างมากระตุ้นภายในใจเขาตกตะลึงปนประหลาดใจ“ใช่ ฉันเอง” เชอร์ลี่ย์ตอบอดัมอย่างไม่ลังเล “เดี๋ยวเร็ว ๆ นี้เราก็คงได้พบกัน แม้ว่าฉันไม่คิดว่านายจะตั้งตารอฉันหรอกใช่ไหม?”อดัมเงียบไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมเป็นเป็นเธอที่รับโทรศัพท์? เอวลีนอยู่ที่ไหน? เจเรมี่เป็นยังไงบ้าง?”คนฟังเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ฉันไม่ได้บอกหรอกเหรอ? ว่าเดี๋ยวเขาก็ตายแล้ว ภรรยาที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็จะต้องใจสลายไปด้วยน่ะ”“พูดบ้าอะไรเนี่ย! เขาไม่มีทางตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตได้!” น้ำเสียงของอดัมเอ่ยออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเล่นแบบนี้แน่!”อดัมรีบวางสายรอยยิ้มของเชอร์ลี่ย์กว้างขึ้นในขณะที่จ้องหน้าจอที่ค่อย ๆ หรี่แสงลงช้า ๆ“เป็นใครกันถึงมาห้ามไม่ให้ฉันเล่นน่ะอดัม? เป็นตัวแทนของคนสองคนนั้นที่ตายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนงั้นเหรอ? ฮึ”เธอเย้ยหยันแ
“เจเรมี่!”เมเดลีนพบว่าไม่สามารถทนรออยู่หน้าห้องน้ำได้อีกต่อไป เธอเปิดประตูแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ สิ่งที่เห็นคือเจเรมี่ที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวและเย็นชา ขณะที่ร่างของเชอร์ลี่ย์ล้มลงข้างอ่างอาบน้ำเมเดลีนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็รีบเช็คก่อนว่าเจเรมี่เป็นอย่างไรบ้าง แต่ด้วยความมีมารยาทเธอจึงรีบเข้าไปหาและพยุงเชอร์ลี่ย์เธอเพิ่งเอื้อมมือออกไป แต่โดนเจเรมี่จับแขนไว้แน่น เขาจับไว้แรงมากจนเธอรู้สึกเจ็บ“อย่าไปแตะต้องตัวเธอ”เจเรมี่เอ่ยเสียงเย็นสุดขีด“เจเรมี่?” เมเดลีนมองแววตาที่เฉียบคมของเขา “คุณโอเคไหม เจเรมี่? เกิดอะไรขึ้น ทำไมเชอร์ลี่ย์…” “ไม่ต้องกังวลค่ะ คุณนายวิทแมน ฉันไม่เป็นไร” เชอร์ลี่ย์จับข้างอ่างขณะที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง เธอชำเลืองมองสายตาเย็นชาของเจเรมี่จากหางตาก่อนจะหันไปยิ้มให้เมเดลีน“เจเรมี่ไม่ต้องการให้คุณสัมผัสฉันเพราะฉันทำเข็มหักโดยไม่ตั้งใจน่ะค่ะ มันคงจะแย่ถ้าคุณได้รับบาดเจ็บเพราะความผิดพลาดที่ไม่เป็นมืออาชีพของฉัน”จากนั้นเมเดลีนก็เห็นเข็มเล็ก ๆ หักยื่นออกมาจากแขนของเชอร์ลี่ย์หญิงสาวดึงเข็มออกมาอย่างใจเย็นโดยที่คิ้วเรียวของเธอไม่แม้แต่จะขยับเข้าหากัน“เจเร
เธอสัมผัสแขนของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล เพราะอุณหภูมิจากร่างกายของเจเรมี่ไม่เพิ่มขึ้นเลย “อุณหภูมิร่างกายของเขาต่ำเพราะเขาแช่น้ำแข็งน่ะค่ะ” เสียงของเชอร์ลี่ย์ดังขึ้นจากด้านหลังเมื่อหันไปมองเมเดลีนก็เห็นเชอร์ลี่ย์ค่อย ๆ เดินเข้ามาพร้อมเข็มฉีดยาในมือของเธอ“คุณช่วยรอข้างนอกได้ไหมคะคุณนายวิทแมน? ฉันไม่ชอบให้ใครมาเฝ้าเวลาต้องรักษาคนไข้น่ะค่ะ”เมเดลีนเข้าใจและลุกขึ้น แต่เจเรมี่จับมือเธอไว้เสียก่อน“อย่าไปนะลินนี่”“ไม่เป็นไรเจเรมี่ ให้เชอร์ลี่ย์ฉีดยาให้คุณแล้วคุณจะไม่เป็นไร โอเคไหม?” เมเดลีนเอ่ยราวกับว่าเขาเป็นเด็ก ก่อนจะปล่อยมือ“ขอบคุณนะคะ เชอร์ลี่ย์”“ด้วยความยินดีค่ะ ฉันยินดีที่ได้ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือค่ะ” เชอร์ลี่ย์ยิ้มเล็กน้อยเมเดลีนได้ยินอย่างนั้นก็ไม่คิดมากก่อนจะเดินออกไปเธอมองเจเรมี่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดประตู เห็นแววของเขาเริ่มมีสีแดงจาง ๆเขากำลังมองเธออย่างอ้อนวอนจู่ ๆ เมเดลีนก็รู้สึกว่าอยากจะเข้าไปอยู่ข้าง ๆ เขา แต่เชอร์ลี่ย์ก็หันกลับมาตรวจสอบว่าเมเดลีนออกไปจากห้องน้ำหรือยังตอนนั้นเองที่เมเดลีนเห็นรูปร่างสมส่วนของเชอร์ลี่ย์ซึ่งเปียกโช
เมเดลีนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งขณะที่ชำเลืองไปมองประตูห้องน้ำที่ปิดแน่น“อีกนิดเดียวมันก็จะจบแล้วเจเรมี่ อดทนอีกนิด“คุณจะปลดปล่อยความเจ็บปวดได้เหมือนที่ผ่านมาไง“ฉันเป็นหมอของคุณ แต่ฉันก็เป็นเพื่อนคุณด้วย ฉันช่วยคุณได้ อา…”เมเดลีนได้ยินเสียงของเชอร์ลี่ย์ดังออกมาไม่หยุดจนกระทั่งเธอกระซิบด้วยน้ำเสียงลุ่มหลงเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเหตุการณ์ภายในห้องน้ำก็เงียบลงพนักงานมองไปที่ห้องน้ำด้วยสายตาแปลก ๆ ก่อนที่จะหันไปพูดกับเมเดลีน“ผมเอาน้ำแข็งไปไว้ในห้องน้ำหมดแล้วครับ คุณนายวิทแมน ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมติดต่อเราได้เลยนะครับ”แล้วเมเดลีนก็ได้สติกลับคืนมาสู่ความจริง “ขอบคุณค่ะ”“ด้วยความยินดีครับ” พนักงานยิ้มเล็กน้อยและจากไปเมเดลีนลากกระเป๋าเดินทางของเชอร์ลี่ย์ไปที่ห้องน้ำ เมื่อเอื้อมมือไปเปิดประตูก็พบว่าประตูถูกล็อคจากด้านใน“ฉันเอาของขึ้นมาให้แล้วนะคะ เจเรมี่เป็นยังไงบ้าง?” เมเดลีนถามในขณะที่ไม่มีเสียงตอบรับมาจากข้างใน“เชอร์ลี่ย์? เชอร์ลี่ย์? เจเรมี่! เจเรมี่!" เธอเริ่มตื่นตระหนก และไม่สามารถทนต่อความเงียบในขณะนี้ได้อีกต่อไปก๊อก ก๊อก ก๊อก เธอเคาะประตูซ้ำ ๆ จนข้อนิ้วเริ่มแดง“
เมเดลีนขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว ขณะที่ก้าวออกไปเธอก็เห็นใครบางคนที่คุ้นเคยอยู่ตรงทางเดิน“เชอร์ลี่ย์?” เมเดลีนเรียกออกมาอย่างลังเลผู้หญิงที่เดินห่างออกไปเล็กน้อยหยุดเดินแล้วหันมามอง “ใช่ ฉันเองค่ะ คุณนายวิทแมน” เชอร์ลี่ย์ยิ้มและอธิบาย “ฉันลืมของบางอย่างไว้ในห้อง ก็เลยกลับมาหยิบ”เมเดลีนวิ่งไปหาเชอร์ลี่ย์ ผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างจากผู้ช่วยชีวิตของเธอในขณะนี้“พิษในร่างกายของเจเรมี่กำเริบกะทันหัน คุณเคยรักษาเขาใช่ไหมเชอร์ลี่ย์? คุณน่าจะช่วยเขาได้อีกครั้ง! ได้โปรดเถอะค่ะ ตอนนี้เขากำลังเจ็บปวดมาก!”ในตอนนั้นสีหน้าของเชอร์ลี่ย์ก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา “ตอนนี้เจเรมี่อยู่ที่ไหนคะ?”“ในห้องค่ะ!”“รีบพาฉันไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!” เชอร์ลี่ย์รีบเดินตามเมเดลีนไปเมื่อเข้าไปในห้องเมเดลีนก็เห็นว่าเจเรมี่สามารถลุกขึ้นนั่งพิงกับเตียงได้แล้ว เธอจึงรีบวิ่งไปหาเขาทันที “คุณจะไม่เป็นไรเจเรมี่ เชอร์ลี่ย์บังเอิญกลับมาที่โรงแรมเพราะลืมของเอาไว้ เธอสามารถช่วยคุณได้แน่!”เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาคมกริบก็หรี่ลง และเมื่อเห็นเชอร์ลี่ย์เดิยเข้ามาหา เขาก็ขยับตัวออกอย่างรังเกียจเชอร์ลี่ย์เองก็เห็นความไม่พ
เมเดลีนวิ่งออกจากห้องน้ำและเห็นเจเรมี่นอนกองอยู่บนพื้นข้างเตียง“เจเรมี่!”เธอรีบวิ่งไปคุกเข่าลงข้าง ๆ เขาอย่างลนลาน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันราวกับว่าเขากำลังทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส หัวใจของเมเดลีนเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก“เกิดอะไรขึ้นน่ะเจเรมี่? ยาพิษออกฤทธิ์อีกแล้วใช่ไหม?”เธอดึงไหล่ของเจเรมี่เพื่อให้เขาพิงมาที่ตัวเธอหากทำได้เธอก็อยากจะพาเขาไปที่เตียง แต่เธอกลับไม่แข็งแรงพอ“เกิดอะไรขึ้น? อดัมบอกเองนี่ว่ามันจะเกิดขึ้นไม่บ่อย แล้วทำไมตอนนี้อาการของคุณกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว”เมเดลีนกระวนกระวายขณะที่น้ำตาเริ่มไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ และหยดน้ำตาใส ๆ ของเธอก็ตกลงบนใบหน้าของเจเรมี่“ไม่ต้องกังวลลินนี่” เจเรมี่พูดผ่านความเจ็บปวด พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มของเธอเบา ๆ “ผมชินกับความเจ็บปวดแล้ว มันจะเจ็บไม่นาน เดี๋ยวผมก็อาการดีขึ้น”เขาปลอบโยนในขณะที่คลี่ยิ้มเพื่อคลายความกังวลของอีกฝ่ายแต่ยิ่งเจเรมี่คำนึงถึงอารมณ์ความรู้สึกของเธอมากเท่าไหร่ หัวใจของเมเดลีนก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น“อดัม ฉันจะโทรหาอดัม เขารู้ว่าต้องทำยังไง!” เมเดลีนรีบควานหาโทรศัพท์แล้วโทรหาอดัมทันทีแต่กลับไม่มีใครรับ
“สำหรับฉัน?” เมเดลีนรับของขวัญมาด้วยความสับสน ก่อนจะเห็นว่ามีข้อความติดมาด้วยในข้อความเขียนเอาไว้ว่า : [ฉันรีบไปหน่อยก็เลยไม่มีเวลาหาของขวัญสำหรับการเจอกันที่ดีกว่านี้ให้คุณ แต่หวังว่าคุณจะชอบสิ่งนี้นะคะ] ลงชื่อเชอร์ลี่ย์นี่เป็นของขวัญหลังจากพบกันครั้งแรกจากเชอร์ลี่ย์งั้นเหรอ?เมเดลีนรู้สึกประหลาดใจ “คุณมีข้อมูลติดต่อเชอร์ลี่ย์ไหมเจเรมี่? ฉันอยากจะขอบคุณเธอ”“ไม่” เจเรมี่ตอบห้วน ๆ “ไปกันเถอะ ส่วนอันนี้ก็ฝากพนักงานเอาไว้ที่นี่”“ทำแบบนั้นมันจะไม่ดูเสียมารยาทไปเหรอคะ?” เมเดลีนครุ่นคิดและตัดสินใจเอาของสิ่งนั้นกลับไปที่ห้องด้วยในที่สุด เจเรมี่ไม่พูดอะไรมากแล้วกลับไปที่ห้องพร้อมเมเดลีนระหว่างทางกลับเธอเปิดกล่องแล้วพบชุดอโรมาเทอราพีข้างในรูปร่างของขวดนั้นเป็นรูปงูดูแปลกตาเมเดลีนที่ไวต่อกลิ่นและเชี่ยวชาญด้านการผสมน้ำหอม เธอจึงลองดมดูแต่นอกจากกลิ่นปกติที่เคยดมแล้ว เธอสังเกตว่าสิ่งนี้มีกลิ่นบางอย่างที่เธอไม่เคยได้กลิ่นจากที่ไหนมาก่อนอยู่ด้วย“วางมันลงแล้วไปกันเถอะ ลินนี่ เดี๋ยวแผนวันนี้เราพังหมดนะ” น้ำเสียงราวกับว่าเจเรมี่กำลังเตือนเธอ เขาดูเกลียดของขวัญชิ้นนี้จริง ๆคำพูดของ