นับจากวันนั้นผมก็เทียวไปเทียวมาบ้านป้านีในทุกครั้งที่มีโอกาส จนกระทั่งผมได้เจอกับคุณน้ำค้างและคุณกิตจนได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ รวมทั้งได้รู้ว่าทั้งสองเป็นคนที่คอยช่วยเหลือให้เธอผู้หญิงที่ผมรักหลบหนีจากผู้ชายใจร้ายคนนั้นได้สำเร็จ และยังได้รู้ว่าเจ้านายของคุณกิตผู้ซึ่งมีอำนาจระดับประเทศเป็นคนคอยดูแลหญิงสาวตลอดมาอีกด้วย นั่นจึงทำให้ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งผมและคนระดับดีแลนนั้น ถึงตามหาผู้หญิงอย่างลลินเพียงคนเดียวไม่เจอและด้วยความจริงที่ผมได้รับรู้เกี่ยวกับเธอเพิ่มจากคุณน้ำค้างนั้น ก็ยิ่งทำให้ผมอยากจะดูแลเธอ อยากจะปกป้องเธอได้อย่างเปิดเผยให้เร็วที่สุด เพียงแต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่พร้อมที่จะรับผมเข้าไปเติมเต็มคำว่าครอบครัวของเธอสักทีด้วยเพราะเหตุนี้จึงทำผมก็ยังไม่คิดจะเร่งรัดใด ๆ ในเมื่อทุกวันนี้ผมก็รู้สึกพอใจกับการที่ได้มีเธอผู้หญิงที่แอบรักมาเนิ่นนานอยู่ข้างกายแบบนี้ อีกทั้งยังมีลูกชายที่หน้าตาน่ารักแถมยังขี้อ้อนเพิ่มมาด้วยอีกหนึ่งคน และนอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเรื่องราวที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากที่สุดเลยนั่นก็คือ ผมที่ได้รู้มาจากคุณน้ำค้างว่าหญิงสาวที่ผมรักเธอได้ออกปา
นับตั้งแต่สายโทรศัพท์นั้นโทรเข้ามาผมก็แทบไม่ได้ออกจากบริษัทตัวเองเลย จนกระทั่งเมื่อข่าวเกี่ยวกับเธอถูกส่งมาโดยป้าของผมอีกครั้ง นั่นจึงทำให้ผมยิ่งร้อนใจและไม่ว่ายังไงผมคงต้องรีบกลับไปจัดการอะไรบางอย่างให้ถูกต้องเสียที...ผมจัดการปิดโทรศัพท์แล้วบึ่งรถมายังจุดมุ่งหมายที่ปลายทางมีคนที่ผมรักอยู่ แม้ว่าใจจะทะยานพุ่งไปหาเธอตั้งนานแล้ว แต่ด้วยสภาพร่างกายอันเหนื่อยล้าที่โหมงานในตลอดหลายวันที่ผ่านมาอีกทั้งสภาพรถที่ไม่ได้เป็นรถสปอร์ตหรูดีกรีความแรงระดับประเทศเหมือนใครเขา นั่นจึงทำให้ผมได้แต่พยายามขับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่สมรรถภาพของร่างกายและเครื่องยนต์จะเอื้ออำนวยกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่ ๆ ผมก็ได้พาร่างอันเหนื่อยล้ามายังจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ และทันทีที่ผมได้เห็นร่างของเจ้าตัวเล็กกับผู้หญิงที่ผมเฝ้าคิดถึงอยู่ปรากฏตัว ความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างทันทีจากนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างก็เป็นไปเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้นับตั้งแต่ที่ผมมาถึงบ้านป้านี กระทั่งเมื่อประจวบเหมาะที่ผมกลั้นใจถามสิ่งที่ค้างคาในใจออกไปและได้รับคำตอบที่พึงพอใจแล้ว ผมก็มั่นใจมากพอที่จะทำในสิ่งที่
แกร๊งงงงง...และด้วยเสียงของที่หล่นลงพื้นดังขึ้นจึงทำให้สองหนุ่มหันมาทางต้นเสียงกันเป็นตาเดียว“ลิน…!! / น้องลิน...!!” เสียงเรียกชื่อฉันที่ดังขึ้นมาพร้อมกัน ทำให้ฉันที่ยืนทำอะไรไม่ถูกรีบวิ่งหนีออกมา“เดี๋ยวก่อนน้องลิน...”“ลิน...”จากนั้นสองหนุ่มที่วิ่งไล่ตามฉันมาจนทัน ก็ต่างวิ่งมาดักยังด้านหน้าของฉันเหมือนกับต้องการเคลียร์เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้มันจบสิ้น“น้องลินจะไปไหน” พี่รามเอ่ยพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาประคองไหล่ที่สั่นไหวของฉันผลั่ก...!!“เลิกแตะต้องเมียคนอื่นสักทีดิว่ะ” จากนั้นผู้ชายอีกคนที่วิ่งมาพร้อมกันก็ผลักมือของพี่รามที่จับไหล่ฉันออก โดยที่สายตาจับจ้องไปอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ“เห้ย!! นี่คุณพูดไม่รู้เรื่องเหรอว่ะ น้องลินไม่ได้เป็นเมียคุณ คุณเลิกเพ้อเจ้อแล้วก็เลิกมาตามตอแยเธอสักทีเถอะ” ส่วนพี่รามที่ไม่พอใจต่อการกระทำและคำพูดของคนใจร้ายก็ได้โต้ตอบอย่างไม่ลดละ“ตอแยเหรอ กูว่ามึงต่างหากไหมที่ตามตอแยเมียกูไม่เลิกสักที อยากจะเลื่อนสถานะจากพี่มาเป็นผัวเขาจนตัวสั่น ถามเขาก่อนไหมว่าเขาเอามึงหรือเปล่า” ส่วนคนอีกคนที่ไม่ยอมให้โดนตอกหน้าอยู่ฝ่ายเดียว ก็ขุดเอาคำพูดร้าย ๆ พ่นออกมาเ
พรึ่บ...!!ฉันที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการหอบเหนื่อยเหมือนกับเพิ่งผ่านการฝันร้ายมา ก่อนที่สายตาจะกวาดไปมองทั่วห้องแล้วพบว่านี่เป็นเวลาค่ำแล้ว“ลูก...!!” ฉันอุทานเอามือทาบอกด้วยความตกใจ ก่อนที่ขาเรียวยาวจะรีบสาวเปิดประตูห้องออกไปด้วยความร้อนรนใจทันทีตึง...ตึงๆๆฉันวิ่งวนไปทั่วเหมือนคนที่ทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่พี่รามที่นั่งเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่นจะลุกขึ้นมาดูฉันด้วยความตกใจ“น้องลิน...เป็นอะไรครับ” พี่รามวิ่งมาจับฉันที่เดินไปมาเหมือนหนูติดจั่น“ลูก...ลินต้องไปรับลูกค่ะ” ฉันตอบพลางมองไปยังนอกบ้านที่บ่งบอกว่าเวลานี้เลยเวลาที่โรงเรียนเลิกไปนานมากแล้ว“ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับน้องลิน ลูกกลับมาบ้านแล้วตอนนี้นอนหลับไปพร้อมกับป้านีแล้ว” พี่รามบอกอย่างใจเย็นพร้อมกับยกยิ้มเพื่อให้ฉันสบายใจ“ฟู่ววววววว ~~” ฉันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างคนแขนขาอ่อนแรงทันที โดยมีพี่รามตามลงมานั่งย่อง ๆ ดูอาการฉันด้วยความเป็นห่วงและในวินาทีเดียวกันนั้น ด้วยความโล่งใจที่เกิดขึ้นก็พลันให้มีความรู้สึกผิดแทรกเข้ามา...“ฮึก...ฮึก...”“นะ...น้องลิน น้องเป็นอะไรร้องไห้ทำไม” พี่รามมีสีหน้าตกใจ
ผลั่ก...!! ผลัวะ...!!ร่างทั้งร่างของชายใจร้ายได้ถูกผลักให้ออกจากร่างหญิงสาว พร้อมกับผู้มาใหม่ได้สาวมืดเข้าใบหน้าหล่อร้ายอย่างเต็มแรง และครั้งนี้เขาก็จัดการผู้ชายใจร้ายได้อย่างจ๋ำหนับไม่มีพลาดอีกแล้วและในจังหวะที่พี่รามจะเข้าไปชกคนร่างโตที่ลงไปนั่งอยู่ที่พื้นอีกครั้ง...“พอเถอะค่ะ...พี่ราม เราเข้าบ้านกันเถอะค่ะ” ฉันได้รั้งมือพี่รามเอาไว้ พร้อมกับพูดเพื่อให้พี่รามใจเย็น นั่นก็เพราะว่าตอนนี้ก็ดึกมาแล้ว ถ้าเสียงดังจนชาวบ้านตื่นมาดูมันจะไม่ดีและก่อนที่ฉันกับพี่รามจะทันได้หันหลังกลับเข้าบ้านไป เสียงทุ้มเข้มของคนด้านหลังก็ได้เอ่ยถามขึ้นมา“หึหึหึ...บอกฉันมาลิน...เธอจะแต่งงานกับมันใช่ไหม” คำถามที่ถูกส่งมาจากคนใจร้าย ทำฉันถึงกับชะงักงั้น เนื่องจากคำถามที่เขาถามออกมานั้นฉันเองก็ยังไม่มีคำตอบให้กับเขา นั่นจึงทำให้ฉันได้แต่นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น“ตอบมาซิ...ช่วยตอบให้ฉันได้ยินชัด ๆ ได้ไหม ว่าถ้าเธอเลือกมัน เธอรักมันไม่ได้รักฉันอีกแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ฉันจะเป็นคนไปเอง” คนที่เพิ่งโดนตะบันหน้าจนลงไปกองที่พื้นเอ่ยถามพร้อมกับค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ส่วนผู้ชายที่ยื่นอยู่ข้างฉันก็ต่า
ร่างบางสั่นไหวนั่งน้ำตานองหน้าตัวโยกโยนด้วยกลัวเหลือเกินว่าเจ้าหน้าที่ด้านในจะเดินออกมาบอกว่าร่างที่เพิ่งเข้าไปได้ไร้ลมหายใจแล้ว และด้วยความคิดนั้นจึงทำให้ฉันได้แต่ภาวนาขอให้เขากลับมาอยู่กับฉันและลูกอีกครั้ง และครั้งนี้ฉันสัญญาว่าจะไม่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระอีกต่อไปแล้ว“ฮือออออ ~~ พี่ดีนกลับมาหาลูกกับลินให้ได้นะ ลินให้อภัยพี่แล้ว พี่ต้องมาฟังคำยกโทษของลินก่อนซิ” ฉันพร่ำพูดพร้อมกับมองไปยังปากทางห้องฉุกเฉิน ก่อนที่มือหนาของผู้ชายอีกคนที่ฉันเผลอลืมไปจะแตะลงมาเบา ๆ ยังบ่าฉันอย่างต้องการปลอบโยน“ไม่เป็นไรนะน้องลิน...คุณดีแลนถึงมือหมอแล้วนะ เขาต้องปลอดภัย” เสียงปลอบโยนที่ทุ้มละมุน แต่ระคนไปด้วยเสียงสั่นเครือ ทำให้ฉันที่กำลังร้องไห้จำต้องปาดน้ำตาทิ้งไปแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายอีกคนด้วยความรู้สึกผิดที่เต็มดวงตาสวย“พะ...พี่ราม...ฮึก...ลิน...ลินขะ...โทษนะคะ” ฉันมองเขาด้วยแววตาเศร้าสร้อยพร้อมกับเอ่ยปากขอโทษเขาออกไป ก่อนจะหลุบตาต่ำลงด้วยไม่กล้าเผชิญหน้าเขานานจากนั้นพี่รามที่ได้ลงมานั่งข้าง ๆ ฉัน เขาที่ไม่เคยจะทำให้ฉันลำบากใจหรือรู้สึกไม่สบายใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ก็ได้เอ่ยปากพูดกับฉันอย่างตรง
“เล่าต่อซิ...”“อ่ะ...พี่ดีน” (O//.//O)ใบหน้าสวยแดงฉานด้วยความตกใจทันทีที่รู้ว่าคนตรงหน้าตื่นมาฟังฉันตั้งนานแล้ว“ว่าไงเล่าต่อซิ...พี่กำลังฟังเพลินเลย” คนตัวโตที่ยังนอนอยู่บนเตียงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาตื่นขึ้นมาแล้วส่งยิ้มหวานมาให้ฉัน“อย่าเพิ่งพูดเยอะเลยค่ะ กินน้ำก่อนไหมคะ แล้วยังเจ็บแผลอยู่ไหม เดี๋ยวลินเรียกคุณหมอมาดูอาการให้นะคะ” ฉันพูดเสียงอ่อนโยนด้วยอารามดีใจที่ได้เห็นคนตรงหน้าฟื้นขึ้นมาส่วนคนตรงหน้าก็ได้แต่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่ฉันจะเอาน้ำให้เขากินแล้วกดเรียกพยาบาลเพื่อให้มาดูอาการ และหลังจากที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ฉันก็ได้มานั่งยังด้านข้างเขาอีกครั้ง“เป็นยังไงบ้างคะ คุณดีแลนยังเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า” ฉันทำเป็นนิ่งสงบกลับไปเรียกชื่อเขาเต็มยศ จนคนตัวโตขมวดคิ้วยู่ปากด้วยความไม่พอใจ“คุณดีแลนอะไรกันล่ะ ก่อนหน้านี้ยังเรียกพี่ดีนอยู่เลย” เขาแสร้งทำเป็นกระเง้ากระงอดใส่ฉัน จนฉันอดนึกหมั่นไส้ในท่าทีของเขาไม่ได้“ตอนไหนคะ ลินไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใส่คนเจ้าเล่ห์“ก็ตั้งแต่บอกว่าคิดถึงพี่มาตลอดไง” คนตัวโตจ้องมองด้วยแววตามาเลศนัย ก่อนที่ฉันจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจที
จากนั้นเมื่อฉันจัดการให้คุณดีนกินอาหารเช้าจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ฉันจะเช็ดตัวให้เขา และเมื่อผู้ช่วยพยาบาลได้เข้ามาถึง ในขณะที่พวกเขากำลังปรับเตียงยกคนป่วยให้ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะได้ทำความสะอาดได้สะดวก สร้อยคอที่เขาเคยหยิบให้ฉันดูก่อนหน้านี้ก็พลันตกลงมาให้ฉันเห็นเต็มตา ก่อนที่ฉันจะนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่เขาหยิบขึ้นมาหมายจะให้ฉันแต่เขาดันสลบไปก่อน“อ่ะ...สร้อย แต่เอ๊ะ! เมื่อวานตอนเย็บแผลไม่ได้ถอดออกไปเหรอคะ” ฉันเกิดอาการสงสัย ก่อนจะหันไปหาคำตอบจากพยาบาลที่ยื่นด้านข้างและด้วยอากัปกิริยาของพยาบาลสาวที่แสดงออกมาว่ารู้สึกอึดอัดที่จะพูด ก็ทำให้ฉันต้องพูดเบิกทางออกไป“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญพูดได้เลย” ฉันส่งยิ้มละมุนไปให้เพื่อให้คนที่เล่าได้มั่นใจ“ความจริงก็ต้องถอดออกนั่นแหละค่ะเพื่อความสะอาดและเพื่อความสะดวกต่อการรักษา เพียงแต่ว่าทางคุณดีแลนท่านไม่ยอมให้ถอดออกค่ะ ถึงขั้นที่ขนาดตัวเองสลบอยู่แท้ ๆ แต่พอพยาบาลเอื้อมมือไปจับสร้อยเตรียมจะถอดออกจู่ ๆ ท่านดีแลนก็เบิกตาโพล่งกว้างแล้วคว้าหมับไปที่ข้อแขนของพยาบาลสาวคนนั้นทันที พร้อมกับเอ่ยปากสั่งไว้ว่าห้ามถอด และตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้พยาบาล
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ
หลายปีผ่านไป ~~“ฮึก...ฮึก...พี่แดนไม่ไปไม่ได้เหรอลูก ฮือออออ ~~ พี่ดีน ลินไม่อยากให้ลูกไปเลย”ฉันร้องไห้หลังจากวันนี้เป็นวันที่ฉันต้องส่งลูกให้ไปอยู่กับพ่อสามีที่เป็นชีคอยู่ที่ประเทศประเทศหนึ่งของแถบตะวันออกกลาง แต่ทว่า...ลูกชายของฉันนอกจากจะไม่ฟังคำทัดทานของฉันแล้วยังดูท่าว่าอยากจะไปเสียเต็มที“แม่ครับอย่าร้องไห้ซิ ถ้าแม่คิดถึงก็บินไปพี่แดนได้นี่น่าเดี๋ยวพี่แดนให้ท่านปู่ส่งเครื่องบินส่วนตัวมารับ หรือเอาไว้ถ้าพี่แดนฝึกขับเครื่องบินเก่งแล้วเมื่อไรเดี๋ยวเอาไว้พี่แดนบินกลับมาหาดีไหมครับ” ลูกชายตัวน้อยที่บัดนี้เติบโตเริ่มเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่มแถมรูปร่างยังสูงมากกว่าฉันโอบกอดปลอบฉัน จนกลายเป็นฉันที่ซุกหน้าเข้ากับอกลูกเหมือนเด็กน้อยแทน“ฮืออออ ~~ แต่แม่ไม่อยากให้ลูกไปเลยนี่ครับ” ฉันยังกอดลูกชายแน่นโดยที่ด้านหลังของเขาได้มีร่างของผู้ชายที่เป็นพ่อสามีฉันมายืนรอรับลูกชายของฉันไป“พี่แดนก็ยังอยู่กับแม่เสมอนะครับ” ลูกชายตัวน้อยที่เคยจ้ำม่ำใช้มือที่ใหญ่ขึ้นปาดน้ำตาของฉันพร้อมกับส่งยิ้มหวานที่เหมือนกับพ่อและปู่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน“ไม่ต้องห่วงนะ เรารับรองได้เลยว่าเราจะดูแลแดเนียลให้ดีที่สุด” ท่า
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ~~ฉันได้รับอนุญาตจากพี่น้ำค้างให้กลับบ้านได้แล้ว และทันทีที่ถึงบ้านฉันที่มัวแต่เป็นห่วงลูกในท้องจนเพิ่งจะมานึกออกถึงเรื่องของแม่ตัวเอง“พี่ดีนค่ะ...” ฉันเรียกชื่อผู้เป็นสามีเบา ๆ ก่อนจะเสหน้าหลบเล็กน้อยด้วยความลังเลที่เกิดขึ้นว่าควรจะถามออกไปดีไหม เนื่องจากกลัวว่าเขาอาจจะยังโกรธเคืองแม่ของฉันอยู่“ว่าไงครับ...ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือว่ายังรู้สึกเจ็บที่ท้องอยู่ให้พี่พาไปโรงพยาบาลเอาไหม” ส่วนพี่ดีนที่ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลเขาดูแลฉันไม่ห่างกาย แม้ว่าจะได้รับคำยืนยันจากปากหมออย่างพี่น้ำค้างแล้วว่าทั้งฉันและลูกปลอดภัยดี แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเขายังมีความกังวลอยู่“ปะ...เปล่าค่ะ ลินไม่เจ็บแล้วค่ะ” ฉันรีบปฏิเสธออกไป ก่อนจะทำท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆแต่ทว่า...เขาที่มักจะรู้ใจฉันดีว่าฉันคิดอะไรและกังวลใจเรื่องอะไรอยู่ ก็ได้พูดออกมาก่อน“จะถามเรื่องแม่ของลินใช่ไหม” เขาเอ่ยปากด้วยสีหน้าเหมือนกับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไร และนั่นก็ทำให้ฉันพยักหน้ารับออกไปทันที“พี่จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาจะไม่มายุ่งกับลินและลูกอีก” คนตัวโตพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกร้อนรน“พะ...พี่ดีนทำ
“ไม่มีเหรอ...ชิ...ดูสภาพแกตอนนี้จะมาบอกว่าไม่มีเงินใครหน้าไหนมันจะไปเชื่อ ผัวแกทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเขารวยแค่ไหน ทำไม...คนเป็นแม่อย่างฉันจะมาขอค่าน้ำนมหน่อยไม่ได้หรือไง...ห๊ะ!! ยัยลิน!!” แม่ฉันระเบิดอารมณ์ออกมาพร้อมกับตรงเข้ามาบีบแขนฉันแน่น“มันไม่เกี่ยวกับเขาเลยนะคะ เขาจะรวยมันก็เงินเขาหามา” ฉันที่ทนให้แม่บีบแขนอยู่อย่างนั้นแม้ว่ามันจะเจ็บมากก็ตาม แต่ทว่า...มันไม่ได้เจ็บไปมากกว่าที่หัวใจฉันเจ็บตอนนี้เลยและในจังหวะเดียวกันนั้นเอง พี่ริกที่วิ่งมาทางพวกเราพร้อมกับกระซิบอะไรบางอย่างกับคุณดีน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจเท่ากับผู้หญิงตรงหน้า“เกี่ยวซิ...ทำไมจะไม่เกี่ยวฉันเป็นแม่ของแก เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของแก แต่แกไม่คิดจะตามหาฉันมาร่วมงานแต่งงานของแกเลยสักนิด...เหอะ...ปล่อยให้ฉันต้องทนลำบากอยู่ได้ตั้งนาน” แม่ฉันพูดพลางมองบริษัทของคุณดีนไปทั่วด้วยแววตามีความหมายส่วนฉันที่แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันดีใจมากแค่ไหนในแวบแรกที่ได้เจอแม่ แต่พอได้มาเห็นพฤติกรรมของท่านที่ไม่เหลือเค้าคนเป็นแม่ที่ฉันเคยรู้จัก มันก็ทำให้ฉันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าฉันไม่ควรขุดความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เคยมีต่อตัวท่