รวิชานั่งใจเต้นโครมครามระหว่างที่มองคู่หมั้นหนุ่มกำลังจดปลายปากกาเซ็นชื่อของเขาลงไป ดูเขาไม่มีทีท่าลังเลเลยสักนิดตอนเจ้าหน้าที่จากเขตยื่นเอกสารมาให้ตรงหน้า สายตาของเขามองแต่ตำแหน่งที่ตัวเองจะต้องเซ็นชื่อเท่านั้น ส่วนรายละเอียดอื่นเขาเพียงแค่กวาดตามองผ่าน ๆ เสร็จแล้วก็เลื่อนกระดาษแผ่นนั้นส่งมาตรงหน้าเธอพร้อมกับวางปากกาไว้ให้พร้อมสรรพ
หญิงสาวเผลอตัวเอามือบีบหัวเข่าของตัวเองไปมาเพื่อบรรเทาอาการตื่นเต้น หันไปหา “ว่าที่สามีตามกฎหมาย” แล้วก็อดสะเทิ้นอายไม่ได้ แม้เขาจะแค่ส่งยิ้มให้กำลังใจ แต่เธอรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นช่างดูวิบวับในหัวใจชอบกล
รวิชาหยิบปากกาด้ามสีดำขอบทองของเขาขึ้นมาอย่างช้า ๆ รู้ว่าตัวเองกำลังมือสั่น เมื่อคืนก่อนนอนเธอฝึกเซ็นชื่อลงกระดาษเปล่าตั้งสามสี่แผ่นกว่าจะได้ลายเซ็นที่สวยถูกใจ เพราะปกติแล้วเธอไม่เคยมีลายเซ็นสวย ๆ แบบคนอื่นสักที เวลาเซ็นชื่อจึงแค่เขียนบรรจงธรรมดาเหมือนเด็กสาวทั่วไป แต่เพราะการเซ็นเอกสารครั้งนี้มันมีความพิเศษ เธอจึงอยากเซ็น “แบบผู้ใหญ่” เป็นครั้งแรกคู่กันกับลายเซ็นของเขา
รวิชาตวัดลายเซ็นที่ฝึกเข
ร่างเปลือยเปล่าของชายหญิงคู่หนึ่งกำลังสะท้านไหวจนกายสั่นระริก เสียงกรีดร้อง และเสียงครวญครางดังสอดประสานกันหลังจากที่จับจูงมือกันไขว่คว้าดวงดาว ณ จุดสูงสุดแห่งห้วงกามาชายหนุ่มพลิกกายลงนอนอีกฝั่งพลางถอดเครื่องป้องกันออกจากอาวุธประจำกาย แล้วโยนทิ้งไปบนพรมพื้นห้องอย่างไม่ไยดี ในขณะที่หญิงสาวยังคงนอนหงายเปิดเผยเนื้อตัวเปล่าเปลือยโดยไม่คิดคว้าอะไรมาปกปิดบดบังผิวขาวเนียนละเอียดของตนกลวิชรเอื้อมมือไปคว้าซองบุหรี่ และไฟแช็คจากโต๊ะข้างเตียงแล้วจุดสูบตรงนั้น ควันสีขาวอมเทาลอยละล่องตลบฟุ้งอยู่ทั่วห้องในเวลาไม่นาน เพราะเขาตั้งหน้าตั้งตาอัดนิโคตินเข้าปอดโดยไม่สนใจหญิงสาวที่กำลังนอนตะแคงมองอยู่ สีหน้าผ่อนคลายด้วยความสุขสมเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นเครียดขึ้งตามเดิม“พี่วิชรจะให้เนยไปจริง ๆ หรือคะ” ใบหน้าสวยงอง้ำเมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอต้องไปทำให้กลวิชร“อีกแค่ครั้งเดียวเองน่า...ก็เขาขอมาอย่างนั้น พี่สัญญาว่าถ้าขอเงินพ่อได้เมื่อไรพี่จะรีบเอาไปให้พวกมัน เนยจะได้ไม่ต้องทำอย่างนี้อีก นะครับคนสวย”กลวิชรหันไปพูดกับหญิงสาวที่เพิ่
“ไอ้วิชร เมื่อไรแกจะเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที อีกเทอมเดียวก็จะจบอยู่แล้ว แกจะทำตัวให้มันดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือยังไง พ่อมีแกคนเดียวนะ แต่แกกลับไม่เป็นโล้เป็นพาย แล้วพ่อจะฝากผีฝากไข้อะไรกับแกได้ เฮ้อ...”“คุณพ่อครับ จะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา ถ้าเรียกผมมาเพื่อจะบ่นแค่นี้ ผมจะได้กลับ ก็ไหนว่ามีเรื่องบ้านนู้นจะปรึกษาไง” ชายหนุ่มหันข้างแล้วเอนตัวลงนอนราบกับโซฟาตัวยาว ขาทั้งสองข้างยกขึ้นมาพาดไว้กับพนักโซฟาอีกฝั่ง“พ่ออยากให้แกจัดการรวบหัวรวบหางยายหนูอายเสีย ตอนนี้เด็กนั่นมันเหลือตัวคนเดียวแล้วยังไงก็ทางสะดวก บริษัทของเรากำลังย่ำแย่ ถ้าไม่ได้เงินมาโปะมีหวังคงเจ๊งไม่เป็นท่า”“คุณพ่อพูดเหมือนง่ายเลยนะ อยู่มหาวิทยาลัยยายอายก็มีเพื่อนคอยประกบตลอดเวลา กลับบ้านก็มีไอ้เจ้าพ่อซุสมาคอยรับกลับ เข้าถึงยากจะตาย แล้วไม่ต้องบอกให้ผมบุกไปหาที่บ้านเลยนะ ผมไม่อยากถูกซ้อมปางตายเหมือนตอนนั้นอีก”กลวิชรมองไม่เห็นทางไหนที่จะเข้าถึงตัวรวิชาได้เลย ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเต็มที่เขาก็ได้แค่นั่งคุยยืนคุยตอนบังเอิญเดินเจอกันเท่านั้นเอง แต่ถ้าหมายถึงเ
“เดินไปที่รถคันสีดำนั่น แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างใน เร็วเข้า!”สุนิตาพูดกำกับอยู่ทางด้านหลังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย รวิชาตวัดตามองตามที่สุนิตาบอก จึงเห็นมีรถญี่ปุ่นสีดำติดฟิล์มดำทั้งคันจอดอยู่ริมทางเท้าไม่ห่างไปเท่าไรนัก และตอนนี้รถคันนั้นก็กำลังสตาร์ตเครื่องอยู่ นั่นก็แปลว่ามันคงจอดอยู่ตรงนี้พักใหญ่แล้วรวิชาเอื้อมไปเปิดประตูรถอย่างเชื่องช้าเพราะต้องการถ่วงเวลาให้อารดาลงมาเจอ ทว่าคนยืนประกบหลังคงรู้ทัน เจ้าตัวกดบางสิ่งเข้าตรงบั้นเอวเธอแรงกว่าเดิม พร้อมกระซิบด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า“คุณหนูอายขา อย่าคิดถ่วงเวลาเลยนะจ๊ะคุณเพื่อน รีบไปกันเถอะนะ”รวิชาจำต้องยอมแทรกตัวเข้าไปในรถคันสีดำนั้นอย่างจนใจโดยมีสุนิตาเบียดตามเข้ามาติด ๆ เมื่อครู่ก่อนเธอเข้ามาในรถยังทันเห็นอารดาวิ่งออกจากตึก และหันมาทางนี้พอดี ในใจได้แต่ภาวนาให้เพื่อนเห็น และรีบบอกกับภีมพล รวิชามั่นใจว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องมาช่วยเธอทันเวลาแน่นอนทันทีที่รถเคลื่อนตัวออกจากจุดนั้น รวิชาก็พยายามเพ่งมองคนขับที่สวมแว่นกันแดดอันใหญ่ เขาใส่หมวกและหน้ากากอนามัยปิดหน้าปิดตา แต่ท่า
“ทำไมอุ้ยถึงคิดว่าจะมีเรื่องไม่ดีล่ะ เมื่อก่อนเนยก็เคยเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันไม่ใช่หรือ” เตชินทร์ออกปากถามอย่างสนใจใคร่รู้ อารดาหันมองเขาอย่างชั่งใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังดีหรือไม่ แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้เขาฟังอย่างหมดเปลือก ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องที่ภีมพลจ้างเธอให้คอยตามประกบรวิชา“เฮ้ย!” เตชินทร์เผลออุทานเมื่อเห็นรถคันที่กำลังขับตามกันอยู่เลี้ยวเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง“มีอะไรคะพี่ชินทร์” ได้ยินเขาอุทานอารดาก็พลอยตื่นเต้นตามไปด้วย เธอ เห็นชายหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะเร่งเครื่องเข้าไปใกล้รถคันนั้นให้มากที่สุด“รถคันนั้นกำลังพาน้องอายเข้าม่านรูด” เตชินทร์พูดเสียงเรียบ สีหน้ามีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด“อุ้ยรีบโทร. หาลูกน้องคุณภีมอีกทีหนึ่งเร็วเข้า บอกว่าตอนนี้เราอยู่ที่โรงแรมม่านรูดเจซีอินน์โมเต็ล ให้รีบมาให้เร็วที่สุดเพราะพี่ไม่รู้ว่าข้างในห้องนั้นจะมีคนอยู่กี่คน” ชายหนุ่มพูดเสียงเครียด กิตติศัพท์ของสุนิตานั้นเขาก็รับรู้มาบ้างว่าหล่อนมีเบื้องหลังอย่างไ
“เป็นต่อ นายจัดการทางนี้ให้ฉันด้วย ลากคอมันส่งตำรวจทั้งคู่นั่นแหละ...เธอหาเรื่องเองนะ คราวก่อนฉันไม่สั่งสอนเธอเพราะเห็นว่าอย่างน้อยครั้งหนึ่งเธอก็เคยเป็นเพื่อนกับอาย แต่คราวนี้อย่าหวังเลยว่าจะได้มีที่ยืนในสังคมต่อไปได้อีก”ชายหนุ่มตวาดใส่สุนิตาที่ยืนหน้าซีดตัวสั่น ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง สาบานได้ว่าต้องมีสภาพไม่ต่างจากกลวิชรแน่นอนภีมพลตรงไปอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกของรวิชาขึ้นมาแนบอกโดยมีเสื้อสูทของเขาคลุมร่างเธอไว้ จากนั้นตะโกนบอกลูกน้องอีกคนที่ยืนอยู่หน้าห้องให้เตรียมรถมาจอดใกล้ ๆ ก่อนหันไปทางเตชินทร์“ขอบคุณมากนะน้อง มากับอุ้ยใช่ไหม”“ครับ ผมเป็นแฟนอุ้ย รีบพาน้องอายไปดีกว่าครับ เพราะรู้สึกข้างนอกคนจะเริ่มออกมาดูกันแล้วว่ามีเรื่องมีราวอะไรกัน”เตชินทร์ตีขลุมเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับอารดา แล้วรีบบอกให้ภีมพลพารวิชาออกไปจากที่นี่ เพราะเขาได้ยินเสียงคนพูดคุยกันจากภายนอกแล้วภีมพลออกไปด้านนอกก็เจอกับอารดาที่เปิดม่านออกมาจากห้องข้าง ๆ พอดี หญิงสาวรีบปรี่ไปหา แล้วถามหน้าตาตื่นเมื่อเห็นเพื่อนรักสลบไสลอยู่ในอ
ภีมพลคำรามเสียงต่ำ นึกอยากย้อนกลับไปกระทืบไอ้เลวนั้นซ้ำให้ตายคาเท้า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยโกรธใครจนถึงขนาดอยากฆ่าให้ตายมาก่อนเลย จนวันนี้ที่ทำให้เขาได้เข้าใจความหมายของคำว่าบันดาลโทสะว่ามันเป็นอย่างไรหลังจากหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างเกือบเปลือยให้รวิชาแล้ว ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร. หาลูกน้องอีกคนหนึ่งเพื่อให้จัดการบางอย่างทันที ในเมื่อเขาใจดีแล้วทำให้พวกนั้นเหลิงจนได้ใจ คราวนี้พวกมันจะได้รู้จักเขาในคราบของซาตานร้ายดูบ้าง“ชุม นายเตรียมเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนายบุญทรงเอาไว้ ให้ทางฝ่ายกฎหมายเขาดูด้วยว่าหนี้สินรวมทั้งดอกเบี้ยทั้งหมดเป็นเท่าไร และในสัญญาระบุว่าเราสามารถยึดอะไรของมันมาได้บ้าง ห้ามมีการลดหย่อนผ่อนผันใด ๆ ทั้งสิ้น อะไรที่ยึดมาได้ให้ยึดมาทั้งหมด ทำเดี๋ยวนี้เลย”วางหูเสร็จเขาก็เดินมานั่งริมเตียง เอื้อมมือไปลูบหน้ารวิชาแผ่วเบาพร้อมกับเรียกชื่อเธอไปด้วย แต่ก็ไร้วี่แววว่าคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงจะได้สติขึ้นมาภีมพลเดินเข้าไปในห้องน้ำและกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กที่ชุบน้ำมาจนชุ่ม เขาใช้ผ้าขนหนูซับเบา ๆ ทั่วใบหน้าของหญิงสาว หวังใ
หลายวันต่อมา ภีมพลยืนดูแบบแปลนและโครงสร้างของโรงงานที่ทีมสถาปนิกเคยนำเสนอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาเห็นว่าปลอดภัยและรัดกุมกว่าโครงสร้างของโรงงานแบบเดิม จึงได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเขาต้องมาดูแลการก่อสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเองเนื่องจากอาคารหลังเดิมเสียหายจากไฟไหม้มากจนไม่คุ้มหากจะซ่อมแซมใหม่ ตอนนี้ห้องเก็บกลิ่นตัวอย่างจึงต้องอาศัยตู้คอนเทนเนอร์ใช้เป็นออฟฟิศชั่วคราวแทนไปก่อน ส่วนโรงคัดแยกวัตถุดิบก็ใช้พื้นที่ส่วนของลานจอดรถทำไปพลาง ๆ ซึ่งภีมพลได้ว่าจ้างให้ช่างประปาต่อวาล์วน้ำเพิ่มเติมในจุดนี้รวมทั้งทำอ่างสำหรับล้าง และก่อโครงมีหลังคาทำเป็นโรงคัดแยกแบบง่าย ๆ ระหว่างที่รอการก่อสร้างของจริงจะแล้วเสร็จหลังจากที่ดูการก่อสร้างส่วนต่าง ๆ จนพอใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปยังอาคารอีกหลังซึ่งเป็นในส่วนของออฟฟิศ และเป็นอาคารที่แยกออกมาจากโรงงาน โชคดีที่อาคารหลังนี้ไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย มิเช่นนั้นบริษัทอาจจะต้องหยุดชะงักลงไปเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่ภีมพลกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทร.
ชายหนุ่มนั่งเท้าแขนอยู่บนโต๊ะพลางมองใบหน้าเนียนใสที่เริ่มมีสีระเรื่ออย่างเอ็นดูแกมมันเขี้ยว เพราะประโยคนั้นของเธอ ทำเอาเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้นทั้งที่ใกล้สอบเต็มทีอารดาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาวิบวับของชายหนุ่ม ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเมื่อครู่เขาคงได้ยินทุกอย่างจากปากเธอไปหมดแล้ว“อุ้ย...อุ้ยครับ เงยหน้าขึ้นมองพี่หน่อยสิ”เตชินทร์ก้มหน้าเอียงคอลงเพื่อที่จะได้มองหน้าสาวน้อยให้เต็มตา ครั้นพอเธอเงยหน้าขึ้นมา เรียวปากของชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างจนตายิบหยี“พี่อยากจะบอกอุ้ยว่าครอบครัวของพี่ไม่ได้เป็นอย่างที่อุ้ยกังวลหรอกนะ อากงอาม่าของพี่สมัยที่มาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ก็เป็นลูกจ้างเข็นของอยู่ในตลาด กว่าจะมีอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะน้ำพักน้ำแรงล้วน ๆ ครอบครัวของพี่ก็เลยไม่เคยดูถูกใครในเรื่องของฐานะ ท่านทั้งสองให้ความสำคัญกับค่าของคนมากกว่าค่าของเงิน”ชายหนุ่มหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่เขาเทใจให้ เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งและตั้งใจฟัง เขาจึงตัดสินใจพูดต่อ“ท่านไม่เคยห้ามหรือกีดกันพี่
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ
หลายเดือนผ่านไปเสียงถอนหายใจจากร่างเล็กที่กำลังเอนตัวนอนไปกับที่นั่งในศาลาไม้สักทำให้ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ต้องชะงักเท้าแล้วหันมองตามเสียงนั้น ภีมพลเดินไปหา คนที่นอนหลับตาจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า และไม่รู้ถึงการมาของเขา ชายหนุ่มยืนกอดอกพิงกับเสา มุมปากยกยิ้มอย่างเอ็นดู แววตาทอดอ่อนเมื่อมองไปยังหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้กับเธอกลิ่นน้ำหอมที่เคยคุ้นลอยเข้าจมูก อีกทั้งเริ่มรู้สึกว่าสะโพกกำลังโดนเบียดจากใครบางคน รวิชาลืมตาขึ้นมองแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จนเมื่อได้สบตากันหญิงสาวจึงส่งยิ้มเนือย ๆ ไปให้“เหนื่อยหรือ ถอนหายใจเสียงดังเชียว” ภีมพลเอื้อมมือปัดปอยผมให้อย่างอ่อนโยน รวิชาจึงยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วย้ายฝั่งไปเอนตัวลงนอนหนุนตักแข็ง ๆ ของเขาแทนอย่างออดอ้อน“ถ้าให้ตอบตรง ๆ ก็ใช่ค่ะ หลายเดือนมานี้เลิกเรียนมาก็ต้องมาศึกษางานของบริษัท นี่ยังดีนะที่น้องอายเคยเรียนรู้มาบ้างแล้วตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ยังอยู่ ต้องขอบคุณอาภีมค่ะที่ตอนนั้นสอนให้น้องอายได้คิดว่าเราควรจะต้องเริ่มศึกษาธุรกิจของครอบครัวเอา
ชายหนุ่มนั่งเท้าแขนอยู่บนโต๊ะพลางมองใบหน้าเนียนใสที่เริ่มมีสีระเรื่ออย่างเอ็นดูแกมมันเขี้ยว เพราะประโยคนั้นของเธอ ทำเอาเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้นทั้งที่ใกล้สอบเต็มทีอารดาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาวิบวับของชายหนุ่ม ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเมื่อครู่เขาคงได้ยินทุกอย่างจากปากเธอไปหมดแล้ว“อุ้ย...อุ้ยครับ เงยหน้าขึ้นมองพี่หน่อยสิ”เตชินทร์ก้มหน้าเอียงคอลงเพื่อที่จะได้มองหน้าสาวน้อยให้เต็มตา ครั้นพอเธอเงยหน้าขึ้นมา เรียวปากของชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างจนตายิบหยี“พี่อยากจะบอกอุ้ยว่าครอบครัวของพี่ไม่ได้เป็นอย่างที่อุ้ยกังวลหรอกนะ อากงอาม่าของพี่สมัยที่มาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ก็เป็นลูกจ้างเข็นของอยู่ในตลาด กว่าจะมีอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะน้ำพักน้ำแรงล้วน ๆ ครอบครัวของพี่ก็เลยไม่เคยดูถูกใครในเรื่องของฐานะ ท่านทั้งสองให้ความสำคัญกับค่าของคนมากกว่าค่าของเงิน”ชายหนุ่มหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่เขาเทใจให้ เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งและตั้งใจฟัง เขาจึงตัดสินใจพูดต่อ“ท่านไม่เคยห้ามหรือกีดกันพี่
หลายวันต่อมา ภีมพลยืนดูแบบแปลนและโครงสร้างของโรงงานที่ทีมสถาปนิกเคยนำเสนอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาเห็นว่าปลอดภัยและรัดกุมกว่าโครงสร้างของโรงงานแบบเดิม จึงได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเขาต้องมาดูแลการก่อสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเองเนื่องจากอาคารหลังเดิมเสียหายจากไฟไหม้มากจนไม่คุ้มหากจะซ่อมแซมใหม่ ตอนนี้ห้องเก็บกลิ่นตัวอย่างจึงต้องอาศัยตู้คอนเทนเนอร์ใช้เป็นออฟฟิศชั่วคราวแทนไปก่อน ส่วนโรงคัดแยกวัตถุดิบก็ใช้พื้นที่ส่วนของลานจอดรถทำไปพลาง ๆ ซึ่งภีมพลได้ว่าจ้างให้ช่างประปาต่อวาล์วน้ำเพิ่มเติมในจุดนี้รวมทั้งทำอ่างสำหรับล้าง และก่อโครงมีหลังคาทำเป็นโรงคัดแยกแบบง่าย ๆ ระหว่างที่รอการก่อสร้างของจริงจะแล้วเสร็จหลังจากที่ดูการก่อสร้างส่วนต่าง ๆ จนพอใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปยังอาคารอีกหลังซึ่งเป็นในส่วนของออฟฟิศ และเป็นอาคารที่แยกออกมาจากโรงงาน โชคดีที่อาคารหลังนี้ไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย มิเช่นนั้นบริษัทอาจจะต้องหยุดชะงักลงไปเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่ภีมพลกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทร.