ด้านคนที่ถูก “แปะมือ” ไว้ก็ได้แต่ตัวแข็งค้าง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเพราะเกรงว่าสาวเจ้าจะรู้ว่าเผลอทำอะไรลงไป แล้วจะพานอับอายจนเข้าหน้ากันไม่ติดอีก
รวิชาทำมือบอกเขาว่าจะไปนั่งเล่นที่โซฟา โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าโล่งอกของชายหนุ่ม เพราะเห็นเขากำลังคุยเรื่องงานกับปลายสายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดเครื่องดูเผื่อว่าสกลธีกับอารดาจะฝากข้อความไว้ ทว่าทันทีที่เปิดเครื่อง สัญญาณเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นทันทีจนเจ้าตัวผวา ยิ่งเห็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเธอก็ยิ่งไม่กล้ารับสาย ได้แต่ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่ภีมพลวางสายจากคู่สนทนาพอดี
“ให้อารับแทนไหม” เห็นสีหน้าของเธอ เขาก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็นสายจากไอ้พวกหื่นกามที่ติดต่อมาทางเฟซบุ๊กปลอม เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนที่โทร. มามันจะพูดว่าอย่างไรบ้าง
รวิชาพยักหน้าเร็ว ๆ พร้อมส่งโทรศัพท์ไปให้เขา ภีมพลกดรับสายทันทีเพราะเกรงว่าคนที่โทร. มาจะถอดใจวางไปก่อน ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแล้วรอฟัง
หญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความอยากรู้ว่าปลายสายพูด
วันต่อมา ภีมพลขับรถไปรับรวิชาที่มหาวิทยาลัย โดยไปก่อนเวลาเลิกเรียนเล็กน้อย ชายหนุ่มอยู่ในชุดลำลองเพราะไม่ได้เข้าออฟฟิศ ตั้งใจไว้ว่าจะพาคู่หมั้นสาวไปหาซื้อชุดสำหรับไปงานแต่งงานของพชรกับช่อมาลี เพราะเมื่อวานเขาลืมบอกว่างานแต่งงานจะจัดในคืนวันเสาร์ที่จะถึง ไม่รู้ว่าหญิงสาวจะมีโปรแกรมไปไหนกับบิดามารดาหรือเปล่าชายหนุ่มเดินเตร่อยู่แถวนั้นระหว่างรอรวิชา ก่อนหน้านี้เขาส่งข้อความไปบอกแล้วว่าจะมารับ เธอก็ตอบกลับว่าเลิกเรียนตอนบ่ายสองโมงสี่สิบห้า เขาดูเวลา ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสองโมงครึ่งเท่านั้น อีกสิบห้านาทีรวิชาก็จะเลิกเรียนแล้ว เขาจึงไม่ได้ไปไหนไกลจากตึกคณะเรียนของเธอ“คุณภีมคะ” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักเท้าอยู่กับที่แล้วหันไปมองเจ้าของเสียง เขาลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร“มารับอายหรือคะ”สุนิตาเดินยิ้มหวานเข้ามาใกล้พร้อมกับพนมมือไหว้อย่างชดช้อย และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ช้อนตามองเขาอย่างมีจริตจะก้าน“ใช่...แล้วนี่เธอไม่ขึ้นเรียนหรือไง”ชายหนุ่มตอบอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็หยิบโทรศ
จนมาแน่ใจว่าสุนิตาไม่น่าคบหาสมาคมด้วย เพราะพฤติกรรมของเจ้าตัวที่มีต่อคู่หมั้นของเธอ รวิชาสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าสุนิตาชอบพูดถึงภีมพลอยู่บ่อยครั้ง หนำซ้ำยังชอบมองเขาด้วยสายตาหวานเชื่อมราวกับเชิญชวน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบ รวิชาไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาแย่งเขาไปอย่างเด็ดขาด!ก่อนหน้านี้ ภีมพลส่งข้อความไปบอกว่ากำลังคุยอยู่กับสุนิตา และถ้าจะเดินมาหาก็อย่าเพิ่งแสดงตัว ให้เธอรอฟังอยู่เงียบ ๆ ก่อน จากนั้นเขาก็กดโทร. เข้าเครื่องเธอ รวิชาจึงได้ยินทุกประโยคที่สองคนนั้นคุยกัน“หมดเรื่องยุ่ง ๆ กันสักทีนะ”ภีมพลเดินเข้ามาโยกศีรษะของรวิชาเบา ๆ หญิงสาวหันมายิ้มให้ ก่อนจะบอกลาเพื่อนทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วเดินตามคู่หมั้นหนุ่มไปขึ้นรถที่จอดเอาไว้คิดแล้วก็โล่งใจไปอีกเปลาะที่หมดปัญหาเรื่องสุนิตาไปได้ ทีนี้ก็คงเหลือแต่เรื่องบรรดาผู้หญิงมากหน้าหลายตาของเขาที่วิคกี้ขยันส่งภาพมาให้เธอดู คู่หมั้นของเธอก็ช่างกระไร ทำไมถึงได้เป็นคน “ทั่วถึง” ขนาดนั้นก็ไม่รู้ ผู้หญิงที่ไหนเข้าหาก็ไม่เคยปฏิเสธ ไปยืนปล่อยให้พวกหล่อนทั้งกอดทั้งซบอยู่ได้ คิดแล้วก็น
ภีมพลผงกศีรษะรับคำ ก่อนหันไปพยักหน้ากับรวิชาให้เดินไปด้วยกันที่รถเมื่อเข้ามานั่งในรถ หญิงสาวก็เหลือบมองเขา เห็นชายหนุ่มนั่งเงียบไม่พูดไม่จาก็อดก้มมองตัวเองในคืนนี้ไม่ได้ เธอแต่งแบบนี้แล้วไม่สวยหรอกหรือ เขาถึงได้ไม่ออกปากชมสักคำในขณะเดียวกัน คนที่นั่งประจำอยู่หลังพวงมาลัยกลับรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เดรสที่สาวน้อยคู่หมั้นใส่วันนี้นั้น เพิ่งรู้ว่าเวลานั่งมันจะร่นขึ้นไปสูงจนเกือบถึงขาอ่อน ไหนจะหน้าอกหน้าใจที่อวบอิ่มดุนดันออกมาจากคอเสื้ออีก...ให้ตายสิ เด็กบ้าอะไรยิ่งโตยิ่งสวย ยิ่งโตยิ่งอึ๋ม!“อุ๊ย!”รวิชาอุทานเบา ๆ เมื่อโทรศัพท์มือถือหลุดมือกระเด็นไปตกอยู่แทบเท้าของเขา เพราะข้อศอกของเธอกับเขาชนกันพอดีตอนเธอเปิดกระเป๋าจะหยิบมันออกมา“เดี๋ยวอาหยิบให้จ๊ะ”ภีมพลบอกอย่างหวังดี แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าหวือเพราะเขากำลังขับรถอยู่ เกรงว่าจะเกิดอันตรายเข้าตอนก้มควานหาโทรศัพท์ให้เธอ“ไม่เป็นไรค่ะ อาภีมกำลังขับรถอยู่ มันอันตรายเดี๋ยวน้องอายหยิบเอง”ว่าแล้วหญิงสาวก็ค้อมตัวลงควานมือไปหาโทรศัพท์ใ
ยามมองผู้หญิงเหล่านั้น แม้พวกหล่อนจะยิ้มให้ แต่รวิชาระแวงไปหมดว่าคนพวกนี้ยิ้มเยาะอยู่หรือเปล่า แอบสมเพชเธออยู่ในใจไหม ความคิดด้านร้ายวิ่งวนอยู่ในหัวจนรวิชาชักสีหน้าบึ้งตึงไม่เก็บอารมณ์อีกต่อไป“น้องอายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เวียนหัวไหมที่อาพาเดินไปเดินมา หรือว่าปวดขา อาพาไปพักบนห้องข้างบนก่อนไหมแล้วตอนเขาเริ่มงานค่อยลงมาอีกที”ภีมพลถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของคนข้างกาย รวิชาพยักหน้า ตอบรับคำชวนของเขา เพราะยิ่งอยู่เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เวลาที่มีผู้หญิงมาก้อร่อก้อติกใส่เขาภีมพลจูงมือสาวน้อยพาเดินเข้าไปในตัวอาคาร จากนั้นจึงพาขึ้นบันไดไปชั้นสามที่เป็นห้องพักของเขา เมื่อขึ้นมาถึงจึงพาเธอไปนั่งบนเตียงและเขาก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ เพราะห้องนี้ไม่มีโซฟา“เบื่อหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างอาทร เห็นใจเธอไม่น้อยเพราะงานนี้เธอแทบไม่รู้จักใครนอกจากเขาและเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน เธอจึงไม่สามารถปลีกตัวไปนั่งที่ไหนได้ นอกจากเดินตามเขาต้อย ๆ ไปทั่วฮอลล์“ไม่เบื่อหรอกค่ะ” แม้ปากจะบอกอย่างนั้น แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับต
คิ้วของรวิชาขมวดมุ่น สงสัยว่าทำไมเธอต้องด่าเขาด้วย และภีมพลก็ไม่ให้เธอสงสัยนาน เขาบีบกระชับมือนุ่มก่อนตัดสินใจเปิดปากพูดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไปทั้งหมด“อาไม่เคยรังเกียจน้องอาย ตรงกันข้าม อาอยากทำอะไร ๆ อย่างที่คนอื่นเขาเอ่อ...อย่างที่คู่หมั้นคู่อื่นเขาทำกันนั่นแหละ แต่เรายังเด็ก อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ และอาก็สัญญาไว้กับพ่อของเราด้วยว่าจะไม่ทำอะไรเราจนกว่าเราจะเรียนจบ ทีนี้เข้าใจอาบ้างหรือยัง”รวิชาคิดตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ ถ้าไม่เพราะคำถามสุดท้ายที่เอ่ยถามออกมา ซึ่งทำเอาภีมพลถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“แล้วทำไมอาภีมต้องวิ่งหนีเข้าห้องน้ำด้วยล่ะคะ ที่ออฟฟิศอาภีมก็เข้าห้องน้ำ เมื่อกี้อาภีมก็วิ่งเข้าห้องน้ำอีก”“นี่จะให้อาพูดออกมาตรง ๆ ให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย ฮ่า ๆ”ภีมพลหัวเราะร่า คิดว่าถึงเวลาที่ควรเปิดอกคุยกันจริง ๆ แล้วกระมัง จะว่าไปแล้วรวิชาก็ไม่ใช่เด็กเล็กที่จะไม่รู้เรื่องเซ็กซ์ หรือความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย เพียงแต่สาวน้อยของเขายังอ่อนด้อยกับเรื่องพรรค์นี้ อีกทั้งย
งานแต่งงานของพชรกับช่อมาลีนั้นจัดว่าเป็นงานที่ไม่เหมือนงานแต่งงานสักเท่าไร เพราะเจ้าสาวก็ไม่ได้อยู่ในชุดเจ้าสาวฟูฟ่องอย่างที่ใคร ๆ เคยเห็นกัน รูปแบบของงานเหมือนการจัดปาร์ตี้งานวันเกิดเสียมากกว่า หนำซ้ำเจ้าสาวยังขึ้นไปร้องเพลง โดยมีเจ้าบ่าวเล่นกีตาร์ให้บนเวทีอีกด้วย ทำเอารวิชาถึงกับมองตาเคลิ้มตามประสาเด็กสาวช่างฝันยิ่งดึกงานก็ยิ่งคึกคักเพราะเริ่มเปิดฟลอร์ให้หนุ่มสาวได้ออกมาวาดลวดลายกัน โดยมีคู่หนุ่มสาวเปิดฟลอร์ก่อนเป็นคู่แรก ส่วนผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุส่วนมากก็มักกลับกันไปตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่มภีมพลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ห้าทุ่มนิด ๆ แล้ว เขาต้องพารวิชาไปส่งให้ถึงบ้านก่อนเที่ยงคืนตามที่รับปากกับแม่ของเธอไว้ ครั้นพอเหลือบมองคนข้างกายก็เห็นยังคงนั่งตาใส สนุกสนานกับบรรยากาศของงานอยู่ แม้ใจจะไม่อยากให้เธอกลับตอนนี้เพราะดูท่าทางเจ้าตัวยังอยากอยู่จนงานเลิก แต่เขาก็ต้องทำตามสัญญา“เรากลับบ้านกันดีกว่าไหม” พอเขาพูดจบ รวิชาก็หันมามองด้วยแววตาเว้าวอนพร้อมกับโอดเสียงอ่อย“ทำไมกลับเร็วนักล่ะคะ ยังไม่เที่ยงคืนเลยน้องอายยังไม่อยากกลับเลยค่ะอาภีม”
“แน่นอนสิยะ ไม่แซ่บจริงทำไม่ได้หรอกนะยะสีบรอนซ์ทองเนี่ย ก็วันนั้นที่ฉันไปนั่งเฝ้าหล่อนทำสีผม ฉันก็เลยนึกเฮี้ยนอยากทำสีนี้ขึ้นมาน่ะสิ วันต่อมาฉันก็เลยให้ช่างเขาจัดให้เสียเลย เป็นไงยะ ดูเลอค่ามากเลยใช่ไหมล่ะ อุ๊ยตายแล้ว! แกดูรุ่นพี่คนนั้นสิอาย แกหันเรดาห์ของแกไปที่สองนาฬิกาด่วน! ผู้ชายคนนั้นงานประณีตมากเลยเนอะแก” สกลธีพูดจ้อไม่หยุดก่อนจะหันไปสนใจชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้า ห่างออกไปประมาณสิบห้าเมตรรวิชามองตามทิศทางที่เพื่อนบอกแล้วก็ร้องอ๋อ“อ๋อ พี่ชินทร์ พี่ปีสามน่ะ คณะเดียวกับพวกเรานั่นแหละ”ชายหนุ่มคนนั้นคือเตชินทร์ คนที่เคยช่วยเธอไว้เมื่อครั้งที่ถูกกลวิชรก่อกวน“นี่หล่อนไปจี่กับเขาตั้งแต่เมื่อไรยะยายคุณหนูอาย” สกลธีหันขวับมาถามเพื่อนเสียงเขียว รวิชาเองก็ฟาดแขนของเพื่อนทีหนึ่งแต่ไม่แรงมากนัก ก่อนจะพูดแก้ใหม่ว่า“รู้จักมักจี่ พูดให้มันครบ ๆ หน่อยแกนี่... ก็พี่คนนี้ไงที่มาช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันโดนไอ้พี่วิชรมาก่อกวน”“อ๋อ คนนี้เองหรอกหรือ อุ๊ยตาย ถ้าฉันแกล้งเป็นลมตอนนี้เขาจะวิ่
“เพื่อนพี่ให้ไปหาที่ร้านกาแฟหน้ามอ ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วตอนหมดคาบบ่ายพี่จะแวะมาหาใหม่” ประโยคท้ายนั้นเหมือนจงใจพูดกับ อารดาโดยเฉพาะ เพราะชายหนุ่มหันไปทางเธอคนเดียว ก่อนจะลุกเดินออกไปคล้อยหลังเขาแล้ว อารดาถึงได้มองตามแผ่นหลังของคนที่ก้าวห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยสายตาละห้อย“ทีตอนนี้ล่ะมาทำตาละห้อยตามเขา อีตอนเขาอยู่ก็เอาแต่ก้มหน้างุด ๆ ทำยังกับว่าแค่มองเขาแล้วหล่อนจะป่องได้ยังงั้นแหละยายอุ้ยบ้า” สกลธีอดแขวะใส่เพื่อนสาวไม่ได้ที่ทำเล่นตัวไม่เข้าเรื่อง“เขาก็จีบแกมาราธอนดีเนอะ ตั้งแต่เทอมที่แล้วจนกระทั่งพี่เขาขึ้นปีสี่ ไม่คิดจะใจอ่อนบ้างหรืออุ้ย สงสารพี่เขาออก” รวิชาอดเห็นใจรุ่นพี่หนุ่มไม่ได้ เพราะเห็นเพื่อนสาวของตัวเองตั้งท่าแต่จะหนีเขาอย่างเดียว“เดี๋ยวเขาก็เบื่อไปเอง อีกหน่อยพี่ชินทร์ก็ต้องจบออกไป มีงานมีการทำ ได้พบเจอคนอีกเยอะแยะ เขาไม่มามัวสนใจคนอย่างฉันหรอก”อารดาพูดอย่างที่ใจคิด เธอไม่อยากเอาหัวใจไปพัวพันกับเขานัก เพราะความแตกต่างกันระหว่างเธอกับเขามันราวฟ้ากับดิน โดยเฉพาะเรื่
พชรพยักพเยิดไปทางศาลาที่กำลังมีพิธีสวดศพอยู่ แต่ละคนที่เขาเห็นเข้าไปพูดกับน้องอายมีแต่ไต่ถามเรื่องพวกนี้ทั้งนั้น“มันก็จริงของแก”ภีมพลมองตามสายตาของเพื่อนแล้วก็นึกเป็นห่วงสาวน้อยของตนเหลือเกิน เธอเหมือนตัวคนเดียวในโลกใบนี้เลยก็ว่าได้ มีเพียงแม่นมชราเท่านั้นที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ ถ้าหากเขาไม่ได้หมั้นกับเธอ แล้ววันดีคืนดีเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ไม่อยากจะคิดเลยว่ารวิชาจะเคว้งคว้างขนาดไหน“จะทำอะไรก็รีบทำเข้า บอกตามตรงว่าเห็นสายตาของนายบุญทรงแล้วฉันไม่ค่อยไว้วางใจว่ะ ไม่รู้ว่าจะเสี้ยมให้ลูกชายกะโหลกกะลานั่นมาทำอะไรอีก”พชรรู้เรื่องราวของภีมพลทุกอย่าง เพราะเวลามีปัญหาทั้งสองคนก็มักจะช่วยกันขบคิดและหาทางแก้ไขด้วยกันเสมอ“อืม คืนนี้ฉันจะลองคุยกับน้องอายดู”ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพราะเท่าที่ดูปัญหาที่ดาหน้ากันเข้ามานั้นก็เกี่ยวพันกับข้อกฎหมายด้วยแทบทั้งสิ้น แต่เพราะรวิชายังไม่บรรลุนิติภาวะจึงยังจัดการอะไรด้วยตนเองไม่ได้ บรรดาริ้นไรจึงเข้ามารุมเกาะหญิงสาวกันอย่างหน้าไม่อาย แต่ตร
“หนูอาย มาหาป้ามาลูก” ภาวิณีเรียกให้หญิงสาวที่รั้งตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้เข้าไปหา รวิชาเดินเข่าเข้าไปใกล้ ๆ เมื่อถึงจุดที่เอื้อมมือถึง มารดาของภีมพลก็ตวัดแขนขึ้นโอบหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับพูดจาปลุกปลอบ“ป้าเสียใจด้วยนะลูกนะ คิดเสียว่าพ่อกับแม่ไปสบายแล้ว...ไม่ร้องนะลูก หนูยังมีพี่ภีมยังมีลุงกับป้าอยู่นะจ๊ะ” ปลอบคนตรงหน้าไป แต่คนพูดก็พานจะร้องไห้ตามไปด้วย “หนูไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะลูก หนูมาเป็นลูกสาวของป้าแล้ว เราคือครอบครัวเดียวกันนะลูกนะ”ภาวินียกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกุมใบหน้านั้นไว้ด้วยความเอ็นดูระคนสงสาร“หนูอายเรียกลุงกับป้าว่าพ่อกับแม่นะจ๊ะ แม่จะดีใจมากเลยถ้าหนูยอมเรียกอย่างนั้น ไหนลองเรียกสิลูก”“ค่ะ คุณแม่คุณพ่อ”เสียงสั่นเจือสะอื้นของรวิชายามเรียกบิดามารดาของเขานั้น ทำให้ภีมพลต้องคลี่ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ รู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์ของความเป็นครอบครัวไหลอาบไปทั่วทั้งใจดีใจที่บิดามารดาของเขารักและเอ็นดูรวิชาไม่ต่างจากลูกสาวคนหนึ่ง และด
หลังจากจอดรถแล้ว รวิชาก็เดินเข้าบ้านหลังใหญ่อย่างคุ้นเคยพร้อมกับเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มพาเธอไปยังห้องทำงานแล้วโอบบ่าให้นั่งลงบนโซฟาตัวยาว ก่อนเขาจะหย่อนกายนั่งลงตาม“อาภีมมีอะไรจะคุยกับน้องอายหรือเปล่าคะ”ดูจากสีหน้าและแววตาของภีมพล รวิชาก็รู้แล้วว่าเขามีเรื่องหนักใจบางอย่าง และเรื่องนั้นน่าจะเกี่ยวพันมาถึงเธอด้วยแน่นอน เพราะดูเขาลำบากใจตอนที่เธอเอ่ยปากถามภีมพลสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ถ่วงเวลาออกไปแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี การที่ต้องบอกข่าวร้ายกับใครนั้นถือเป็นเรื่องยากสำหรับเขา และมันยิ่งยากขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อใครที่ว่านั้นก็คือคนตรงหน้าเขานี่เอง“น้องอายครับ อามีข่าวจะบอก แต่ก่อนอื่นน้องอายต้องสัญญากับอาก่อนได้ไหมครับว่าน้องอายฟังแล้วต้องตั้งสติให้ดี รับปากอาได้ไหมครับ” สีหน้าและน้ำเสียงเคร่งเครียดนั้นทำเอาคนฟังเริ่มใจไม่ดี แต่ก็พยักหน้ารับปากเขา“คือว่า...ประมาณช่วงเที่ยงที่โรงงานของน้องอายเกิดไฟไหม้...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อ รวิชาก็เบิกตากว้างแล้วถามหน้าตื่นทันที“หา! ไฟไหม้ แล้วมีใครเป็นอะไ
“เพื่อนพี่ให้ไปหาที่ร้านกาแฟหน้ามอ ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วตอนหมดคาบบ่ายพี่จะแวะมาหาใหม่” ประโยคท้ายนั้นเหมือนจงใจพูดกับ อารดาโดยเฉพาะ เพราะชายหนุ่มหันไปทางเธอคนเดียว ก่อนจะลุกเดินออกไปคล้อยหลังเขาแล้ว อารดาถึงได้มองตามแผ่นหลังของคนที่ก้าวห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยสายตาละห้อย“ทีตอนนี้ล่ะมาทำตาละห้อยตามเขา อีตอนเขาอยู่ก็เอาแต่ก้มหน้างุด ๆ ทำยังกับว่าแค่มองเขาแล้วหล่อนจะป่องได้ยังงั้นแหละยายอุ้ยบ้า” สกลธีอดแขวะใส่เพื่อนสาวไม่ได้ที่ทำเล่นตัวไม่เข้าเรื่อง“เขาก็จีบแกมาราธอนดีเนอะ ตั้งแต่เทอมที่แล้วจนกระทั่งพี่เขาขึ้นปีสี่ ไม่คิดจะใจอ่อนบ้างหรืออุ้ย สงสารพี่เขาออก” รวิชาอดเห็นใจรุ่นพี่หนุ่มไม่ได้ เพราะเห็นเพื่อนสาวของตัวเองตั้งท่าแต่จะหนีเขาอย่างเดียว“เดี๋ยวเขาก็เบื่อไปเอง อีกหน่อยพี่ชินทร์ก็ต้องจบออกไป มีงานมีการทำ ได้พบเจอคนอีกเยอะแยะ เขาไม่มามัวสนใจคนอย่างฉันหรอก”อารดาพูดอย่างที่ใจคิด เธอไม่อยากเอาหัวใจไปพัวพันกับเขานัก เพราะความแตกต่างกันระหว่างเธอกับเขามันราวฟ้ากับดิน โดยเฉพาะเรื่
“แน่นอนสิยะ ไม่แซ่บจริงทำไม่ได้หรอกนะยะสีบรอนซ์ทองเนี่ย ก็วันนั้นที่ฉันไปนั่งเฝ้าหล่อนทำสีผม ฉันก็เลยนึกเฮี้ยนอยากทำสีนี้ขึ้นมาน่ะสิ วันต่อมาฉันก็เลยให้ช่างเขาจัดให้เสียเลย เป็นไงยะ ดูเลอค่ามากเลยใช่ไหมล่ะ อุ๊ยตายแล้ว! แกดูรุ่นพี่คนนั้นสิอาย แกหันเรดาห์ของแกไปที่สองนาฬิกาด่วน! ผู้ชายคนนั้นงานประณีตมากเลยเนอะแก” สกลธีพูดจ้อไม่หยุดก่อนจะหันไปสนใจชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้า ห่างออกไปประมาณสิบห้าเมตรรวิชามองตามทิศทางที่เพื่อนบอกแล้วก็ร้องอ๋อ“อ๋อ พี่ชินทร์ พี่ปีสามน่ะ คณะเดียวกับพวกเรานั่นแหละ”ชายหนุ่มคนนั้นคือเตชินทร์ คนที่เคยช่วยเธอไว้เมื่อครั้งที่ถูกกลวิชรก่อกวน“นี่หล่อนไปจี่กับเขาตั้งแต่เมื่อไรยะยายคุณหนูอาย” สกลธีหันขวับมาถามเพื่อนเสียงเขียว รวิชาเองก็ฟาดแขนของเพื่อนทีหนึ่งแต่ไม่แรงมากนัก ก่อนจะพูดแก้ใหม่ว่า“รู้จักมักจี่ พูดให้มันครบ ๆ หน่อยแกนี่... ก็พี่คนนี้ไงที่มาช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันโดนไอ้พี่วิชรมาก่อกวน”“อ๋อ คนนี้เองหรอกหรือ อุ๊ยตาย ถ้าฉันแกล้งเป็นลมตอนนี้เขาจะวิ่
งานแต่งงานของพชรกับช่อมาลีนั้นจัดว่าเป็นงานที่ไม่เหมือนงานแต่งงานสักเท่าไร เพราะเจ้าสาวก็ไม่ได้อยู่ในชุดเจ้าสาวฟูฟ่องอย่างที่ใคร ๆ เคยเห็นกัน รูปแบบของงานเหมือนการจัดปาร์ตี้งานวันเกิดเสียมากกว่า หนำซ้ำเจ้าสาวยังขึ้นไปร้องเพลง โดยมีเจ้าบ่าวเล่นกีตาร์ให้บนเวทีอีกด้วย ทำเอารวิชาถึงกับมองตาเคลิ้มตามประสาเด็กสาวช่างฝันยิ่งดึกงานก็ยิ่งคึกคักเพราะเริ่มเปิดฟลอร์ให้หนุ่มสาวได้ออกมาวาดลวดลายกัน โดยมีคู่หนุ่มสาวเปิดฟลอร์ก่อนเป็นคู่แรก ส่วนผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุส่วนมากก็มักกลับกันไปตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่มภีมพลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ห้าทุ่มนิด ๆ แล้ว เขาต้องพารวิชาไปส่งให้ถึงบ้านก่อนเที่ยงคืนตามที่รับปากกับแม่ของเธอไว้ ครั้นพอเหลือบมองคนข้างกายก็เห็นยังคงนั่งตาใส สนุกสนานกับบรรยากาศของงานอยู่ แม้ใจจะไม่อยากให้เธอกลับตอนนี้เพราะดูท่าทางเจ้าตัวยังอยากอยู่จนงานเลิก แต่เขาก็ต้องทำตามสัญญา“เรากลับบ้านกันดีกว่าไหม” พอเขาพูดจบ รวิชาก็หันมามองด้วยแววตาเว้าวอนพร้อมกับโอดเสียงอ่อย“ทำไมกลับเร็วนักล่ะคะ ยังไม่เที่ยงคืนเลยน้องอายยังไม่อยากกลับเลยค่ะอาภีม”
คิ้วของรวิชาขมวดมุ่น สงสัยว่าทำไมเธอต้องด่าเขาด้วย และภีมพลก็ไม่ให้เธอสงสัยนาน เขาบีบกระชับมือนุ่มก่อนตัดสินใจเปิดปากพูดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไปทั้งหมด“อาไม่เคยรังเกียจน้องอาย ตรงกันข้าม อาอยากทำอะไร ๆ อย่างที่คนอื่นเขาเอ่อ...อย่างที่คู่หมั้นคู่อื่นเขาทำกันนั่นแหละ แต่เรายังเด็ก อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ และอาก็สัญญาไว้กับพ่อของเราด้วยว่าจะไม่ทำอะไรเราจนกว่าเราจะเรียนจบ ทีนี้เข้าใจอาบ้างหรือยัง”รวิชาคิดตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ ถ้าไม่เพราะคำถามสุดท้ายที่เอ่ยถามออกมา ซึ่งทำเอาภีมพลถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“แล้วทำไมอาภีมต้องวิ่งหนีเข้าห้องน้ำด้วยล่ะคะ ที่ออฟฟิศอาภีมก็เข้าห้องน้ำ เมื่อกี้อาภีมก็วิ่งเข้าห้องน้ำอีก”“นี่จะให้อาพูดออกมาตรง ๆ ให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย ฮ่า ๆ”ภีมพลหัวเราะร่า คิดว่าถึงเวลาที่ควรเปิดอกคุยกันจริง ๆ แล้วกระมัง จะว่าไปแล้วรวิชาก็ไม่ใช่เด็กเล็กที่จะไม่รู้เรื่องเซ็กซ์ หรือความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย เพียงแต่สาวน้อยของเขายังอ่อนด้อยกับเรื่องพรรค์นี้ อีกทั้งย
ยามมองผู้หญิงเหล่านั้น แม้พวกหล่อนจะยิ้มให้ แต่รวิชาระแวงไปหมดว่าคนพวกนี้ยิ้มเยาะอยู่หรือเปล่า แอบสมเพชเธออยู่ในใจไหม ความคิดด้านร้ายวิ่งวนอยู่ในหัวจนรวิชาชักสีหน้าบึ้งตึงไม่เก็บอารมณ์อีกต่อไป“น้องอายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เวียนหัวไหมที่อาพาเดินไปเดินมา หรือว่าปวดขา อาพาไปพักบนห้องข้างบนก่อนไหมแล้วตอนเขาเริ่มงานค่อยลงมาอีกที”ภีมพลถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของคนข้างกาย รวิชาพยักหน้า ตอบรับคำชวนของเขา เพราะยิ่งอยู่เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เวลาที่มีผู้หญิงมาก้อร่อก้อติกใส่เขาภีมพลจูงมือสาวน้อยพาเดินเข้าไปในตัวอาคาร จากนั้นจึงพาขึ้นบันไดไปชั้นสามที่เป็นห้องพักของเขา เมื่อขึ้นมาถึงจึงพาเธอไปนั่งบนเตียงและเขาก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ เพราะห้องนี้ไม่มีโซฟา“เบื่อหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างอาทร เห็นใจเธอไม่น้อยเพราะงานนี้เธอแทบไม่รู้จักใครนอกจากเขาและเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน เธอจึงไม่สามารถปลีกตัวไปนั่งที่ไหนได้ นอกจากเดินตามเขาต้อย ๆ ไปทั่วฮอลล์“ไม่เบื่อหรอกค่ะ” แม้ปากจะบอกอย่างนั้น แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับต
ภีมพลผงกศีรษะรับคำ ก่อนหันไปพยักหน้ากับรวิชาให้เดินไปด้วยกันที่รถเมื่อเข้ามานั่งในรถ หญิงสาวก็เหลือบมองเขา เห็นชายหนุ่มนั่งเงียบไม่พูดไม่จาก็อดก้มมองตัวเองในคืนนี้ไม่ได้ เธอแต่งแบบนี้แล้วไม่สวยหรอกหรือ เขาถึงได้ไม่ออกปากชมสักคำในขณะเดียวกัน คนที่นั่งประจำอยู่หลังพวงมาลัยกลับรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เดรสที่สาวน้อยคู่หมั้นใส่วันนี้นั้น เพิ่งรู้ว่าเวลานั่งมันจะร่นขึ้นไปสูงจนเกือบถึงขาอ่อน ไหนจะหน้าอกหน้าใจที่อวบอิ่มดุนดันออกมาจากคอเสื้ออีก...ให้ตายสิ เด็กบ้าอะไรยิ่งโตยิ่งสวย ยิ่งโตยิ่งอึ๋ม!“อุ๊ย!”รวิชาอุทานเบา ๆ เมื่อโทรศัพท์มือถือหลุดมือกระเด็นไปตกอยู่แทบเท้าของเขา เพราะข้อศอกของเธอกับเขาชนกันพอดีตอนเธอเปิดกระเป๋าจะหยิบมันออกมา“เดี๋ยวอาหยิบให้จ๊ะ”ภีมพลบอกอย่างหวังดี แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าหวือเพราะเขากำลังขับรถอยู่ เกรงว่าจะเกิดอันตรายเข้าตอนก้มควานหาโทรศัพท์ให้เธอ“ไม่เป็นไรค่ะ อาภีมกำลังขับรถอยู่ มันอันตรายเดี๋ยวน้องอายหยิบเอง”ว่าแล้วหญิงสาวก็ค้อมตัวลงควานมือไปหาโทรศัพท์ใ