ด้านคนที่ถูก “แปะมือ” ไว้ก็ได้แต่ตัวแข็งค้าง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเพราะเกรงว่าสาวเจ้าจะรู้ว่าเผลอทำอะไรลงไป แล้วจะพานอับอายจนเข้าหน้ากันไม่ติดอีก
รวิชาทำมือบอกเขาว่าจะไปนั่งเล่นที่โซฟา โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าโล่งอกของชายหนุ่ม เพราะเห็นเขากำลังคุยเรื่องงานกับปลายสายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดเครื่องดูเผื่อว่าสกลธีกับอารดาจะฝากข้อความไว้ ทว่าทันทีที่เปิดเครื่อง สัญญาณเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นทันทีจนเจ้าตัวผวา ยิ่งเห็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเธอก็ยิ่งไม่กล้ารับสาย ได้แต่ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่ภีมพลวางสายจากคู่สนทนาพอดี
“ให้อารับแทนไหม” เห็นสีหน้าของเธอ เขาก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็นสายจากไอ้พวกหื่นกามที่ติดต่อมาทางเฟซบุ๊กปลอม เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนที่โทร. มามันจะพูดว่าอย่างไรบ้าง
รวิชาพยักหน้าเร็ว ๆ พร้อมส่งโทรศัพท์ไปให้เขา ภีมพลกดรับสายทันทีเพราะเกรงว่าคนที่โทร. มาจะถอดใจวางไปก่อน ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแล้วรอฟัง
หญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความอยากรู้ว่าปลายสายพูด
วันต่อมา ภีมพลขับรถไปรับรวิชาที่มหาวิทยาลัย โดยไปก่อนเวลาเลิกเรียนเล็กน้อย ชายหนุ่มอยู่ในชุดลำลองเพราะไม่ได้เข้าออฟฟิศ ตั้งใจไว้ว่าจะพาคู่หมั้นสาวไปหาซื้อชุดสำหรับไปงานแต่งงานของพชรกับช่อมาลี เพราะเมื่อวานเขาลืมบอกว่างานแต่งงานจะจัดในคืนวันเสาร์ที่จะถึง ไม่รู้ว่าหญิงสาวจะมีโปรแกรมไปไหนกับบิดามารดาหรือเปล่าชายหนุ่มเดินเตร่อยู่แถวนั้นระหว่างรอรวิชา ก่อนหน้านี้เขาส่งข้อความไปบอกแล้วว่าจะมารับ เธอก็ตอบกลับว่าเลิกเรียนตอนบ่ายสองโมงสี่สิบห้า เขาดูเวลา ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสองโมงครึ่งเท่านั้น อีกสิบห้านาทีรวิชาก็จะเลิกเรียนแล้ว เขาจึงไม่ได้ไปไหนไกลจากตึกคณะเรียนของเธอ“คุณภีมคะ” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักเท้าอยู่กับที่แล้วหันไปมองเจ้าของเสียง เขาลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร“มารับอายหรือคะ”สุนิตาเดินยิ้มหวานเข้ามาใกล้พร้อมกับพนมมือไหว้อย่างชดช้อย และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ช้อนตามองเขาอย่างมีจริตจะก้าน“ใช่...แล้วนี่เธอไม่ขึ้นเรียนหรือไง”ชายหนุ่มตอบอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็หยิบโทรศ
จนมาแน่ใจว่าสุนิตาไม่น่าคบหาสมาคมด้วย เพราะพฤติกรรมของเจ้าตัวที่มีต่อคู่หมั้นของเธอ รวิชาสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าสุนิตาชอบพูดถึงภีมพลอยู่บ่อยครั้ง หนำซ้ำยังชอบมองเขาด้วยสายตาหวานเชื่อมราวกับเชิญชวน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบ รวิชาไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาแย่งเขาไปอย่างเด็ดขาด!ก่อนหน้านี้ ภีมพลส่งข้อความไปบอกว่ากำลังคุยอยู่กับสุนิตา และถ้าจะเดินมาหาก็อย่าเพิ่งแสดงตัว ให้เธอรอฟังอยู่เงียบ ๆ ก่อน จากนั้นเขาก็กดโทร. เข้าเครื่องเธอ รวิชาจึงได้ยินทุกประโยคที่สองคนนั้นคุยกัน“หมดเรื่องยุ่ง ๆ กันสักทีนะ”ภีมพลเดินเข้ามาโยกศีรษะของรวิชาเบา ๆ หญิงสาวหันมายิ้มให้ ก่อนจะบอกลาเพื่อนทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วเดินตามคู่หมั้นหนุ่มไปขึ้นรถที่จอดเอาไว้คิดแล้วก็โล่งใจไปอีกเปลาะที่หมดปัญหาเรื่องสุนิตาไปได้ ทีนี้ก็คงเหลือแต่เรื่องบรรดาผู้หญิงมากหน้าหลายตาของเขาที่วิคกี้ขยันส่งภาพมาให้เธอดู คู่หมั้นของเธอก็ช่างกระไร ทำไมถึงได้เป็นคน “ทั่วถึง” ขนาดนั้นก็ไม่รู้ ผู้หญิงที่ไหนเข้าหาก็ไม่เคยปฏิเสธ ไปยืนปล่อยให้พวกหล่อนทั้งกอดทั้งซบอยู่ได้ คิดแล้วก็น
ภีมพลผงกศีรษะรับคำ ก่อนหันไปพยักหน้ากับรวิชาให้เดินไปด้วยกันที่รถเมื่อเข้ามานั่งในรถ หญิงสาวก็เหลือบมองเขา เห็นชายหนุ่มนั่งเงียบไม่พูดไม่จาก็อดก้มมองตัวเองในคืนนี้ไม่ได้ เธอแต่งแบบนี้แล้วไม่สวยหรอกหรือ เขาถึงได้ไม่ออกปากชมสักคำในขณะเดียวกัน คนที่นั่งประจำอยู่หลังพวงมาลัยกลับรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เดรสที่สาวน้อยคู่หมั้นใส่วันนี้นั้น เพิ่งรู้ว่าเวลานั่งมันจะร่นขึ้นไปสูงจนเกือบถึงขาอ่อน ไหนจะหน้าอกหน้าใจที่อวบอิ่มดุนดันออกมาจากคอเสื้ออีก...ให้ตายสิ เด็กบ้าอะไรยิ่งโตยิ่งสวย ยิ่งโตยิ่งอึ๋ม!“อุ๊ย!”รวิชาอุทานเบา ๆ เมื่อโทรศัพท์มือถือหลุดมือกระเด็นไปตกอยู่แทบเท้าของเขา เพราะข้อศอกของเธอกับเขาชนกันพอดีตอนเธอเปิดกระเป๋าจะหยิบมันออกมา“เดี๋ยวอาหยิบให้จ๊ะ”ภีมพลบอกอย่างหวังดี แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าหวือเพราะเขากำลังขับรถอยู่ เกรงว่าจะเกิดอันตรายเข้าตอนก้มควานหาโทรศัพท์ให้เธอ“ไม่เป็นไรค่ะ อาภีมกำลังขับรถอยู่ มันอันตรายเดี๋ยวน้องอายหยิบเอง”ว่าแล้วหญิงสาวก็ค้อมตัวลงควานมือไปหาโทรศัพท์ใ
ยามมองผู้หญิงเหล่านั้น แม้พวกหล่อนจะยิ้มให้ แต่รวิชาระแวงไปหมดว่าคนพวกนี้ยิ้มเยาะอยู่หรือเปล่า แอบสมเพชเธออยู่ในใจไหม ความคิดด้านร้ายวิ่งวนอยู่ในหัวจนรวิชาชักสีหน้าบึ้งตึงไม่เก็บอารมณ์อีกต่อไป“น้องอายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เวียนหัวไหมที่อาพาเดินไปเดินมา หรือว่าปวดขา อาพาไปพักบนห้องข้างบนก่อนไหมแล้วตอนเขาเริ่มงานค่อยลงมาอีกที”ภีมพลถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของคนข้างกาย รวิชาพยักหน้า ตอบรับคำชวนของเขา เพราะยิ่งอยู่เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เวลาที่มีผู้หญิงมาก้อร่อก้อติกใส่เขาภีมพลจูงมือสาวน้อยพาเดินเข้าไปในตัวอาคาร จากนั้นจึงพาขึ้นบันไดไปชั้นสามที่เป็นห้องพักของเขา เมื่อขึ้นมาถึงจึงพาเธอไปนั่งบนเตียงและเขาก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ เพราะห้องนี้ไม่มีโซฟา“เบื่อหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างอาทร เห็นใจเธอไม่น้อยเพราะงานนี้เธอแทบไม่รู้จักใครนอกจากเขาและเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน เธอจึงไม่สามารถปลีกตัวไปนั่งที่ไหนได้ นอกจากเดินตามเขาต้อย ๆ ไปทั่วฮอลล์“ไม่เบื่อหรอกค่ะ” แม้ปากจะบอกอย่างนั้น แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับต
คิ้วของรวิชาขมวดมุ่น สงสัยว่าทำไมเธอต้องด่าเขาด้วย และภีมพลก็ไม่ให้เธอสงสัยนาน เขาบีบกระชับมือนุ่มก่อนตัดสินใจเปิดปากพูดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไปทั้งหมด“อาไม่เคยรังเกียจน้องอาย ตรงกันข้าม อาอยากทำอะไร ๆ อย่างที่คนอื่นเขาเอ่อ...อย่างที่คู่หมั้นคู่อื่นเขาทำกันนั่นแหละ แต่เรายังเด็ก อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ และอาก็สัญญาไว้กับพ่อของเราด้วยว่าจะไม่ทำอะไรเราจนกว่าเราจะเรียนจบ ทีนี้เข้าใจอาบ้างหรือยัง”รวิชาคิดตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ ถ้าไม่เพราะคำถามสุดท้ายที่เอ่ยถามออกมา ซึ่งทำเอาภีมพลถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“แล้วทำไมอาภีมต้องวิ่งหนีเข้าห้องน้ำด้วยล่ะคะ ที่ออฟฟิศอาภีมก็เข้าห้องน้ำ เมื่อกี้อาภีมก็วิ่งเข้าห้องน้ำอีก”“นี่จะให้อาพูดออกมาตรง ๆ ให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย ฮ่า ๆ”ภีมพลหัวเราะร่า คิดว่าถึงเวลาที่ควรเปิดอกคุยกันจริง ๆ แล้วกระมัง จะว่าไปแล้วรวิชาก็ไม่ใช่เด็กเล็กที่จะไม่รู้เรื่องเซ็กซ์ หรือความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย เพียงแต่สาวน้อยของเขายังอ่อนด้อยกับเรื่องพรรค์นี้ อีกทั้งย
งานแต่งงานของพชรกับช่อมาลีนั้นจัดว่าเป็นงานที่ไม่เหมือนงานแต่งงานสักเท่าไร เพราะเจ้าสาวก็ไม่ได้อยู่ในชุดเจ้าสาวฟูฟ่องอย่างที่ใคร ๆ เคยเห็นกัน รูปแบบของงานเหมือนการจัดปาร์ตี้งานวันเกิดเสียมากกว่า หนำซ้ำเจ้าสาวยังขึ้นไปร้องเพลง โดยมีเจ้าบ่าวเล่นกีตาร์ให้บนเวทีอีกด้วย ทำเอารวิชาถึงกับมองตาเคลิ้มตามประสาเด็กสาวช่างฝันยิ่งดึกงานก็ยิ่งคึกคักเพราะเริ่มเปิดฟลอร์ให้หนุ่มสาวได้ออกมาวาดลวดลายกัน โดยมีคู่หนุ่มสาวเปิดฟลอร์ก่อนเป็นคู่แรก ส่วนผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุส่วนมากก็มักกลับกันไปตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่มภีมพลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ห้าทุ่มนิด ๆ แล้ว เขาต้องพารวิชาไปส่งให้ถึงบ้านก่อนเที่ยงคืนตามที่รับปากกับแม่ของเธอไว้ ครั้นพอเหลือบมองคนข้างกายก็เห็นยังคงนั่งตาใส สนุกสนานกับบรรยากาศของงานอยู่ แม้ใจจะไม่อยากให้เธอกลับตอนนี้เพราะดูท่าทางเจ้าตัวยังอยากอยู่จนงานเลิก แต่เขาก็ต้องทำตามสัญญา“เรากลับบ้านกันดีกว่าไหม” พอเขาพูดจบ รวิชาก็หันมามองด้วยแววตาเว้าวอนพร้อมกับโอดเสียงอ่อย“ทำไมกลับเร็วนักล่ะคะ ยังไม่เที่ยงคืนเลยน้องอายยังไม่อยากกลับเลยค่ะอาภีม”
“แน่นอนสิยะ ไม่แซ่บจริงทำไม่ได้หรอกนะยะสีบรอนซ์ทองเนี่ย ก็วันนั้นที่ฉันไปนั่งเฝ้าหล่อนทำสีผม ฉันก็เลยนึกเฮี้ยนอยากทำสีนี้ขึ้นมาน่ะสิ วันต่อมาฉันก็เลยให้ช่างเขาจัดให้เสียเลย เป็นไงยะ ดูเลอค่ามากเลยใช่ไหมล่ะ อุ๊ยตายแล้ว! แกดูรุ่นพี่คนนั้นสิอาย แกหันเรดาห์ของแกไปที่สองนาฬิกาด่วน! ผู้ชายคนนั้นงานประณีตมากเลยเนอะแก” สกลธีพูดจ้อไม่หยุดก่อนจะหันไปสนใจชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้า ห่างออกไปประมาณสิบห้าเมตรรวิชามองตามทิศทางที่เพื่อนบอกแล้วก็ร้องอ๋อ“อ๋อ พี่ชินทร์ พี่ปีสามน่ะ คณะเดียวกับพวกเรานั่นแหละ”ชายหนุ่มคนนั้นคือเตชินทร์ คนที่เคยช่วยเธอไว้เมื่อครั้งที่ถูกกลวิชรก่อกวน“นี่หล่อนไปจี่กับเขาตั้งแต่เมื่อไรยะยายคุณหนูอาย” สกลธีหันขวับมาถามเพื่อนเสียงเขียว รวิชาเองก็ฟาดแขนของเพื่อนทีหนึ่งแต่ไม่แรงมากนัก ก่อนจะพูดแก้ใหม่ว่า“รู้จักมักจี่ พูดให้มันครบ ๆ หน่อยแกนี่... ก็พี่คนนี้ไงที่มาช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันโดนไอ้พี่วิชรมาก่อกวน”“อ๋อ คนนี้เองหรอกหรือ อุ๊ยตาย ถ้าฉันแกล้งเป็นลมตอนนี้เขาจะวิ่
“เพื่อนพี่ให้ไปหาที่ร้านกาแฟหน้ามอ ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วตอนหมดคาบบ่ายพี่จะแวะมาหาใหม่” ประโยคท้ายนั้นเหมือนจงใจพูดกับ อารดาโดยเฉพาะ เพราะชายหนุ่มหันไปทางเธอคนเดียว ก่อนจะลุกเดินออกไปคล้อยหลังเขาแล้ว อารดาถึงได้มองตามแผ่นหลังของคนที่ก้าวห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยสายตาละห้อย“ทีตอนนี้ล่ะมาทำตาละห้อยตามเขา อีตอนเขาอยู่ก็เอาแต่ก้มหน้างุด ๆ ทำยังกับว่าแค่มองเขาแล้วหล่อนจะป่องได้ยังงั้นแหละยายอุ้ยบ้า” สกลธีอดแขวะใส่เพื่อนสาวไม่ได้ที่ทำเล่นตัวไม่เข้าเรื่อง“เขาก็จีบแกมาราธอนดีเนอะ ตั้งแต่เทอมที่แล้วจนกระทั่งพี่เขาขึ้นปีสี่ ไม่คิดจะใจอ่อนบ้างหรืออุ้ย สงสารพี่เขาออก” รวิชาอดเห็นใจรุ่นพี่หนุ่มไม่ได้ เพราะเห็นเพื่อนสาวของตัวเองตั้งท่าแต่จะหนีเขาอย่างเดียว“เดี๋ยวเขาก็เบื่อไปเอง อีกหน่อยพี่ชินทร์ก็ต้องจบออกไป มีงานมีการทำ ได้พบเจอคนอีกเยอะแยะ เขาไม่มามัวสนใจคนอย่างฉันหรอก”อารดาพูดอย่างที่ใจคิด เธอไม่อยากเอาหัวใจไปพัวพันกับเขานัก เพราะความแตกต่างกันระหว่างเธอกับเขามันราวฟ้ากับดิน โดยเฉพาะเรื่
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ
หลายเดือนผ่านไปเสียงถอนหายใจจากร่างเล็กที่กำลังเอนตัวนอนไปกับที่นั่งในศาลาไม้สักทำให้ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ต้องชะงักเท้าแล้วหันมองตามเสียงนั้น ภีมพลเดินไปหา คนที่นอนหลับตาจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า และไม่รู้ถึงการมาของเขา ชายหนุ่มยืนกอดอกพิงกับเสา มุมปากยกยิ้มอย่างเอ็นดู แววตาทอดอ่อนเมื่อมองไปยังหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้กับเธอกลิ่นน้ำหอมที่เคยคุ้นลอยเข้าจมูก อีกทั้งเริ่มรู้สึกว่าสะโพกกำลังโดนเบียดจากใครบางคน รวิชาลืมตาขึ้นมองแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จนเมื่อได้สบตากันหญิงสาวจึงส่งยิ้มเนือย ๆ ไปให้“เหนื่อยหรือ ถอนหายใจเสียงดังเชียว” ภีมพลเอื้อมมือปัดปอยผมให้อย่างอ่อนโยน รวิชาจึงยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วย้ายฝั่งไปเอนตัวลงนอนหนุนตักแข็ง ๆ ของเขาแทนอย่างออดอ้อน“ถ้าให้ตอบตรง ๆ ก็ใช่ค่ะ หลายเดือนมานี้เลิกเรียนมาก็ต้องมาศึกษางานของบริษัท นี่ยังดีนะที่น้องอายเคยเรียนรู้มาบ้างแล้วตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ยังอยู่ ต้องขอบคุณอาภีมค่ะที่ตอนนั้นสอนให้น้องอายได้คิดว่าเราควรจะต้องเริ่มศึกษาธุรกิจของครอบครัวเอา
ชายหนุ่มนั่งเท้าแขนอยู่บนโต๊ะพลางมองใบหน้าเนียนใสที่เริ่มมีสีระเรื่ออย่างเอ็นดูแกมมันเขี้ยว เพราะประโยคนั้นของเธอ ทำเอาเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้นทั้งที่ใกล้สอบเต็มทีอารดาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาวิบวับของชายหนุ่ม ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเมื่อครู่เขาคงได้ยินทุกอย่างจากปากเธอไปหมดแล้ว“อุ้ย...อุ้ยครับ เงยหน้าขึ้นมองพี่หน่อยสิ”เตชินทร์ก้มหน้าเอียงคอลงเพื่อที่จะได้มองหน้าสาวน้อยให้เต็มตา ครั้นพอเธอเงยหน้าขึ้นมา เรียวปากของชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างจนตายิบหยี“พี่อยากจะบอกอุ้ยว่าครอบครัวของพี่ไม่ได้เป็นอย่างที่อุ้ยกังวลหรอกนะ อากงอาม่าของพี่สมัยที่มาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ก็เป็นลูกจ้างเข็นของอยู่ในตลาด กว่าจะมีอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะน้ำพักน้ำแรงล้วน ๆ ครอบครัวของพี่ก็เลยไม่เคยดูถูกใครในเรื่องของฐานะ ท่านทั้งสองให้ความสำคัญกับค่าของคนมากกว่าค่าของเงิน”ชายหนุ่มหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่เขาเทใจให้ เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งและตั้งใจฟัง เขาจึงตัดสินใจพูดต่อ“ท่านไม่เคยห้ามหรือกีดกันพี่
หลายวันต่อมา ภีมพลยืนดูแบบแปลนและโครงสร้างของโรงงานที่ทีมสถาปนิกเคยนำเสนอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาเห็นว่าปลอดภัยและรัดกุมกว่าโครงสร้างของโรงงานแบบเดิม จึงได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเขาต้องมาดูแลการก่อสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเองเนื่องจากอาคารหลังเดิมเสียหายจากไฟไหม้มากจนไม่คุ้มหากจะซ่อมแซมใหม่ ตอนนี้ห้องเก็บกลิ่นตัวอย่างจึงต้องอาศัยตู้คอนเทนเนอร์ใช้เป็นออฟฟิศชั่วคราวแทนไปก่อน ส่วนโรงคัดแยกวัตถุดิบก็ใช้พื้นที่ส่วนของลานจอดรถทำไปพลาง ๆ ซึ่งภีมพลได้ว่าจ้างให้ช่างประปาต่อวาล์วน้ำเพิ่มเติมในจุดนี้รวมทั้งทำอ่างสำหรับล้าง และก่อโครงมีหลังคาทำเป็นโรงคัดแยกแบบง่าย ๆ ระหว่างที่รอการก่อสร้างของจริงจะแล้วเสร็จหลังจากที่ดูการก่อสร้างส่วนต่าง ๆ จนพอใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปยังอาคารอีกหลังซึ่งเป็นในส่วนของออฟฟิศ และเป็นอาคารที่แยกออกมาจากโรงงาน โชคดีที่อาคารหลังนี้ไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย มิเช่นนั้นบริษัทอาจจะต้องหยุดชะงักลงไปเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่ภีมพลกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทร.