ถ้าอี้หรานรู้จักกับคนใหญ่คนโตจริง จะยังมาทำงานเป็นคนกวาดพื้นที่ศูนย์สุขาภิบาลอยู่ทำไม ไหนจะการทำงานพิเศษข้างนอกโดยการเป็นตัวประกอบที่แสนลำบากนั่นอีก?“ไม่… ไม่มีอะไรหรอก มันผ่านมานานแล้วน่ะ” หลิงอี้หรานพูดจาคลุมเครือ “แต่พี่ซู ฉันว่าฉันอาจจะไม่เหมาะกับการเป็นตัวประกอบแล้วล่ะ ครั้งหน้าฉันไม่ทำงานนี้แล้วนะ รบกวนฝากพี่ไปขอโทษคุณกวอหน่อยได้ไหมคะ ฉันว่าฉันจะออกแล้วน่ะ”สุดท้ายเรื่องที่เกิดขึ้นที่กองถ่ายเมื่อวาน มีคนเห็นเหตุการณ์เยอะมาก โลกวงการบันเทิงมันกลมมาก หลายคนเมื่อเงยหน้าขึ้นไปแล้วก็จะไม่มองต่ำลงมาอีก ถ้าเธอยังทำงานเป็นตัวประกอบต่อไปก็มีแต่จะอับอาย สู้ไม่ทำมันเลยจะดีกว่าเพียงแต่ว่าลู่ทางในการหาเงินจากงานพิเศษก็จะน้อยลงมา ทำให้เธอรู้สึกเศร้านิดหน่อย ทำได้เพียงคิดหาวิธีการอื่นเอา ดูว่าจะหาเงินเพิ่มอีกได้อย่างไรบ้าง“งี้นี่เอง” พี่ซูก็ดูออกเช่นกันว่าหลิงอี้หรานไม่ค่อยอยากจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเท่าไหร่ จึงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมต่อ แค่เอ่ยว่า “งั้นเดี๋ยวฉันจะบอกคุณกวอให้ทีหลังนะ แต่ทางที่ดีก่อนที่เธอจะลาออกก็ไปทักทายคุณกวอด้วยดีกว่านะ”“ได้ค่ะ” หลิงอี้หรานตอบรับในใจของเ
“นั่งก่อนสิ” หลิงกว๋อจื้อเอ่ยหลิงอี้หรานนั่งลงก่อนจะถามตรง ๆ “หลุมศพแม่จะย้ายไปที่ไหน?”“ไม่ต้องรีบ” หลิงกว๋อจื้อโบกมือไปมา “มาคุยเรื่องแกกับน้องสาวแกก่อนดีกว่า วันนี้พ่ออยากเป็นคนไกล่เกลี่ยให้พวกแกสองคน ไม่ว่าในอดีตจะเป็นยังไง สุดท้ายพวกแกก็เป็นพี่น้องกัน ในฐานะที่แกเป็นพี่สาว แกก็ต้องปกป้องน้องสาว”หลิงอี้หรานขมวดคิ้วเล็กน้อย “หนูอยากรู้แค่ว่าหลุมศพแม่จะย้ายไปที่ไหน?”หลิงกว๋อจื้อเริ่มไม่พอใจ “ฉันบอกแล้วว่าค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลัง คุยเรื่องแกกับน้องก่อน”“พี่ ถ้าฉันทำอะไรผิดไป พี่อย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ ฉันแค่อยากจะขอโทษ” หลิงลั่วอินเอ่ยด้วยท่าทางจริงใจแต่ในใจหลิงอี้หรานกลับระวังตัวอย่างเต็มที่ยิ่งหลิงลั่วอินมีท่าทีแบบนี้ ก็รู้ได้เลยทันทีเลยว่า ยิ่งต้องมีปัญหาแน่อย่างที่คิดไว้เลย คำพูดต่อมาของหลิงกว๋อจื้อทำให้หลิงอี้หรานเข้าใจเจตนาของหลิงลั่วอินทันทีว่าคืออะไร“เอาล่ะ สุดท้ายพวกแกสองคนก็เป็นพี่น้องกันอยู่ดี จะมาแตกหักกันเพราะผู้ชายเพียงคนเดียวไม่ได้” หลิงกว๋อจื้อเอ่ยกับพี่สาวคนโต “อี้หราน กู้ลี่เฉินเป็นแฟนของน้องสาวแกนะ แกจะมาทำลายงานแต่งของน้องสาวตัวเองไม่ได้ อีกอย่างไม่ใ
”เอาแต่พูดพล่ามถึงแม่ แต่ไม่เห็นความดีของน้องสาวแกเลยสักนิด เป็นลูกแสนดีของแม่แกจริง ๆ!” หลิงกว๋อจื้อเอ่ยด้วยความโกรธที่เปี่ยมล้น ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้อง ไม่นานก็หยิบอัลบั้มรูปภาพเล่มหนึ่งออกมาหลิงอี้หรานตกตะลึง นี่มัน…อัลบั้มรูปแม่ และมีรูปเธอกับแม่ที่ถ่ายด้วยกันมากมายในนั้น!เธอเห็นหลิงกว๋อจื้อหยิบไฟแช็กออกมา ก่อนจะจุดไฟเผาอัลบั้มรูปทันที “ในเมื่อแกไม่เห็นความดีของน้องสาวแกเลย ฉันว่าอัลบั้มนี่ก็ไม่จำเป็นต้องให้แกแล้วล่ะ แม่แกก็ไม่อยากมีลูกสาวแบบแกเหมือนกัน!”ไฟเริ่มลามไหม้ไปทั้งอัลบั้ม หลิงกว๋อจื้อได้โยนอัลบั้มที่ติดไฟเล่มนั้นลงบนพื้นกระเบื้องหลิงอี้หรานแทบจะกรีดร้องออกมา ก่อนจะดึงแขนเสื้อตัวเองทั้งสองข้างขึ้นและเอามือตบไปที่เปลวไฟอย่างสุดกำลังอย่าเผาเลยนะ ขอร้องล่ะ!นี่เป็นความทรงจำเดียวที่แม่มอบให้กับเธอ! เป็นความคิดถึงของเธอ จะให้โดนเผาไปแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!หลิงอี้หรานไม่รู้เลยว่าเธอกรีดร้องโดยไม่รู้ตัวไปนานมากแค่ไหนแล้ว เธอเพียงแค่ตบเปลวไฟด้วยมือทั้งสองข้างไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเปลวไฟนั้นจะไหม้มือเธอหรือเปล่า เธอแค่อยากจะดับเปลวไฟนั้นจนสุดชีวิตสภาพเธอตอนนี
ถ้าไฟเผาหน้าหลิงอี้หรานจนเสียโฉม เธอจะได้คลายกังวลใจลงหน่อย อย่างน้อยกู้ลี่เฉินก็คงไม่มองผู้หญิงที่หน้าเสียโฉมแบบนี้แน่น่าเสียดายจริง!……หลิงอี้หรานไม่รู้ว่าตัวเองลงมาชั้นล่างได้ไง เธอรู้เพียงแค่ว่าทุกก้าวของตัวเองราวกับว่าใช้กำลังทั้งหมดในร่างกายที่ตัวเองมีไปหมดแล้วมือที่กำลังกอดอัลบั้มไว้แน่นนั้นสั่นไม่หยุดด้วยความรู้สึกที่ล้นทะลักเธอในตอนนี้ไม่มีแม้แต่ความกล้าจะพลิกอัลบั้มขึ้นมาดูว่ารูปถ่ายข้างในโดนเผาไปมากแค่ไหนแล้วทุกอย่างในนี้เป็นความทรงจำของเธอ ความทรงจำของเธอและแม่!เมื่อเธอเดินโซซัดโซเซจนมาถึงประตูด้านหน้าชุมชน ก็มีร่างหนึ่งเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าเธออย่างรวดเร็วน้ำเสียงที่มีความวิตกกังวลและความเป็นห่วงเป็นใยดังขึ้นตรงด้านบนหัวของเธอ “เกิดอะไรขึ้น?”เธอรู้สึกแค่ว่าตัวเองตอนนี้ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยความมืดหม่น จากนั้นก็มีแขนคู่หนึ่งพยุงร่างที่สั่นเทาของเธอเอาไว้ใครน่ะ? ใครพยุงเธอไว้?หลิงอี้หรานเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาเธอเลยก็คือ ดวงตาคู่หนึ่งที่งดงามราวกับดอกท้อ สวยงามจนทำให้คนตกใจได้ และรูม่านตาดำที่เหมือนหินออบซิเดียน เป็นสีดำที่มีประกายด้านใน ดูม
หลิงอี้หรานไม่พูดอะไรเลย ยังคงตกอยู่ในความเงียบ ราวกับว่าเธอกำลังจมอยู่ในโลกของตัวเอง จนกระทั่งหมอจะหยิบอัลบั้มรูปภาพจากในมือเธอออกมา เธอจึงได้รู้สึกตัวและจับอัลบั้มรูปในมือไว้แน่น “ไม่นะ!”“ไม่ได้จะเอาไป แค่จะดูอาการบาดเจ็บบนมือพี่หน่อย” อี้จิ่นหลีเอ่ยด้วยเสียงเบา “พี่เอาอันนี้ให้ฉัน เดี๋ยวให้หมอตรวจดูอาการบาดเจ็บบนมือพี่ก่อน โอเคไหม?”เสียงที่เอ่ยออกมาว่าพี่สาว ทำให้สายตาเธอหันไปมองทางเขา “อา… จิน” เธอพึมพำออกมา“ฉันเอง” เขาตอบรับ “บอกฉันสิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”ริมฝีปากของเธอสั่นเทา และแล้วดวงตาของเธอก็รื้นไปด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอีกครั้ง “มันไหม้หมดแล้ว อัลบั้มที่ถ่ายกับแม่โดนเผาหมดแล้ว”เสียงของเธอสะอื้น และทุกครั้งที่ขนตาของเธอกะพริบดูเหมือนว่าน้ำตาจะยิ่งไหลออกมามากขึ้นกว่าเดิมอี้จิ่นหลีตกตะลึง หนังสือที่ดำไปครึ่งเล่มนี้… เป็นอัลบั้มของเธอกับแม่อย่างนั้นเหรอ?ช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันนั้น เขาก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าแม่ของเธอสำคัญกับเธอมากมายแค่ไหนแต่ตอนนี้ หมอก็ได้ถือโอกาสตรวจดูอาการบาดเจ็บที่มือของหลิงอี้หราน หลังจากที่ตรวจดูแล้วก็เริ่มรักษาแผลบริเวณที่โดนไฟค
จู่ ๆ จมูกของเธอก็แสบร้อน และน้ำตาที่เพิ่งแห้งไปก็ทะลักออกมาอีกรอบ “หากว่าอยากจะร้องไห้ ก็ร้องออกมาเถอะพี่สาว” ปลายนิ้วของเขาแตะที่ตาของเธอคำว่า “พี่สาว” นั้นเป็นเหมือนกุญแจที่เปิดความเจ็บปวดและเศร้าโศกทั้งหมดที่เธอเคยกักเก็บปิดกั้นเอาไว้ออกมาตอนนี้เธอเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว หลิงอี้หรานพูดว่า “อือ” และเริ่มร้องไห้โฮออกมานานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้ร้องไห้แบบนี้? นานแค่ไหนแล้วที่เธอรู้ว่าไม่ว่าจะร้องไห้ดังแค่ไหน ไม่ว่าจะหลั่งน้ำตามากเพียงใด ก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่เธอพึ่งได้มีเพียงตัวเองเท่านั้น และน้ำตาก็ไม่ใช่แค่น้ำตาเท่านั้นแต่เป็นของล้ำค่าแต่มาตอนนี้ เมื่อได้ยินเขาเรียกเธอว่า “พี่สาว” ทำให้เธอคิดถึงแม่ คิดถึงน้องชายตัวน้อยในท้องแม่ที่ไม่เคยได้เรียก “พี่สาว”หากว่าแม่และน้องชายของเธอไม่จากไปแต่แรก ตอนนี้เธอจะไม่ต้องเหงาและมีครอบครัวที่แท้จริงใช่ไหม?เสียงร้องไห้โฮของหลิงอี้หรานทำให้อี้จิ่นหลีตกใจ หากว่าเธอแค่เพียงกัดปากร้องไห้เงียบ ๆ เขาก็คงรู้สึกปวดใจ แต่พอตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าคงทำอย่างไร ไม่รู้จริง ๆเมื่อได้เห็นน้ำตาเธอไหลพราก ทั้งร่างของเขาก็แข็งทื่อ ราวกับว่าเลื
ฉินเหลียนอีอึ้งไป เธอไม่คาดคิดว่าจะมีเสียงผู้ชายมาจากอีกปลายสาย และเสียงนั้นก็ฟังดูเหมือน… “คุณ… อี้จิ่นหลีเหรอ?” เธอถามเสียงเขียว“ใช่” อีกฝ่ายตอบและวางสายไปทันทีฉินเหลียนอีจ้องโทรศัพท์ในมือ เธอต้องใช้เวลาพักหนึ่งถึงตระหนักว่าหลิงอี้หรานหลับ แต่… อี้จิ่นหลีเป็นคนรับโทรศัพท์นะ อี้จิ้นหลีไปอยู่ข้างกายเพื่อนเธอได้ยังไงกันตอนนี้?อีกอย่าง อี้หรานไม่ได้อยู่ที่ห้องเช่าแล้วเธอไปอยู่ที่ไหนกัน? สายตาของฉินเหลียนอีเลื่อนจากหน้าจอมือถือมาที่หน้าประตูที่ปิดอยู่ของห้องเช่า เป็นไปได้ไหมว่า… ตอนนี้เธอไปอยู่กับอี้จิ่นหลี?นี่มันเกินจริงไปไหม?ตอนนั้นอี้จิ่นหลีก็เก็บโทรศัพท์ของหลิงอี้หรานและค่อย ๆ อุ้มคนที่หลับใหลอยู่ออกมาจากรถเพราะกลัวว่าเธออาจจะเป็นหวัดได้หากเขาอุ้มเธอออกมาแบบนั้น เขาก็เลยถอดเสื้อโค้ดแล้วห่อร่างกายหญิงสาวไว้ตลอดทาง บรรดาคนรับใช้ที่ได้เห็นภาพดังกล่าวต่างก็ไม่อาจเก็บซ่อนแววตาประหลาดใจได้แม้พวกเขาจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่คุณหลิงมาอยู่ในตระกูลอี้ แต่… พวกเขาก็ไม่เคยเห็นนายน้อยอี้เป็นแบบนี้ เขาเคยปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างอ่อนโยนทะนุถนอมแบบนี้เมื่อไรกัน?เขาทำราวกับว่ากำลัง
ไม่นะ… ไม่เธอต้องการแม่ เธอต้องการน้องชายเธอกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง แต่พบว่าตัวเองส่งเสียงอะไรออกมาไม่ได้ตอนนั้นเองก็มีเสียงกระดิ่งดัง ราวกับว่าดึงเธอออกมาจากฝันร้าย…หลิงอี้หรานค่อยๆ ลืมตาขึ้น เพียงเพื่อที่จะได้ยินเสียงกระจ่างใส ดังเข้ามาในหูเธอ“เธอตื่นแล้วเหรอ?”ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏขึ้นในครรลองสายตาที่ยังพร่าเลือนของเธอ แววตาเปล่งประกายนั้นดูเหมือนจะมีความอ่อนโยนที่อธิบายไม่ได้“ก็…” เธอตอบเบลอ ๆ ยังคงไม่ตื่นดีมันราวกับว่าความฝันและความเป็นจริงมันพัวพันกัน ทำให้เธอไม่สามารถผ่อนคลายได้“งั้นก็รับโทรศัพท์สิ” เขาบอก แล้วยกโทรศัพท์มาแนบหูเธอหลิงอี้หรานฟังเสียงคุ้นเคยที่ออกมาตามสายอย่างเบลอ ๆ “อี้หรานเหรอ? อี้หรานเธอตื่นแล้วเหรอ?”หลิงอี้หรานตื่นเต้นและตื่นขึ้นมาทันที “เหลียนอี”“ใช่ แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? เธออยู่กับอี้จิ่นหลีเหรอ? ฉันโทรหาเธอเมื่อคืนและเขาก็รับโทรศัพท์ แถมตอนนี้พอฉันโทรมาเขาก็รับอีก”ฉินเหลียนอีนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะเมา ใครจะไปคิดว่าคนที่โทรหาตั้งสองครั้งจะเป็นอี้จิ่นหลีจริง ๆ“เมื่อคืนเธอโทรหาฉันเหรอ?” หลิงอี้หรานถามอย่างแปลกใจ“ใช่ เขาบอกว่าเธ
เสียงจัวเชียนอวิ๋นดังมาจากปลายสาย “นี่ การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดีนะ หมอบอกว่าเสี่ยวเหยียน หลังจากผ่านไปสองสามวันเสี่ยวเหยียนปรับตัวได้ เขาก็จะเริ่มการฝึกเรื่องของการแยกแยะเสียงแล้ว”“ดีมากเลยค่ะ” หลิงอี้หรานดีใจที่ได้ยิน “ถ้างั้นตอนบ่ายฉันจะแวะไปเยี่ยมเสี่ยวเหยียนนะคะ”จากนั้นหลิงอี้หรานก็ถามอีกครั้งถึงเลขห้องผู้ป่วยของเสี่ยวเหยียนในโรงพยาบาลก่อนจะวางสายไป“นี่เรื่องของเด็กที่หูหนวกนั่นเหรอ?” อี้จิ่นหลีมองหลิงอี้หรานก่อนถาม“การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดี ยังไงตอนบ่ายฉันก็มีเวลาว่าง ฉันเลยจะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล” หลิงอี้หรานบอก“ให้ฉันไปกับเธอแล้วกัน” อี้จิ่นหลีพูด“คุณจะไปกับฉันเหรอคะ?” หลิงอี้หรานเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ “แต่… คุณไม่มีงานต้องทำเหรอ?”“ฉันก็แค่บอกให้เลขาเลื่อนงานตอนบ่ายออกไป ยังไงก็ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วน” อี้จิ่นหลีพูดเรียบ ๆแต่หลิงอี้หรานรู้ดีว่าในบริษัทใหญ่แบบนี้ สำหรับคนเป็นประธานไม่มีอะไรที่ “เร่งด่วน” สำหรับเขา“ทำไม เธอไม่อยากให้ฉันไปด้วยเหรอ?” เขาถาม“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” พูดตามตรงการที่เขาเต็มใจจะไปเป็นเพื่อนเธอ ทำให้เธอประหลาดใจแต่ก็ร
และเพราะว่าเธอฟังเข้าใจ จู่ ๆ เธอก็ยิ่งรู้สึกอายสุดท้ายอี้จิ่นหลีก็ตอบว่า “เธอนั่นแหละ”“โอ้ จิน คุณเป็นอะไรกับเธอเหรอ? เป็นคนรักกันไหม?” คนต่างชาติมักจะชอบถามอะไรตรง ๆหากว่าเป็นพนักงานชาติเดียวกัน ไม่มีใครกล้าถามอี้จิ่นหลีตรง ๆ แบบนี้แน่จากนั้นหลิงอี้หรานก็ได้ยินอี้จิ่นหลีตอบเป็นภาษาอังกฤษ “เธอเป็นคนโปรดของฉัน”ฉับพลันหลิงอี้หรานก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเธอมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดไว้ แม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจก็เหมือนจะสะดุดหลังจากที่การประชุมทางวิดีโอจบลง อี้จิ่นหลีก็เดินเข้ามาหาเธอและถามว่า “เป็นอะไรไป? ทำไมหน้าแดงแบบนั้น?”“เปล่า…ไม่มีอะไรค่ะ” เธอรีบตอบแต่เขาก็เอามือมาจับหน้าเธอไว้แล้วพิจารณาหน้าแดงก่ำของเธอ “นี่เพราะว่าเรื่องที่พวกนั้นพูดเมื่อกี้เหรอ?”เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่เธอก็ใช้ความเงียบเป็นการยอมรับ“ไว้อนาคตมีโอกาส ฉันจะแนะนำเธอกับพวกเขา” เขาบอก“แนะนำเหรอคะ?” เธอร้องเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไม เธอไม่อยากเหรอ?”เอ่อ… เธออึ้งไป ตอนนั้นดวงตาสีดอกท้อคู่นั้นฉายแววบีบคั้น เหมือนว่าหากเธอตอบว่าไม่อยาก เธอก็คงเหมือนเป็นตัวจุดประกายให้ไฟโทสะเขาลุกท่วมเธอคิดอยู่พั
“แต่ถึงกู้ลี่เฉินอยากจะแย่งเธอไปจริง ๆ เขาก็ทำไม่ได้ใช่ไหม? เพราะว่าคนที่เธอชอบก็คือฉัน และคนที่เธอมีชะตาต้องตกหลุมรักในอนาคตก็คือฉันใช่ไหม?”เสียงของเขาพึมพำและลมหายใจอุ่นร้อนก็เป่ารดใบหน้า เมื่อพูดจบเขาก็จูบเธอที่ริมฝีปากเขาไม่มีทางยกเธอให้ใคร เธอจะเป็นของเขาเท่านั้น……ตอนที่หลิงอี้หรานตื่นขึ้นมาให้วันต่อมา อี้จิ่นหลีก็ไปทำงานแล้ว หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จเธอก็เตรียมอาหารกลางวันให้อี้จิ่นหลีที่คฤหาสน์อี้มีกล่องอาหารกลางวันและวัตถุดิบ และก็มีพ่อครัวอยู่ใกล้ ๆ เห็นชัดว่าพ่อครัวก็ได้รับคำสั่งมา หากว่าหลิงอี้หรานมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ พ่อครัวก็พร้อมช่วยถึงขนาดที่ว่าหลังจากทำกล่องอาหารกลางวันแล้ว หลิงอี้หรานรู้สึกว่าฝีมือของตัวเองนั้นพัฒนาสูงขึ้นเลยทีเดียวเธอนำกล่องอาหารมาที่อี้กรุ๊ป แต่เพราะว่าวันนี้คนขับรถของตระกูลอี้เป็นคนพาเธอมา ยามที่หน้าประตูก็ตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเธอลงมาจากรถแม้ว่าพนักงานหลายคนในบริษัทเริ่มที่จะลือกันว่าพนักงานส่งอาหารลึกลับคนนี้น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพนักงานคนนี้จะเปลี่ยนจากรถไฟฟ้าเล็ก ๆ มาเป็นรถส่วนตัวเร็วแบบนี้โดยเฉพาะรถ
ช่วงนี้เขามักจะมาค้างในห้องของเธอ นอนร่วมเตียงกับเธอ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้ทำอะไรกัน แต่มันก็เหมือนว่าการนอนร่วมเตียงเดียวกันนั้นกลายเป็นนิสัยไปโดยไม่รู้ตัวแล้วเพราะว่าเธอต้องเปิดไฟนอน เธอก็พูดเสียงอ่อนว่า “คุณจะชินกับการเปิดไฟนอนตลอดเวลาไปแล้ว ทำไมคุณไม่กลับไปนอนห้องคุณล่ะคะ”สุดท้ายเขาก็บอกว่า “ฉันอยากนอนกับเธอนี่ พี่สาว ถึงจะเปิดไฟไว้ก็ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นคำพูดที่เหลือของเธอจึงโดนกลืนกลับลงไป“เธอจะนอนแล้วเหรอ?” อี้จิ่นหลีถามขณะที่มองหลิงอี้หรานเดินไปที่เตียง“ใช่” หลิงอี้หรานพูดพร้อมหน้าแดงเรื่อหลิงอี้หรานเลิกผ้าห่มและเข้าไปนอนเตียง มือของอี้จิ่นหลีก็มาโอบรอบเอวเธอ เขากอดเธอแนบแน่นและฝังใบหน้าซุกกายเธอราวเก็บเด็กที่อยากจะออดอ้อนเขาดูราวกับเด็กเล็กน้อยซึ่งต่างไปจากท่าทางปกติของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางประการ หลิงอี้หรานรู้สึกว่าชอบอี้จิ่นหลีที่มีท่าทางเป็นเด็ก ๆ แบบนี้“ว่าแต่กู้ลี่เฉินหมายความว่าอะไรตอนที่คุยกับคุณวันนี้? พวกคุณทะเลาะกันเหรอ?”จู่ ๆ หลิงอี้หรานก็คิดขึ้นมาได้“ประโยคไหนล่ะ?” อี้จิ่นหลีถาม พลางรู้สึกว่าการกอดเธอมันชวนให้เสพติดมาก เมื่อเขากอดเธอแล้วก็ไม
“ฉันเข้าใจค่ะ ฉันจะไม่พูดอะไรกับเธอ” จัวเชียนอวิ๋นลังเลและบอกว่า “ถึงตอนนี้ฉันจะรู้ว่าเธอเป็นแฟนของคุณ ฉันไม่เคยบอกอะไรเธอมาตั้งแต่แรก และฉันก็ไม่คิดว่าจะบอกอะไร ไม่คิดจะหาประโยชน์จากเธอ แน่นอนว่าในอนาคตฉันก็ไม่คิดจะทำแบบนั้น ที่ตอนแรกฉันจ้างเธอก็เพราะว่าฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนกับฉัน เคยติดคุกมาก่อน และรู้สึกว่าเราลงเรือลำเดียวกัน ฉันก็เลยอยากให้โอกาสเธอได้ทำงาน”ความเย็นชาในตาของอี้จิ่นหลีหายไป “ผมไม่สนหรอกว่าระหว่างคุณกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร แต่ตราบใดที่เธอยังทำงานที่นี่กับคุณ เธอก็จะทำงานอย่างปลอดภัย หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ไม่ว่าจะอะไร คุณโทรหาผมได้ตลอด”เมื่อพูดจบ เขาก็เอาเบอร์มือถือให้จัวเชียนอวิ๋นจัวเชียนอวิ๋นรีบจดลงไป เธอเกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถมีเบอร์นี้ได้ในเมืองเสิ่น แต่ตอนนี้เธอได้มาภายใต้เงื่อนไขแต่ที่อี้จิ่นหลีบอกว่าเขาไม่สนว่าระหว่างเธอกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร ก็แปลว่าเขาคงไม่บอกเย่เหวินหมิงว่าเธออยู่ที่ไหน ซึ่งนี่ก็ทำให้จัวเชียนอวิ่นหายใจได้อย่างโล่งอกอี้จิ่นหลียังอยู่ในร้านและกินมื้อเย็นกับหลิงอี้หรานดังนัั้นเมื่อเลิกงาน เพื่อนร่วมงานทุกคนเลยได้รู
จัวเชียนอวิ๋นจำได้ว่าตอนที่เธอดึงหลิงอี้หรานมาถาม อีกฝ่ายก็ให้คำตอบที่ชัดเจนหนักแน่นกับเธอ“ก็พี่จัว คนที่ว่าก็คืออี้จิ่นหลีของอี้กรุ๊ป” โอเค ก็ถือว่าเป็นคำตอบแล้วกันจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางหัวเธอ ซึ่งทำให้เธอมึนไม่หายพนักงานส่งอาหารให้ร้านของเธอเป็นแฟนกับอี้จิ่นหลีจริงเหรอ? ถ้าบอกไปแล้วใครจะเชื่อ?โดยเฉพาะหลิงอี้หรานบอกว่ายังมีอาหารที่ต้องออกไปส่งอีก อี้จิ่นหลีก็บอกว่า “ถ้างั้นฉันจะรอเธอที่นี่ วันนี้ยังไงก็ว่าง”ดังนั้นคนหนึ่งก็ออกไปส่งอาหาร ส่วนอีกคนก็… เอ่อ อ่านหนังสือจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเธอประสบคลื่นลมโหมกระหน่ำ แต่ตอนนี้เธอสับสนมากทำไมอี้หรานถึงได้ยังมาทำงานที่ร้านของเธอหากว่ามีแฟนแบบนี้? แล้วอี้จิ่นหลีจริงจังกับอี้หรานเหรอ?แต่เมื่อมองเหตุการณ์ก่อนหน้าระหว่างทั้งสอง ก็ไม่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องหลอกลวง อย่างน้อยท่าทีของอี้จิ่นหลีที่มีต่ออี้หรานด้วยสายตาคนนอกอย่างเธอก็เห็นได้ว่าเขารักอี้หรานมากเมื่อเห็นว่าอี้จิ่นหลีกินกาแฟหมดแล้ว จัวเชียนอวิ๋นก็เดินเข้าไปหาและถามว่า “คุณอี้ ต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ?”“ขอน้ำให้ผมแก้วหนึ่งพอครับ” อี้จิ่นหลีบอกดังนั้น
หลิงอี้หรานอดหน้าแดงไม่ได้ เธอกัดปากเล็กน้อยและบอกกับจัวเชียนอวิ๋น “เขาเป็นแฟนฉันค่ะ”“แฟนเธอเหรอ?” จัวเชียนอวิ๋นตาเบิกกว้างทันที แม้เธอจะรู้สึกได้ว่าระหว่างทั้งสองคนมีบรรยากาศแปลก ๆ ขณะที่พูดคุยกันก็ตามแต่… แฟนเหรอ? อี้หรานมีแฟนเหรอ? แถมยังเป็นผู้ชายที่ดูลึกล้ำยากจะหยั่งถึงนี่คือสิ่งที่จัวเชียนอวิ๋นรู้สึก ตอนนั้นเองแม้ว่าชายคนนั้นจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าและดูไม่มีพิษภัย แต่เธอไม่คิดว่าชายคนนี้จะไร้พิษภัยจริง ๆ ตรงกันข้ามสัญชาตญาณบอกเธอว่าชายคนนี้อันตรายมากทั้งร่างของเขาแผ่กลิ่นอายของคนที่สูงส่งออกมา“ค่ะ แฟนฉัน” หลิงอี้หรานตอบ“สวัสดีค่ะ… ฉันเป็นเจ้าของร้านที่นี่ จัวเชียนอวิ๋น” จัวเชียนอวิ๋นแนะนำตัวเอง“สวัสดีครับ ผมอี้จิ่นหลี” อี้จิ่นหลีบอกสีหน้าจัวเชียนอวิ๋นตะลึงอีกครั้ง จากนั้นแววตาประหลาดใจของเธอก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆอี้จิ่นหลี… คงไม่ใช่… คงไม่ใช่คนที่เธอคิดหรอกนะ ตอนนี้จัวเชียนอวิ๋นรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาร้านของเธอมีกู้ลี่เฉินมา แล้วก็มีอี้จิ่นหลีมาอีก ผู้ชายทั้งสองคนต่างก็มาหาอี้หรานแล้ว… ตัวตนที่แท้จริงของเธอมันยังไงกันแน่? ใช่แบบที่เขียนในใบสมัครงานจริงเหรอ?ตอน
อี้จิ่นหลียังคงดื่มกาแฟในมือสบาย ๆ เหมือนกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับเวลาน้ำชา และเขาก็แค่มาพูดคุยเล่นกับกู้ลี่เฉินไม่ได้คุยเรื่องที่สามารถเขย่าเมืองเสิ่นให้สั่นสะเทือนได้กู้ลี่เฉินค่อย ๆ สงบความคุกรุ่นในแววตาลงและก็หยิบกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้งทั้งสองต่างก็ไม่มีบรรยากาศน่าตึงเครียดเหมือนก่อนหน้าแล้ว และตอนนี้ก็เหมือนเป็นการกินข้าวกันระหว่างเพื่อนเท่านั้นจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้านโดยเฉพาะลูกค้าสาว ๆ ต่างก็มองทั้งสองเป็นระยะ อย่างไรพวกเขาคนหนึ่งก็ดูเหมือนดารา ไม่ต้องนับพวกลูกค้าสาวหรอก ขนาดจัวเชียนอวิ๋นเองยังอยากหยิบมือถือมาถ่ายเลยตอนที่ลูกค้าสาวยกมือถือส่องไปทางอี้จิ่นหลีและกู้ลี่เฉิน ก่อนที่เธอจะทันได้กดปุ่มถ่ายรูปก็มีมือใหญ่มาขวางเอาไว้เขาก็คือบอดี้การ์ดของอี้จิ่นหลี เขาพูดกับลูกค้าสาวว่า “ท่านประธานไม่ชอบโดนถ่ายรูปครับ ถ้าคุณยืนกรานจะถ่ายให้ได้ ผมก็คงทำได้แค่ต้องเชิญคุณออกไป”ลูกค้าสาวอึ้งงันไป นี่มัน…ขู่กันเหรอ? แต่เมื่อเธอเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของบอดี้การ์ดและ… ร่างกายกำยำของเขา คำพูดที่เธอเตรียมจะเอ่ยประท้วงก็โดนกลืนกลับลงท้องไปจิตสำนึกบอก
นิ้วมือของกู้ลี่เฉินที่จับแก้วกาแฟอยู่บีบแน่นเล็กน้อย “แล้วถ้าฉันเสียใจล่ะ?” ตอนนั้นเขาประเมินน้ำหนักของหลิงอี้หรานที่มีในใจตัวเองต่ำไปเขาคิดว่าหลิงอี้หรานเหมือนคนที่เขาตามหา ดังนั้นเขาก็เลยสนใจเธอแค่นั้นแต่ต่อมาเขาก็พบว่ามันมากกว่านั้น เมื่อเขาเห็นคนอื่นทำร้ายเธอ ทำอันตรายเธอ เขาก็รู้สึกหัวใจบีบรัดและรีบเข้าไปช่วยโดยไม่รู้ตัวเหมือนว่าแค่เห็นเธอบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาใจสลายได้ และตอนที่เธอจะจากไป เขาก็คิดเรื่องเธอมาก เหมือนว่าเขาอยากให้เธอมองเขานานอีกหน่อยแค่เพียงนิดเดียวก็ยังดีนานแค่ไหนแล้วที่เขาสนใจผู้หญิงสักคนมากขนาดนี้? ยกเว้นเด็กผู้หญิงที่เคยช่วยเขาตอนนั้น เธอเป็นแค่คนเดียวเท่านั้นเขาถึงกับคิดว่า บางทีเขาไม่น่ายอมปล่อยเธอให้อี้จิ่นหลีง่ายเกินไปเลย หากว่าเธออยู่ข้างกายเขา จะทำให้เขาคิดถึงคนที่ตามหาอยู่น้อยลงไหม? แล้วจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการมาบ้างไหม?แววตาอี้จิ่นหลีมืดครึ้มทันที เขาจ้องกู้ลี่เฉินเย็นชา “นายไม่มีโอกาสแน่ และฉันก็จะไม่ให้นายมีโอกาสด้วย”“งั้นเหรอ?” กู้ลี่เฉินสบตาอีกฝ่าย “งั้นฉันคงต้องขอลองดูและดูว่าทำไมฉันถึงได้ไม่มีโอ