เดิมทีจ้าวจิ่นสือคิดว่าตนรู้สึกไปเอง แต่สองวันมานี้เขามั่นใจแล้วว่า หมอมู่หยางซัวพยายามกันไม่ให้เขาได้มีโอกาสเข้าใกล้ชิดมู่ฟางเหนียงเหมือนที่เคยเป็นมา แม้กระทั่งห้องนอนของนางก็อยู่ใกล้ห้องนอนของหมอมู่หยางซัว จากเดิมที่เคยแอบย่องไปหาได้ เขากลับเห็นท่านหมอเดินวนไปวนมาเหมือนรู้ว่าเขาจะไปหานาง จะไปไหนหรือทำอะไรคนผู้นั้นก็ไม่ให้ลูกสาวได้อยู่ห่างกายเลยสักนิด ทั้งที่นางก็อยู่ตรงหน้าเขา แต่กลับเหมือนห่างไกลหลายพันลี้ แม้มู่ฟางเหนียงจะได้รับการแนะนำตัวจากผู้เป็นบิดากับบรรดาแพทย์ทหารแล้วว่า ‘อาฟาง’ ที่ทุกคนรู้จักคือ ‘มู่ฟางเหนียง’ บุตรสาวเพียงคนเดียวของหมอเทวดาไร้เงา แต่กระนั้นนางก็ยังแต่งกายเป็นชายติดตามบิดารักษาคนเจ็บป่วยเช่นเดิม มีทั้งสายตาชื่นชมและริษยาจ้องมองนาง นางอายุยังน้อยแต่ความรู้ความสามารถไม่ได้ด้อยกว่าผู้ใด ใครต่อใครได้ยินมาว่า หมอมู่หยางซัวไม่เคยรับผู้ใดเป็นศิษย์ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะกองเงินทองมากเป็นภูเขา หรือเป็นผู้มียศศักดิ์สูงส่ง ทว่าตอนนี้รู้แล้วว่า ความรู้ทั้งหมดของหมอมู่หยางซัวมีมู่ฟางเหนียงเป็นผู้สืบทอดอย่างแน่นอน ขบวนเสด็จขององค์ชายไท่หยางมาถ
คราวนี้มู่ฟางเหนียงขมวดคิ้ว พอหันไปก็เห็นคนตัวสูงเดินออกมาจากหลังต้นไม้ พร้อมยื่นกล่องขนมส่งให้เด็กหญิงคนนั้น เด็กหญิงรีบยื่นมือไปรับแล้ววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว “ท่านไม่มีอะไรทำแล้วหรือไร ต้องใช้เด็กตัวเล็กๆ เรียกข้าออกมาแบบนี้” นางไม่รู้จะหัวเราะหรือโกรธเขาดี “ก็ข้าหาโอกาสพบเจ้าตามลำพังไม่ได้เสียที จึงต้องจ้างเด็กน้อยด้วยขนมหนึ่งกล่องเช่นนี้” จ้าวจิ่นสือทำหน้าหงุดหงิด แล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดด้วยความคะนึงหา “ท่านพูดอะไรกัน ก็เห็นหน้ากันทุกวัน วันละหลายครั้งด้วยซ้ำไป” นางซุกหน้ากับแผ่นอกของเขา ได้กลิ่นเหงื่อจางๆ ที่ทำให้นางแทบเข่าอ่อนทุกที “นี่เจ้าพูดล้อข้าเล่นหรือไร ก็พ่อของเจ้าทำหน้าบึ้งตึงใส่ข้าเช่นนั้น ข้าเข้าใกล้เจ้าไม่ได้เลย” เขากดปลายจมูกกับเรือนผมหอมกรุ่นของนาง “เอ๋? มีเรื่องแบบนั้นด้วยรึ” นางแหงนหน้าขึ้นมองเขา แววตาใสซื่อทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง “เป็นข้าที่ควรถามเจ้า ข้าทำอะไรให้พ่อของเจ้าไม่พอใจหรือไม่” ก่อนหน้านี้เขาเคยป้อนข้าวให้นางต่อหน้า ก็ยังไม่เคยเห็นท่านหมอมู่จะมีอาการอะไรออกมาเช
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“เจ้าจะรีบไปไหนกัน!” “ข้าหายดีแล้ว จะไปหาฟางเหนียง” เขาควรรีบไปอธิบายกับนาง เมื่อวานส่งจดหมายแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องภารกิจลับเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางกลับพร้อมรับมู่ฟางเหนียงไปด้วยเลย โธ่! ยังมิทันไรก็เป็นพวก ‘เกรงใจภรรยา’ เสียแล้ว เหวินเฮ่าหลันได้แต่คลี่พัดโบกไปมา ปกปิดสีหน้าระอาใจ เป็นบุรุษองอาจ ไฉนต้องมาพะวักพะวนกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ “เจ้ารออยู่นี่แหละ เดี๋ยวนางก็มาแล้ว” “เฮ่ย!” “เจ้าจะร้องอะไร” เหวินเฮ่าหลันเห็นอาการของสหายแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ได้ยินมาจากเคอหลิ่งหลินว่าจ้าวจิ่นสือบาดเจ็บแต่ไม่ให้เรียกมู่ฟางเหนียงมาทำแผลเพราะเกรงใจที่เป็นเวลาพักผ่อนของนางแล้ว อย่างไรนางก็จะเป็นภรรยาอยู่แล้ว หน้าที่ภรรยาดูแลสามีก็ถูกแล้ว จะค่ำหรือสว่างจะเป็นไรไป เดือดร้อนต้องไปตามหมอผู้อื่นมารักษาให้ แม้จะไม่ใช่บาดแผลสาหัสก็เถอะ “ข้ายังไม่ได้อธิบายกับนาง นางมาเจอข้าแบบนี้...” “เจ้านี่! เป็นถึงรองแม่ทัพ! อย่ามาทำตัวกลัวเมียให้เสียชื่อหน่อยเลย!” เหวินเฮ่าหลันกดเสียงต่ำ เรื่องแบบนี้พ
เคอหลิ่งหลินก็เห็นหญิงสาวในชุดแดงหน้าตาซีดเซียว นางมาไม่ทันจึงไม่รู้ว่าหญิงนางนี้มีเรื่องแค้นใดกับจ้าวจิ่นสือ แต่ด้วยความสงสารในท่าทีสับสนและดูเคว้งคว้างของนางจึงเดินเข้าไปใกล้ หมายจะปลอบประโลมให้สงบใจ“แม่นาง อย่างไรแล้วค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด เจ้ามีบาดแผล ให้ข้าดูหน่อยจะเป็นไร” เคอหลิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทำให้ร่างของหญิงสาวในชุดแดงแข็งทื่อ กวาดตาจ้องมองคนทั้งหมด คนพวกนี้พูดคุยเหมือนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่นางนั้นเล่า ไร้ผู้ใดไม่มีใครอีกแล้ว ความเศร้าหมองและหดหู่กัดกินจิตใจ มือบางกำด้ามกริชแน่นขึ้น หมายมั่นจะเอาชีวิตของจ้าวจิ่นสือให้ได้ นางพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดหวาดกลัวและไม่สนใจว่านางอาจถูกฝ่ามือซัดกลับจนถึงแก่ชีวิตช่างปะไร นางจะได้ไม่ต้องเดียวดายอีกแล้ว“จิ่นสือ!” เป็นเสียงเคอหลิ่งหลินที่หวีดร้องอย่างตกใจ น้องชายนางกลับไม่หลบยืนนิ่งปล่อยให้หญิงนางนั้นแทงกริชเข้าชายโครงด้านซ้ายของเขา เพราะคิดว่าจ้าวจิ่นสือจะหลบหลีกหรือตอบโต้ได้ จึงไม่มีใครขวางหรือเข้าไปช่วย ทุกคนจึงตื่นตะลึง แม้แต่หญิงผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า! ไยไม่หลบข้า!” หญิงสาวในชุดแดงปล
แต่กระนั้นอีกฝ่ายกลับไม่ลดความพยายาม เตรียมพุ่งกริชเล่มเดิมนั้นใส่จ้าวจิ่นสืออีก นั่นหมายความว่าเขาคือคนที่นางต้องการชีวิต ร่างบางง้างมือขึ้นแต่ยังไม่ทันไร แสงวาบหนึ่งก็พุ่งผ่านเฉียดมือนางไปเล็กน้อย แต่ก็กรีดผิวเรียกเลือดสีเข้มกระเซ็นออกมา หญิงสาวหวีดร้องอย่างตกใจแต่ไม่ยอมทิ้งกริชเพียงแค่ยกมือกุมบาดแผลแล้วมองมีดสั้นที่ปักบนผนังห้องก่อนจะตวัดสายตามองไปทางหน้าต่าง ผู้มาใหม่กระโจนเข้ามา ใบหน้ามีหน้ากากอสูรปกปิดครึ่งหน้าด้านบน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นนาง คราวนี้จ้าวจิ่นสือจับกระบี่ขึ้นมา แต่หัตถ์เทวะกลับยกมือโบกไปมาคล้ายไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แล้วเดินวนเวียนรอบกายหญิงสาว ดวงตาคู่งามนั้นไร้แววหวาดกลัวแต่กลับวาวโรจน์ดุจแมวป่า ‘ช่างน่าสนใจนัก!’ “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เป็นจ้าวจิ่นสือที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เห็นชัดว่าชายผู้นั้นไม่ได้รู้จักหญิงสาวในชุดสีแดง “เป็นข้าควรถามเจ้ามากกว่า” หัตถ์เทวะหันมาทางจ้าวจิ่นสือ “ข้านึกว่าเรามีเรื่องสนทนากันตามลำพัง” “เจ้าไม่ได้ส่งนางผู้นี้มาทำร้ายข้าหรอกหรือ” ฝีมืออย่างนาง... จ
“หน้าที่ของข้าหมดแล้ว หวังว่าคราวหน้า คุณชายจ้าวจะเรียกให้ข้าไปปรนนิบัติบ้าง” นางส่งยิ้มเชิญชวน ปรายตามองทางมู่ฟางเหนียงเล็กน้อย ส่งยิ้มราวกับเป็นมิตรแต่แววตามีรอยเยาะเย้ย มู่ฟางเหนียงเผลอก้มมองหน้าอกตัวเองที่เห็นชัดๆ ว่ามันคนละขนาดกับแม่นางผู้นั้น จ้าวจิ่นสือเอาแต่คิดเรื่องที่จะได้พบหัตถ์เทวะ ลืมไปว่า ว่าที่ภรรยาของตนนั้นช่างเป็นคนที่คิดไปคนละทางกับเขา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตาเบิกกว้างที่จ้องมองเขาอย่างกับจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ “ข้ากลับละ!” “เดี๋ยวสิ!” ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย กว่าจะหาโอกาสได้พบนางโดยไม่เจอว่าที่พ่อตาถลึงตาใส่ก็ยากเย็นอยู่แล้ว เอื้อมมือไปจะคว้าข้อมือเล็กๆ แต่นางกลับเร็วกว่า ชักมือหลบได้ทัน นี่นางไปหัดหลบหลีกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เห็นนางอารมณ์ไม่ดี เขาจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วก้าวเร็วๆ เดินไปขวางนางไว้ก่อน “ข้าจะไปส่ง” “ไม่ต้อง!” “เหนียงเอ๋อร์... อย่าดื้อ” เขากลับพูดอย่างอ่อนโยน “ปกติเจ้าเป็นคนมีเหตุผลมากกว่านี้ สุขุมกว่านี้ เจ้าควรรู้ว่าข้าคือคุณชายจ้าวจิ่นสือ ที่มีทั้งคนยำเกรงและคนชังหมายเอาช
“เจ้าเปิดหนังสือของเขาจนช้ำแล้วยังไม่คิดจะซื้ออีก” เขาแสร้งทำเป็นดุและพูดเสียงดังจนผู้อื่นหันมามอง มู่ฟางเหนียงสะดุ้งที่ถูกสายตาหลายคู่จ้องมองมา นางคิดจะซื้อหนังสือจริงๆ ถ้าไม่ถูกชายผู้นี้หาเรื่องเอาเสียก่อน จ้าวจิ่นสือไม่รอให้นางได้มีเวลาคิดหาคำปฏิเสธอีก เขาจำเล่มที่นางพลิกอ่านอย่างสนใจได้ ก็เอื้อมมือหยิบหนังสือห้าหกเล่มนั้นส่งให้พ่อค้าจัดการห่อและคิดเงินให้เขา “ท่าน!” นางกัดริมฝีปากอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี “ให้คนไปส่งที่โรงเตี๊ยมหมื่นบุปผา บอกว่าของแม่นางมู่” “ขอรับคุณชาย” จ้าวจิ่นสือปรายตามองขอทานผู้นั้นที่ดูท่าทางจะจัดการชายสี่คนนั้นได้ไม่ยาก หากเขาลงมือเองเกรงว่าจะหักแขนหักขาคนพวกนั้นคนละสี่ห้าท่อนเป็นแน่ นางหันไปทางชายขอทานอีกครั้ง อย่างไรคนผู้นั้นจะตั้งใจหรือไม่ เขาก็ถือได้ว่าช่วยนางจากการถูกลวนลาม นางจึงแตะแขนของจ้าวจิ่นสือเบาๆ เขาหันมามองด้วยสายตามีคำถาม “ข้าจะไปดูคนผู้นั้นก่อน” จ้าวจิ่นสือไม่ได้เอ่ยปากถามเพิ่มก็เข้าใจว่านางหมายถึงเรื่องอะไร เขาโคลงศีรษะไปมาแล้วคว้าข้อมือให้นางเดิน
“ตอนที่พ่อเจ้าพบกับอี้เฟยก็อายุประมาณเจ้านี่แหละ แต่ช่วงนั้นลุงไปร่ำเรียนต่างเมือง” อี้ถังเอ่ยขึ้นมาเหมือนรำลึกความหลัง “จริงๆ ท่านตากับท่านยายของเจ้าไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกนะ เพียงแค่อยากให้ลูกสาวคนเดียวได้พบคู่ครองที่ดี พวกท่านไม่ได้แค่หวังให้พ่อของเจ้าอยู่ที่ร้านยากวงแซเท่านั้น แต่อยากให้อี้เฟยอยู่ใกล้ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะแอบหนีตามกันไปจนหายไปนานนับสิบปีขนาดนี้” “ท่านพ่อเองก็รู้สึกผิดมาตลอดจึงไม่กล้าพาหลานกลับมาคารวะท่านตากับท่านยาย” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ “แต่ต่อไปนี้เราสองคนพ่อลูกจะหาโอกาสแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ” “เจ้ากับพ่อจะพักอยู่กับพวกเราก็ได้” มู่ฟางเหนียงส่ายหน้าไปมา “มาเมืองหลวงครั้งนี้เพราะต้องการมาคารวะท่านตากับท่านยาย และท่านพ่อต้องไปพบคหบดีหนันกง เสร็จธุระแล้ว พวกเราก็จะเดินทางกลับ” “พวกเจ้าจะกลับไปไหนกันเล่า” คราวนี้เป็นมู่ฟางเหนียงที่ไม่อาจเอ่ยตอบได้ รู้แต่... ที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาง “ท่านลุง ข้าอยากเดินเล่นสักหน่อย ท่านกลับไปก่อนเถิด” นางเอ่ยบอก อยากเดินคิดอะไรสักหน่อยค่อยกลั
“ท่านรับแน่.. ข้ารู้” เคอหลิ่งหลินย่นจมูกแล้วเดินผิวปากออกไปอย่างสบายอารมณ์ พอเดินกลับมาห้องที่ปล่อยให้มู่ฟางเหนียงอยู่ลำพัง ก็พบว่าหญิงสาวผล็อยหลับไปทั้งน้ำตา นางยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้ม นางรู้และเข้าใจดี ทุกข์ใดจะหนักหนาเท่าทุกข์ในห้วงรัก“รออีกนิดนะฟางเหนียง อดทนเพื่อตัวเจ้าเองและคนที่เจ้ารักอีกนิดเถิด” เคอหลิ่งหลินกระซิบคำปลอบโยน เดินไปหยิบผ้าห่มมาคลุมไหล่บาง ให้นางได้หลับสักนิด ประเดี๋ยวตื่นมาคงดีขึ้น แล้วนางจะไปส่งมู่ฟางเหนียงกลับบ้านเอง เคอหลิ่งหลินสรุปให้ตัวเองแล้วเดินลงไปชั้นล่าง ตรวจดูความเรียบร้อยทั่วไปของโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผา คนที่นี่ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของนาง ซึ่งนางก็หวังเช่นนั้น แล้วจู่ๆ นางก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นหมอมู่หยางซัวก้าวเข้ามาในโรงเตี๊ยมมู่หยางซัวเห็นเคอหลิ่งหลินและท่าทีตกใจของนางก็ขมวดคิ้ว ต่อให้รู้ว่าหญิงผู้นี้เป็นพระชายาขององค์ชายไท่หยาง แต่เขาก็ไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้น เคอหลิ่งหลินรีบคลี่ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วเข้าไปต้อนรับ“ไม่ได้เจอเสียนานท่านหมอมู่”“ใช่รึ ข้าคิดไปว่าเห็นเจ้าอยู่บ่อยๆ” มู่หยางซัวโคลงศีรษะไปมา “ฟางเหนียงล่ะ”“เอ่อ...” จะให้พูดอย่าง
“ฟางเหนียง ใจเย็นก่อน เจ้าคิดมากไปแล้ว” เคอหลิ่งหลินเข้าไปโอบไหล่น้อยๆ ที่สั่นเพราะกำลังร้องไห้ แต่ไหนแต่ไร นางไม่เคยเห็นมู่ฟางเหนียงอ่อนแอเปราะบางเช่นนี้ นางออกจะเป็นคนที่อยู่ด้วยเหตุด้วยผลมาเสมอ แม้นางจะอายุยังน้อยแต่ก็เติบโตเกินวัยด้วยซ้ำไป“ข้า... ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าอยากไปจากที่นี่” “ฟางเหนียง” เคอหลิ่งหลินตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ดึงหญิงสาวมากอดไว้ ปล่อยให้นางร้องไห้ออกมา “ก็ได้ๆ ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้ เจ้าน้องชายผู้นั้นอย่าได้ไปเอ่ยถึงเขาอีก แต่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าหน่อยเถิด นอกจากเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่ไว้ใจจะปรึกษาเรื่องนี้กับใคร”ถึงจะโกรธชายผู้นั้นมากเพียงใด แต่สำหรับนางแล้ว เคอหลิ่งหลินเสมือนพี่สาวแท้ๆ ของนาง เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ต้องการความช่วยเหลือ นางก็กลั้นสะอื้นแล้วปาดน้ำตาราวกับเด็กน้อย มองหน้าเคอหลิ่งหลินที่ยิ้มเศร้าๆ“ครึ่งปีแล้ว ข้ายังไม่มีวี่แววจะตั้งครรภ์เลย แม้องค์ชายไท่หยางจะไม่เอ่ยอะไร แต่ข้าก็ร้อนใจอยากมีทายาทให้เขา”“พี่หลิ่งหลิน ท่านเคยได้รับพิษมา ร่างกายอาจยังขับพิษออกไม่หมด อย่างไรข้าตรวจดูท่านอย่างละเอียดแล้วปรับยาบำรุงให้ท่าน”“ข้าขอโทษที่พูดเรื่องนี้ตอนนี้นะ” เ
จ้าวจิ่นสือวิ่งตามออกมา แต่ราวกับคลาดกันเพียงแวบเดียว เขาหยุดยืนหน้าหอสราญใจแล้วหันซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่พบคนที่ต้องการ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ข่มความกังวลใจที่เกิดขึ้นแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นส่งสัญญาณ เพียงครู่เดียวผู้อารักขาลับก็ปรากฏเบื้องหน้า “นางอยู่ที่ใด” ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้ว่าเขาหมายถึงใคร “เมื่อครู่พระชายาหลิ่งหลินผ่านมา จึงรับตัวนางไปที่โรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาแล้วขอรับ” ผู้อารักขาลับที่ปลอบตัวเป็นชายขอทานเอ่ยตอบ “เข้าใจแล้ว คอยดูนางไว้” “ขอรับท่านรองแม่ทัพ” ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง นางเข้าใจผิดจนได้ อุตส่าห์เก็บเป็นความลับมาได้ตั้งนาน เคอหลิ่งหลินหลบออกมานอกวังอีกแล้วรึ เบื้องหน้านางคือพระชายาผู้แสนจะเรียบร้อย แทบไม่เคยย่างเท้าออกจากตำหนักขององค์ชายไท่หยางเลย แต่เบื้องหลัง... ฮึ! เขาทำเสียงเยาะในลำคอ มีรึเขาจะไม่รู้ว่าพี่สาวต่างสายเลือดผู้นั้นมีชีวิตโลดโผนปานใด ไม่เช่นนั้นคงไม่พบรักกับองค์ชายไท่หยางได้หรอก เขารีบเร่งเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จ้าวจ