“ผลึกอัมพรอัคคีพิสุทธิ์ เป็นอีกหนึ่งแร่โลหะสำคัญที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างหลากหลายทั้งการหลอมสร้างปรุงโอสถหรือการสร้างศาตราวุธให้มีความแข็งแกร่ง สิ่งนี้ถูกซ่อนตัวอยู่ในหมู่เกาะพิศดารที่ตรงน่านน้ำด้านหน้าเป็นที่พำนักของเผ่าพันธ์มัจฉาวารีพิษมรกต สัตว์อสูรระดับมายาขั้นสูงย่างก้าวสัตว์อสูรระดับตำนาน ที่ถูกพลางสายตาด้วยมหาค่ายกลธรรมชาติที่มีพลังลึกล้ำสายหนึ่ง การจะพบเจอสถานที่แห่งนี้คงต้องรบกวนเจ้าเสียแล้วหนิงอ้าย...” ฟานหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะที่เรือเหาะลำนี้ได้เหินทะยานลัดฟ้าอยู่เหนือน่านฟ้าของทะเลมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ระดับความเร็วนั้นกล่าวว่าเหนือชั้นสมกับเป็นสมบัติวิเศษระดับตำนานอย่างแท้จริง“ยามนี้ข้ายังไม่อาจเชี่ยวชาญในวิชามหาจักษุสวรรค์อนันตมายามากนัก หากม่านพลังธรรมชาตินั่นไม่มีความพิศดารมากเกินไป ข้าผสานใช้ไปกับจิตวิญญาณแล้วย่อมสามารถค้นพบตำแหน่งที่ตั้งได้ไม่ยาก อย่างไรสิ่งที่ควรกังวลนั่นคืออสูรมัจฉาวารีพิษมรกต เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับนี้ในพื้นที่ไม่คุ้นชินคงเป็นเรื่องที่อันตรายยิ่ง พวกเราต้องระวังให้มากนะขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความเคร่งเครียดไปไม่ต่างกัน เพรา
ท่ามกลางมหานทีอันสงัดเงียบ ฟานหลิงได้แผ่ซ่านกระแสพลังปราณเป็นม่านพลังกำจายออกรอบด้านด้วยความระวัง บังเกิดเป็นเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ที่ประสานเข้ากับปราณธาตุเหมันต์อย่างลงตัวได้คลอบคลุมรอบบริเวณเอาไว้อย่างแข็งแกร่งยิ่ง ชายหนุ่มไม่รอช้าตวัดมือกลางอากาศตรงหน้าขีดเขียนเป็นอักขระโบราณชุดหนึ่งเพื่อเสริมม่านหลังนี้อีกชั้นที่แฝงไปด้วยพลังมายาแห่งจิ้งจอกเหมันต์เพื่ออำพรางพวกเขาทั้งสองจากสายตาของผู้ใดก็ตามในสถานที่แห่งนี้ตรงที่นั่งด้านข้างนั้นหนิงอ้ายได้นั่งดูดซับโอสถวิเศษและโคจรทั่วร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกายให้ได้มากที่สุด ฟังว่าเกาะพิศดารแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยเผ่าพันธ์ของสัตว์อสูรที่มีความแปลกประหลาดที่แข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นย่อมเป็นอสูรมัจฉาวารีพิษมรกตที่พวกเขาพึ่งสังหารไปได้เมื่อครู่ ทว่ายังคงมีตนตนประหลาดพิสดารที่หลีกซ่อนเร้นอยู่ในสถานที่แห่งนี้อีกมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นการไม่สร้างความรำคานใจและก้าวล่วงล้ำเขตแดนพิเศษจึงเป็นสิ่งที่สมควรกระทำมากที่สุด และด้วยฤทธิ์ของโอสถทิพย์ระดับแปดที่มีความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วนนั้นกล่าวว่าย่อมมากไปด้วยคุณวิเศษอย่างแท้จริง กระแสพลังในเม็ดโอสถ
“การทดสอบครั้งนี้ข้าจะลดระดับพลังวิญญาณลงมาก็จริง แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะพ่ายแพ้กับเล่ห์กลของพวกเจ้ารุ่นเยาว์ทั้งสองได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ตัดแบ่งผลึกอัมพรอัคคีพิสุทธิ์นี้ไปเสีย ข้าอนุญาติ...” ไป๋เฉินถอนหายใจออกมาพร้อมกับเรียกคืนพลังปราณให้หวนคืนสู่ระดับสุดยอดอีกครั้งหากจะกล่าวโทษทั้งสองก็คงไม่ใช่ไปเสียทีเดียว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหากต้องปะทะรับมือเข่นฆ่าสังหารในชีวิตจริงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมมากมายที่สามารถพลิกเอาชนะฝ่ายศัตรูได้ ด้วยเพราะในสนามรบนั้นย่อมสามารถใช้ทุกวิถีทางในการเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้ทั้งสิ้น สิ่งที่น่าชื่นชมนั่นคือเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยช่วงวัยที่อายุน้อยปานนี้แต่สามารถนับมาปรับใช้ได้อย่างชาญฉลาดคล้ายกับว่าผ่านการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงจนเกิดเป็นประสบการณ์ที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในที่สุด“ขอบคุณผู้อาวุโสไป๋เฉินที่ชี้แนะในครั้งนี้ขอรับ!!” หนิงอ้ายกับฟานหลิงประสานมือกล่าวขอบคุณก่อนจะปราดร่างไปยังเบื้องหน้าของก้อนโลหะรัศมีแสงสีประกายวาววับที่เป็นสมบัติวิเศษดังกล่าว กระแสพลังปราณฟ้าดินโดยรอบต่างถูกดูดกลืนจนเห็นได้ชัดในก้อนแร่ผลึกที่บรรจุขุมพลังยิ่งใหญ่อหังการยิ่งเคล
ก่อนหน้านี้การฝึกฝนบ่มเพาะพลังวิญญาณของหนิงอ้ายกล่าวได้ว่าแม้จะทุ่มเทเวลาไปกับการดูดซับปราณฟ้าดินแต่ก็นับว่ามีความก้าวหน้าได้ช้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นเขาบรรลุถึงเขตขั้นราชทินนามเทวะวิญญาณก็จริง แต่ระดับความเร็วในการฝึกฝนนั้นกลับช้าลงในทุกเขตขั้นย่อย ด้วยเพราะการสอดประสานระหว่างสองสายเลือดเผ่าพันธุ์บรรพกาลในตัวที่คอยแบ่งพลังลมปราณที่ได้ดูดซับเข้ามาไปดูดกลืนราวกับเป็นหลุมดำที่ไร้ซึ่งจุดจบ แต่เมื่อได้รับอักขระกำกับสะกดข่มจากท่านอาจารย์แล้วทำให้ตอนนี้ร่างกายสามารถชักนำพลังลมปราณเข้าสู่ทะเลมหาสมุทรลมปราณได้รวดเร็วและมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า“ยามนี้ข้าเป็นราชทินนามราชันวิญญาณขั้นต้นอย่างสมบูรณ์แล้ว รากฐานบ่มเพาะได้เคี่ยวกรำไม่น้อยกว่าหนึ่งพันรอบ ศิษย์ต้องขอบคุณท่านอาจารย์มากขอรับ...” ใช้เวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามให้หลังหนิงอ้ายก็ลืมตาขึ้นในที่สุด เห็นเสวี่ยจิงผู้เป็นอาจารย์นั่งอยู่ไม่ไกลมากนัก จึงไม่รอช้ามุ่งตรงยังทิศทางดังกล่าวก่อนจะยกมือประสานคำนับด้วยความเคารพยิ่ง“เป็นสิ่งที่อาจารย์พึงกระทำอยู่แล้ว รับไป!! สิ่งนี้คือม้วนตำราบันทึกศาสตร์แห่งการบัญชาการ อย่างที่เจ้าได้ศ
ดูเหมือนว่าบทสนทนาของหนิงอ้ายกับฟานหลิงจะเรียกความสนใจจากคนกลุ่มหนึ่ง เพราะยามนี้ได้มีบุรุษชุดสีดำแดงจำนวนสี่ถึงห้าคนมุ่งตรงมาด้วยสีหน้าขุ่นเคืองหาเรื่องอยู่ไม่น้อย ท่าทีไม่พูดจาพร้อมกับแผ่ซ่านกลิ่นอายออกมากดดันเช่นนี้ ก็สามารถทราบได้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้หาได้มีความประสงค์ดีแต่อย่างใด“การกระทำและท่าทางที่ไร้มารยาทเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน??” ฟานหลิงถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ จากที่พอสัมผัสได้กลุ่มคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามราชันวิญญาณขั้นต้นกันทั้งสิ้น มีเพียงบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหน้าที่เป็นราชทินนามราชันวิญญาณขั้นกลาง แม้รากฐานบ่มเพาะจะไม่ได้น่าตกตะลึงมากนัก ทว่าจากกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาย่อมหมายถึงพลังสายเลือดที่กล้าแกร่งสายหนึ่งมากกว่าทั่วไปอยู่ขั้นหนึ่ง“ได้ยินว่าพวกเจ้าต้องการเดินทางไปบ่อน้ำอมฤตอัคคีกาฬทมิฬเป็นสถานที่คุ้มครองของอาณาจักรต้าเหลียงจิ่วอย่างนั้นรึ?? ไม่รู้หรืออย่างไรว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่หวงห้ามไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปข้องเกี่ยวทั้งสิ้น!!” บุรุษที่ครอบครองราชทินนามราชันวิญญาณขั้นกลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“ไม่คาดคิดว่ากลุ่มของพี่ชายจะชื่นชอบ
ผู้อาวุโสเหลียงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับพวกเขาทั้งสองในหลายเรื่องราวอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่ากลุ่มขององครักษ์ทั้งห้าคนยังติดตามพวกเขามาด้วยเช่นกัน ด้วยเรือเหาะลำใหญ่โตอันสะดวกสบายที่อีกฝ่ายเรียกออกมานั้นได้เหินทะยานลัดฟ้าซึ่งเป็นเส้นทางเฉพาะสำหรับหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามเขตแดนของแต่ละอาณาจักรที่เหลือ ระหว่างที่เหาะเหินทะยานลัดฟ้าจนเข้าสู่พื้นที่ในการดูแลปกครอง จึงทำให้รับรู้ว่าโดยรอบด้านของอาณาจักรนั้นเต็มไปด้วยพงไพรเขียวขจีดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์ยิ่งอีกทั้งยังสลับซับซ้อนไปด้วยขุนเขาน้อยใหญ่ที่บ้างก็สูงเสียดฟ้า บ้างก็เป็นขุนเขาที่ทอดยาวส่วนปลายลงเขตพื้นที่มหาสมุทร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปราการทางธรรมชาติที่คอยปกป้องอาณาจักรต้าเหลียงจิ่วนี้มาเป็นเวลายาวนานนับพันปี อย่างไรแล้วแม้ว่าโดยรอบจะถูกโอบล้อมด้วยผืนน้ำทะเลสุดลูกหูลูกตา ทว่าทรัพยากรที่จำเป็นในการดำรงชีวิตกลับเพียบพร้อมหาได้ขาดแคลนแต่อย่างใดไม่“คิดไม่ถึงว่าดินแดนระดับสูงจะมีกลุ่มคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณอาศัยอยู่เช่นกัน ข้าคิดว่าจะมีเพียงผู้ฝึกตนเท่านั้นเสียอีก...” หนิงอ้ายกล่าวถามขึ้นหลังจากได้แผ่ซ่านจิตวิญญาณสัมผัสออกไป จึงรับรู้ได้ถึงปุถุ
“เป็นพวกข้าที่ต้องอภัยที่มารบกวนราชันมังกรพสุธารัตนพิภพในครั้งนี้ ข้าเพียงขอกล่าวเสนอถึงเงื่อนไขอีกครั้ง ฟังว่าองค์รัชทายาทถูกพิษประหลาดในครั้งนั้นไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ ตัวข้าหนิงอ้ายผู้นี้ได้รับความเมตตาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเทพโอสถบรรพกาลเสวี่ยจิง ตลอดหลายปีมาได้ได้รับการถ่ายทอดสั่งสอนโดยตรงมาอยู่ไม่น้อย หากหาทางรักษาองค์รัชทายาทได้ปัญหาค้างคาใจของท่านก็จะหมดไป เช่นนี้แล้วถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนประโยชน์ซึ่งกันและกัน ท่านคิดเห็นว่าอย่างไรขอรับ??” หนิงอ้ายกล่าวออกไปด้วยความหนักแน่นมั่นคง“ข้าตกลงในข้อเสนอนี้ หากสหายน้อยสามารถรักษาองค์รัชทายาทบุตรชายของข้าได้ กระดูกวิญญาณอายุแสนปีของอสูรแมงป่องคชสารเพลิงอัคคี จะเป็นของท่าน แน่นอนว่าข้าจะเป็นผู้ลงมือล่าสังหารด้วยตนเอง!!!” องค์ราชันมังกรพสุธารัตนพิภพให้คำสัตย์อย่างเด็ดขาด ก่อนจะเดินนำหนิงอ้ายกับฟานหลิงไปยังตำหนักบุตรชายของตนราชันมังกรพสุธารัตนพิภพพาหนิงอ้ายกับฟานหลิงเดินมาทางด้านหลังของพระราชวังจนมาถึงบริเวณตำหนักหลังหนึ่งที่มีพื้นที่ใหญ่โตกว้างขวางอยู่ไม่น้อย ตลอดเส้นทางเดินที่ทอดยาวเพียงก้าวเท้าเข้าสู่บริเวณดังกล่าวไม่กี่ชั่วจิบชาก็ส
“ราชันมังกรพสุธารัตนพิภพ ท่านยังพอมีเวลาเตรียมการทุกสิ่งอย่างให้ไม่ผิดพลาดน้อยที่สุดได้ ขอให้ท่านจงคิดว่านี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่ปลอดภัยและสมควรกระทำที่สุดในยามนี้ ท่านอาจจะคิดว่าด้วยรูปลักษณ์ของข้าที่ยังดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่มที่อายุยังน้อย แต่ข้าสามารถยืนยันได้ว่าองค์ความรู้และความสามารถในการหลอมสร้างปรุงโอสถหาได้แพ้ผู้อื่นแต่อย่างใด ท่านจงวางใจเถอะ” หนิงอ้ายพอจะเข้าใจในความรู้สึกของราชันมังกรพสุธารัตนพิภพตรงหน้า อย่างไรอีกฝ่ายยังพอมีเวลาเตรียมใจอยู่บ้างด้วยเพราะยังต้องใช้เวลาในการเตรียมวัตุดิบสมุนไพรอีกหลายชนิดเช่นกัน“ผู้อาวุโสเหลียง ข้าคงต้องรบกวนท่านอีกครั้งแล้ว” ราชันมังกรพสุธารัตนพิภพนิ่งเงียบขบคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย“สหายน้อยกล่าวได้เต็มที่ว่าสูตรโอสถปลุกสายเลือดนั่นต้องใช้สมุนไรอะไรบ้าง แม้ไม่อาจกล่าวว่าในคลังยาของอาณาจักรต้าเหลียงจิ่วมีสมุนไพรทุกชนิด แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่เคยขาดแคลนสิ่งนี้เลยเช่นกัน...” ผู้อาวุโสเหลียงกล่าวออกมาพร้อมกับระบายยิ้มเล็กน้อย ในฐานะของนักปรุงโอสถประจำอาณาจักรเขาย่อมล่วงรู้ได้ถึงสมุนไพรวิเศษในการครอบครองทั้
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย