“ขอบคุณนะคะพี่ชาญที่เสียเวลามาส่งลิน” ไพลินหันไปบอกชาญวิทย์ด้วยท่าทางเกรงใจ ก่อนจะหันไปบอกพราวนภาที่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยความเป็นห่วง“ลินไปก่อนนะคะพี่พราว พี่พราวก็อย่าลืมไปหาหมอนะคะ ลินเป็นห่วง”“จ้ะ” พราวนภาตอบไปพร้อมรอยยิ้ม“ไปส่งพี่พราวให้ถึงที่พักนะคะพี่ชาญ” ไพลินแกล้งแซวเจ้านายหนุ่มออกไป ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ แล้วยืนรอจนรถคันหรูขับเคลื่อนออกไป“ไม่สบาย เป็นอะไร” ชาญวิทย์เป็นฝ่ายทนไม่ไหว จึงถามออกไปเสียงแข็ง หลังจากที่ขับรถออกมาได้สักพักแล้วพราวนภาก็เอาแต่นั่งเงียบ ไม่พูดอะไรกับเขาเลยสักคำ“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่ท้องเสีย” พราวนภาตอบไปเสียงเรียบ สายตามองออกไปนอกรถชาญวิทย์ไม่ถามอะไรต่อ ในเมื่อเธอปากแข็งไม่ยอมพูด ไม่ยอมบอกอะไร เขาก็จะพิสูจน์เอง เขาจึงเลี้ยวรถกลับทันที แล้วขับตรงไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล โดยที่ไม่ถามความสมัครใจของอีกฝ่ายเลยสักนิด..----> ตัดภาพมาที่ห้องพักไพลิน ไพลิน“นึกยังไงถึงอยากมาหาเนี่ย!” ฉันถามริสากับศรันย์ที่หอบข้าวของเข้ามาที่หน้าห้องฉัน บอกว่าจะมาทำอาหารกินกัน“ก็แค่อยากมาหา นานแล้วนะที่ไม่ได้ปาร์ตี้ในห้องกัน” ศรันย์พูดขึ้นมาอย่างอ
“ลินว่าซื้อพวกนมบำรุงแล้วก็ผลไม้ดีกว่านะคะ ของพวกนั้นมันยังไม่จำเป็นเป็น”ไพลินบอกชาญวิทย์ที่กำลังยืนอยู่โซนของใช้เด็กอ่อน แล้วยังเลือกของอย่างกับจะซื้อจริงๆ“พี่ว่ามันน่ารักดี” ชาญวิทย์พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม สายตายังคงจ้องที่ของใช้เด็กอ่อนตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา จนไพลินต้องยิ้มตาม“จริงๆ แล้ว โบราณเขาถือว่าไม่ให้ซื้อของก่อนเด็กจะคลอดนะคะ" ไพลินพูดออกไปตามที่ได้ยินมา แต่คำพูดของเธอกลับทำให้เจ้านายหนุ่มหลุดขำออกมา เพราะไม่คิดเลยว่าเลขาสาวที่อายุอ่อนกว่าเขาตั้งแปดปีจะหัวโบราณขนาดนี้“พี่ชาญขำทำไมคะ?” ไพลินมองใบหน้าหล่อของเจ้านายด้วยท่าทางสงสัย ไม่เห็นมีอะไรน่าขำเลยสักนิด“พี่ไม่คิดว่าลินจะหัวโบราณขนาดนี้ ที่เขาพูดแบบนั้น เพราะเขาคงยังไม่พร้อมหรือเปล่า” ชาญวิทย์พูดออกไปพร้อมยกมือขึ้นขยี้ผมหญิงสาวด้วยท่าทางเอ็นดู“ลินพูดจริงๆ นะคะ ถ้าพี่ชาญไม่เชื่อก็ตามใจ” ไพลินกอดอกทำหน้างอน“โอเคๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว เลิกทำหน้าบึ้งแล้วไปซื้อของบำรุงให้เมียพี่ดีกว่า” ชาญวิทย์ลืมตัวพูดออกมาอย่างเต็มปาก จนไพลินยิ้มแซว“เมียพี่ชาญเหรอคะ ลินนึกว่าซื้อให้พี่พราวซะอีก” ไพลินแกล้งแซวชาญวิทย์ก่อนจะเดินออกไปอย่างอารมณ์ด
- ณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง -ไพลินหันไปมองวรานนท์ด้วยท่าทางสงสัย เมื่อเขาพาเธอขับรถเข้ามาในโรงพยาบาล หรือว่าเขาจะไม่สบาย แต่ถ้าเขาไม่สบายจริงๆ เขาก็ไม่เห็นมีเหตุผลอะไรที่จะบังคับให้เธอมาด้วยหนิ ไพลินได้แต่ตั้งคำถามมากมายอยู่ในใจ“ลงมา!!” วรานนท์บอกหญิงสาวที่นั่งนิ่งไม่ยอมลงมาจากในรถสักที ทั้งๆ ที่รถก็จอดตั้งนานแล้ว“จะลงมาดีๆ หรือจะต้องให้อุ้มลงมา” วรานนท์ไม่พูดเปล่า แขนแกร่งเปิดประตูแล้วพุ่งเข้าไปช้อนร่างบางออกมาจากในรถทันที“ปล่อยฉันลงนะ ฉันเดินเองได้!!” ไพลินดิ้นไปดิ้นมา จนวรานนท์ยอมปล่อยลง เพราะกลัวจะเป็นอันตรายกับเด็กในท้อง ถ้าเกิดเธอหล่นลงไปจริงๆ“ลงมาดีๆ ก็สิ้นเรื่อง ทำไมต้องดื้อ” วรานนท์พูดออกมาเสียงเรียบ แต่คำว่าดื้อของเขามันทำให้หัวใจดวงน้อยกระตุกสั่น เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาพูดกับเธอ‘ฉันไม่ชอบเด็กดื้อ’คำพูดของเขาเธอยังจำมันได้ดีทุกคำ ไม่ว่าจะพยายามลืมแค่ไหนก็ตามวรานนท์ฉุดแขนเรียวให้เดินตามเข้ามาในห้องตรวจด้วยท่าทางร้อนใจ ถึงแม้เธอจะไม่ให้ความร่วมมือก็ตาม“ไม่ทราบว่าเป็นอะไรมาคะ” พยาบาลสาวถามออกมาพร้อมรอยยิ้ม แน่นอนว่าไพลินต้องยิ้มตอบ ถึงจะงงๆ ที่โดนลากมาก็ตาม แต่ก็ต้องหุบยิ้
@เอ็กซ์เพลสคอนโดไพลินมองตึกหรูตรงหน้าด้วยท่าทางสงสัย ไม่เข้าใจว่าเขาจะพาเธอมาที่นี่ทำไม แต่แล้วความสงสัยก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาจอดรถแล้วหันมามองหน้าเธอ“คุณพาฉันมาทำอะไรที่นี่ ไปส่งฉันเดี๋ยวนี้นะ” ไพลินถามออกไปเสียงแข็ง เมื่อคนข้างๆ มองเธอด้วยสายตาทะเล้น“ไปส่งแน่ แต่หลังจากที่เราขึ้นไปดูห้องก่อน” วรานนท์ตอบไปด้วยท่าทางยียวน แล้วยื่นมือมาปลดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ“คุณอยากไปดู ก็ไปคนเดียวเถอะ ฉันกลับเองก็ได้” ไพลินเปิดประตูลงจากรถแล้วรีบเดินหนีไป แต่ก็ต้องโดนรั้งแขนไว้ซะก่อน“อย่าดื้อได้มั้ย เธอก็รู้หนิว่าฉันไม่ชอบเด็กดื้อ” วรานนท์ขู่ออกไปเสียงแข็ง แล้วฉุดรั้งแขนเรียวให้เดินตามเข้ามาในคอนโดหรูทันทีไพลินโดนบังคับให้เข้ามาในห้องสุดหรู พอเข้ามาในห้อง เจ้าของห้องก็เดินไปนั่งที่โซฟาหรูที่ถูกจัดวางให้อยู่ตรงกลางห้อง สายตาคมมองร่างบางที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ตรงหน้าย้ายมาอยู่ที่นี่” วรานนท์พูดออกมาเสียงเรียบ พร้อมกับวางคีย์การ์ดไว้ข้างๆ“ไม่” ไพลินรีบตอบขึ้นมาเสียงแข็ง โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรเลยแม้แต่น้อย“มันปลอดภัยกว่าที่นั่น” เขาอธิบายด้วยเหตุผล“ไม่ค่ะ ฉันไม่เหมาะกับที่หรูๆ แบบนี้หรอกค่ะ” ไพ
- วันต่อมา -@วรานนท์“จะรีบไปไหนแต่เช้าล่ะลูก” เสียงของคุณแม่ถามขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังจะก้าวออกจากบ้าน“วันนี้มีประชุมตอนเช้าครับ” ผมตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม เพราะวันนี้ผมรู้สึกอารมณ์ดีมากกว่าทุกวันที่ผ่านมาเสียอีกตั้งแต่วันที่ไพลินออกไปจากบ้านของผม ผมไม่เคยนอนหลับเต็มอิ่มเลยสักวัน ใบหน้าของเธอยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่พอผมได้เจอเธอที่ผับอีกครั้ง ตอนที่เธอขึ้นร้องเพลงที่ผับ แล้วภาพในวันเก่าๆ ก็ลอยเข้ามาในหัวของผมทันที ผมคิดถึงผิวเนียนนุ่ม กลิ่นกายหอมอ่อนๆ และสัมผัสอันแสนหวานของเธอ ผมถึงมั่นใจว่าผมรักเธอ และขาดเธอไม่ได้ ผมตั้งใจจะทำทุกวิธีและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เธอคนเดิมกลับคืนมาเมื่อวานหลังจากที่ผมโมโหหึง โดยการบังคับขืนใจเธอให้ไปตรวจที่โรงพยายบาลนั่น แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่ผมคิดเลยสักนิด ผมจึงกลับมาเคลียร์เรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อที่จะได้ทำตามหัวใจอย่างเต็มที่และถูกต้องสักทีแล้วตอนนี้ผมก็มาถึงหน้าที่พักของเธอแล้ว ที่ผมบอกคุณแม่ว่าผมมีประชุม ผมก็แค่พูดให้ท่านสบายใจเท่านั้นเอง ผมนั่งรอสักพักเธอก็เดินลงมาหมับ!!ผมรั้งแขนเธอไ
@ร้านอาหารหรู....สุดท้ายไพลินก็ต้องมาทานข้าวกับเจ้านายตามหน้าที่ เพราะสองหนุ่มให้เหตุผลว่าจะมาคุยงานด้วย พอมาถึงโต๊ะที่โทรมาจองไว้ ชาญวิทย์ก็เดินไปนั่งก่อน ตามด้วยวรานนท์ที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ไพลินมองที่นั่งข้างๆ ที่อยู่ข้างๆ สองหนุ่ม เธอไม่รู้จะนั่งตรงไหนดี จึงได้แต่ยืนลังเล“นั่ง...” วรานนท์กำลังจะพูดออกไป แต่ไพลินกลับเลือกที่จะนั่งข้างๆ เจ้านายของเธอซะก่อน แล้วทั้งโต๊ะก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ ชาญวิทย์ก็เอาแต่นั่งเงียบรอดูสถานการณ์ไปก่อน“พี่ชาญทานเหมือนเดิมมั้ยคะ?” ไพลินถามชาญวิทย์ขึ้นมาอย่างใส่ใจ เพราะนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งในหน้าที่ของเธอเหมือนกัน แต่การกระทำของเธอทำให้คนที่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วยไม่พอใจขึ้นมา“คุณพราวเป็นยังไงบ้าง ยังแพ้ท้องอยู่หรือเปล่า?” วรานนท์ถามขึ้นมาในขณะที่รออาหารมาเสิร์ฟ“แพ้หนักมาก ฉันจะพาไปหาหมอพราวก็ไม่ยอมไป” ชาญวิทย์พูดออกไปตามอาการที่เห็น แล้วอยู่ๆ ก็นึกเป็นห่วงเมียกับลูกขึ้นมา ถึงจะมีแม่กับแม่บ้านคอยดูแลอยู่ก็ตาม“แกรีบไปไหนมั้ยว่ะ?” ชาญวิทย์ถามวรานนท์ขึ้นมาทันที“ไม่”“ถ้างั้นฉันรบกวนไปส่งน้องลินหน่อยนะ พี่ลืมไปว่าพราวรอทานข้าวกับพี่ ลินเข้าบริษัทกับไอ้นนท์
ไพลินนั่งนิ่งอยู่บนหน้าตักของวรานนท์ โดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือจะต้องทำยังไงเพราะอยู่ๆ เธอก็เหมือนโดนสะกดด้วยอ้อมแขนแกร่ง ยิ่งได้กลิ่นอบอุ่นประจำตัวเขา เธอก็ยิ่งคิดอะไรไม่ออก นอกจากภาพความสุขที่เคยทำร่วมกัน“ฉันคิดถึงเธอนะ” เขากระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และอ้อมกอดที่อบอุ่นทำให้เธอคล้อยตามและเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา แต่ก็ยังนั่งตัวแกร็งไม่ยอมสบตาของเจ้าของแขนแกร่ง“ไม่คิดถึงฉันเลยเหรอ” วรานนท์กระซิบข้างใบหูเล็ก ลมหายใจอุ่นๆ ลดแก้มใสจนไพลินขนลุกไปทั้งตัว นานเหมือนกันที่เธอไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้“คุณพูดจริงเหรอคะ” ไพลินถามออกไปเสียงสั่น เมื่อมือหนาลูบไล้แผ่นหลังของเธ“ฉันพูดจริงทุกเรื่อง และฉันก็จะไม่ยอมปล่อยเธอให้คลาดสายตาอีกแล้ว”วรานนท์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง เช่นเดียวกับความต้องการของร่างกายที่แสดงออกว่าต้องการเธออย่างชัดเจน“แต่... อุ๊ป” ไพลินกำลังจะถามต่อ แต่คำพูดของเธอกลับโดนกลืนกินหายไป แล้วแทนที่ด้วยจูบอันดูดดื่มลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากหวาน ไล้เลียตามไรฟันอย่างช่ำชอง ความต้องการเพิ่มมากขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อคนในอ้อมแขนจูบตอบ ทั้งสองคนจูบแลกลิ้นกันอย่าง
“รีบทานสิ หิวไม่ใช่เหรอ” วรานนท์พูดออกไปท่าทางทะเล้น แล้วมองบะหมี่ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าด้วยท่าทางสนใจ และแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ว่าเธอจะพูดเรื่องอะไร“คุณไปพูดอะไร ทำไมป้าถึงได้พูดแบบนั้น แล้วยังเสิร์ฟบะหมี่ให้คุณก่อนคนอื่นอีก แถมยังเสิร์ฟน้ำให้ที่โต๊ะทั้งๆ ที่มีป้ายเขียนไว้ว่าให้บริการตัวเองอีกด้วย” ไพลินขมวดคิ้วอย่างงุนงงแล้วถามออกไปด้วยท่าทางสงสัย“ไม่มีอะไรหรอก รีบทานเถอะ หิวจะแย่แล้ว” วรานนท์แกล้งลูบท้องเหมือนที่เธอทำก่อนหน้า แต่คนตรงหน้ากลับไม่ขำ แล้วยังแย่งชามบะหมี่ของเขาไปอีกต่างหาก“ตอบมาก่อนสิคะว่าคุณไปพูดอะไรกับป้าไว้?” ไพลินถามด้วยท่าทางสงสัย“ก็แค่บอกว่าเมียท้อง แล้วก็ชอบโวยวายเวลาที่ต้องรออะไรนานๆ”วรานนท์ตอบไปด้วยท่าทางทะเล้น โดยที่ไม่ได้เกรงกลัวกับสายตาที่ดุดันของเธอเลยแม้แต่น้อย“พูดอะไรของคุณเนี่ย แบบนี้คนอื่นก็เข้าใจผิดหน่ะสิ” ไพลินขมวดคิ้วด้วยท่าทางไม่พอใจ“ถ้าไม่อยากให้มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เราก็ทำให้มันเป็นเรื่องจริงเลยดีมั้ยหล่ะ”ใบหน้าหล่อเลิกคิ้วถามด้วยท่าทางทะเล้น สายตาที่มองเธอกลับแสดงออกว่าเขาเอาจริง จนไพลินต้องหลบสายตา แล้วรีบคืนชามบะหมี่ให้เขาทันที โดยไม่พูด
- สองวันต่อมา -@บ้านกิตติคุณเวลา 10.00 น.หลังจากที่วรานนท์ได้ออกจากโรงพยาบาลก็กลับมาพักฟื้นที่บ้าน คุณหญิงวรมลต่างให้แม่บ้านจัดเตรียมอาหารต้อนรับลูกชายกลับบ้าน มีทั้งอาหารคาวหวานต่างๆ มากมายหลายเมนู พร้อมกับจัดเตรียมห้องไว้สำหรับไพลินกับวรานนท์หลังจากที่เรื่องไม่ดีต่างๆ ผ่านไปก็ย่อมมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น อย่างที่เขาว่ากันว่า... ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ... ชีวิตของไพลินก็เช่นกันบนโต๊ะอาหารที่มีอาหารต่างๆ หลากหลายเมนูให้เลือกทานที่ถูกจัดแต่งไว้บนโต๊ะอย่างสวยงาม ที่โต๊ะอาหารกลับมีคนนั่งอยู่แค่เพียงสี่คน แต่กลับทำอาหารเยอะแยะมากมายราวกับทำเอาไว้เลี้ยงคนทั้งซอยไพลินนั่งมองอาหารด้วยท่าทางตื่นเต้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคุณหญิงวรมลและวนิดา ครั้งก่อนเธอยังได้ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ของบ้านหลังนี้อยู่เลย แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้...ไพลินยังคงตื่นเต้นอยู่ภายในใจไม่หาย“ทานเยอะๆ นะตานนท์... ไพลินก็ด้วยนะ” คุณหญิงบอกลูกชายอย่างห่วงใย ก่อนที่จะหันไปบอกไพลินด้วยความเป็นห่วงหลานที่อยู่ในท้องของเธอ“ค่ะ... คุณหญิง” ไพลินพูดออกมาอย่างอ่อนน้อม“คุณหญิงอะไรหล่ะ เรียกคุณแม่แบบตา
- สองเดือนต่อมา -ไพลินนั่งมองวรานนท์อย่างอ่อนใจ วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธออยู่ดูแลวรานนท์แทบจะตลอดเวลา ใช้ชีวิตทุกอย่างอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ว่าจะกินข้าว จะนอน จะอาบน้ำ เธอแทบจะไม่ได้ออกไปไหน เรียกได้ว่าโรงพยาบาลจนแทบจะเป็นบ้านของเธอกับวรานนท์อีกหลังเลยก็ว่าได้ไพลินไม่อยากออกไปไหนเพราะกลัวว่าวรานนท์จะตื่นมาไม่เจอเธอ ในทุกๆ วันจะมีคุณหมอและพยาบาลเข้ามาตรวจและดูแลวรานนท์อยู่ตลอด ไพลินก็จะจัดดอกไม้ภายในห้องให้ดูสดใสและสวยงามอยู่ตลอดเช่นกัน เพราะเธอเชื่อว่าดอกไม้จะทำให้วรานนท์สดชื่นและจะได้รีบฟื้นขึ้นมาหาเธอกับลูกในเร็วๆส่วนคุณหญิงวรมลกับวนิดาก็วิ่งวุ่นอยู่กับเรื่องงาน เพราะตั้งแต่ที่วรานนท์เกิดอุบัติเหตุ หุ้นในบริษัทก็ลดลง จนคุณหญิงกับวนิดาต้องเข้าไปช่วยกันบริหารต่อจากวรานนท์ ส่วนเรื่องที่โรงพยาบาลไพลินอาสาที่จะดูแลวรานนท์ให้ ในตอนแรกคุณหญิงไม่ยอมเพราะเป็นห่วงหลานคนแรกทีี่อยู่ในท้องของไพลิน แต่ไพลินก็ดื้อไม่ยอม ยังคงยืนยันที่จะเป็นคนดูแลวรานนท์ คุณหญิงวรมลจึงจำยอมอย่างขัดไม่ได้ แต่คุณหญิงกับวนิดาก็เข้ามาหาไพลินกับวรานนท์ที่โรงพยาบาลทุกวัน“ลินอยากให้พี่นนท์ตื่นขึ้นมาเร็วๆ จัง อีกไม่กี
“สวัสดี... ไพลิน” อยู่ๆ ก็มีเสียงแหบของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยทักทายไพลินขึ้นมา“อะ เอ่อ... สวัสดีค่ะ”ไพลินตกใจเมื่อได้ยินเสียงและเห็นบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน จนเธอรู้สึกกลัวขึ้นมาเพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นคือคุณหญิงวรมลกับวนิดานั่นเอง“ทำไมเธอถึง...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องหยุดพูดเสียก่อน“ลินไม่ได้เป็นคนบอกเรื่องนี้ให้คุณชาญรู้นะคะ... ลินจะไม่กลับไปหาคุณนนท์อีก ลินสัญญาค่ะ แต่...” ไพลินรีบพูดสวนขึ้นมาทันที เพราะกลัวคุณหญิงวรมลจะเข้าใจผิด ก่อนที่เธอจะเว้นระยะของคำพูดไว้“ลินอยากรู้แค่ว่า... ตอนนี้คุณนนท์เป็นยังไงบ้างคะ” ไพลินก้มหน้าก้มตาพูดออกมาด้วยความกลัวคุณหญิง“ตานนท์จะเป็นหนักกว่านี้ก็เพราะเธอนั้นแหละ!!” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเรียบ พร้อมกับมองหน้าของไพลินด้วยสีหน้าและท่าทางเคร่งเครียด“คุณแม่คะ...” วนิดารีบพูดขึ้นเพื่อเตือนให้คนเป็นแม่ใจเย็นๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้ แต่คุณหญิงก็ทำหูทวนลมไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย“ลินขอโทษนะคะ” ไพลินพูดออกมาเสียงเบา ด้วยท่าทางที่รู้สึกผิด“ขอโทษเหรอ... ขอโทษแล้ว
หลังจากที่ชาญวิทย์นั่งคุยเรื่องแผนการที่จะทำให้ไพลินกลับมา กับวนิดาและคุณหญิงวรมลอย่างเข้าใจกันในทุกฝ่ายแล้ว ชาญวิทย์จึงขอตัวกลับก่อน ถึงแม้คุณหญิงวรมลกับวนิดาจะยังไม่อยากให้กลับและขอร้องให้เขาอยู่จนไพลินโทรกลับมาก็ตาม ชาญวิทย์จึงจำเป็นต้องโกหกว่าต้องเข้าไปทำงานที่บริษัท คุณหญิงวรมลจึงให้เขากลับก่อน ได้เรื่องยังไงให้รีบโทรมาบอกวนิดากับคุณหญิงวรมลทันที...ชาญวิทย์ขับรถออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์ของชาญวิทย์ก็ดังขึ้น...สายตาคมมองทางข้างหน้าอย่างตั้งใจ มือหนารีบควานหาโทรศัพท์เพื่อจะได้ดูว่าใครที่โทรมา และชาญวิทย์ก็รีบกดรับสายทันทีที่เห็นว่าเป็นไพลินโทรมา“ครับน้องลิน” ชาญวิทย์ไม่รอช้ารีบพูดทักทายขึ้นมาทันที(พี่นนท์เป็นยังไงบ้างคะ?) ไพลินเองก็รีบถามออกมาทันทีด้วยความเป็นห่วงคนรัก“เอ่อ... คือว่า...” ชาญวิทย์พูดออกมาตะกุกตะกัก เพราะยังไม่ได้เตรียมคำพูดที่จะพูดกับไพลิน(คืออะไรคะ... พี่นนท์เป็นอะไร?) ไพลินคิดไปไกลกับท่าทางและคำพูดที่ฟังดูไม่ค่อยสู้ดีนักของชาญวิทย์ จึงรีบถามขึ้นมาทันที“น้องลินว่างมั้ยครับ... ออกมาเจอพี่ที่ร้านกาแฟxxxหน่อยได้มั้ย พี่จะบอกอาการของไอ้นนท์ให้น้องลินฟ
@โรงพยาบาลxxx“คิดอะไรอยู่เหรอยัยดา?” คุณหญิงวรมลเอ่ยถามวนิดาออกมาด้วยความสงสัย เพราะเห็นวนิดาเอาแต่นั่งเหม่อ ไม่สนใจอะไรอยู่สักพักแล้ว“คะคุณแม่...” วนิดาถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงของคุณหญิงวรมลพูดขึ้น แต่ด้วยใจที่เหม่อลอยจึงทำให้เธอไม่ได้ยินในสิ่งที่คุณหญิงวรมลพูดออกมาสักเท่าไหร่ เธอจึงถามออกไปทันทีที่มีสติขึ้นมา“แม่ถามว่าเป็นอะไร... คิดอะไรอยู่ถึงได้นั่งเหม่อขนาดนี้” คุณหญิงวรมลจึงถามออกมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง“คือ... ดากำลังคิดอยู่ค่ะว่าจะไปตามหาไพลินที่ไหนได้บ้าง” วนิดาพูดออกมาด้วยท่าทางที่คิดหนัก เพราะเธอไม่รู้ว่าไพลินจะไปอยู่ที่ไหนหรือว่าจะไปอยู่กับใคร นอกจากบ้านของเธอกับคอนโดของวรานนท์แล้วไพลินก็ไม่เคยไปอยู่ที่ไหนกับใครเลยสักครั้ง“จริงด้วยสิ...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเบา ก่อนที่จะเดินไปหาวรานนท์ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง“แม่จะทำยังไงดีตานนท์...” คุณหญิงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เตียง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับมือของวรานนท์เอาไว้ด้วยความหนักใจ ไม่รู้ว่าจะไปตามหาไพลินที่ไหน..ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!“สวัสดีครับ...”ทันทีที่เสียงเคาะประตูเงียบลง ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชาญวิทย์ดังขึ้
- วันต่อมา -“เป็นยังไงบ้างยัยดา?”คุณหญิงวรมลเอ่ยถามลูกสาวออกมาเสียงเรียบ ทันทีที่เดินเข้ามายังห้องที่วรานนท์พักฟื้นอยู่“อาการก็ยังเหมือนเดิมค่ะคุณแม่” วนิดาพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ไม่อยากให้คุณหญิงวรมลต้องเป็นห่วง“ถ้าตานนท์ตื่นขึ้นมาเร็วๆ ก็คงจะดี...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเศร้า“คุณแม่คะ... ดามีเรื่องจะคุยกับคุณแม่ค่ะ” วนิดาพูดออกมาด้วยท่าทางที่จริงจัง“เรื่องอะไร?” คุณหญิงวรมลถามออกมาด้วยความสงสัยเมื่อได้เห็นท่าทางของลูกสาว“เรื่อง... ลินค่ะ” วนิดาพูดออกมาเสียงเรียบ“ดา... แม่ว่าเราอย่า...” คุณหญิงวรมลที่กำลังจะห้ามลูกสาวไม่ให้พูดถึงไพลิน แต่คุณหญิงพูดยังไม่ทันจบ วนิดาก็พูดสวนขึ้นมาทันที“คุณแม่ไม่อยากช่วยให้พี่นนท์ฟื้นเหรอคะ” วนิดาพูดออกมาด้วยความอยากรู้คุณหญิงวรมลนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา เพราะรู้ดีว่าวนิดากำลังคิดจะทำอะไร“คุณแม่ลองคิดดูดีๆ นะคะ ที่พี่นนท์ต้องเป็นแบบนี้เพราะใคร” วนิดาพูดออกมาพร้อมกับมองหน้าผู้เป็นแม่อย่างรอคำตอบ“ก็เพราะนังลินไง!! ตานนท์ถึงต้องเป็นแบบนี้!!” คุณหญิงวรมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจงเกลียดจงชัง“คุณแม่คะ…” วนิดามองหน้าคุณแม่อย่างไม่เข้าใจคุณหญิง
บรึ้มมมมโคร่มมมมม!!!!!!!!!!ภายในเวลาไม่นานก็มีเสียงอุบัติเหตุดังขึ้นมาเสียงดัง ผู้คนมากมายที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็รีบเข้าไปดูและรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยเหลือยังจุดเกิดเหตุทันทีอุบัติเหตุในครั้งนี้พบเป็นรถเก๋งคันหรูขับมาด้วยความเร็วพุ่งชนกับรถสิบล้อขนส่งสินค้าของบริษัทแห่งหนึ่ง จนทำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัสหนึ่งคน นั่นก็คือวรานนท์...เสียงโทรศัพท์มือถือของคุณวรมลดังขึ้นมาเสียงดัง“สวัสดีค่ะ” เสียงปลายสายพูดขึ้นมาเสียงเรียบทันทีที่รู้ว่าคุณหญิงวรมลนั้นกดรับสาย“ค่ะ” คุณหญิงวรมลพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก“ญาติของคุณวรานนท์ใช่มั้ยคะ?” เสียงหญิงสาวที่อยู่ปลายสายก็เอ่ยถามออกมาด้วยท่าทางเร่งรีบ“ค่ะ... ใช่ค่ะ ฉันเป็นแม่ของตานนท์ มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” คุณหญิงวรมลได้ยินเสียงหญิงสาวที่อยู่ปลายสายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงรีบถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงวรานนท์“ตอนนี้คุณวรานนท์เกิดอุบัติเหตุที่xxxและตอนนี้อยู่ที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลxxxค่ะ อาการของคนไข้ตอนนี้ห้าสิบห้าสิบ หน่วยแพทย์ฉุกเฉินกำลังช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ฉันจึงติดต่อเพื่อที่จะแจ้งให้ญาติทราบและมาดูอาการค่ะ” เสียงปล
@คอนโดวรานนท์ตลอดทางที่กลับมาจากเกาะไม่ว่าจะเป็นตอนนั่งเรือหรือตอนที่นั่งรถกลับมาที่คอนโด ตลอดทางไพลินได้แต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรจนมาถึงคอนโดเมื่อมาถึงคอนโด วรานนท์ก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที เพราะต้องรีบเข้าไปเคลียร์งานที่บริษัท“พี่จะเข้าบริษัทนะ” วรานนท์พูดออกมาเสียงเรียบเมื่อเห็นไพลินนั่งอยู่ที่โซฟาไพลินที่นั่งอยู่ก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มให้วรานนท์ทันที เธอพยายามทำตัวให้ปกติ ให้เหมือนกับทุกๆ วันและทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันกับเขา ถึงแม้ว่าข้างในใจเธอจะแตกสลายไปจนไม่เป็นชิ้นดี แต่เธอก็ต้องทำตัวให้เป็นปกติให้ได้ถึงใบหน้าสวยจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่ความจริงแล้วมีเพียงน้ำตาที่ไหลอยู่ภายใน วันนี้แล้วที่จะต้องจากเขาไป และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ ที่จะได้มีความสุขด้วยกัน และได้เห็นรอยยิ้มของกันและกันแบบนี้ ทุกสิ่ง ทุกความทรงจำที่เกี่ยวกับเขา เธอจะเก็บทุกอย่างไว้ในใจตลอดไป...“ค่ะ... แล้วพี่นนท์จะกลับตอนไหนคะ?” ไพลินพูดออกมาเสียงเบา เมื่อได้เห็นว่าวรานนท์อยู่ในชุดที่พร้อมจะออกไปทำงาน ไม่ได้อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเหมือนกับชุดตอนที่ใส่กลับจากเกาะ“ตอนเย็นนะหรือไม่ก็อาจจะค่ำ
“ไปเดินเล่นกันเถอะค่ะพี่นนท์” ไพลินพูดออกไปทันทีที่เห็นวรานนท์นั่งเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่น“อารมณ์ไหนเนี่ย?” ร่างหนาที่กำลังนั่งเล่นอยู่ก็ถามออกมาเสียงเรียบด้วยความสงสัยและแปลกใจ“คือ... ลินอยากไปดูพระอาทิตย์ตกค่ะ ลินอยากรู้ว่าตอนเช้าที่พระอาทิตย์ขึ้นกับตอนเย็นที่พระอาทิตย์ตกแบบไหนจะสวยกว่ากันค่ะ” ไพลินพูดออกไปด้วยท่าทางตื่นเต้นถึงภายนอกไพลินจะดูมีความสุขกับการที่ได้อยู่กับวรานนท์ แต่ภายในใจเธอกลับเต็มไปด้วยความเศร้า พรุ่งนี้เธอก็ต้องจากเขาไป จะไม่มีวันที่จะได้กลับมาเจอกันอีก“พี่ว่า... แบบลินสวยกว่านะ” ร่างหนาลุกขึ้นเดินไปจับมือไพลิน แล้วเดินออกจากบ้าน ตรงไปที่หาดทรายขาว โดยที่ไม่รู้เลยว่าร่างบางที่เดินอยู่ข้างๆ ตอนนี้เขินอายจนใบหน้าแดงกร่ำ เพราะคำพูดของเขา“ลินเคยมาทะเลมั้ย?” เมื่อเดินมาถึงชายหาด วรานนท์จึงเอ่ยถามไพลินขึ้นมาทันที“นี่เป็น... ครั้งแรกค่ะ” ไพลินพูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ“จริงเหรอ?” วรานนท์ถามย้ำออกไป เพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“จริงค่ะ... นี่เป็นครั้งแรกแล้วก็เป็นที่แรกด้วยค่ะ” ไพลินพูดออกไปตามความจริง“แปลกดีนะ” วรานนท์พูดออกไปด้วยท่าทางสงสัย“แปลก... แปลกอะ