โหลวฉางเยว่ถูกคนตรงหน้าดึงจนเกือบล้ม พอเห็นชัดๆ เป็นเซวียเสี่ยวเองเซวียเสี่ยวตาแดงก่ำ พูดอย่างสะอื้นว่า "เลขาโหลว ฉันรู้ว่าทำผิดไปแล้ว อภัยให้ด้วยค่ะ ให้ฉันกลับไปทำงานที่เซิ่นซื่อเถอะ"โหลวฉางเยว่เผชิญหน้ากับความงุนงงเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาสงบเธอคว้ามือของเซวียเสี่ยวที่จับแขนเธอ พูดอย่างมีเหตุผลว่า "คุณเซวียยกย่องฉันเกินไปแล้ว การไล่คุณออกเป็นคำสั่งของประธานเซิ่น มันไม่เกี่ยวกับฉัน"เธอไม่ได้พูดอะไรมากกับเซวียเสี่ยว และเดินจากไปเซวียเสี่ยวรู้สึกอารมณ์เสียถึงขีดสุด ร้องไห้โฮ และด่าทอโหลวฉางเยว่หลังเธอเดินจากไป"โหลวฉางเยว่! นังบ้า! แกไม่ได้พึ่งผู้ชายเหรอ! แกมีอะไรดี อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ แกเข้ามาที่เซิ่นซื่อเพราะน้องชายของประธานเซิ่น! ตอนนี้ก็พึ่งประธานหลิ่วเชิดหน้าชูตา! รอดูเถอะ! แกไม่ได้ดีแบบนี้ตลอดไปหรอก ฉันจะรอวันที่แกตกที่นั่งลำบาก!"เดิมที่นี้อยู่ใกล้กับเซิ่นซื่อ ยิ่งเป็นเวลาพักเที่ยง รอบๆมีพนักงานของเซิ่นซื่อเยอะมาก เห็นเลขาและผู้ช่วยเก่าของประธานทะเลาะกันบนถนน จึงหยุดมองด้วยความสนใจโหลวฉางเยว่ไม่ได้หันหลังกลับ เดินตรงเข้าไปในเซิ่นซื่อเนี่ยเหลียนอี้เดินออกจากร้านอาหารเล็ก
“……”โหลวฉางเยว่กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนเปิดปากพูด ด้วยเสียงแหบพร่า แถมอ่อนแรงอีกด้วย "ถ้าหากคุณเหวินต้องการโต๊ะนี้ ฉันก็ยินดีให้คุณ" เหวินเหยียนโจวขมวดคิ้ว "เสียงคุณเป็นอะไรไป?" โหลวฉางเยว่พยายามดิ้น แต่เหวินเหยียนโจวสั่ง "นั่งลงกินข้าว แล้วผมจะพาไปโรงพยาบาล" "ไม่อยากรบกวนประธานเหวิน" เธอยืนกรานที่จะออกไป แต่เหวินเหยียนโจวก็ไม่ยอมให้ไป ทั้งสองคนดึงกันไปมา จนถาดข้าวที่มีโจ๊กซี่โครงหมูหก บางส่วนกระเด็นมาโดนหลังมือโหลวฉางเยว่ ทำให้เธอโกรธจนตัวสั่น เธอฟาดถาดลงบนโต๊ะ ทำให้คนในห้องอาหารหันมามอง ใบหน้าของเหวินเหยียนโจวซีดลงทันที "ใครสอนให้ฟาดถาด" พ่อของเหวินเหยียนโจวเคยตบโต๊ะต่อหน้าเขา เขาเพียงเดินออกไป นับประสาอะไรกับคนอื่น โหลวฉางเยว่ กล้าหาญมาก! … หลังจากโหลวฉางเยว่ขว้างถาดจบ ก็เริ่มรู้สึกเสียใจ แต่พอเธอเห็นเขา ก็นึกถึงเรื่องที่เขามองเธอเป็นตัวสำรอง บวกกับคอไม่สบาย เซวียเสี่ยวที่เห่าไปมาเหมือนสุนัขบ้า ทำให้เธอไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้ เธอก้มหน้าลง "ทำไม ประธานเหวินถึงทำอะไรตามใจตัวเอง ฉันไม่แม้จะมีสิทธิ์แสดงอารมณ์เลยเหรอ?" เธอจะพูดยังยาก พูดแล้วหยุดหลายครั้ง เหว
โหลวฉางเยว่ก้มหัวลง ทานโจ๊กต่อ เพิ่มพุทราสีแดงและเม็ดเก๋ากี๊ลงในโจ๊ก ทำให้มีรสหวานขึ้น แต่ตอนนี้เธอรู้สึกไม่สบายคอ กินอะไรหวานๆก็ยิ่งไม่สบายขึ้นไปอีกเธอรู้สึกเสียดาย ควรจะปรุงบะหมี่เส้นเล็กซุปใสสักถ้วย แต่เธอไม่มีนิสัยกินทิ้งกินขว้าง จึงทานต่อไปเหวินเหยียนโจวจ้องมองศีรษะของเธอ น้ำเสียงแผ่วเบา "ประโยคที่พูดตอนเรายังเด็ก นับด้วยเหรอ?"โหลวฉางเยว่เงยหน้าขึ้นทันทีเหวินเหยียนโจวคุมสติไม่อยู่ ตอนที่เธอโยนชาม โดนเธอขอให้ตัดเขาตัดสัมพันธ์กับคู่หมั้นอย่างไร้ยางอาย ตอนนี้มองเธออย่างเย็นชา"คุณจริงจังกับซางฉือซวี่ แต่อย่าคิดว่าคนอื่นเหมือนคุณ ตอนอายุยังน้อยก็คิดว่าความรักสำคัญเหนือเงินทองหรือสิ่งอื่นใด เราไม่ได้แก่แดดเหมือนคุณ แค่สนุกกันเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นรักแรก"เรื่องของโหลวฉางเยว่และซางฉือซวี่ เกิดขึ้นตอนมัธยมโหลวฉางเยว่จับช้อนแน่นขึ้น เปิดปากพูด "ไม่นับเหรอ? ไม่เป็นไร? งั้นคุณก็ยังฟังคำสั่งของเนี่ยเหลียนอี้อยู่เหรอ?"เหวินเหยียนโจวนึกไม่ออกว่าเขาเคยฟังคำสั่งของเนี่ยเหลียนอี้ตอนไหนโหลวฉางเยว่กินโจ๊กอีกสองสามคำ รู้สึกว่าเหนียวคอ ไม่สบาย จึงลุกขึ้นไปเทน้ำสาลี่เหวินเยียนโจวเอนกายไปด้านห
โหลวฉางเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเซวียเสี่ยวคล้องแขนตนเองกับรองประธานหู ท่าทางสนิทสนมกันในใจของโหลวฉางเยว่ฉุกคิดขึ้นมาทันทีจากข้อมูลที่หลิ่วเยี่ยนให้มา รองประธานหูแต่งงานแล้ว และมีลูกสองคน แต่ก็มักจะแอบไปมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนกับผู้หญิงคนอื่นงั้นหลังจากเซวียเสี่ยวออกจากเซิ่นซื่อ ก็ไปหารองประธานหูเหรอ?ความรู้สึกแรกของโหลวฉางเยว่ คือเสียดายความสามารถในการทำงานของเซวียเสี่ยว จริงๆก็ค่อนข้างดีแต่ทุกคนมีทางเลือก โหลวฉางเยว่ไม่คิดจะพูดอะไรเพิ่มเติม และเพิกเฉยต่อสายตาท้าทายของเซวียเสี่ยว ยิ้มแล้วก้าวไปข้างหน้า"ประธานหู ฉันเป็นเลขาของเซิ่นซื่อ โหลวฉางเยว่ค่ะ"รองประธานหูส่งยิ้มสดใสเมื่อเห็นเธอ มองเธอจากหัวจรดเท้าอย่างไม่ปิดบัง พูดด้วยรอยยิ้มที่กว้างจนแทบไม่เห็นดวงตา "จริงๆได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วล่ะ"เขาจับมือกับโหลวฉางเยว่ ไม่ได้รีบปล่อยมือ "ตอนคุณโหลวยังทำงานที่ปี้หยุน ผมก็ได้ยินชื่อของคุณแล้ว หลังจากคุณออกจากปี้หยุน ผมอยากดึงคุณเข้ามาทำงานที่บริษัทของเรา แต่รองประธานเหวินไม่อนุญาต ผมก็ไม่มีทางเลือก ทำให้ต้องเสียท่าทีที่ดีไป ไม่คิดว่าเลขาโหลวจะไปทำงานที่เซิ่นซื่อ"โหลวฉางเยว่
รองประธานหูรู้สึกประหลาดใจ "เลขาโหลวเต้นเป็นด้วยเหรอครับ?"เซวียเสี่ยวเจียวยิ้ม "ใช่ ยังเต้นคลาสสิคได้ เต้นในวันครบรอบโรงเรียน และกลายเป็นคนรักในฝันของเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ครึ่งโรงเรียน จดหมายสารภาพรักเต็มตู้หนังสือ ตั้งแต่เด็กจนโตเลขาโหลวก็ได้รับความนิยมจากผู้ชายไม่ขาด ผู้ชายชอบอะไรเธอก็ชอบด้วย ไม่งั้น คงไม่สบายขนาดนี้”เธอเหลือบมองโต๊ะอาหารตรงหน้า มีเพียงขวดไวน์วางอยู่ “พนักงานยังไม่ได้เสิร์ฟอาหารเลย เลขาโหลว ใช้โต๊ะทานอาหารเป็นเวทีแล้วขึ้นเต้นรำไปสิ”สีหน้าของผู้ช่วยและที่ปรึกษาธุรกิจดูน่าเกลียดเล็กน้อยนี่ไม่ใช่แค่ความอับอาย แต่เป็นการดูถูกอีกด้วย!เต้นบนโต๊ะอาหาร? ไม่ได้หมายความว่า โหลวฉางเยว่เป็นอาหารที่ใครๆ ก็ลิ้มลองได้ใช่ไหม?ไร้เหตุผลขนาดไหน!ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยพบ หุ้นส่วนที่ฉวยโอกาสหารือ ร่วมมือกัน แต่พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากเซิ่นซื่อ และอีกฝ่ายปกติก็ไม่กล้าล่วงเกิน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะโดนหมายหัว โดยอดีตเพื่อนร่วมงานที่ออกจากเซิ่นซื่อ!อารมณ์ของโหลวฉางเยว่ไม่เปลี่ยนแปลง เธอสามารถทนต่อแรงกดดัน ไม่เปลี่ยนสีหน้าง่ายๆแค่กำลังคิด ว่าเซวียเสี่ยว รู้ได้ยังไงว่าเธอเคยอยู่ในทีมเต้นข
เหวินเหยียนโจวสวมชุดสูทสีดำเดินเข้ามา ขนาบข้างด้วยเนี่ยเหลียนอี้และเหอชิง ด้านหลังเขามีบอดี้การ์ด ให้ความรูสึกทั้งมืดมนและสง่างามในเวลาเดียวกัน!ทุกคนยืนขึ้นโดยสัญชาตญาณ ไม่มีใครไม่รู้จักเหวินเหยียนโจวหลังจากที่รองประธานหูตกตะลึงไปไม่กี่วินาที เขาก็ยิ้มโดยไม่รู้ตัว “ประธานเหวินครับ......ประธานเหวิน! คุณมาที่นี่ได้ยังไง? ”ดวงตาของเหวินเหยียนโจวมองผ่านร่างของโหลวฉางเยว่ การหายใจของโหลวฉางเยว่หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง และเธอก็ประหลาดใจกับการมาถึงของเขาฤดูหนาวที่ซีเฉิงหนาวมาก เหวินเหยียนโจวสวมถุงมือหนังสีดำ เขาถอดถุงมือออกแล้วพูดเบาๆ “ผมได้ยินมาว่ามีการแสดงเต้นรำที่นี่ ผมจึงมาที่นี่เพื่อชมสักหน่อย รองประธานหู คุณจะรังเกียจไหมที่ผมเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ”“แน่นอน ผมไม่รังเกียจครับ! ประธานเหวินเองก็อยากชมการเต้นรำด้วยเหรอครับ? ”ความคิดของรองประธานหูหมุนอย่างรวดเร็ว —— ทุกคนในแวดวงรู้ว่าเหวินเหยียนโจวได้สั่งแบนโหลวฉางเยว่ เขาคงยังมีความแค้นกับโหลวฉางเยว่อยู่ จึงมาที่นี่เพื่อดูเรื่องตลกสินะ?ความหมายของเหวินเหยียนโจวไม่ชัดเจน “ผมไม่เคยเห็นการเต้นรำบนโต๊ะมาก่อน ค่อนข้างสนใจมาก”รองประธานห
มีเหวินเหยียนโจวคุมสถานการณ์อยู่ ความร่วมมือระหว่างโหลวฉางเยว่และรองประธานหูอาจกล่าวได้ว่าราบรื่น และเวลาในการลงนามก็เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงโหลวฉางเยว่หยิบแก้วไวน์ขึ้นมา “ฉันขอดื่มให้กับประธานเหวินและประธานหูค่ะ ฉันหวังว่าเราทั้งสามคนจะมีโอกาสร่วมมือกันในอนาคตนะคะ”เหวินเหยียนโจวหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาแล้วเคาะที่โต๊ะเบาๆ เพื่อถือว่าได้ดื่มอวยพรแล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับโหลวฉางเยว่อีก รองประธานหูกลัวว่าเหวินเหยียนโจวจะโกรธเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ เขาจึงยกย่อปอปั้นเขาทุกวิถีทางปกติเหวินเหยียนโจวเองก็มีทัศนคติที่ไม่แยแสอยู่แล้วเมื่อโหลวฉางเยว่เห็นว่าไม่มีที่ไหนที่ต้องการเธอแล้วในตอนนี้ เธอจึงพูดกับผู้ช่วยของเธอ แล้วลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำหลังจากที่เธอเข้าห้องน้ำเสร็จ เธอก็ออกมา และเห็นเนี่ยเหลียนอี้ยืนอยู่หน้ากระจก กำลังเติมหน้าของเธออยู่เธอหลับตาแล้วเดินไปล้างมือ หยิบกระดาษอีกแผ่นมาเช็ดมือ แล้วกลับไปงานเลี้ยงเนี่ยเหลียนอี้ปิดตลับคุชชั่น “ฉางเยว่ ดูเหมือนว่าเธอยังไม่ได้ขอบคุณฉันเลยนะ”โหลวฉางเยว่หันกลับมา “หืม? ฉันควรจะขอบคุณคุณเนี่ยเรื่องอะไรเหรอคะ? ”เ
หลังอาหารเย็น โหลวฉางเยว่ได้พาคนของเสิ่นซื่อกรุ๊ป ตามเหวินเหยียนโจวและคนอื่นๆออกจากเสมือนดั่งฝันนักธุรกิจมีไหวพริบมากและพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “เลขาโหลว เราต้องขึ้นรถไฟใต้ดิน ดังนั้นเราจึงต้องขอตัวกลับก่อน”โหลวฉางเยว่พยักหน้า “ได้ เดินทางปลอดภัย พรุ่งนี้เจอกันที่บริษัท”“เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”หลังจากที่ทั้งสามคนออกไปแล้ว เหอชิงก็ขับรถของเหวินเหยียนโจวมาขณะที่บอดี้การ์ดกำลังจะเปิดประตูรถให้เหวินเหยียนโจว โหลวฉางเยว่ก็ริเริ่มเดินไปเปิดประตูเบาะหลังแล้วเรียก “ประธานเหวิน”ตอนที่เธอยังอยู่ที่ปี๋หยุน ทุกครั้งที่เธอออกไปกับเหวินเหยียนโจว เธอก็จะเป็นคนเปิดประตูรถให้เขาเหมือนกับตอนนี้ทุกประการเหวินเหยียนโจวมองเธอด้วยดวงตาสีเข้มเนี่ยเหลียนอี้จำสิ่งที่โหลวฉางเยว่พูดในห้องน้ำได้ และดึงเสื้อของเหวินเหยียนโจวแน่น แต่เหวินเหยียนโจวก็ยังคงมองไปที่โหลวฉางเยว่ เธอกัดฟันวิ่งไปและผลักโหลวฉางเยว่ออกให้พ้นทาง“คุณโหลว ทำไมคุณไม่ไปกับเพื่อนร่วมงานล่ะคะ? ถ้าคุณอยากเรียกรถเอง ก็รีบๆเรียกสิคะ หากช้ากว่านี้จะไม่ปลอดภัยเอาได้นะคะ”โหลวฉางเยว่พูดอย่างสุภาพ “ประธานเหวินไม่ได้อาศัยอยู่ในโรงแรมเดียวกับฉันหร
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ