จิ้นเหอร้องเรียกและไม่ยอมลดละติดตามร่างอรชรในชุดพลิ้วเบาที่ลอยตัวอยู่ไม่ห่างจากสายตาของเขาแม้เป็นคืนเดือนเสี้ยว ด้วยวิชาการรบและชั้นเชิงการต่อสู้ที่ไม่เป็นรองผู้ใดทำให้หนึ่งในแม่ทัพใหญ่แห่งองค์ซ่งไท่จู่ผู้เกรียงไกรที่แม้มิอาจลอยตัวเหยียบปลายไม้ได้หากก็สามารถกระโดดข้ามจากไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นอย่างว่องไว
“หยุดเดี๋ยวนี้...อย่าคิดว่าจะหนีพ้น!”
จิ้นเหอตะโกนและเสียงกังวานที่แหวกความมืดไปนั้นทำให้ร่างอรชรในชุดพลิ้วไหวที่ลอยตัวลงบนพื้นหยุดนิ่งอยู่ด้านหน้าห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว นางหันกลับมาและแสงสว่างจากจันทรานั้นมิเพียงพอจะให้เขาเห็นหน้าชัดเจนหากก็ทำให้แม่ทัพผู้กล้าแกร่งซึ่งดึงดาบออกจากฝักต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าผู้ที่เขาตามติดมานั้นเป็นอิสตรี แม่ทัพหนุ่มอึ้งไปเพียงเสี้ยวความรู้สึกทว่ายังกุมดาบในมือมั่นด้วยประหวัดนึกได้ว่านางผู้อยู่ตรงหน้ามิใช่หญิงธรรมดาด้วยนางมีวิชาตัวเบา
“บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าเป็นใคร เมื่อกี๊เจ้าแอบดูข้าจากหลังคาโรงเตี๊ยมใช่หรือไม่”
เขาถามเสียงกังวานในความหมองของราตรี ฟางซินถอยหลังไปหนึ่งก้าว นางไม่อาจตอบเขาได้เพราะเกรงว่าจิ้นเหอจะจำได้หากได้ยินเสียงของนางจึงหยุดยืนนิ่งและมองบุรุษงามสง่าผู้มีชั้นเชิงวิทยายุทธอย่างที่นางคาดไม่ถึง เขามิใช่จอมยุทธ์ก็จริงแต่สามารถวิ่งตามนางมาติด ๆ ได้เช่นนี้นับว่ามิใช่ธรรมดาเลย
“ว่ายังไง...ทำไมไม่ตอบข้า หรือว่าเจ้ากลัว”
ฟางซินเอียงหน้าเล็กน้อย นางจับผ้าปิดหน้าเอาไว้และคิดในหนแรกว่าจะใช้วิชาตัวเบาขั้นสูงลอยหายไปต่อหน้าแต่มีบางอย่างสะกดความรู้สึกของนางมารไว้ หากเป็นคนอื่นนางอาจใช้พลังลมปราณทำลายกำลังและปล่อยทิ้งให้นอนทุรนทุรายกลางป่า แต่นี่คือจิ้นเหอ ซึ่งนางมิอาจทำเช่นนั้นได้ นางมารหมื่นบุปผานิ่งนึกทั้งที่ปกติมิเคยใช้เวลานานหากครั้งนี้กลับเกิดความลังเลในการตัดสินใจทว่าก็มิอาจปล่อยให้เขาล่วงรู้ได้ว่าหญิงสามัญที่เขาช่วยเหลือไว้แท้แล้วคือผู้เยี่ยมฝีมือในยุทธจักร
“เจ้า...”
จิ้นเหอกล่าวได้แค่นั้นก็ต้องผงะด้วยถูกจู่โจมอย่างรวดเร็วฉับพลันจากอีกฝ่ายที่ใช้ชายผ้าแพรจากชุดของนางตวัดพันรอบมือข้างถือดาบ นางออกแรงเพียงน้อยดาบเล่มใหญ่ก็หลุดจากมือของแม่ทัพหนุ่มซ้ำยังตวัดชายผ้าที่รัดข้อมือดึงเขาจนล้มกลิ้งไปอีกทางก่อนที่นางจะลอยตัวคล้ายจะเข้ามาทำร้ายแต่กลับมิใช่เพราะเมื่อจิ้นเหอที่ล้มลงเกลือกบนพื้นเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าร่างอรชรนั้นหยุดนิ่งอยู่ตรงที่เขายืนเมื่อครู่ และเมื่อเขาเพ่งมองก็ต้องตกใจเพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าสตรีผู้นั้นคือหมาป่าตัวใหญ่ที่นอนส่งเสียยงครางฟืดฟาดหายใจรวยริน แสงจันทร์น้อยนิดหากเขาก็เห็นว่าลำตัวของมันอาบด้วยเลือด หญิงผู้นั้นตวัดผ้าหลุดจากมือของเขา นางหันกลับมาก่อนจะลอยตัวขึ้นสู่ปลายไม้ด้วยวิชาตัวเบาซึ่งจิ้นเหอมิเคยพบเห็นผู้ใดใช้วิชาการต่อสู้แบบจู่โจมได้อย่างฉับพลันและเฉียบขาดเช่นนี้มาก่อน
“แม่นาง...แม่นาง...เจ้าเป็นใคร...กลับมาก่อน”
แม่ทัพหนุ่มรูปงามรีบลุกขึ้นและเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นร่างนั้นลอยละลิ่วหายไปท่ามกลางแสงจันทร์เสี้ยว จิ้นเหอหันกลับไปมองสัตว์ร้ายที่เกือบเอาชีวิตเขา...นี่นางช่วยชีวิตเขาหรือนี่ แต่ก็ไม่เข้าใจเลยว่าสตรีผู้ทำตัวประหนึ่งคิดปองร้ายเพราะแอบฟังเขาคุยกับหวังซื่อที่โรงเตี๊ยมใยจึงเปลี่ยนใจช่วยเขาให้พ้นภัยกระทันหัน แต่นางช่วยเขาจริงล่ะหรือ จิ้นเหอยืนนิ่งนึกอยู่ชั่วครู่ก็คิดได้ว่านี่อาจเป็นแผนล่อหลอกเขาออกจากที่พักหรือไม่ เขารีบเก็บดาบคู่ใจลงฝักก่อนรีบกลับไปยังโรงเตี๊ยมด้วยนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา และเมื่อไปถึงเขาก็เข้าไปในโรงเตี๊ยมทางด้านหน้าโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความผิดปกติและตรงไปยังห้องพักที่อยู่ติดกับห้องของเขา จิ้นเหอยืนนิ่งอีกสักครู่ขณะชั่งใจ เขาปัดฝุ่นทรายออกจากลำตัวก่อนเคาะประตูห้อง
“ฟางซิน...ฟางซิน”
เขาเรียกนางสักครู่ประตูจึงถูกเปิดออก ฟางซินเมื่อเห็นเขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ
“จิ้นเหอ...ท่านเรียกข้ามีอะไรหรือ?”
นางถามขณะจิ้นเหอมองเข้าไปในห้องนั้นและกวาดสายตาไปทั่ว สีหน้าของเขาเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ฟางซิน...เมื่อครู่นี้เจ้าเห็นว่ามีสิ่งใดผิดปกติบ้างหรือไม่”
นางส่ายหน้า “ไม่นี่คะ ข้าไม่เห็นว่ามีสิ่งใดผิดปกติ มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“มีคนลอบฟังข้ากับหวังซื่อคุยกัน เป็นผู้หญิง ข้าตามนางได้ทันแต่นางผู้นั้นเป็นผู้มีวรยุทธ์ ข้าเกรงว่าอาจเป็นพวกเดียวกับไอ้พวกหมู่คนพาลที่ล้อมจะทำร้ายเจ้า”
“แล้วท่านเห็นหรือไม่ว่านางเป็นใคร”“นางใช้ผ้าปิดหน้าและราตรีนี้แทบไม่มีแสงจันทร์ จึงไม่อาจรู้ได้เลยว่านางเป็นใคร แต่นางมิใช่ธรรมดาเพราะสามารถฆ่าหมาป่าตัวใหญ่ด้วยวิทยายุทธ์ไม่ถึงหนึ่งกระบวนท่า”“ท่านได้สับประยุทธ์กับนางหรือไม่”“ข้าพลาดท่าและนางหนีไปเสียก่อน แต่ฝีมือของนางมิใช่ธรรมดาเลย ฟางซิน...นั่นชุดของเจ้าเปื้อนเลือด!”จิ้นเหอก้มลงมองที่ชายกระโปรงของหญิงสาว ฟางซินชะงักกึก นางมิทันสังเกตด้วยซ้ำว่าชุดของนางเปื้อนเปรอะโลหิต คงเป็เมื่อครู่ที่นางใช้กลีบดอกไม้ปลิดวิญญาณล้มเจ้าหมาป่าดุร้ายตัวนั้นอย่างรวดเร็วฉับไว“อ้อ...เลือดที่ข้อเท้าของข้าเองนั่นล่ะท่านจิ้นเหอ...เอ้อ...ข้าเผลอเดินสะดุดขาโต๊ะจึงมีเลือดไหลออกมา”“ถ้าเช่นนั้นข้าก็โล่งใจ แต่เจ้าต้องระมัดระวังตัวเพราะข้าชักไม่แน่ใจว่าจะมีผู้ประสงค์ร้ายอยู่แถวนี้อีกหรือไม่ หากมิมิสิ่งใดแล้วข้าก็คงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนเจ้า”“มิเป็นไร ท่านแสดงความเป็นห่วงข้าก็ซาบซึ้งในน้ำใจยิ่งนัก”“ฟางซิน”จิ้นเหอที่หันหลังให้หันกลับมาอีกครั้งและทำให้ฟางซินที่กำลังจะปิดประตูห้องต้องชะงัก“มีอะไรหรือคะ ท่านจิ้นเหอ”“ปิดประตูหน้าต่างให้แน่นหนา หา
“เจ้ามิได้ต่างจากข้า ก็แค่เด็กกำพร้าที่ท่านแม่เก็บมาเลี้ยง แท้จริงเจ้ามิเคยสงสารผู้ใด เจ้ามิเคยรู้จักความเมตตาหรือรักใครด้วยซ้ำ แต่...เอ๊ะ...หรือว่าตอนนี้เจ้าได้พบรักแท้เข้าแล้ว หนุ่มรูปงามที่ข้าเห็นเมื่อครู่...”“อย่าแตะต้องจิ้นเหอ!”“เหตุใดจึงต้องร้อนรนทั้งที่ข้ายังมิทันได้พูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ”“มี่อิง...เราต่างเป็นศิษย์ร่วมสำนักอาจารย์เดียว ใยข้าจักมิรู้นิสัยของเจ้าว่าเป็นเช่นไร ขอบอกไว้ก่อนว่าอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับจิ้นเหอเป็นเด็ดขาด”“หนุ่มรูปงามผู้นั้นชื่อจิ้นเหอหรือนี่ ที่หวงห้ามเพราะเจ้าคงอยากได้ไว้เองกระมัง...ฟางซิน เจ้าเป็นถึงประมุขพรรคอย่าลืมกฎของสำนักบุปผาสวรรค์ก็แล้วกัน ผู้ใดผิดกฎปักใจรักต่อชายใดถึงขั้นตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้วไซ้ต้องถูกทำลายวรยุทธ์ด้วยการกลืนพิษกุหลาบพันปีให้กลายเป็นคนวิปลาศแล้วถูกขับไล่ออกจากพรรค แม้แต่คนที่เจ้ารักก็ต้องถูกฆ่าให้ตายต่อหน้าโดยไร้ความปราณี เจ้าก็รู้ดีว่ามิเคยมีใครได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ตัวเองรักแม้แต่ผู้เดียว หรือหากเจ้าทนต่อความต้องการของตัวเองมิไหวก็ทำอย่างข้าสิ มิต้องใช้ชีวิตอยู่กับผู้ใด แค่ลิ้มลองเล่นให้สนุกแล้วฆ่าให้ตายเมื่อพอใ
เมื่อพูดจบเสี่ยวเอ้อก็นำอาหารมาวางเต็มโต๊ะก่อนจะถามขึ้นว่า“ท่านไม่รับเหล้าสักไหหรือขอรับ เพิ่มรสชาติอาหารได้ดีนัก ทำให้เจริญอาหาร ดื่มแล้วกระชุ่มกระชวย”หวังซื่อยิ้มแล้วตอบ “เราไม่ดื่มของเมาเวลาเดินทาง ดื่มจนเมาเดี๋ยวจะหลับกลางทางไปได้มิถึงไหน”“แหม...ท่านก็จิบสักเล็กน้อยพอเป็นกระศัยสิขอรับ เพื่อให้ได้ความรื่นรมย์เวลาเดินทาง เพียงสักจอกน้อยก็เดินทางต่อไปได้อีกหลายร้อยลี้ แหะๆ”เสี่ยวเอ้อยิ้มแหย ๆ จิ้นเหอเพียงเหลือบมองและมีรอยยิ้มมุมปากก่อนที่เขาจะลงมือทานอาหารโดยมิได้กล่าวว่ากระไรหลังจากนั้น ฟางซินคอยสังเกตอาการของคนตรงหน้าและเห็นว่าในแววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความครุ่นคิดสงสัย จิ้นเหออาจยังแคลงใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หากนางก็ทำได้เพียงแค่มองอย่างเงียบ ๆ และเมื่อกินอาหารแล้วทั้งสามจึงออกจากโรงเตี๊ยมและเดินทางเข้าหมู่บ้านซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นาน มันเป็นหมูบ้านที่ไม่เล็ก ๆ อย่างจิ้นเหอคิดไว้เพราะมีผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ในตลาดยามเช้าและมีบ้านเรือนทั้งหลายตรอกซอกซอย คนทั้งสามเดินเข้าไปแต่ก็ไม่เป็นที่สังเกตของใครว่ามีคนแปลกถิ่นปะปนเข้ามาในที่นั้น จิ้นเหอนำทางกระทั่งเดินไปหยุดที่ตรอกหนึ่
“ข้ามิพบใครเลยท่านจิ้นเหอ ข้าได้ลองถามคนในหมู่บ้านแล้วมิมีใครรู้จักญาติของข้าเลยแม้แต่คนเดียว ข้าจึงคิดว่าเขาอาจมิได้อยู่ที่นี่ก็เลยคิดว่าอยู่ไปก็เสียเวลา สู้ข้ากลับออกมาจะดีกว่า”“แต่ทางนี้มิใช่ทางกลับบ้านเจ้านี่มิใช่หรือ”“ข้ารู้ แต่ข้าคงกลับไปที่หมู่บ้านของข้ามิได้อีกแล้ว”“บอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใด”“เพราะจริงแล้วพ่อแม่ของข้าได้เสียชีวิตไปจนหมด และข้าก็อยู่กับญาติห่าง ๆ แต่ข้าไม่อยากรบกวนพวกเขาอีกต่อไป จึงได้มาตามหาญาติใกล้ชิดพ่อกับแม่ของข้าที่หมู่บ้านแห่งนี้ ช่างโชคร้ายที่ข้ามิพบผู้ใดเลย”“แล้วเจ้าคิดจะไปไหนกัน แผ่นดินนี้กว้างใหญ่นักและเจ้าก็เป็นหญิงตัวคนเดียว”“ข้าคิดว่าจะตามท่านให้ทันและจะขอติดตามท่านไปยังสำนักเฟิงอี้”“ทำเช่นนั้นมิได้!”จิ้นเหอปฏิเสธทันควัน เขาเก็บดาบกลับเข้าฝักและหันหลังให้แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของฟางซินดังขึ้น“เหตุใดจึงมิได้”“เจ้าไม่เข้าใจ ข้ามาที่นี่เพื่อการธุระสำคัญ มันอาจหมายถึงความเป็นความตาย ข้าจะพาเจ้าไปพบกับภยันตรายเบื้องหน้ามิได้ดอก”“จิ้นเหอ...หากข้ามองมิผิดท่านมิใช่ชาวบ้านธรรมดาใช่หรือไม่”จิ้นเหอผงะและหันกลับมายังหญิงสาวซึ่งเมื่อได้เห็นใบห
“ท่านมีใจรักต่อหญิงนางเดียว ช่างน่าภูมิใจแทนแม่นางผู้นั้น”“และหมื่นความชังข้าจักทุ่มเทมันให้นางมารใจโหดเหี้ยม”คำก็อำมหิต สองคำก็โหดเหี้ยม เขาจะรู้หรือไม่ว่ากำลังโถมทับความเคียดแค้นไปให้คนที่มิรู้เรื่องราวใดแต่ต้องกลับกลายเป็นจำเลยความผิดที่ตนมิได้ก่อ สักครู่แม่ทัพหนุ่มจึงกล่าวขึ้น“การที่ข้ามาเพียงสองคนกับหวังซื่อก็เพื่อต้องการอำพรางสถานะที่แท้จริง มิได้นำกองทัพมามากมายเพราะมิต้องการให้ใครรู้ ไม่เช่นนั้นนางมารอาจไหวตัวทัน เมื่อรู้เช่นนี้แล้วเจ้าก็มิควรต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงกกับข้า”“แต่ข้าก็มิมีใครอีกแล้ว”ฟางซินบีบน้ำตา ทว่าในหัวใจของนางก็มีความเศร้าอันแท้จริงซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึก“ขอข้าติดตามท่านด้วยเถิด ท่านจิ้นเหอ...ข้าเพียงขอรับใช้ท่าน มิได้ต้องการสิ่งใดมากไปกว่านี้ หากท่านจะไปตามล่าตัวนางมารข้าก็จะมิรบกวนหรือถ่วงงานของท่าน”“ไม่ได้! เจ้าจะตามข้าไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด”“ได้โปรด”ฟางซินคุกเข่าลงตรงหน้า แม้รู้ว่านี่คือการผิดกฎอย่างร้ายแรงด้วยประมุขแห่งพรรคมารต้องไม่คุกเข่าต่อหน้าผู้ซึ่งมีอำนาจน้อยกว่านอกเสียจากว่าจะเป็นเพ่ยหลิน แม่บุญธรรมผู้ชุบเลี้ยงนางมาเท่านั้น และทำให้จิ้นเหอชะงัก
“นายท่านของข้าก็เป็นคนเช่นนี้ เขาเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน ใจเด็ดปากแข็งและไม่ค่อยยอมรับสิ่งใดโดยง่าย เจ้าอาจต้องเหนื่อยสักหน่อยกับความกระด้างของนายข้า แต่ข้าขอรับรองว่าท่านแม่ทัพนั้นเป็นคนจริงจัง”“ข้าทนได้...ขอเพียงข้าได้ติดตามท่านทั้งสองไป และเมื่อท่านทั้งสองเสร็จธุระจากที่นี่แล้วข้าก็ยินดีจะไปตามทางของข้า”“ถ้าเช่นนั้นเราก็รีบไปกันเถิด รีบไปสำนักเฟิงอี้ก่อนจะมืดค่ำ...อืม...เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าขึ้นไปนั่งบนม้าของข้าเพราะมันตัวเล็ก นั่งสองคนมันคงหนักพอตัว”“ให้นางขึ้นมานั่งบนหลังม้าของข้า!”เสียงบัญชาดังแทรกขึ้น หวังซื่อและฟางซินหันไปมองพร้อมกัน จิ้นเหอนั่งอยู่บนหลังม้าของเขาซึ่งมันตัวใหญ่กว่าม้าของหวังซื่อมากนัก ฟางซินทำตามคำสั่งของจิ้นเหอด้วยการขึ้นไปนั่งด้านหลังของเขาบนหลังอาชาตัวใหญ่“เกาะเอวข้าไว้...เราต้องเร่งเดินทางไปให้ถึงสำนักเฟิงอี้ก่อนฟ้ามืด”เขาสั่งอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกระด้าง ฟางซินรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาดแม้คิดว่าการเสแสร้งทำตัวน่าสงสารเพื่อให้เขาใจอ่อนนั้นได้ผล นางขยับเข้าไปชิดด้านหลังของแม่ทัพหนุ่มรูปงามและเกาะเอวของเขาไว้ จิ้นเหอบังคับม้าของเขาให้ห้อตะบึงไปข้างหน้า
“ข้ามีธุระสำคัญ...มันเป็นเรื่องของนางมารหมื่นบุปผา”“หลวนคุน...ให้พวกเขาเข้ามา”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของบุรุษหนุ่มชุดขาว เขาหันกลับไปและหันกลับมายังจิ้นเหอ“ลุงของข้าอนุญาตให้พวกเจ้าเข้าไปพบได้”“ขอบคุณท่าน...”“เรียกข้าว่าหลวนคุน...ข้าเป็นหลานของเจ้าสำนักไป๋เจี้ยน”จิ้นเหอยกมือขึ้นแสดงความขอบคุณ เขาเดินนำหน้าขณะหวังซื่อเดินตาม และเมื่อฟางซินซึ่งเดินหลังสุดสวนกับหลวนคุนกลับทำให้ชายหนุ่มชะงักด้วยเขามิเคยเห็นหญิงใดงามหมดจดและอ่อนหวานเช่นนี้มาก่อน เขาลืมไปชั่วขณะว่านางเป็นคนแปลกหน้าที่เขาพึ่งเคยได้เห็น หญิงสาวหยุดชั่วครู่และก้มหน้าลงน้อย ๆ“ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวน...ข้านี้มีนามว่าฟางซิน”“ฟางซินหรือ...เชิญเข้าไปข้างในเถิด”“ขอบคุณ...ท่านหลวนคุน”นางตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและเดินผ่านบุรุษหนุ่มที่เผลอสูดกระไอหอมของดอกไม้ที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อนหากมันช่างเป็นกลิ่นจรุงใจยิ่งนัก และเมื่อทั้งสามเดินเข้าในศาลาก็เห็นว่า รอบ ๆ นั้นเต็มไปด้วยศาตราวุธทั้งหอกดาบ บอกให้รู้ว่าที่นี่คือสำนักฝึกวิทยายุธอันน่ายำเกรงแห่งหนึ่งที่ชาวยุทธภพให้ความเชื่อถือ และเบื้องหน้าคือเก้าอี้ตัวใหญ่ถูกสลักเสลาเป็นลายม
เจ้าสำนักเฟิงอี้แสดงความเคารพต่อนายทหารของฮ่องเต้ก่อนลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสำรวมต่างจากคราวแรก ฟางซินมองภาพนั้นอย่างเคียดแค้นแต่ต้องสงบใจเพราะหากนางปล่อยลมปราณออกมาตามอารมณ์หน่วงหนักจะทำให้บังเกิดแรงกำลังถึงขั้นเสาเอกในศาลาปริแยกและไป๋เจี้ยนอาจรู้ว่ามีผู้ฝึกวรยุทธขั้นสูงอยู่ใกล้ตัวเขา“ท่านเจ้าสำนักโปรดทำตัวตามสบาย ที่ข้ามาที่นี่เพราะได้ยินเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมของหมู่บ้านซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นี่บอกว่าท่านเคยสับประยุทธ์กับนางมารหมื่นบุปผา ข้าต้องการตามล่าตัวนางเพราะนางฆ่าคนในราชสำนักที่เดินทางมายังวัดโค้วอิงยี่...และนางได้ฆ่าลูกสาวของอัครเสนาบดีเว่ยซึ่งเป็นคู่หมายของข้า”“ท่านมาหามิผิดคนแล้ว...แม่ทัพเฉิง ข้าเคยต่อสู้กับนางมารใจเหี้ยมผู้นั้นจริง ๆ แต่แค่เพียงไม่ถึงสองกระบวนท่านางก็พ่ายแพ้หนีไปได้ด้วยความช่วยเหลือของเพ่ยหลิน เจ้าสำนักบุปผาสวรรค์ ถึงตอนนี้ข้าก็ยังเจ็บใจนักที่มิอาจเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของนางมารอำมหิตได้ จึงมิรู้ว่านางเป็นใครมาจากไหน แต่วันหนึ่งข้าต้องเอาคืนโทษฐานที่กล้ามาท้าทายข้าถึงสำนักเฟิงอี้”“แต่การเข้าถึงตัวนางมารหมื่นบุปผานั้นทำได้ยากยิ่ง ข้าจึงต้องมาขอความช่วยเหลือ
“ต่อชีวิตเช่นนั้นหรือ?”“มันเป็นคัมภีร์ที่มีทั้งความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดหากซุกซ่อนไว้ด้วยความแหลมคมอย่างที่สุด ครั้งหนึ่งฟางซินช่วยชีวิตท่านไว้ด้วยการถ่ายพลังลมปราณให้และพลังที่ไหลวนในตัวของท่านคือลมหายใจสุดท้ายของนาง”“แต่ตอนนี้ฟางซินอ่อนแอเหลือเกิน”“คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้การฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์เฟิงเหลยคือผู้ตัดขาดตัวเองจากคนอื่นโดยปราศจากการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ พวกเขาคิดเพียงว่าเมื่อสูญเสียสิ่งหนึ่งไปคือสูญสิ้นทั้งหมดหากทว่ามิใช่ แม้ฟางซินยอมสละทุกอย่างต่อท่านหากนางก็ยังมิสิ้นลมหายใจ นั่นเป็นเพราะนาง...ยังมีท่าน...แม่ทัพเฉิง จงพาฟางซินเดินทางไปยังบูรพทิศในยามตะวันทอแสง ท่านต้องอยู่เคียงข้างนางเสมอ อย่าได้ทอดทิ้งฟางซินเพราะท่านคือผู้นำพาหัวใจของนางและนางก็เปรียบเสมอโคมทองส่องสว่างในหัวใจของท่านไปยังสุดเขตแดนเพื่อตามหาปัญญาชนในสายลมหนาว พวกเขาจะรับรู้เรื่องราวของพวกท่านโดยมิต้องเอ่ยปากบอกเล่าใดๆ”“ปัญญาชนในสายลมหนาว...หนทางนั้นยาวไกลหรือไม่กว่าที่ข้าและฟางซินจะได้พบ”“หากท่านพร้อมยอมเสียสละเพราะมันอาจหมายถึงตลอดชีวิตของท่าน...และนาง”“เสียสละเช่นนั้นหรือ”“จิ้นเหอ...ท่านจะทำอะไร”ฟางซ
“เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว ฟางซิน”เสียงที่เปล่งออกมายังความประหลาดใจแก่จิ้นเหอด้วยเป็นสรรพเสียงที่ดังกังวานไปถึงเบื้องนอกเมื่อครู่ นางอยู่ในนี้แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีคนเข้ามาในหอตะวันตก“นั่งก่อนเถิด...เจ้าทั้งสอง”นางเชื้อเชิญพลางผายมือเรียวบางไปเบื้องหน้า แม่ทัพหนุ่มก้าวไปหยุดอยู่ห่างออกมาสามสี่ก้าวก่อนค่อย ๆ วางร่างของฟางซินลงก่อนเขาจะหย่อนตัวนั่งเคียงข้างหญิงสาว จิ้นเหอพินิจร่างบอบบางของผู้อยู่เบื้องหลังเตาเหล็ก เจ้าของใบหน้างดงามราวเด็กสาวและแววตาน้ำตาลแวววาวเจิดจรัสราวกับมีรัศมีบางอย่างเปล่งออกมา“ฟางซินบอกข้าว่าท่านคือเทพพยากรณ์”“เรียกข้าว่าจิว”นางกล่าวขณะหยิบกลีบดอกไม้โรยลงในเตาบังเกิดควันพวยพุ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว“ฟ้าดินเท่านั้นลิขิตชีวิต ข้ารู้เท่าที่ข้ารู้แต่มิอาจล่วงรู้ความลับสวรรค์”“เช่นนั้นท่านก็คงรู้แล้วว่าที่เรามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งใด...ข้าคือ เฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพแห่งองค์ซ่งไท่จู่”“แม่ทัพเฉิง ข้าเคยบอกฟางซินแล้วว่าวันหนึ่งนางต้องกลับมาหาข้า”“และเป็นดังเช่นท่านกล่าวไว้จริงๆ”ฟางซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ทว่าน่าประหลาดที่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมากกว่าเก่าเมื่อเข้
หวังซื่อถาม หลวนคุนลุกขึ้นยืนและยืดไหล่หลังตรงอย่างสง่า เขาเชิดหน้าขึ้น“ข้าจะบอกทุกคนว่า....ลุงของข้าประมือกับนางมารหมื่นบุปผา ต่างคนต่างพลาดพลั้งเสียทีต่อกันทำให้ลุงของข้าและประมุขพรรคมารต่างสิ้นลมด้วยกันทั้งคู่”คำตอบนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบด้วยยอมจำนนต่อสติปัญญาของหลวนคุน ทุกคนรู้ว่าเขามิได้ปกป้องตัวเองด้วยเกรงถูกมองว่าเณรคุนเพราะหากมิทำเช่นนี้ก็จะเกิดข้อสงสัยแก่ผู้ที่มีใจภักดิ์ดีต่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่สิ้นลมไปแล้วอย่างไป่เจี้ยนได้ ขณะนั้นจิ้นเหอกลับกอดฟางซินแนบแน่นยิ่งขึ้น เขากระซิบกับนางด้วยเสียงแม้ห้าวหนักทว่าอ่อนหวานยิ่งนัก“ฟางซิน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวงซานนี้จะถล่มฤาแผ่นฟ้าจะแหลกสลายลง หากข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้า...มิหนีไปไหน”หลังจากนั้นมินานที่หลวนคุนเป็นผู้นำทุกคนกลับไปยังพรรคเฟิงอี้ ทั้งแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ หวังซื่อผู้ติดตาม หยางเซิงไต้ซือ รวมทั้งเหมยเหม่ยที่คอยดูแลฟางซินซึ่งนางอ่อนแรงลงทั้งจากลมปราณปรวนแปรและจากการใช้กำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดต่อสู้กับทั้งไป๋เจี้ยนและมี่อิง นางทิ้งพรรคบุปผาสวรรค์ที่บัดนี้ยังมิมีผู้ใดขึ้นเป็นประมุขไว้เบื้องหลังเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอตะวันตก
แม่ทัพหนุ่มร้องด้วยความตกใจก่อนคว้าร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบไว้ในอ้อมแขน นางลืมตาขึ้นมอง สติของนางยังคงอยู่หากแต่จิ้นเหอนั้นกอดร่างเล็กบอบบางไว้แนบแน่น“ฟางซิน...เจ้าเป็นอะไร”“ลมปราณในกายของนางกำลังปรวนแปร มันค่อย ๆ ทำลายตัวเองทีละน้อย”หยางเซิงไต้ซือตอบขณะก้าวเข้ามา จิ้นเหอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่“นี่เป็นเพราะนางฝึกพลังลมปราณจากคัมภีร์เล่มนั้น และเป็นเพราะข้าที่ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ มิมีวิธีใดเลยหรือที่จะช่วยรักษาชีวิตของนางไว้ให้ยืนยาวกว่านี้”ไต้ซือเฒ่าระบายลมหายใจขณะทำสีหน้าครุ่นคิด“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมี่อิงเอ่ยถึงเทพพยากรณ์ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งอาจช่วยฟางซินได้”“แต่ท่านไต้ซือบอกกับข้านี่มิใช่หรือว่าผู้ฝึกวิชาจากคัมภีร์ฟ้าคำรามหากสูญเสียพรหมจรรย์แล้วจะมิมีทางช่วยให้พ้นจากความตายได้”เหมยเหม่ยรีบเข้ามาดูอาการของฟางซินที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอดของจิ้นเหอ หยางเซิงไต้ซือส่ายหน้า“ที่ข้าบอกจ้าเช่นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องเล่ามาช้านาน ข้าเองมิเคยแน่ใจว่าเทพพยากรณ์มีอยู่จริง คนทั้งยุทธภพร่ำลือถึงบุคคลผู้มีญาณวิเศษ มองเห็นอนาคต บางคนว่าเป็นหนุ่มรูปงามราวเทพบ
มี่อิงตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกปวดปลาบตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงท้ายทอย ความเจ็บปวดนั้นราวกับมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทงอยู่บนหัวของนาง“อะ...อะไรกันนี่...อะไรกัน!!”ครานี้นางเป็นฝ่ายอุทานขึ้นบ้างเมื่อโลหิตมิใช่หยาดเดียวหยดลงมาอาบเต็มใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความหวั่นกลัวและเจ็บปวด มี่อิงพยายามจะถอดมาลาประดับผมออกแต่สายเกินไปเมื่อนางรู้ตัวแล้วว่ากำลังต้องพิษร้ายจากมาลาของประมุข นางกรีดร้องเสียงดัง“กรี๊ด!...ทำไมเป็นเช่นนี้...ฟางซิน...เจ้าใช่ไหม...เจ้าวางยาพิษในมาลานี่ใช่ไหม!”“มิใช่ข้าดอกมี่อิง” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงอันแน่วนิ่ง “หากแต่นี่คือสิ่งที่ผู้มิใช่ประมุขมิมีวันรู้เกี่ยวกับการได้ครอบครองเสื้อคลุมและมาลาของประมุขพรรคบุปผาสวรรค์”“มะ...มิรู้เช่นนั้นรึ...มิรู้อันใด...โอย...ข้ามิรู้สิ่งใด”มี่อิงร่ำร้องและพยายามถอดมาลาออกจากหัวของนางเพราะความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอาบด้วยโลหิตแดงฉานที่ไหลหลั่งลงอาบเสื้อคลุมขนาดที่คนติดตามคอยรับใช้ยังถอยหนีด้วยความสะพรึงกลัว ฟางซินก้าวไปหยุดตรงหน้าบันไดซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่บัลลังค์ทองงาช้าง นางส่ายหน้าไปมาขณะมี่อิงซวนเซจนล้มนั่ง โลหิตมากม
“ท่านมีบุญคุณต่อข้าใยจะมิสำนึก แต่หากมิทำเช่นนี้แล้วก็มิมีวันที่จะหยุดความทะเยอทะยานของท่านได้ อภัยให้ข้าด้วย...ท่านลุง”หลวนคุนนั่งคุกเข่าและวางคันธนูลงข้างลำตัว ไป๋เจี้ยนเหยียดปากทั้งน้ำกบดวงตา“ข้ามินึก...ทั้งที่มีคนเตือนข้าแล้วว่าให้ระวังคนใกล้ตัว...ข้านึกไปมิถึง...นึกมิถึงเลยจริง ๆ ว่าที่แท้...คนใกล้ตัวก็คือ...เจ้า...”เจ้าสำนักเฟิงอี้ตาเหลือกถลนเมื่อผ่อนลมหายใจสุดท้ายด้วยมิทานทนต่อความเจ็บปวดจากดอกศรที่ปักเข้าบนอกด้านซ้ายพอดิบพอดีก่อนจะล้มตึงลงนอนคว่ำหน้าดวงตาเบิกค้างและผู้ที่ตกใจมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นมี่อิงที่ผงะงันและถอยไปเบื้องหลัง“ไป๋เจี้ยน...”จิ้นเหอครางชื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่ขาดใจตายลงต่อหน้าอย่างมิน่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขณะฟางซินปรี่เข้าไปหา ทั้งสองกอดกันแนบแน่นราวกับได้เกิดใหม่“หลวนคุน...ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”หวังซื่อเอ่ยกับหลวนคุนแต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงมี่อิงกังวานขึ้น“ถึงมิมีไป๋เจี้ยนแล้วแต่พวกเจ้าหยุดข้ามิได้ดอก!”นางมารดอกไม้เงินเหยียดยิ้มเยาะก่อนหันไปยังคนสนิทอีกสองคนที่ยังไม่ยอมออกไปจากห้องโถงใหญ่ดังคนอื่น ๆ ที่แตกตื่นวิ่งหนีออกไปเกือบสิ้น หญิงสา
ดังนั้นนางจึงมิอาจต้านทานกำลังอันกล้าแกร่งของอีกฝ่ายได้จึงถูกซัดฝ่ามือใส่จังหวะที่นางพลาดท่าจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้น ฟางซินพยายามหยัดกายลุกขึ้นทั้งที่กระอักเลือดเปิดโอกาสให้ไป๋เจี้ยนพุ่งเข้าหาเพื่อหวังจะซัดฝ่ามือซ้ำแต่จิ้นเหอกลับเข้ามาขวางและถูกพลังลมปราณของไป๋เจี้ยนจนเขาเองก็ถึงกับหงายหลังลงไปนอนบนพื้น ไป๋เจี้ยนสบโอกาสหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วจ่อไปที่คอหอยของแม่ทัพหนุ่มอีกครั้งขณะหันไปยังฟางซินที่มองด้วยความตระหนก“จิ้นเหอ!”“นางมารหมื่นบุปผา เห็นหรือยังว่าพวกเจ้ามิอาจต้านกำลังของข้าได้ หากเจ้าอยากให้แม่ทัพเฉิงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็จงบอกที่ซ่อนคัมภีร์มาเดี๋ยวนี้”“อย่า!” จิ้นเหอตะโกนบอกทั้งที่ไป๋เจี้ยนกดปลายกระบี่ลงบนคอของเขาจนเลือดเริ่มซึมออกมา “อย่าบอกที่ซ่อนคัมภีร์ให้พวกคนใจชั่ว ถึงข้าตายก็มิเสียดายถือเสียว่าได้ทำคุณแก่แผ่นดินด้วยการปกป้องคนดีจากคนชั่ว”“ไม่...จิ้นเหอ...จิ้นเหอ”ฟางซินร่ำร้องเมื่อเห็นเลือดไหลจากรอยกรีดลึกของคมกระบี่บนคอแม่ทัพหนุ่ม หัวใจของนางราวกับจะขาดเสียให้ได้แต่มี่อิงกลับหัวเราะเย้ยเสียงดัง“หากเจ้าอยากให้คนที่เจ้ารักมีชวิตอยู่ใยจึงไม่บอกที่ซ่อนคัมภีร์แก่ท่านไป๋เจี้ยนเล่
“แม่ทัพเฉิง มีสิ่งใดน่าขัน”“หึ...จะมิให้ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องหัวเราะได้อย่างไร ท่านติดตามหาคัมภีร์เล่มนั้นจนแล้วจนรอดก็ยังมิได้ครอบครอง คิดว่าสวรรค์คงมีตามิเข้าข้างคนใจโฉดเช่นเจ้า”“ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังกล้าปากดีอยู่อีกรึ ยศฐาและตำแหน่งของเจ้าใช้ได้ต่อหน้าฮ่องเต้เท่านั้น หากแต่เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ก็หาได้มีความหมายเพราะเจ้าเป็นเพียงเชลยที่มิรู้ชะตากรรมว่าจะตายเสียเมื่อใด”“ข้ายินดีตาย...หากมันจะแลกได้กับการไถ่โทษที่ข้าปรารถนามอบมันให้กับ...หญิงที่ข้ารัก”จิ้นเหอกล่าวขณะหันกลับไปยังฟางซินที่ยืนผงะนิ่งท่ามกลางเหมยเหม่ย หวังซื่อรวมทั้งหยางเซิงไต้ซือที่มองคนทั้งสอง ฟางซินมิคิดว่าจะได้ยินคำกล่าวนั้นจากปากของแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพหนุ่มผู้เคยมีหัวใจเย็นชาราวหินผาและครั้งหนึ่งเคยโกรธเกลียดเคียดแค้นนางมารหมื่นบุปผาถึงขนาดจะสับร่างนางเป็นหมื่นชิ้น ฟางซินน้ำตาซึม“จิ้นเหอ...”“ถึงข้าตายเสียตอนนี้ก็มิรู้สึกว่าเสียดายชีวิต ข้ายอมสละตัวเองได้เพราะเจ้าจะมิมีวันได้คัมภีร์เล่มนั้นจากนางมารหมื่นบุปผาดอกไป๋เจี้ยน!”จิ้นเหอฉวยจังหวะที่ไป๋เจี้ยนพลั้งเผลอเพียงเวลาพลิกฝ่ามือดึงโซ่ตรวนที่พันธนาการข้อมือรวบ
เสียงที่ดังก้องขึ้นทำให้ทั้งหมดในที่นั้นหันกลับไปมองพร้อมกัน มี่อิงเลิกคิ้วขึ้นขณะไป๋เจี้ยนก็หันไปดังขวับส่วนจิ้นเหอเมื่อเหลียวกลับไปก็ได้เห็นคนที่เขาอยากพบมากที่สุดในเวลานี้ ฟางซินยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมด้วยเหมยเหม่ย หวังซื่อและหยางเซิงไต้ซือซึ่งเขาจำได้มิเคยลืมเมื่อครั้งเคยมาเยือนหวงซาน ณ อารามวัดโค้วอิงยี่ ทั้งหมดยืนอยู่ท่ามกลางคนพรรคมารที่ต่างจ้องมองด้วยความประหลาดใจ จิ้นเหอสบนัยน์ตานางมารหมื่นบุปผาด้วยหัวใจรุ่มร้อน หากมิตายเสียก่อนก็จะขอให้นางอภัยต่อความโง่เขลาที่เยขาหลงเชื่อคนใจคดอย่างมี่อิงและไป๋เจี้ยน แต่แล้วมี่อิงกลับระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น“ฮ่าๆๆๆๆ....มาแล้วรึเจ้าพวกแมงเม่า ฟางซิน...ข้านึกไว้แล้วเชียวว่าเจ้าต้องหวนกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะเจ้าคงมิอาจทนเห็นคนรักของเจ้าตายอย่างทุกข์ทรมานอยู่ที่พรรคบุปผาสวรรค์เป็นแน่แท้”“มี่อิง เจ้าเลิกก่อกรรมเสียที มิรู้หรืออย่างไรว่าเจ้ากำลังเล่นกับสิ่งใด หากเกิดอะไรขึ้นกับแม่ทัพเฉิงคนจากวังหลวงย่อมมิปล่อยเจ้าไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน”“ข้าไม่กลัว! คนจากวังหลวงหรือเป็นเพราะเจ้าห่วงเขากันแน่ มาวันนี้ก็ดีแล้วจะมาเป็นพยานให้กับข้าในการขึ้นเป็นป