หญิงสาวนางหนึ่งกล่าวขึ้นและปล่อยให้หญิงอีกสองนางช่วยกันยกร่างหนาใหญ่ที่นอนแน่นิ่งขึ้นพาดไว้บนหลังม้าอีกตัว เฟยจูมองตามหนึ่งในสองคนของนางพาจิ้นเหอออกไปไกลจนลับตาก่อนจะหันหน้ากลับไปยังปากถ้ำ นางหันไปยิ้มกับผู้ติดตามที่ยังเหลืออีกคนพร้อมทั้งกล่าวว่า“ยังเหลือแต่ฟางซิน เข้าไปจับตัวนางกันเถอะ”นางกระหยิ่มหมายมาดด้วยได้รับคำสั่งจากมี่อิงให้ติดตามมาเพื่อจับตัวเฉิงจิ้นเหอกลับไปส่วนฟางซินมี่อิงไม่ต้องการให้เก็บไว้และเฟยจูซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับใช้และร่วมมือกับมี่อิงหักหลังพรรคมารมาโดยตลอดก็คิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะจับตัวนางมารผู้ซึ่งไร้วรยุทธ์ นางก้าวเข้าไปในถ้ำพร้อมผู้ติดตามอย่างระมัดระวังและเมื่อไปหยุดที่ลำธารกลางถ้ำก็ผงะนิ่งเมื่อเห็นร่างของฟางซินที่นั่งอยู่บนลานหินริมน้ำ นางหันกลับมาและส่งเสียงลอดลำคอเบาๆ“เฟยจู...”“ท่านประมุข...ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”เฟยจูกล่าวขณะก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้านางมารหมื่นบุปผาซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงประมุขพรรคบุปผาสวรรค์ ฟางซินยิ้มหมอง“ข้ามิเป็นอะไร เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”“ข้าติดตามท่านมา”ฟางซินมีสีหน้าประหลาดใจ “แล้วเมื่อครู่เจ้าเห็นใครอยู่ที่นี่บ้าง
“เหมยเหม่ยเดินทางไปหาข้าได้ทันก่อนที่ข้าจะเดินทางออกจากอารามเพื่อไปยังวัดใกล้เคียง ข้าจึงรีบมาเพื่อที่จะได้ช่วยเหลือเจ้า”ไต้ซือเฒ่ากล่าวขึ้น ฟางซินมองหยางเซิงด้วยความซาบซึ้งใจ เขาคือคนเดียวที่ไม่เคยทอดทิ้งนางในยามคับขัน เขามักปรากฏตัวทุกครั้งยามที่นางตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้าย“แล้วหวังซื่อล่ะ เหมยเหม่ย เจ้าพบเขาได้อย่างไร”“ข้ากับท่านไต้ซือกำลังเดินทางไปยังพรรคบุปผาสวรรค์เพื่อให้ทันช่วยท่านประมุขแต่ก็ได้พบเขากลางทางเสียก่อนถึงได้รู้ว่าท่านแม่ทัพเฉิงพาท่านประมุขหนีไปแต่พลัดหลงกับเขาเสียก่อน พวกเราออกตามหาท่านและได้มาเห็นม้าของท่านแม่ทัพเฉิงถูกล่ามไว้หน้าถ้ำ ข้าสังหรณ์ไว้แล้วว่าต้องเกิดรื่องไม่ดี แล้วมันก็เป็นอย่างที่ข้าคิด หากมาช้าอีกนิดเฟยจูคงปลิดชีวิตท่านไปแล้ว...ท่านประมุข!”ผู้ติดตามสาวร้องขึ้นเมื่อเห็นหยดโลหิตไหลซึมที่มุมปากของฟางซินขณะนางนิ่วหน้า บัดนั้นเองเมื่อได้เห็นอาการของนางมารหมื่นบุปผาหยางเซิงไต้ซือจึงกล่าวออกมาว่า“ฟางซิน...นี่เป็นอาการของผู้กำลังสูญเสียพลังวัตต์และลมปราณในกายวิ่งวน...หรือว่าเจ้า...”เขาเอ่ยได้เพียงนั้นกลับเห็นใบหน้างามอาบด้วยรอยยิ้มหากเป็นรอยยิ้
“เช่นนั้นเราก็ไปพร้อมกัน ทุกคนมีความสำคัญแม้อาจทันช่วยเหลือใครคนใดคนหนึ่งก็ตาม”ไต้ซือเฒ่าหันหลังและเดินกลับออกไปโดยมีหวังซื่อวิ่งตามไปติด ๆ เหมยเหม่ยร้องไห้ขณะกล่าวกับฟางซิน“ท่านประมุข...ที่ท่านหยางเซิงไต้ซือกล่าวมานั้น...”“อย่าได้เสียใจ เหมยเหม่ย” ฟางซินลูบใบหน้านางผู้ติดตามและยิ้มทั้งน้ำตา “บอกแล้วอย่างไรว่าคนเราเกิดมาล้วนต้องตาย ข้ารู้ตัวดีนับแต่จับคัมภีร์เล่มนั้นเป็นครั้งแรก รู้ตัวว่าข้าต้องเข็มแข็งมากเพียงไรหากสุดท้ายแล้วข้าเองที่แพ้พ่ายต่อความอ่อนแอของตัวเองดังที่ท่านแม่ว่าไว้”“ความรักของท่านที่มีต่อแม่ทัพเฉิงนั้นยิ่งใหญ่นัก และนี่คือความรักของสตรีที่บุรุษมิอาจหยั่งรู้ว่ามันลึกซึ้งมากเพียงไหน ท่านยอมสละสิ้นทุกอย่างเพื่อรัก ข้าเหมยเหม่ยนับถือน้ำใจท่านประมุข...แต่...มันจะมิมีทางใดช่วยให้ท่านรอดพ้นจากความตายในชีวิตอันแสนสั้นนี้ได้เทียวหรือ”“ข้ายังมิรู้เลย และถึงมีหนทางก็คงยากยิ่ง ช่างมันเถิด...อย่าได้คิดถึงอนาคตนั้นเลย คิดถึงเวลานี้ที่เราจะต้องเดินทางกลับไปยังพรรคบุปผาสวรรค์ และบัดนี้ข้าเป็นเพียงคนนอก มิใช่ประมุขพรรคอีกต่อไป”“แต่ท่านก็ยังเป็นท่านประมุขของข้าเสมอ” เหมยเหมยกล่า
“มี่อิง...”เพ่ยหลินนิ่งอึ้ง นางเห็นประกายวาววับในดวงตาของนางมารดอกไม้เงินก้ให้บังเกิดความฉุกนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ นางคือผุ้ชุบเลี้ยงบุตรสาวบุญธรรมทั้งสองมาด้วยมือจึงรู้นิสัยของเด็กหญิงทั้งสองเป็นอย่างดี มี่อิงแตกต่างจากฟางซิน นางเป็นคนทะเยอทะยานใฝ่สูง มุทะลุและมิเคยใส่ใจต่อความใยดีของใครทั้งสิ้น และช่องว่างของมี่อิงคือความเจ้าอารมณ์ ควบคุมตัวเองให้อยู่กับร่องกับรอยมิได้ อยากได้อะไรต้องได้และเป็นคนคิดการไม่ใคร่รอบคอบ จุดอ่อนนี้เองจึงทำให้นางขาดคุณสมับติที่จะฝึกวิชาจากมหาคัมภีร์ยุทธ์อย่างเฟิงเหลย แต่ไม่ทันที่เพ่ยหลินจะได้กล่าวอะไรออกมานางก็ต้องชะงักค้าง หญิงวัยใกล้เจ็ดสิบยกมือขึ้นทาบอกเมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแล่นจากช่องท้องขึ้นมมาจุกที่คอหอยจนถึงกับซวนเซ นางค้ำยันมือกับเก้าอี้ตัวใหญ่เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของลมปราณในกายที่แล่นไหลวนอย่างประหลาด แต่แล้วเพ่ยหลินก็ต้องผงะเมื่อรู้สึกถึงแรงดันจากในช่องท้องทวีความรุนแรงมากขึ้นกระทั่งและยิ่งตระหนกเมื่อโลหิตหยาดหนึ่งหยดจากริมฝีปากลงบนหลังมือ“ขะ...ข้าเป็นอะไรนี่...มี่อิง...”เพ่ยหลินเสียงแห้งโหยแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองบุตรบุญธรรมกลับพบร
“คนใจคดเช่นเจ้าแม้แต่ผู้มีพระคุณยังคิดคดทรยศได้ นับประสาอะไรที่ข้าจะไว้เนื้อเชื่อใจบอกที่ซ่อนคัมภีร์แก่เจ้า”“แต่นี่เป็นทางเลืกสุดท้ายของเจ้าที่จะมีลมหายใจต่อไปนะเพ่ยหลิน!”เสียงห้าวกังวานที่ดังขึ้นทำให้เพ่ยหลินชะงักก่อนจะหันไปเห็นร่างสูงใหญ่เจ้าของโครงหน้ารูปเหลี่ยมทว่าเข้มคมและดวงตาวาววามใต้รูปคิ้วกังฉินซึ่งนางจดจำได้ดีก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าบัลลัค์ทองงาช้างที่มี่อิงนั่งเสมือนว่านางคือประมุขพรรค“ไป๋เจี้ยน!”“ฮ่าๆๆๆ....ต้องพิษร้ายแรงขนาดนี้แล้วเจ้าก็ยังจำข้าได้อีกรึเพ่ยหลิน นึกว่าอดีตประมุขพรรคมารจะเลือนลืมความทรงจำเกี่ยวกับข้า เทพยุทธ์กระบี่ขาวไปจนสิ้นเสียแล้ว”“คนเลวเยี่ยงเจ้ามีรึที่ข้าจะลืมได้ง่าย...ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีกตั้งแต่โดนฝ่ามือสลายวิยญาณของนางมารหมื่นบุปผาครานั้น”“ข้ามันคนดวงแข็ง มิยอมตายง่าย ๆ ตอนนั้นข้าชะล่าใจคิดว่าประมุขของเจ้าละทิ้งพรรคมาร แล้วจู่ ๆ นางมารหมื่นบุปผาก็โผล่ออกมาโดยข้ามิทันตั้งตัว แต่อย่างไรเสียก็น่าขอบใจมี่อิงที่คอยส่งข่าวคราวจากสำนักของเจ้าให้ข้าอยู่เสมอ”“ว่าอย่างไรนะ มี่อิง...ที่แท้เจ้าก็หักหลังพรรคเราร่วมมือกับไป๋เจี้ยน เจ้าคือหนอนบ่อนไส้อย่
“นางมารเฒ่าเอ๊ย...ตายไปแล้วยังทิ้งปริศนาไว้ให้ข้าเจ็บอกเสียอีก”มี่อิงเข่นเขี้ยวโดยความโกรธแค้น ไป๋เจี้ยนนั้นยังสงบนิ่งทว่าใบหน้าก้เต็มไปด้วยความครุ่นคิด หลังพักฟื้นจนอาการดีขึ้นแล้วก็ได้รับข่าวดีจากมี่อิงว่านางมารหมื่นบุปผาถูกถอดออกจากตำแหน่งประมุขพรรคมารและซมซานออกจากพรรคในสภาพแทบหมดสิ้นวรยุทธ์ เขาจึงคิดว่านี่เป็นโอกาสทองที่จะได้คัมภีร์ฟ้าคำรามมาครอบครองเพราะพรรคบุปผาสวรรค์ไร้หัวหน้า เหลือเพียงแต่เพ่ยหลินที่แม้วิทยายุทธ์ของนางสูงส่งแต่ก็ต้องสิ้นท่าด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจแก่ลูกสาวบุญธรรมอย่างมี่อิง เขารีบเดินทางออกจากพรรคเฟิงอี้โดยมิได้บอกผู้ใด กำชับคนสนิทไว้เพียงเท่านั้นว่ามิให้แพร่งพรายว่าเขามิได้อยู่ในพรรคแม้แต่หลวนคุนก็คิดว่าเขากำลังเดินลมปราณรักษาตัวภายในห้องมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนก่อนเดินทางมายังพรรคมารด้วยเป้าประสงค์เดียวคือการได้คัมภีร์อันล้ำค่าที่เขาเพียรหามานานกลับไป ขณะนั้นคนของมี่อิงรีบเข้ามาและกระซิบข้างหูนางก่อนจะปลีกตัวออกไป คำบอกกล่าวนั้นทำให้นางมารดอกไม้เงินหน้าไม่บอกบุญจนทำให้ไป๋เจี้ยนถามขึ้น“มีอะไรอย่างนั้นรึ ใยเจ้าทำหน้าเช่นนั้น”“คนของข้าตามไปจับตัวฟางซินแต่ไม่สำเ
จิ้นเหอซึ่งอยู่ในท่านั่งหลังติดกำแพงหิน มือทั้งสองถูกพันธนาการด้วยโซ่เหล็กภายในคุกใต้ดินที่มีเพียงแสงคบเพลิงส่องสว่างในความหมองมัวลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงไขกุญแจประตูกรงขัง เขาเห็นหญิงงามในชุดเสื้อคลุมสีแดงสามถึงสี่คนยืนอยู่หน้าประตู หนึ่งในนั้นก้าวเข้ามาและกล่าวขึ้นว่า “ลุกขึ้น แม่ทัพเฉิง!”เสียงนั้นห้วนสั้นแต่กังวาน ที่จริงเขารู้สึกตัวนานแล้วแต่ยังคงหลับตาเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้าถูกจับตัวกลับมายังพรรคบุปผาสวรรค์และถูกจองจำในคุกใต้ดินไม่ต่างกับนักโทษในคุกหลวงในห้วงเวลาที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่าเจ็ดราตรี“จะพาข้าไปไหน?”“วันนี้เป็นวันสำคัญ จะมีการแต่งตั้งประมุขพรรคคนใหม่ขึ้นแทนนางมารหมื่นบุปผา”เขาหรี่นัยน์ตา “แต่งตั้งประมุขพรรคอย่างนั้นรึ...ไฉนจึงต้องเอาเชลยอย่างข้าเข้าร่วมพิธีด้วยเล่า จะกลายเป็นลางร้ายของประมุขคนใหม่เสียเปล่าๆ”“จะตายแล้วยังปากดีอีกรึ...บอกให้ทำอะไรก็อย่าได้ตั้งคำถาม จงทำตามที่พวกเราสั่งเพราะตอนนี้เจ้าตกอยู่ในฐานะเชลย มิมีสิทธิ์แสดงความเห็นหรือต่อรองใดๆ”จริงซีนะ...ณ ที่แห่งนี้ไม่ว่ายศฐาหรือฐานันดรใดก็ย่อมไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแม้แต่การได้เค
คำพูดของจิ้นเหอทำให้สีหน้าของคนฟังแปรเปลี่ยน มี่อิงบังเกิดความคับแค้นเมื่อถุกจี้เข้าจุดเจ็บและมันทำให้นางไม่อาจระงับความเดือดดาลที่สุมในใจเหมือนไฟคอยผลาญได้ นัยน์ตาของนางวาวโรจน์ดังเพลิงฉายแสง มี่อิงโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้แม่ทัพหนุ่มและเหยียดยิ้มพร้อมเค้นเสียงลอดไรฟันหากก็เบาเพียงนางและจิ้นเหอได้ยิน“ใช่! ข้ามิปฏิเสธว่าข้าเกลียดนางขนาดไหน ฟางซินได้ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งข้าต่างหากที่สมควรได้ไปจากท่านแม่ที่มีใจรักอาธรรม์ ให้นางฝึกวิชาจำคัมภีร์ยุทธ์ที่คนทั้งยุทธภพตามหายังมิพอแต่ยังมอบตำแหน่งประมุขพรรคให้นางครอบครอง ข้าจึงต้องทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ชื่อของฟางซินมัวหมอง ใส่ร้ายนาง ป้ายสีความผิดทุกอย่างที่นางมิได้ทำเพื่อให้เป็นที่เกลียดชังของคนทั้งยุทธภพ”มี่อิงระบายความเจ็บแค้นหากนางไม่รู้เลยว่ามันทำให้จิ้นเหอเริ่มฉุกนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวจากที่ได้ฟังทีละน้อยจนความรางเลือนในใจเริ่มเห็นชัดเจน“เจ้าป้ายสีความผิดให้นาง...แม้แต่เรื่องการฆ่าคนจากราชสำนักที่เดินทางมายังวัดโค้วอิงยี่ด้วยรึ”“ใช่! ข้าเองที่ฆ่าคนเหล่านั้นโดยใช้อาวุธปลิดวิญญาณชนิดเดียวกับที่นางมารหมื่นบุปผาใช้ แล้วเป็
“ต่อชีวิตเช่นนั้นหรือ?”“มันเป็นคัมภีร์ที่มีทั้งความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดหากซุกซ่อนไว้ด้วยความแหลมคมอย่างที่สุด ครั้งหนึ่งฟางซินช่วยชีวิตท่านไว้ด้วยการถ่ายพลังลมปราณให้และพลังที่ไหลวนในตัวของท่านคือลมหายใจสุดท้ายของนาง”“แต่ตอนนี้ฟางซินอ่อนแอเหลือเกิน”“คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้การฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์เฟิงเหลยคือผู้ตัดขาดตัวเองจากคนอื่นโดยปราศจากการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ พวกเขาคิดเพียงว่าเมื่อสูญเสียสิ่งหนึ่งไปคือสูญสิ้นทั้งหมดหากทว่ามิใช่ แม้ฟางซินยอมสละทุกอย่างต่อท่านหากนางก็ยังมิสิ้นลมหายใจ นั่นเป็นเพราะนาง...ยังมีท่าน...แม่ทัพเฉิง จงพาฟางซินเดินทางไปยังบูรพทิศในยามตะวันทอแสง ท่านต้องอยู่เคียงข้างนางเสมอ อย่าได้ทอดทิ้งฟางซินเพราะท่านคือผู้นำพาหัวใจของนางและนางก็เปรียบเสมอโคมทองส่องสว่างในหัวใจของท่านไปยังสุดเขตแดนเพื่อตามหาปัญญาชนในสายลมหนาว พวกเขาจะรับรู้เรื่องราวของพวกท่านโดยมิต้องเอ่ยปากบอกเล่าใดๆ”“ปัญญาชนในสายลมหนาว...หนทางนั้นยาวไกลหรือไม่กว่าที่ข้าและฟางซินจะได้พบ”“หากท่านพร้อมยอมเสียสละเพราะมันอาจหมายถึงตลอดชีวิตของท่าน...และนาง”“เสียสละเช่นนั้นหรือ”“จิ้นเหอ...ท่านจะทำอะไร”ฟางซ
“เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว ฟางซิน”เสียงที่เปล่งออกมายังความประหลาดใจแก่จิ้นเหอด้วยเป็นสรรพเสียงที่ดังกังวานไปถึงเบื้องนอกเมื่อครู่ นางอยู่ในนี้แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีคนเข้ามาในหอตะวันตก“นั่งก่อนเถิด...เจ้าทั้งสอง”นางเชื้อเชิญพลางผายมือเรียวบางไปเบื้องหน้า แม่ทัพหนุ่มก้าวไปหยุดอยู่ห่างออกมาสามสี่ก้าวก่อนค่อย ๆ วางร่างของฟางซินลงก่อนเขาจะหย่อนตัวนั่งเคียงข้างหญิงสาว จิ้นเหอพินิจร่างบอบบางของผู้อยู่เบื้องหลังเตาเหล็ก เจ้าของใบหน้างดงามราวเด็กสาวและแววตาน้ำตาลแวววาวเจิดจรัสราวกับมีรัศมีบางอย่างเปล่งออกมา“ฟางซินบอกข้าว่าท่านคือเทพพยากรณ์”“เรียกข้าว่าจิว”นางกล่าวขณะหยิบกลีบดอกไม้โรยลงในเตาบังเกิดควันพวยพุ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว“ฟ้าดินเท่านั้นลิขิตชีวิต ข้ารู้เท่าที่ข้ารู้แต่มิอาจล่วงรู้ความลับสวรรค์”“เช่นนั้นท่านก็คงรู้แล้วว่าที่เรามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งใด...ข้าคือ เฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพแห่งองค์ซ่งไท่จู่”“แม่ทัพเฉิง ข้าเคยบอกฟางซินแล้วว่าวันหนึ่งนางต้องกลับมาหาข้า”“และเป็นดังเช่นท่านกล่าวไว้จริงๆ”ฟางซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ทว่าน่าประหลาดที่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมากกว่าเก่าเมื่อเข้
หวังซื่อถาม หลวนคุนลุกขึ้นยืนและยืดไหล่หลังตรงอย่างสง่า เขาเชิดหน้าขึ้น“ข้าจะบอกทุกคนว่า....ลุงของข้าประมือกับนางมารหมื่นบุปผา ต่างคนต่างพลาดพลั้งเสียทีต่อกันทำให้ลุงของข้าและประมุขพรรคมารต่างสิ้นลมด้วยกันทั้งคู่”คำตอบนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบด้วยยอมจำนนต่อสติปัญญาของหลวนคุน ทุกคนรู้ว่าเขามิได้ปกป้องตัวเองด้วยเกรงถูกมองว่าเณรคุนเพราะหากมิทำเช่นนี้ก็จะเกิดข้อสงสัยแก่ผู้ที่มีใจภักดิ์ดีต่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่สิ้นลมไปแล้วอย่างไป่เจี้ยนได้ ขณะนั้นจิ้นเหอกลับกอดฟางซินแนบแน่นยิ่งขึ้น เขากระซิบกับนางด้วยเสียงแม้ห้าวหนักทว่าอ่อนหวานยิ่งนัก“ฟางซิน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวงซานนี้จะถล่มฤาแผ่นฟ้าจะแหลกสลายลง หากข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้า...มิหนีไปไหน”หลังจากนั้นมินานที่หลวนคุนเป็นผู้นำทุกคนกลับไปยังพรรคเฟิงอี้ ทั้งแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ หวังซื่อผู้ติดตาม หยางเซิงไต้ซือ รวมทั้งเหมยเหม่ยที่คอยดูแลฟางซินซึ่งนางอ่อนแรงลงทั้งจากลมปราณปรวนแปรและจากการใช้กำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดต่อสู้กับทั้งไป๋เจี้ยนและมี่อิง นางทิ้งพรรคบุปผาสวรรค์ที่บัดนี้ยังมิมีผู้ใดขึ้นเป็นประมุขไว้เบื้องหลังเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอตะวันตก
แม่ทัพหนุ่มร้องด้วยความตกใจก่อนคว้าร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบไว้ในอ้อมแขน นางลืมตาขึ้นมอง สติของนางยังคงอยู่หากแต่จิ้นเหอนั้นกอดร่างเล็กบอบบางไว้แนบแน่น“ฟางซิน...เจ้าเป็นอะไร”“ลมปราณในกายของนางกำลังปรวนแปร มันค่อย ๆ ทำลายตัวเองทีละน้อย”หยางเซิงไต้ซือตอบขณะก้าวเข้ามา จิ้นเหอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่“นี่เป็นเพราะนางฝึกพลังลมปราณจากคัมภีร์เล่มนั้น และเป็นเพราะข้าที่ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ มิมีวิธีใดเลยหรือที่จะช่วยรักษาชีวิตของนางไว้ให้ยืนยาวกว่านี้”ไต้ซือเฒ่าระบายลมหายใจขณะทำสีหน้าครุ่นคิด“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมี่อิงเอ่ยถึงเทพพยากรณ์ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งอาจช่วยฟางซินได้”“แต่ท่านไต้ซือบอกกับข้านี่มิใช่หรือว่าผู้ฝึกวิชาจากคัมภีร์ฟ้าคำรามหากสูญเสียพรหมจรรย์แล้วจะมิมีทางช่วยให้พ้นจากความตายได้”เหมยเหม่ยรีบเข้ามาดูอาการของฟางซินที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอดของจิ้นเหอ หยางเซิงไต้ซือส่ายหน้า“ที่ข้าบอกจ้าเช่นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องเล่ามาช้านาน ข้าเองมิเคยแน่ใจว่าเทพพยากรณ์มีอยู่จริง คนทั้งยุทธภพร่ำลือถึงบุคคลผู้มีญาณวิเศษ มองเห็นอนาคต บางคนว่าเป็นหนุ่มรูปงามราวเทพบ
มี่อิงตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกปวดปลาบตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงท้ายทอย ความเจ็บปวดนั้นราวกับมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทงอยู่บนหัวของนาง“อะ...อะไรกันนี่...อะไรกัน!!”ครานี้นางเป็นฝ่ายอุทานขึ้นบ้างเมื่อโลหิตมิใช่หยาดเดียวหยดลงมาอาบเต็มใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความหวั่นกลัวและเจ็บปวด มี่อิงพยายามจะถอดมาลาประดับผมออกแต่สายเกินไปเมื่อนางรู้ตัวแล้วว่ากำลังต้องพิษร้ายจากมาลาของประมุข นางกรีดร้องเสียงดัง“กรี๊ด!...ทำไมเป็นเช่นนี้...ฟางซิน...เจ้าใช่ไหม...เจ้าวางยาพิษในมาลานี่ใช่ไหม!”“มิใช่ข้าดอกมี่อิง” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงอันแน่วนิ่ง “หากแต่นี่คือสิ่งที่ผู้มิใช่ประมุขมิมีวันรู้เกี่ยวกับการได้ครอบครองเสื้อคลุมและมาลาของประมุขพรรคบุปผาสวรรค์”“มะ...มิรู้เช่นนั้นรึ...มิรู้อันใด...โอย...ข้ามิรู้สิ่งใด”มี่อิงร่ำร้องและพยายามถอดมาลาออกจากหัวของนางเพราะความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอาบด้วยโลหิตแดงฉานที่ไหลหลั่งลงอาบเสื้อคลุมขนาดที่คนติดตามคอยรับใช้ยังถอยหนีด้วยความสะพรึงกลัว ฟางซินก้าวไปหยุดตรงหน้าบันไดซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่บัลลังค์ทองงาช้าง นางส่ายหน้าไปมาขณะมี่อิงซวนเซจนล้มนั่ง โลหิตมากม
“ท่านมีบุญคุณต่อข้าใยจะมิสำนึก แต่หากมิทำเช่นนี้แล้วก็มิมีวันที่จะหยุดความทะเยอทะยานของท่านได้ อภัยให้ข้าด้วย...ท่านลุง”หลวนคุนนั่งคุกเข่าและวางคันธนูลงข้างลำตัว ไป๋เจี้ยนเหยียดปากทั้งน้ำกบดวงตา“ข้ามินึก...ทั้งที่มีคนเตือนข้าแล้วว่าให้ระวังคนใกล้ตัว...ข้านึกไปมิถึง...นึกมิถึงเลยจริง ๆ ว่าที่แท้...คนใกล้ตัวก็คือ...เจ้า...”เจ้าสำนักเฟิงอี้ตาเหลือกถลนเมื่อผ่อนลมหายใจสุดท้ายด้วยมิทานทนต่อความเจ็บปวดจากดอกศรที่ปักเข้าบนอกด้านซ้ายพอดิบพอดีก่อนจะล้มตึงลงนอนคว่ำหน้าดวงตาเบิกค้างและผู้ที่ตกใจมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นมี่อิงที่ผงะงันและถอยไปเบื้องหลัง“ไป๋เจี้ยน...”จิ้นเหอครางชื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่ขาดใจตายลงต่อหน้าอย่างมิน่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขณะฟางซินปรี่เข้าไปหา ทั้งสองกอดกันแนบแน่นราวกับได้เกิดใหม่“หลวนคุน...ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”หวังซื่อเอ่ยกับหลวนคุนแต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงมี่อิงกังวานขึ้น“ถึงมิมีไป๋เจี้ยนแล้วแต่พวกเจ้าหยุดข้ามิได้ดอก!”นางมารดอกไม้เงินเหยียดยิ้มเยาะก่อนหันไปยังคนสนิทอีกสองคนที่ยังไม่ยอมออกไปจากห้องโถงใหญ่ดังคนอื่น ๆ ที่แตกตื่นวิ่งหนีออกไปเกือบสิ้น หญิงสา
ดังนั้นนางจึงมิอาจต้านทานกำลังอันกล้าแกร่งของอีกฝ่ายได้จึงถูกซัดฝ่ามือใส่จังหวะที่นางพลาดท่าจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้น ฟางซินพยายามหยัดกายลุกขึ้นทั้งที่กระอักเลือดเปิดโอกาสให้ไป๋เจี้ยนพุ่งเข้าหาเพื่อหวังจะซัดฝ่ามือซ้ำแต่จิ้นเหอกลับเข้ามาขวางและถูกพลังลมปราณของไป๋เจี้ยนจนเขาเองก็ถึงกับหงายหลังลงไปนอนบนพื้น ไป๋เจี้ยนสบโอกาสหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วจ่อไปที่คอหอยของแม่ทัพหนุ่มอีกครั้งขณะหันไปยังฟางซินที่มองด้วยความตระหนก“จิ้นเหอ!”“นางมารหมื่นบุปผา เห็นหรือยังว่าพวกเจ้ามิอาจต้านกำลังของข้าได้ หากเจ้าอยากให้แม่ทัพเฉิงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็จงบอกที่ซ่อนคัมภีร์มาเดี๋ยวนี้”“อย่า!” จิ้นเหอตะโกนบอกทั้งที่ไป๋เจี้ยนกดปลายกระบี่ลงบนคอของเขาจนเลือดเริ่มซึมออกมา “อย่าบอกที่ซ่อนคัมภีร์ให้พวกคนใจชั่ว ถึงข้าตายก็มิเสียดายถือเสียว่าได้ทำคุณแก่แผ่นดินด้วยการปกป้องคนดีจากคนชั่ว”“ไม่...จิ้นเหอ...จิ้นเหอ”ฟางซินร่ำร้องเมื่อเห็นเลือดไหลจากรอยกรีดลึกของคมกระบี่บนคอแม่ทัพหนุ่ม หัวใจของนางราวกับจะขาดเสียให้ได้แต่มี่อิงกลับหัวเราะเย้ยเสียงดัง“หากเจ้าอยากให้คนที่เจ้ารักมีชวิตอยู่ใยจึงไม่บอกที่ซ่อนคัมภีร์แก่ท่านไป๋เจี้ยนเล่
“แม่ทัพเฉิง มีสิ่งใดน่าขัน”“หึ...จะมิให้ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องหัวเราะได้อย่างไร ท่านติดตามหาคัมภีร์เล่มนั้นจนแล้วจนรอดก็ยังมิได้ครอบครอง คิดว่าสวรรค์คงมีตามิเข้าข้างคนใจโฉดเช่นเจ้า”“ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังกล้าปากดีอยู่อีกรึ ยศฐาและตำแหน่งของเจ้าใช้ได้ต่อหน้าฮ่องเต้เท่านั้น หากแต่เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ก็หาได้มีความหมายเพราะเจ้าเป็นเพียงเชลยที่มิรู้ชะตากรรมว่าจะตายเสียเมื่อใด”“ข้ายินดีตาย...หากมันจะแลกได้กับการไถ่โทษที่ข้าปรารถนามอบมันให้กับ...หญิงที่ข้ารัก”จิ้นเหอกล่าวขณะหันกลับไปยังฟางซินที่ยืนผงะนิ่งท่ามกลางเหมยเหม่ย หวังซื่อรวมทั้งหยางเซิงไต้ซือที่มองคนทั้งสอง ฟางซินมิคิดว่าจะได้ยินคำกล่าวนั้นจากปากของแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพหนุ่มผู้เคยมีหัวใจเย็นชาราวหินผาและครั้งหนึ่งเคยโกรธเกลียดเคียดแค้นนางมารหมื่นบุปผาถึงขนาดจะสับร่างนางเป็นหมื่นชิ้น ฟางซินน้ำตาซึม“จิ้นเหอ...”“ถึงข้าตายเสียตอนนี้ก็มิรู้สึกว่าเสียดายชีวิต ข้ายอมสละตัวเองได้เพราะเจ้าจะมิมีวันได้คัมภีร์เล่มนั้นจากนางมารหมื่นบุปผาดอกไป๋เจี้ยน!”จิ้นเหอฉวยจังหวะที่ไป๋เจี้ยนพลั้งเผลอเพียงเวลาพลิกฝ่ามือดึงโซ่ตรวนที่พันธนาการข้อมือรวบ
เสียงที่ดังก้องขึ้นทำให้ทั้งหมดในที่นั้นหันกลับไปมองพร้อมกัน มี่อิงเลิกคิ้วขึ้นขณะไป๋เจี้ยนก็หันไปดังขวับส่วนจิ้นเหอเมื่อเหลียวกลับไปก็ได้เห็นคนที่เขาอยากพบมากที่สุดในเวลานี้ ฟางซินยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมด้วยเหมยเหม่ย หวังซื่อและหยางเซิงไต้ซือซึ่งเขาจำได้มิเคยลืมเมื่อครั้งเคยมาเยือนหวงซาน ณ อารามวัดโค้วอิงยี่ ทั้งหมดยืนอยู่ท่ามกลางคนพรรคมารที่ต่างจ้องมองด้วยความประหลาดใจ จิ้นเหอสบนัยน์ตานางมารหมื่นบุปผาด้วยหัวใจรุ่มร้อน หากมิตายเสียก่อนก็จะขอให้นางอภัยต่อความโง่เขลาที่เยขาหลงเชื่อคนใจคดอย่างมี่อิงและไป๋เจี้ยน แต่แล้วมี่อิงกลับระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น“ฮ่าๆๆๆๆ....มาแล้วรึเจ้าพวกแมงเม่า ฟางซิน...ข้านึกไว้แล้วเชียวว่าเจ้าต้องหวนกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะเจ้าคงมิอาจทนเห็นคนรักของเจ้าตายอย่างทุกข์ทรมานอยู่ที่พรรคบุปผาสวรรค์เป็นแน่แท้”“มี่อิง เจ้าเลิกก่อกรรมเสียที มิรู้หรืออย่างไรว่าเจ้ากำลังเล่นกับสิ่งใด หากเกิดอะไรขึ้นกับแม่ทัพเฉิงคนจากวังหลวงย่อมมิปล่อยเจ้าไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน”“ข้าไม่กลัว! คนจากวังหลวงหรือเป็นเพราะเจ้าห่วงเขากันแน่ มาวันนี้ก็ดีแล้วจะมาเป็นพยานให้กับข้าในการขึ้นเป็นป