ค่ำคืนใน จวนอ๋องผ่านไปอย่างเรียบง่าย
เช้าสดใส เจิ้งเหมยจัดการตัวเองและเตรียมพร้อมที่จะปัดกวาดในห้องทำงานที่ได้รับมอบหมายเสื้อผ้าชุดใหม่ไม่ได้มีสีสันมากนัก หน้าผมก็ไม่จำเป็นต้องแต่งเหมือนตอนอยู่ในช่วงคัดนางใน หากแต่ปล่อยให้ใบหน้าสดใสไร้เครื่องแต่งแต้ม
ใบหน้าผุดผาดดุจมู่หลานแรกแย้ม ไม่จำเป็นต้องแต่งแต้มใดๆก็สะดุดตามากพอ
ชายาเอกนั่งชมสวนกับสาวใช้อีกสองคน เจิ้งเหมยกำลังจะเดินผ่าน
"เจ้าใช่ไหม สาวใช้ในจวนคนใหม่"
เจิ้งเหมยเดินเข้าไปยืนก้มหน้า ประสานมือคารวะโยวเสวี่ยนอย่างนอบน้อม ยิ้มพิมพ์ใจ
"ห้องทำงานของท่านอ๋อง เป็นที่ที่ท่านอ๋องใช้เวลาส่วนมากที่นั่น ฉะนั้นเจ้าต้องตั้งใจที่จะดูแลมันให้ดี"
เจิ้งเหมยย่อตัวลงช้าๆ
"เจ้าค่ะเจิ้งเหมยน้อมรับคำสั่ง ต่อไปจะดูแลที่นั่นให้ดีไม่ให้บกพร่อง"
โบกมือให้เจิ้งเหมยถอยออกไป ส่งเสียงไอสองสามที
เจิ้งเหมย เดินลัดเลาะจนถึงห้องทำงาน ดีแล้วแบบนี้ดีแล้วอย่างน้อยก็หลุดออกมาจากฮูหยินใหญ่ ของท่านพ่อที่คอยกดขี่ไหนจะพี่ใหญ่ที่คอยจ้องจับผิด อยู่ตรงนี้ทุกอย่างคงจะไม่เลวร้ายกว่าที่ผ่านมา
ห้องใหญ่ ที่เหมือนถูกปิดทึบไปเสียทุกด้าน เจิ้งเหมยเดินเปิดช่องหน้าต่างและปัดกวาดจนไม่มีฝุ่นเหลือตกค้าง ดอกไม้สีสดใสถูกนำมาเสียบใสในแจกันใบใหญ่
ปิดห้องไว้เหมือนเดิมกว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นก็เกือบหมดวัน
ย่าหนานยก อาหารใส่จานมาสองจานพร้อมถ้วยข้าว เจิ้งเหมยคิดถึงบ้านที่มักจะได้กินที่หลังคนอื่นเสมอ
อาหารที่นี่รสชาติไม่เลวนักหรือเพราะความหิว
...บ้านตระกูลเจิ้ง...
"สุดท้ายแล้วนางก็ ไม่ได้ช่วยอะไรตระกูลเจิ้ง นางไม่ได้ต้องตาต้องใจฝ่าบาท ถึงกับต้องยกให้อ๋องห้าเพื่อเก็บไว้เป็นสาวใช้ในจวน"
ฮูหยินของตระกูลเจิิ้งพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
"ฮูหยิน ก็ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้ส่งเจิ้งหมิงเข้าวังแต่เจ้าหายอมไม่ นางไม่แอบหนีออกมาผ่านการฝึดฝนคัดตัวนางในไปได้ก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว"
ใต้เท้าเจิ้งออกรับแทนด้วยเอ็นดูเจิ้งเหมยไม่น้อย
"กลับยิ่งทำให้ขายหน้า อ๋องห้านับว่ามีบารมีไม่น่อยแต่กลับปฏิเสธไม่ยอมรับนางเป็นชายารอง ท่านยังคิดว่าไม่ขายหน้าอีกหรือ"
เจิ้งเหวยถอนหายใจ ฝ่าบาทคิดอะไรอยู่ คิดจะทดสอบความภักดีของเขาหรือว่าจงใจให้เขากับอ๋องห้าผู้หยิ่งทะนงเกี่ยวดองกันจริงจัง เพียงเพื่ออยากเห็นว่าเขาจะภักดีกับใคร หรือว่าอ๋องห้าจงใจจะรับไมตรีดึงเขาเข้าพวกด้วย ในเมื่อตอนนี้สี่ตระกูลใหญ่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
จินเฉิงอู่ กลับจากราชสำนักเข้าสู่จวนอ๋องก้าวขาลงจากเกี้ยว เจิ้งเหมยกวาดลานบ้านอยู่ด้านนอกในเวลาค่ำใบหน้าสดใสแรกแย้ม เขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเสีย คนรับใช้รับเสื้อคลุมไปแขวนไว้ เดินเข้าห้องทำงานวันนี้มีฎีกาหลายเล่มที่ฝ่าบาทจงใจให้เขาตัดสินใจแทน
ห้องทำงานสะอาดตา กลิ่นดอกไม้ลอยเข้าปะทะจมูก ช่อดอกไม้ถูกเสียบไว้ในแจกันแทนช่อเดิมที่เหี่ยวแห้ง ความสดใสนั้นทำเอาเขาเผลอยิ้ม นั่งลงบนโต๊ะหนังสือ แท่นฝนหมึกสะอาดสะอ้านฎีกาหลายม้วนถูกเรียงไว้อย่างมีระเบียบ
"ใครกัน หรือว่าโยวเสวียนจะแวะเข้ามาดูแลให้"
"เสี่ยวป๋อ"เสี่ยวป๋อวิ่งเข้ามาทันที
"ใครทำห้องข้าแบบนี้"
เสี่ยวป๋อคุกเข่าลงกับพื้น
"ท่านอ๋อง ไว้ชีวิตด้วย"
จินเฉิงอู่ส่ายหน้าไปมา
"สาวใช้คนใหม่ขอรับท่านอ๋อง นางยังไม่รู้ธรรมเนียม ข้าน้อยจะตักเตือนนางให้เอง"
ด้วยจิตใจที่มีคุณธรรมถึงกับยอมออกรับแทนเจิ้งเหมย
"ท่านอ๋อง นางทำสิ่งใดให้ขุ่นเคืองใจ"
โยวเสวียนมาพร้อมกับสาวใช้และอาหารเย็น จินเฉิงอู่รีบเข้าไปพยุงโยวเสวียนให้นั่งลง โยวเสวียนผายมือให้เสี่ยวป๋อลุกขึ้น
"นาง... ใครกัน"
"สาวใช้ที่ฝ่าบาทพระราชทานมาใหม่ ที่ท่านพานางกลับมาด้วยเมื่อวาน"
จินเฉิงอู่เพียงแต่พยักหน้า
"ไม่มีสิ่งใด เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าห้องทำงานเปลี่ยนไป"
"แล้วดีไหม"
เพียงยิ้มไม่ตอบว่ากระไรโยวเสวียนหลุบตามองพื้น
"โยวเสวียนสั่งให้ครัวทำชุปกระดูกหมูแก้หนาว"
ยกชุปจากมือสาวใช้วางตรงหน้าจินเฉิงอู่
"ท่านพี่ นางก็แค่สาวใช้จะใสใจทำไม หากไม่พอใจนางโยวเสวียนสั่งให้โบยนาง จะดีไหม"
จินเฉิงอู่นิ่งงัน
"เสี่ยวป๋อ สั่งโบยนางสิบไม้ต่อไปห้ามนางเปลี่ยนแปลงอะไรในห้องทำงานท่านอ๋อง"
น้ำเสียงเย็นเฉียบเหมือนความเหน็บหนาวข้างนอก
ย่าหนานทายาสมานแผลให้เจิ้งเหมยที่นอนคว่ำหน้า กัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด
"เปลี่ยนให้ข้าดูแลแทน ต่อไปให้เจ้าอยู่ที่นี่ช่วยข้าดูแลสวน"
เจิ้งเหมยรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของย่าหนานเหลือเกิน
“คังซื่อฮั่น คาระวะท่านอ๋อง”ร่างสูงชลูดใบหน้าคมคาย นับว่าหล่อเหลาไม่ใช่เล่น สายตาอ่อนโยนขัดกับกระบี่ที่อยู่ข้างกายที่ดื่มเลือดคนมาไม่น้อย รอยยิ้มบางๆดังอากาศธาตุสลายไปราวกับสายหมอกยามต้องแสงสุรีย์“ลุกขึ้น ข้าแทบจะทนคิดถึงเจ้าไม่ไหว หลายวันมานี่เรื่องราวมากมายให้ขบคิด"คังซื่อฮั่นยิ้ม“ข้าน้อยได้ข่าวฝ่าบาทประทานชายารองให้กับท่านอ๋อง”“ตอนนี้นางเป็นเพียงสาวใช้”“ฝ่าบาทต้องการ ที่จะทดสอบความภักดีของใต้เท้าเจิ้งทรงไม่ไว้ใจผู้ใด หากคิดในอีกมุมหนึ่งคิดว่าหากใต้เท้าเจิ้ง ยังภักดีต้องจงใจชี้แนะบางอย่างกับบุตรสาว”“จะป้องกันอย่างไรสิ่งที่ฝ่าบาทประทานให้ไม่รับไม่ได้ อีกทั้งใต้เท้าเจิ้งเป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ หากหักหาญน้ำใจเกินไปก็เท่ากับไม่ให้เกียรติ”“ท่านอ๋องก็ให้นางเป็นเพียงสาวใช้ นับว่าสร้างความไม่พอใจกับใต้เท้าเจิ้งอย่างมากใต้เท้าเจิ้งดูแลคลังหลวง เป็นตำแหน่งที่ใครก็ต้องการหากจะมีใครที่จงใจให้ฝ่าบาท ไม่ไว้ใจใต้เท้าเจิ้งก็มิใช่เรื่องยาก”“ในตอนนั้น สถานการณ์บีบบังคับข้าไม่อาจคิดอะไรได้มากกว่านั้น"“ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องแยแส นางเพียงแค่สาวใช้หากวันไหนที่นางตกเป็นของท่านอ๋อง ข้าเชื่อว่า
เสี่ยวป๋อสาวเท้าอย่างรวดเร็วยังห้องพักของ เจิ้งเหมยเกรงว่าหากช้ากว่านี้ เจิ้งเหมยพี่สาวที่น่าสงสารคนนั้นจะถูกลงโทษอีก“พี่สาวเจิ้งเหมย ท่านอ๋องให้ท่านพักอยู่แต่ในห้องห้ามออกมาเดิน”หายใจหอบเหนื่อยแต่ก็ต้องรีบพูดเพราะไม่อยากเสียเวลาแม้เพียงสักนิดเจิ้งเหมยยิ้ม นึกขำท่าทีร้อนรนของเสี่ยวป๋อ แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ใบหน้าซื่อๆของเสี่ยวป๋อก็ทำให้เจิ้งเหมยมีรอยยิ้ม“ข้าเข้าใจ คงเกรงว่าข้าจะเผลอเอ่ยปากเรื่องถูกทำโทษ”เสี่ยวป๋อยิ้มด้วยความมละอายใจ รู้สึกว่าเจิ้งเหมยช่างเข้าใจอะไรได้ง่ายเสียจริง หารู้ไม่ว่าเจิ้งเหมยรู้ดีว่า สิ่งไหนควรพูดสิ่งไหนไม่ควรพูดในสถานะการเช่นนี้“พี่สาวเข้าใจข้าก็เบาใจ เช่นนั้นท่านพักรักษาตัวให้หายดีเสียก่อนแล้วค่อยออกมาทำงาน”เจิ้งเหมยรู้ดีว่าไม่ใช่ความผิดของเจิ้งเหมย หากองครักษ์ผู้นั้นไม่เดินมาถึงที่นี่ จวนอ๋องกว้างใหญ่หากเขาไม่จงใจใยจะเดินมาถึงที่กันดารที่สุดในจวน จินเฉิงอู่ยัดขวดยาสมานแผล ใบเล็กลงในมือของคังซื่อฮั่น ที่ทำสีหน้างงๆ“ เจ้ากำลังหาว่าข้า ใจคออำมหิตเช่นนั้นนี่คือยาสมานแผลที่ดีที่สุดที่ฝ่าบาทพระราชทานมา นำมันไปให้นางเสียบอกว่าเจ้าให้นางด้วยความหวังดี”
“น้องชาย เครื่องเสวยเช้าท่านอ๋อง พี่สาวรบกวนเจ้านำเข้าไปข้างในให้ด้วย เสี่ยวป๋อไม่รอช้ารีบรับเครื่องเสวย จากมือของเจิ้งเหมย“ให้นางนำเข้ามา”สั่งเสียงเฉียบขาดเหมือนกับตั้งใจฟังอยู่หลังประตูนั่น เสี่ยวป๋อดันถาดเครื่องเสวยส่งคืนเจิ้งเหมยอย่างรวดเร็ว พยักพเยิดให้เจิ้งเหมยเข้าไปเร็วๆ เพื่อความปลอดภัยตัวเองกลับวิ่งออกจากตรงนั้นไปทันทีเจิ้งเหมยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผลักประตูเข้าไป ชนเอาร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูเข้าเต็มแรงข้าวต้มร้อนๆ หกราดเสื้อผ้าของจินเฉิงอู่จนเปรอะเปื้อน เจิ้งเหมยถลาเข้าปัดเสื้อที่เลอะจนใบหน้าใสชนเอากับใบหน้าคมเข้มของท่านอ๋องอย่างไม่ทันระวัง จินเฉิงอู่จับมือบางไว้แน่นจนเจิ้งเหมยรู้สึกเจ็บ สายตาคมดุดันจ้องมอง คุกเข่าลงกระแทกพื้นอย่างแรงด้วยความเคยชิน จนรู้สึกเจ็บที่หัวเข่า แต่ก็กัดฟัน ข่มความเจ็บปวด“ท่านอ๋องโปรดอภัย”จินเฉิงอู่ส่ายหน้าปัดเศษข้าวต้มที่เลอะเสื้อ ดีที่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่มีหลายชั้นถอดเสื้อคลุมออก คังซื่อฮั่นกับเสี่ยวป๋อวิ่งมาพอดี เสี่ยวป๋อรีบไปรับเสื้อคลุมมาถือไว้ด้วยใบหน้าหวาดกลัว เจิ้งเหมยก้มหน้านิ่ง“ท่านอ๋องเสี่ยวป๋อไปสั่งห้องเครื่องนำเครื่องเสวยมา
"ข้าไม่เป็นไรแล้ว เชิญใต้เท้ากลับเถอะ"ลุกขึ้นตั้งใจจะเดินเข้าห้องแต่กลับกะเผลก คังซื่อฮั่นไม่รีรออุ้มเจิ้งเหมยเข้าห้องไปวางไว้ที่เก้าอี้"ร่างกายเจ็บปวดกับใช้งานไม่หยุดหย่อน หากเจ้าไม่ฝืนก็ไม่เจ็บ""ขอบคุณใต้เท้า เจิ้งเหมยจะจำใส่ใจ"คำพูดห่างเหินอย่างที่คังซื่อฮั่นไม่อยากได้ยิน"เจ้าคราวหลังก็อยู่ห่างท่านอ๋องไว้ บางอย่างในใจท่านอ๋องไม่มีผู้ใดล่วงรู้นับว่าเป็นคนผู้หนึ่งที่ไม่เปิดเผยตัวตน"เสี่ยวป๋อกับคังซื่อฮั่นนั่งอยู่ด้วยกันบนโต๊ะมี ไหสุรา"นาง มักยุ่งเกี่ยววนเวียนอยู่กับท่านอ๋องแม้จะเรื่องบังเอิญก็เหมือนจงใจอีกทั้งนางยังสาวและสวยจนชายใดที่ประสบพบนางไม่ชายตาเป็นไม่ได้ ใต้เท้าคังคิดหรือไรว่าท่านอ๋องจะ ...เพียงแค่ต้องการนางเป็นแค่สาวใช้ในจวนอย่างที่พูด"เสี่ยวป๋อหารือกับคังซื่อฮั่น ที่ยกจอกสุรากระดกลงคอถี่ๆ ด้วยความคิดหลากหลาย"ท่านอ๋อง หลายครั้งที่ปฏิเสธเรื่องชายารองจากฝ่าบาท ครั้งนี้หากยอมเป็นหมากเดินตามทางที่ฝ่าบาทตั้งใจวางไว้ นับว่าแผนหญิงงามที่เคยกล่าวไว้ตั้งแต่โบราณกาลกลับใช้ได้ผล""หากคิดในด้านดีฝ่าบาทอาจจะเห็นว่าท่านอ๋องตรากตรำทำงานเพื่อราชสำนักอีกทั้งพระชายายังร่างกายอ่อนแอไ
“เจิ้งเหมย ชายาเรียกเจ้า”ย่าหนานทำสีหน้ากังวล เจิ้งเหมยยิ้ม เดินมายังห้องพักที่เป็นทั้งที่อยู่ที่กิน“มาแล้วหรือเจิ้งเหมย”เจิ้งเหมย เดินเข้าไปย่อกามยต่อหน้าพระชายาที่นอนอยู่บนแท่นนอน เหมือนกำลังป่วย ยื่นขวดยาสมานแผลที่คังซื่อฮั่นมอบให้ตรงหน้าเจิ้งเหมย“ข้าลืมเลือนเสียสนิท องครักษ์คังให้ข้านำมันมามอบให้เจ้า ในคราวนั้น”เจิ้งเหมยรับมากำไว้ในมือ“เจิ้งเหมยซาบซึ้งใจยิ่งนัก ในน้ำใจของทุกคนที่นี่”พระชายายิ้มอ่อนหวานเหมือนจะไม่เคยโกรธใคร“เรื่องที่เจ้าถูกโบยถ้าหากจะโกรธใครสักคนขอให้เป็นข้าเถิด ท่านอ๋องเป็นคนที่ดุดันในแบบฉบับของแม่ทัพ ทุกอย่างในจวนล้วนมีกฏเกณฑ์ เพียงแค่เจ้าไม่ทำผิดข้าก็พอจะออกรับแทนได้ ครั้งนั้นหากไม่สั่งโบยเจ้าเสียก่อนเกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้”“เจิ้งเหมยจะจำคำสอนของพระชายา ต่อแต่นี้เจิ้งเหมยจะไม่ทำให้พระชายาลำบากใจ ”“หลายอย่างในจวนเจ้ายังต้องปรับตัวอีกมาก มีสิ่งใดที่ไม่สบายใจข้ายินดีรับฟังเสมอ คิดเสียว่าข้าเป็นดั่งพี่สาว เจ้าเองก็ใช่จะต่ำต้อยเป็นถึงบุตรตรีของใต้เท้าเจิ้ง จะให้อยู่อย่างสาวใช้เลยทีเดียวก็คงจะไม่เหมาะ”พูดเสียยืดยาว ออกจากห้องของชายาตามทางเด
"พี่สาวเจิ้งเหมย ท่านอ๋องให้ท่านสวมชุดนี้ตามเข้าวัง"เสี่ยวป๋อส่งชุดเรียบหรูในแบบ ที่ใช้ในราชสำนักให้กับเจิ้งเหมยก่อนหน้านั้น"ท่านอ๋อง จำเป็นต้องเป็นนางด้วยหรือ""ฝ่าบาทจะด้วยจงใจหรือไม่ แต่ทรงระบุมาว่าให้ข้าพานางไปรับไทฮองไทเฮาในวังหลวง"โยวเสวียนยิ้มเศร้าๆ"ข้าร่างกายอ่อนแอ เรื่องเช่นนี้ยังไม่อาจแบ่งเบาท่านอ๋องจึงต้องฝืนใจพานางเข้าวังรับไทฮองไทเฮา""หวางเฟย อีกไม่นานก็จะแข็งแรงและเมื่อนั้นต้องเป็นเจ้าที่ข้างกายข้างทุกยาม"เกี้ยวหลังใหญ่ รอท่าอยู่ที่หน้าจวนอ๋อง เจิ้งเหมยในชุดผ้าแพรบางเบาพลิ้วไหวงดงามราวรูปวาดพู่กันจีนช่างเขียนภาพอันดับหนึ่ง ใบหน้าสว่างสดใสหากไม่ติดที่ดวงตาเศร้าสร้อยของนาง จินเฉิงอู่ขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวเสี่ยวป๋อเปิดผ้ากั้นผายมือเชิญเจิ้งเหมยที่ทำท่าจะเดินตามเกี้ยวกระซิบเบาๆ"พี่สาว ขึ้นไปนั่งข้างบนเถิดวันนี้ท่านอ๋องอารมณ์ไม่สู้ดีนัก"เจิ้งเหมยก้าวขาขึ้นไปบนเกี้ยว จินเฉิงอู่นั่งชิดริมหน้าต่างอีกด้าน เจิ้งเหมยจึงเลือกที่จะนั่งชิดอีกฝั่งหันหน้าออกนอกหน้าต่าง"เดินทาง"เหลียงซานป๋อสั่งคนหามเกี้ยวดังๆ ท่านอ๋องห้ายังนั่งหลับตานิ่งเหมือนคนหลับ ส่วนเจิ่งเหมยเปิดหน้าต่างยื่นหน
เจิ้งเหมยดิ้นรนฮัดฮัดในอ้อมกอด จินเฉิงอู่กดคางลงบนไหล่บางจงใจให้เจิ้งเหมยรู้สึกเจ็บ"อย่าดิ้น"ยังแกะมือข้างที่กอดออกจากเอวไม่ยอมฟังคำเตือน"ท่านอ๋อง ปล่อย""เจ้า มันก็แค่สาวใช้ เช่นไรกล้าออกคำสั่งกับข้า"ใบหน้าเศร้าสร้อยกับคำกล่าวนั้น แต่ยังไม่อยู่นิ่งดึงบังเหียนให้ม้าหยุดวิ่งปล่อยให้ม้าเหยาะย่างตามใจดึงรั้งเอวบางชิดเอวหนา"อย่างไร อยู่กับข้าสองต่อสองกล้าดีอย่างไรถึงกล้าไม่ฟังคำสั่ง"เกยคางลงบนไหล่บางปล่อยให้สันจมูกโด่งเลาะเล็มอยู่ข้างแก้ม"เจิ้งเหมยเป็นเพียงสาวใช้ท่านอ๋องได้โปรด…."พูดได้เพียงแค่นั้นจินเฉิงอู่เอี้ยวตัวใช้ปากอุ่นประกบปากบาง บดขยี้อย่างที่ไม่อาจหักห้ามใจมือใหญ่ช้อนรับที่ต้นคอระหงตรึงไว้กับที่ไม่ให้ขยับบรรจงจูบจนหนำใจ จึงปล่อยเจิ้งเหมยเป็นอิสระทั้งที่เสียดายรสจูบหอมหวานนั้นเหลือเกิน แต่เจิ้งเหมยกลับอ่อนระทวยในอ้อมแขน ทั้งเขินอายและตกใจ"คราวนี้คงอยู่นิ่งได้เสียที"จินเฉิ้งอู๋ยิ้มอย่างผู้ชนะ สวมกอดแนบแน่นกระตุกบังเหียนม้าให้ทะยานไปข้างหน้า…..บ้านตระกูลเจิ้ง…..ฮูหยินตะกูลเจิ้ง และเจิ้งหมิงพี่สาวร่วมบิดากับเจิ้งเหมย ออกมารับจินเฉิงอู่หน้าบ้าน แปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเจิ้
วันส่งตัวเข้าวังเพื่อคัดนางใน ….ผู้คัดตัวนางในหลายสิบคนลงจากเกี้ยวที่หน้าประตูวังจินเฉิงอู่เข้ามาในวังแต่เช้าตรู่เช่นกัน ข้างๆกันนั้นเกี้ยวของเจิ้งเหมยหยุดก่อนถึงประตูวังตามธรรมเนียมร่างเล็กบอบบางก้าวลงจากเกี้ยวด้วยสายตาหวาดหวั่น หันมาร่ำลากับสาวใช้ที่มาส่งหันกลับมาอีกทีชนเข้ากับร่างใหญ่ของจินเฉิงอู่เข้าอย่างจัง รวบร่างบางไว้ในอ้อมแขนสบตากลมที่มีแววเศร้าสร้อยภายในนิ่งนานบางอย่างบอกเขาว่า นางช่างมีใบหน้างดงามนัก เสียดายคงจะไม่รอดพ้นสายตาของฝ่าบาทถูกคัดไปเป็นสนมของฝ่าบาทอย่าแน่นอน"ขออภัยใต้เท้า" หลบตาคมที่ส่งสายตาพึงพอใจในใบหน้างดงามยามเขินอายยิ่งน่ามอง จินเฉิงอู่เผลออมยิ้มเจิ้งเหมยเดินหลบเข้าไปในวังปล่อยเขายืนเก้ออยู่ตรงนั้นเจิ้งเหมยหลบตาคมที่มองมาอย่างคาดคั้น"ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรอง เราสองคนแต่เดิมไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเหตุใดเจิ้งเหมยต้องอยากมาอยู่จวนอ๋องหากไม่ใช่บัญชาของฝ่าบาท""เราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จริงอย่างที่เจ้าพูดเช่นนั้นวันนี้ข้าจะถือว่าข้าไม่ใช่อ๋อง เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งเท่านั้น"จูบรุนแรงป่าเถื่อนเจิ้งเหมยดิ้นรนแต่กลับถูกกอดรัดมือกำแน่นทุบลงบนอกกว้างมือใหญ่กำมื
“เฉิงเจินควรไปรอพบฟูจินที่ด้านหน้าประตูวัง ส่วนพวกท่านสองคน ข้าหลายวันมานี้อ่านฎีกาจนปวดเมื่อย ตำหนักใหญ่เงียบเหงาหลายวันเราสามคนร่ำสุราผูกสัมพันเช่นเก่าก่อน”เหลียงซานป๋ออมยิ้ม“ไท่จือท่านอย่าทำพลาดอีกนะ ฝ่าบาทอุตส่าห์ลงมือเองเพียงนี้”เฉิงเจินประสานมือตรงหน้าอมยิ้มแก้มปริ“ข้าลาทุกท่าน รับรองด้วยการฝึกปรือจากเสด็จพ่อท่านอาทั้งสอง เฉิงเจินไม่มีทางทำให้ผิดหวังแน่”คนทั้งหมดส่ายหน้าไปมาประตูวัง จินเฉิงเจินเดินวนไปเวียนมาราวกับเสือติดจั่นเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงมาแต่ไกล จึงยิ้มได้ ฟูจินดึงบังเหียนม้าให้หยุดตรงหน้า“ไท่จือท่าน ฝ่าบาทมีเรื่องใดกันจึงบัญชาฟูจินกลับเข้าวังหลวงโดยเร็วหรือว่าฮองเฮา”สีหน้าร้อนรนเฉิงเจินยิ้มคว้าข้อมือบางกระชากลงจากหลังม้า ช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน“ไท่จือ อย่าทำแบบนี้ ฟูจินมิใช่เด็กๆแล้วและเราสองคนก็โตกันแล้ว”“เราสองคนโตแล้วจึงเหมาะที่จะสร้างครอบครัว”ฟูจินขมวดคิ้ว“ปล่อยฟูจินก่อนเจ้าค่ะ”ดิ้นรนในอ้อมแขนแข็งแรง“ข้ารึ เป็นทุกข์อยู่เสียนานกลัวว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่จะ กีดกันแต่มาวันนี้ทั้งสองพระองค์ไม่ใช่แค่ไม่กีดกันยังส่งเสริมข้ากับเจ้า”ส่งฟูจินขึ้นบนหลังม้ากระโดดข
“ฟูจินรับบัญชาฮองเฮาสิ่งที่ฮองเฮาเลือกให้ล้วนดีที่สุดแล้วสำหรับฟูจิน”น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวทว่าเศร้าสร้อย เจิ้งเหมยยิ้มฟูจินมักว่าง่ายเสมอ“เฉิงเจินกำลังจะแต่งไท่จือเฟยเจ้าเองคงเหงาและใจหายข้าจึงตั้งใจให้เจ้าแต่งกับบุตรชายแม่ทัพเว่ย เสียพร้อมกันจัดงานมงคลขึ้นพร้อมกัน”ฟูจินยิ้มเศร้าๆ“ฟูจิน ไยจึงมีสีหน้าเศร้าสร้อยเพียงนั้น หากไม่เต็มใจ ข้าจึงไม่บังคับเจ้า"ฟูจินย่อกายลงงดงาม"สิ่งที่ฮองเฮาเลือกให้ล้วนดีที่สุดแล้ว ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองฟูจินเกิดมาก็ได้รับความเมตตาจากฝ่าบาทและฮองเฮาอยู่สุขสบายเหมือนองค์หญิงเรื่องใดที่เป็นหน้าที่พึงกระทำเพื่อตอบแทนคุณ”เจิ้งเหมยโอบกอดฟูจินอย่างอ่อนโยน“ข้าไม่เคยคิดว่าเป็นบุญคุณที่มีเจ้าเป็น ดังลูกสาวคังฟูจินหากมีสิ่งใดที่เจ้า หนักใจ บอกกับข้ามาเถิด” ลูบหลังไหล่ให้ ฟูจินสะอื้นเบาๆ เจิ้งเหมยผลักร่างของฟูจินถอยห่างสบตาค้นหาความจริงในดวงตาสีโศกยามเย็นย่ำจินเฉิงเจินเร่งฝีเท้ามายังตำหนักชิงหนิงกงเหลือบแลหาฟูจินแต่ไม่พบนาง“เสด็จแม่”เจิ้งเหมยเงยหน้าขึ้นจากการเย็บถุงหอม“มาแล้วหรือให้ใครตามตั้งแต่บ่ายเพิ่งจะมาถึง ไม่เห็นว่าการพบแม่สำคัญหรือไร คงต้องพูดเรื่องกา
พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เจิ้งเหมยอมยิ้ม ไท่จือมองฟูจินด้วยสายตาเจ็บซ้ำ“ฟูจินอายุน้อยกว่าเจ้า นางยังเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ ไท่จือลูกเองก็น่าจะเข้าใจ ตอนนี้เองไท่จือก็ไม่ได้มีผู้ใดในใจมิใช่หรือ อย่างนั้นหากได้พบองค์หญิงปี่เหยาเจ้าอาจเปลี่ยนใจก็ได้” ไท่จือแม้จะขัดใจเพียงใดแต่ก็ไม่อาจโต้แย้ง นึกน้อยใจฟูจินที่ไม่ช่วยเขาแล้วยังเข้าข้างเจิ้งเหมยที่เป็นมารดาอีก“ ให้เสด็จแม่รู้ไว้ด้วยเถิดว่าลูกไม่เคยจะเต็มใจที่จะแต่งไท่จือเฟยตามที่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่เห็นสมควร ลูกต้องการที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง และเลือกเองเพียงลำพังลูกพูดเพียงแค่นี้ ลูกทูลลา” ขยับตัวลุกขึ้น เหลือบมองฟูจิน สิ่งที่ฟูจินเห็นในนั้นคือแววน้อยใจ ที่ทำเอาฟูจินโศกสลดไม่แพ้กันเจิ้งเหมยส่ายหน้าช้าๆ"ยังทำตัวเหมือนองค์ชายน้อยไม่เปลี่ยน"ฟูจินแสร้งขบขันทางเดินทอดยาว ฟูจินตั้งใจออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ที่เศร้าหมองหาสาเหตุไม่ได้ เดินเรื่อยไปตามทาง ดวงอาทิตย์อัสดงไปแล้วภาพความทรงจำเก่าๆ ที่เคยวิ่งเล่นอยู่บริเวณนี้กับเฉิงเจิน เสียงหัวเราสอดประสาน พลันร่างอ้วนป้อมของฟูจินก็ล้มลงไปกองกับพื้น"บอกแล้วอย่างไรอย่าวิ่งตาม เห็นไหมบา
มิอาจพูดว่ารักฟูจิน จัดการหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบเรียบร้อย ฮองเฮานั่งอยู่บนแท่นนั่งอดไม่ได้ที่จะขยับตัวเข้าใกล้“ฟูจินนวดให้ไหมเพคะ”เจิ้งเหมยในวัยกลางคนทว่าใบหน้ากลับงดงามอ่อนกว่าวัย ยิ้มน้อยๆ“ไม่มีครั้งไหนที่ข้าจะปฏิเสธมีเจ้าเพียงผู้เดียวฟูจินที่นวดได้ถูกใจข้าเหลือเกิน”ฟูจินยิ้มหวาน ออดอ้อนซบหน้าลงบนตักกว้าง“ฮองเฮาเมตตาฟูจิน จนฟูจิน ไม่เคยโหยหาความรักจากมารดาทั้งๆ ที่ ไม่เคยมีมารดากับเขา”เจิ้งเหมยลูบศีรษะเบาเบาจะไม่เมตตาได้อย่างไรก็ในเมื่อคังซื่อฮั่น หอบเอาห่อผ้าที่มีทารกน้อยมา ยื่นส่งให้ตรงหน้าจินเฉิงอู่พร้อมกับ พูดเพียงสั้นๆว่าดูแลเขาแทนข้าด้วย ใบหน้าน้อยๆ ริมฝีปากแดงระเรื่อดวงตากลมใส ที่ยัดนิ้วโป้งเข้าไปดูดด้วยความหิว แก้มป่องใสดวงตาพิสุทธิ์ใครกันจะไม่หลงใหลนาง องค์ชายน้อยชะโงกหน้ามอง ฟูจินด้วยแววตาสงนฉนเท่ห์“ท่านแม่ น้องข้าใช่หรือไม่”เจิ้งเหมยยิ้มกอดองค์ชายไว้ในอ้อมแขน“ นางเป็นน้องสาวของเจ้า”จินเฉิงอู่ตอบขึ้นเบาๆ คังซื่อฮั่นเดินจากไปไม่แม้แต่จะหันมามอง ด้วยอะไรเจิ้งเหมยรู้ดี เขาตัดใจกับทารกน้อยคนนี้ไม่ได้ หากหันกลับมามอง เห็นทีต้องอุ้มนางกลับไปเร่ร่อนเช่นเดียวกับเขา“เฉิ
จินเฉิงเจิน ในวัย18ปีใบหน้าหล่อเหลา ซึ่งเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของ จินเฉิงอู่และเจิ้งเหมย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทว่าอ่อนโยน ริมฝีปากสีชมพูเหมือนหญิงสาวก็ไม่ปาน ยืนมองทุ่งหญ้าเขียวขจีงานเลี้ยงฉลองวันครบรอบการขึ้นครองราชย์ของจินเฉิงอู่กับตำแหน่งไท่จือที่จินเฉิงเจินจะถูกแต่งตั้งในวันนี้สายตาคมทอดมองไปไกล เรื่องราวที่ผ่านมามากมายให้ระลึกถึง ในโลกนี้จะมีใครรักและภักดีต่อกันได้เท่าพ่อกับแม่ของเขากันอีก จินเฉิงอู่ไม่ยอมมีสนมนางใน แม้จะมีเขาเป็นโอรสเพียงคนเดียว ก็ไม่เคยร่ำร้องอยากจะมีหญิงอื่นเพิ่มพูน เช่นไรเขาถึงจะรักใครสักคนให้ได้เท่ากับที่จินเฉิงอู่รักเสด็จแม่เจิ้งเหมยของเขา ใบหญ้าสีเขียวขจีลู่ลมน่ามอง เสื้อคลุมถูกถอดออกคลุมให้ฟูจินรวบผมยาวสลวยสอดเสื้อคลุมเข้าไปใต้ไรผม ใบหน้างดงามดวงตาเศร้าสร้อยไม่ต่างจากสายตา ของคังซื่อฮั่น ดวงหน้าผุดผาดริมฝีปากบางใสน่าสัมผัสจนคนมองต้องเผลอขบเม้มฝีปากตัวเอง“ไม่ต้องแล้ว ฟูจินไม่ได้หนาวขนาดนั้นอากาศเย็นสบายดี”เลิกคิ้วสูงยิ้มบางๆ“เจ้ายังเป็นน้องเล็กของข้าอยู่ เมื่อใดที่แต่งออกไปจึงค่อยมาแข็งข้อกับข้า”กระชับเสื้อคลุมให้อย่างอ่อนโยน“ไปเถอะสายมากแล้วใกล้ได้เวลา
ใบหน้าเรียบเฉยทว่าใจกลับสั่นไหว คังซื่อฮั่นแปลกใจว่าตัวเขาเป็นอะไรไปกันแน่ ในเมื่อกับเจิ้งเหมยมีเพียงความรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องใกล้ชิดได้ห่วงใยและคอยปกป้อง แต่กลับรู้สึกเป็นสุขเมื่อเจิ้งเหมยมีรอยยิ้มและดีใจเมื่อเจิ้งเหมยมีความสุขซึ่งเขาคิดว่ามันคือความรัก แล้วแบบนี้เล่าคืออะไรกันทำไมรู้สึกว่าไม่อาจห้ามใจ กับความซุกซนของอี้หลิน“พอใจหรือยัง”อี้หลิน เงื้อมือตั้งจะจะฟาดลงบนใบหน้าของคังซื่อฮั่นแก้เขิน คังซื่อฮั่นใช้ความไวคว้าข้อมือไว้ยิ้มยียวน“วันพรุ่งนี้ข้าจะรับบัญชาฝ่าบาทรั้งอยู่ที่นี่แล้วก็ตกลงใจที่จะรับเจ้าเป็นภรรยาตามที่เจ้าต้องการ” อี้หลิน ไม่กล้าสบตาก้มหน้ามองแผงอกกว้าง“ใครจะแต่งกับท่านกัน”“อ้าวเจ้าพูดเองว่าฝ่าบาทประทานสมรส ห้ามข้าเฉยชาใส่เจ้าแล้วยัง ...มาลวนลามข้าก่อน พอข้าเอาคืนกลับทำท่าทีไม่พอใจเสียอย่างนั้นเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”จมูกรั้นเชิดหยิ่ง“ข้าก็ไม่เห็นจะง้อท่านเลยไม่แต่งก็ได้”ก้าวขากำลังจะออกจากห้องไปคังซื่อฮั่นรวบเอวบางจากด้านหลัง ฉวยโอกาสกอดไว้แน่น“ไม่ทันแล้ว หากเจ้ารู้จักข้าดี ก็จะรู้ว่าคนอย่างคังซื่อฮั่นยึดมั่นคำสัจเพียงใดพูดคำไหนคำนั้นไม่มีเปลี่ยนใจ เ
เมื่อมาถึงห้องพัก คังซื่อฮั่นเริ่มคิดหาคำพูดที่จะพูดคุยกับอี้หลิน“เจ้าชื่อแซ่อะไรข้าลืมไปเสียหมดแล้ว”“ท่านคังท่าน ช่างเป็นบุรุษที่หลงลืมง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ หากท่านจะมีความจำสักนิดก็จะรู้ว่า อี้หลินเคยพบท่านมาก่อน”“อี้หลิน”อี้หลินพยักหน้า“เคยพบกันที่แห่งใด”ใบหน้าฉงนสนเท่ห์“จนกว่าท่านคังจะจำได้ อี้หลินจึงจะบอกว่าเราพบกันตอนไหน”คังซื่อฮั่นถอนใจ“ไม่ถาม แล้วก็ไม่ต้องการคำตอบแล้ว”คนพูดน้อยเผอเรอหลงลืมไปว่าตัวเอง ไม่ชอบเซ้าซี้ใครพอนึกได้ก็เปลี่ยนท่าทีทันทีเช่นกัน อี้หลินเบ้ปากคนอะไรไม่ชอบ ที่จะเล่นสนุกกับผู้ใด นานแค่ไหนแล้วที่คังซื่อฮั่นปลีกตัวออกไปอยู่เพียงลำพัง“ก็ได้ ถึงท่านคังไม่อยากรู้แต่อี้หลินก็จะบอก”“ว่ามา”ใบหน้าเฉยชา หยิบน่องไก่ในจานมาพิศดูความทรงจำลอยวนเข้ามาในความคิด น่องไก่ที่ยื่นส่งให้เจิ้งเหมยในวันนั้น เหลียงซานป๋อกับเขาพากันกัดแทะลำตัวไก่เสียหมด ไว้แกล้มสุราจนเริ่มมีความกล้าในภารกิจครั้งนั้น ก็ในเมื่อคนที่ต้องนำน่องไก่ไปให้เจิ้งเหมยเป็นเขาตามความเห็นของจินเฉิงอู่และเหลียงซานป๋อ คังซื่อฮั่นเผลอยิ้มให้น่องไก่อวบ“ยิ้มทำไม”“ ไม่ใช่ ธุระอะไรของเจ้า”อี้หลินหน้าเง้า“เ
พลันแสงสว่างข้างกายกลับมืดมิด เมื่ออี้หลินเดินถือถาดขนมในมือเข้ามาทุกสิ่งมืดมิดลงทันที่มีเพียงรอบกายของอี้หลินเท่านั้นที่สว่างเรืองรอง คังซื่อฮั่นอ้าปากค้าง ดวงตาพร่ามัว"คังซื่อฮั่น"เสียงเรียกจากจินเฉิงอู่ที่อยู่ข้างกายกลับเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกล และเหมือนกับเสียงนั้นเอ่ยออกมาเชื่องช้าด้วยเวลาในขณะนั้นถูกหยุดหรือถูงดึงให้ช้าลงไป"อี้หลินถวายพระพร ฝ่าบาทฮองเฮา องค์ชายน้อย คารวะท่านเหลียงซานป๋อ และท่าน.."หันไปทางคังซื่อฮั่น"คังซื่อฮั่น"เอ่ยปากเบาๆ จนเกือบกลายเป็นกระซิบ แต่ตายังจ้องมองที่อี้หลินตาไม่กะพริบ จินเฉิงอู่เจิ้งเหมยกับเหลียงซานป๋อปิดปากหัวเราะพร้อมกันจินเฉิงเจิน ฟูจินหันมองหน้ากันแบบงงๆ ว่าคนทั้งหมดกำลังหัวเราะอะไรคังซื่อฮั่น"อี้หลิน เจ้านำทางท่านคังไปที่พำนักและช่วยเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านคังด้วย"เจิ้งเหมยออกคำสั่งอี้หลินย่อตัวทำความเคารพ"เชิญท่านคังตามข้ามา"คังซื่อฮั่นเดินตามไปอย่างงงๆ เจิ้งเหมยรับเอาฟูจินมาอุ้มไว้จินเฉิงเจินกับฟูจินวิ่งลงจากอ้อมแขนหยิบขนมใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย“เห็นไหม องค์ชายอี้หลินนางทำขนมได้ถูกใจเราสองคนที่สุด”ปากเล็กเคี้ยวขนมไม่หยุด องค์ชายน้อยย
อิงฝานเดินจากไปยิ้มผุดพรายขึ้นที่ริมฝีปาก ความเจ็บแค้นทั้งหมดสูญสลายไปหมดอโหสิกรรมให้โยวเสวียน ชาติหน้าอย่าได้พบกันอีกเลย คนอย่างโยวเสวียน หากยังมีชีวิตอยู่ต่อไปย่อมทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไม่มีสิ้นสุดตราบใดที่นางยังหายใจนางก็จะทำให้ คนอื่นต้องสูญเสียชีวิตอีกกี่คนกันเล่าดอกเหมยงดงามสองข้างทางกลับสีชมพูแดงร่วงหล่นลงบนทางเดินทอดยาววกวน องค์ชายน้อยจินเฉิงเจิน วิ่งไล่จับแมลงปอที่บินวนไปมา เสียงหัวเราะสนุกสนาน ดังไปทั่วบริเวณ เหล่าขันทีและนางกำนัล วิ่งตามด้วยกลัวจะหกล้มหกลุกแต่เรี่ยวแรงมากมายวิ่งจนทั่ววังหลวงที่กว้างขวาง“องค์ชาย รอฟูจินด้วย”เด็กหญิงตัวเล็กวิ่งตาม“ตามข้ามา ฟูจิน”เสียงเล็กๆใสใสกวักมือให้ตามไป แต่ฟูจินหกล้มหัวเข่ากระแทกเลือดไหลซึม“คุณหนูฟูจิน จะวิ่งทำไมคะ”นางกำนัลรีบวิ่งมาอุ้ม จินเฉิงเจินวิ่งลับตาไปยังคงตามจับแมลงปอตัวสวย“องค์ชายใจร้าย”ฟูจินตัดพ้อปาดคราบน้ำตานางกำนัลให้ฟูจินขี่หลัง เจิ้งเหมยเดินมารับเอาคุณหนูฟูจินตัวอ้วนป้อม มากอดแนบอกลูบหลังไหล่ให้ ยกเขาเล็กขึ้นมาเป่าที่แผลเบาๆ“ฮองเฮา องค์ชายไม่รอฟูจิน”มืออ้วนป้อมกอดรอบคอซบหน้าลงบนไหล่อุ่น เจิ้งเหมยยิ้มอ่อนโยน“ปล่อย