เพื่อนๆ ที่นี่เขาแทบไม่มี อาจเพราะเขาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาตลอดหลายปี เพื่อนๆ ก็พลอยห่างเหินไม่ค่อยได้คุยและเพราะแบบนั้นจึงไม่ค่อยสนิทเหมือนสมัยยังเป็นเด็ก รวมทั้งเขาเป็นคนไม่ค่อยชอบเข้าสังคมเสียเท่าไหร่ ออกจะมีโลกส่วนตัวสูงอีกด้วย“เรียกว่าป้าณีเฉยๆ ก็พอ คุณเคินอย่าเรียกเลย มันไม่เหมาะกับคนอย่างป้าหรอก”“ครับ” อชิระเอ่ยรับแม้จะอยากแย้งว่าวรรณีไม่ควรคิดอะไรเช่นนั้น แต่ยิ่งได้รับความไว้ใจเขากลับรู้สึกผิดกับเรื่องที่ได้ก่อไว้ แม้จะก่อไว้โดยไม่ได้ตั้งใจทว่ากลับอยากรับผิดชอบรวมถึงลากตัวคนก่อเรื่องที่ป่านนี้ยังอยู่ต่างประเทศมาลงโทษให้หลาบจำ“พอจะขูดมะพร้าวเป็นไหม”“ขูดมะพร้าวเหรอครับ” อชิระเอ่ยทวนประโยคที่ได้ยินด้วยความสนใจระคนสงสัย“ใช่ ท่าทางแบบนี้ขูดไม่เป็นแน่”“เป็นครับเป็น แค่ขูดมะพร้าว สบายมาก” เพราะไม่อยากให้วรรณีผิดหวังอชิระก็รีบรับคำว่าเขานั้นขูดมะพร้าวได้อย่าง
“ผมขอโทษครับ คืนนั้นผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทันทีที่เข้าไปทำงานผมก็จัดการส่งลูกน้องสองคนนั้นไปทำงานที่ต่างประเทศน่าจะก่อนลูกหนูจะเริ่มงานไม่นาน ส่วนแม่เล้าคนต้นเรื่องถ้ากลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ผมจะจัดการเธอทันที”“มิน่าล่ะ วันนั้นลูกหนูถึงคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย” วรรณียกมือขึ้นลูบอกตัวเอง ถ้าวันนั้นเธอเข้าไปไม่ทันจะเป็นยังไง แม้จะทุกข์อย่างแสนสาหัสทว่าสัมปันนีกลับไม่เคยปริปากบอก เธอเป็นแม่ประสาอะไรถึงมองข้ามความทุกข์ของลูกไปได้“อะไรนะครับ” อชิระอุทานออกมาอย่างตกใจอย่างมาก นั่นเพราะชายหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนว่าสัมปันนีเคยคิดสั้นฆ่าตัวตาย“ลูกหนูคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย ดีที่ป้าเข้าไปช่วยไว้ได้ทัน” วรรณีใจสั่นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นเพราะหากเธอเข้าไปช้าเพียงนิดเดียวสัมปันนีคงจากโลกนี้ไปแล้ว“ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน”“ถ้าคุณไม่บอก ป้าเองก็คงไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ลูกหนูคิดสั้นเหมือนกัน เฮ้อ” เวลานี้ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกัน &ldqu
หลังบินไปทำงานที่มาเลยเซียครบอาทิตย์อชิระก็กลับเข้าบริษัท บางวันตั้งใจกลับช้าเพื่อทดสอบใครบางคนว่าเธอจะกลับก่อนเขาไหมหรือจะรอ แรกๆ สัมปันนีกลับตรงเวลาเลิกงานเป๊ะหลังจากนั้นก็กลับช้าขึ้น แต่ก็มักจะออกจากบริษัทก่อนเขาเสมอเพราะเป็นห่วงอชิระจึงขับรถไปดักรอเธอที่หน้าปากซอยบ้าน กระทั่งเห็นว่าสัมปันนีเข้าบ้านอย่างปลอดภัยแล้วจึงกลับเพนเฮาส์ของตัวเอง พอต้องนอนคนเดียวก็อดคิดถึงเธอไม่ได้จริงๆ เพราะคิดถึงเขาจึงเก็บไปฝันก่อนจะสะดุ้งเมื่อฝันเจ้ากรรมทำให้กางเกงเขาเปียกแต่เพราะไม่รู้ว่าอชิระกำลังทดสอบความอดทนของเธอ บางวันที่เขากลับดึกสัมปันนีก็เผลอรออย่างเป็นห่วงทั้งๆ ที่เธอไม่ควรห่วงเขาด้วยซ้ำแต่ก็อดไม่ได้จริงๆ ยิ่งช่วงนี้ชมดาวจะลาออกงานของอชิระก็เหมือนจะยุ่งมากกว่าเดิม แถมยังไม่มีวี่แววว่าจะหาเลขาคนใหม่เสียด้วย“งานยุ่งกว่าที่คิดแฮะ” ประธานหนุ่มพึมพำกับตัวเอง จังหวะที่กำลังจะคว้ากาแฟมาดื่มก็ต้องชะงักเพราะกาแฟที่แม่บ้านชงมาให้ตอนนี้ก็เย็นชืดไร้รสชาติ แต่พออยากได้กาแฟหอมๆ แก้วใหม่ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ชมดาวลาป่วย เขาจึงยกหูโทรศัพท์ภายใน
พอไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันก็พลันรู้สึกแปลกๆ กระทั่งสายตาของสัมปันนีมองเห็นสร้อยบนข้อมือของอชิระ เพราะดูเหมือนเขาจะใส่มันติดตัวตลอด ยิ่งมองก็ยิ่งใช่ มันคือสร้อยข้อมือของเธอไม่ผิดแน่ “แผลที่หลังมือหายแล้วใช่ไหมคะ” ขณะเอ่ยถามสายตาของสัมปันนีกลับไม่ได้มองไปที่มือขวาของอชิระ เพราะข้อมือซ้ายของชายหนุ่มมีบางอย่างดึงดูดสายตาของเธอไปแล้ว“หายแล้ว ส่วนหมอนั่นป่านนี้ยังเตะฝุ่นหางานใหม่อยู่มั้ง” อชิระยิ้มมุมปากออกมา แตะใครไม่แตะเอกชัยกลับกล้าแตะคนของเขาก็สมควรแล้วที่จะถูกไล่ออก “รู้แล้วใช่ไหมว่าคุณชมดาวจะลาออก”“รู้ค่ะ”“คุณไม่สนใจตำแหน่งเลขาส่วนตัวของผมเหรอ”“ไม่ค่ะ” สัมปันนีปฏิเสธทันที“ทำไมถึงปฏิเสธโดยไม่เก็บไปคิดดูก่อน”“เพราะฉันคิดว่าตัวเองมีความสามารถไม่พอ กลัวจะเป็นภาระท่านประธานมากกว่ามาช่วยแบ่งเบา ก็เลยปฏิเสธค่ะ”“ใครจะปล่อยให้คุณเป็นภาระ อีกอย่
เพราะงานยังไม่เสร็จทำให้สัมปันนีจำต้องอยู่เป็นคนสุดท้ายของแผนก การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ ทำให้สัมปันนีเกิดอาการตาล้าและเมื่อยแถวๆ หัวไหล่ลามไปจนถึงบ่าและหลัง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องรีบทำเพราะถ้าไม่เสร็จก็ส่งงานให้คนอื่นทำต่อไม่ได้ ในขณะที่เธอกำลังขะมักเขม้นจดจ่อกับการเคลียร์งานอยู่นั้น จู่ๆ ไฟส่วนกลางที่ตั้งเวลาไว้ก็ดับลงพรึบ!สัมปันนีถึงกับสะดุ้งโหยงพร้อมกับขนเส้นเล็กๆ บนร่างกายก็พากันลุกซู่ด้วยความพร้อมเพรียง เธอนั่งตัวตรงแล้วจู่ๆ เรื่องผีในออฟฟิศที่พึ่งฟังจากรายการผีรายการหนึ่งก็ผุดเข้ามาโลดแล่นในหัวเป็นเรื่องเป็นราว จินตนาการฟุ้งไปหมดเพราะมองไปมุมไหนก็เจอแต่ความมืดและเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงหายใจแสงที่มีตอนนี้มาจากคอมพิวเตอร์บนโต๊ะของเธอเท่านั้น สัมปันนีนั่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหอบงานกลับไปทำต่อที่บ้านดีกว่าทนทำงานต่อในบรรยากาศแบบนี้ เธออาศัยแสงจากไฟฉายในโทรศัพท์นำทาง เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ คล้ายมีลมเย็นๆ ผ่านไปเมื่อครู่รวมถึงรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่“เอาเป็นว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำบุญให้” สัมปันนี
“อย่านะ”“งั้นก็ตอบตามความจริงมา” ลมหายใจอุ่นๆ รดอยู่บริเวณใบหน้าของสัมปันนีนั่นยิ่งทำให้เธอประหม่า“ท่านประธานจะอยากรู้ไปทำไมว่าใช่ฉันหรือไม่ใช่”“ผมถามเรื่องสร้อยข้อมือไม่ได้ถามสักคำว่าคืนนั้นใช่คุณไหม”“คุณอชิระ” เพราะความลนทำให้สัมปันนีพลาดพลั้ง จะปฏิเสธก็คงไม่ทันเสียแล้วรวมไปถึงคำพูดของประธานหนุ่มก็ยิ่งตอกย้ำให้สัมปันนีมั่นใจว่าเขาคือผู้ชายในคืนนั้นไม่ผิดแน่“เรียกชื่อกันแบบนี้ โกรธแล้วใช่ไหม”“เปล่าค่ะ ท่านประธาน” น้ำเสียงของสัมปันนีห้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โลกใบนี้ทำไมมันถึงไม่เมตตาเธอเลยสักนิด“ปล่อยฉันได้หรือยังคะ”“ปล่อยแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”“จะทำอะไร” เพราะเขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้อีกครั้งสัมปันนีก็ถามขึ้นพร้อมกับออกแรงผลักไสชายหนุ่มให้ออกห่าง“ต้องให้บอกด้วยเหรอ ทั้งๆ ที่เราก็โตๆ กันแ
อชิระยังคงมอบจูบให้สัมปันนีอย่างต่อเนื่อง ใช้ปากของตัวเองปิดปากของเธอพลอยทำให้จังหวะหายใจของสัมปันนีสะดุดตามไปด้วยนั่นเพราะเธอยังรับมือกับเรื่องนี้ได้ไม่ค่อยดีนัก จูบลงโทษอยากเขาช่างร้อนแรงจนเธอไม่อาจต่อต้านได้นั่นเพราะแม้จะพยายามหลบเลี่ยงมากแค่ไหนก็ยังคงถูกประธานหนุ่มล็อคตัวไว้ได้และทำให้เธอดำดิ่งไปกับรสสวาทจนหาทางออกไม่ได้ โดยเฉพาะปลายลิ้นร้อนชื้นแสนชำนาญของอชิระตวัดเกี่ยวรัดกับปลายลิ้นของ สัมปันนีอย่างช่ำชอง นั่นทำให้สัมปันนีเผลอส่งเสียงครางออกมาเบาๆ ยามที่ชายหนุ่มจูบอย่างดูดดื่มความรู้สึกต่อต้านค่อยๆ หายไปเหลือเพียงความโหยหาที่เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพราะอะไรถึงได้รู้สึกแบบนั้นกับอชิระ เธอต้องผลักไสเขา เธอต้องรังเกียจเขาแต่แล้วทุกๆ อย่างกลับไม่เป็นแบบนั้น เสียงครางกระเส่าของ สัมปันนีทำให้อชิระถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง“นึกว่าจะไม่ได้ยินเสียงครางแบบนี้อีก”“คุณ” สัมปันนีกำลังจะด่าทอแต่ก็ถูกอีกฝ่ายปิดกั้นด้วยจูบที่ครั้งนี้ร้อนแรงและเต็มไปด้วยความต้องการ พร้อมกันนั้นอชิระก็จัดการถอดเสื้อของเธอออก แต่
“จะโกรธคุณ ฉันจะไปจากคุณ ฉันจะฆ่า…คุณ”“จะทำแบบนั้นกับผมจริงๆ นะเหรอลูกหนู” ขณะเอ่ยถามอิชระก็เร่งจังหวะนิ้วให้ถี่กระชั้นยิ่งขึ้น “ไม่ค่ะ ฉันไม่ทำ ได้โปรดอย่างทรมานฉันแบบนี้อีกเลย” สัมปันนีครางกระเส่าออกมา ดูเหมือนว่าเวลานี้เธอไม่อาจต่อรองอะไรกับอชิระได้ทั้งนั้น เธอต้องรังเกียจสัมผัสจากเขาไม่ใช่โหยหาอย่างที่เป็นอยู่ แต่ไม่ว่าจะบอกตัวเองยังไงร่างกายและหัวใจกลับไม่ทำตามคำตอบที่ได้ยินทำให้อชิระยิ้ม ชายหนุ่มเลื่อนกายขึ้นมาทาบทับบนร่างเปลือยของสัมปันนี เขาเองก็อดทนมามากพอแล้วเช่นกัน ทั้งคู่สบตากันก่อนที่อชิระจะมอบจูบให้เธออีกครั้งพร้อมกับค่อยๆ บดเบียดสะโพกสอบเข้าหาแล้วใช้หัวเข่าดันขาทั้งสองข้างของสัมปันนีให้แยกห่างออกจากกันจากนั้นก็ค่อยๆ แทรกตัวฝากฝังความเป็นชายที่เวลานี้ตื่นตัวอย่างเต็มที่ให้เธอ ความคับแน่นก่อเกิดเป็นความเจ็บที่ทำให้สัมปันนีสะดุ้ง แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่เธอก็ยังใหม่อยู่มาก“เจ็บใช่ไหม”“ค่ะ” สัมปันนีเอ่ยรับอย่างไม่ปิดบัง อชิระจึงเพิ่มความนุ่มนวลให
“คุณเป็นคนเก่ง” อชิระเอ่ยขึ้นในขณะที่เลขากำลังแสดงท่าทางบางอย่างออกมา“ค่ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานของปลายฟ้าเอ่ยรับ สิ่งเดียวที่ทำให้เธอตัดสินใจรับงานนี้ไม่ใช่เงินเดือนเป็นแสนหรือสวัสดิการพิเศษอะไร แต่คือประธานหนุ่มที่ชื่ออชิระที่พยายามยั่วเขามาหลายเดือนกลับไม่เคยสำเร็จ“แล้วทำไมถึงด้อยค่าตัวเองด้วยการทำตัวไม่น่ารักแบบนี้”“เอ้” ปลายฟ้าอุทานออกมาอย่างตกใจ“ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไร ครั้งนี้ผมแค่เตือน แต่ถ้าคุณไม่หยุดเราคงทำงานร่วมกันไม่ได้” อชิระไม่ใช่คนใสซื่อถึงตามไม่ทันมารยาหญิงและวิธีรับมือ“ทำไมถึงปฏิเสธฉันคะหรือว่าท่านประธานจะเป็นเกย์อย่างที่คนอื่นพูดๆ กัน” ปลายฟ้าเอ่ยถามนั่นเพราะทุกครั้งที่มีโอกาสเธอจะเข้าหาอชิระเสมอแต่ประธานหนุ่มกลับไม่ได้แสดงท่าทีสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย“เปล่าแต่ผมมีผู้หญิงที่อยากให้เกียรติทั้งต่อหน้าและลับหลัง”“เธอคนนั้นโชคดี
อชิระและสัมปันนีคบหากันได้หลายเดือน จู่ๆ ก็มีข่าวทลายซ่องโสเภณีที่ฮ่องกง โดยหนึ่งในเหยื่อที่ถูกหลอกให้ไปทำงานจนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันที่นั่นคือพิจิกา แม้จะเบลอหน้าเหยื่อไว้แต่สัมปันนีก็มองออกว่าเป็นใคร ในขณะที่ข่าววงในจากอชิระก็ช่วยยืนยันว่าคือคนเดียวกันอีกด้วย“เห็นข่าวแล้วใช่ไหม”“ค่ะ” สัมปันนีเอ่ยรับ อชิระดึงเธอเข้ามากอดเพราะอย่างน้อยเวลานี้พิจิกาก็กำลังรับกรรมที่ก่อไว้ แม้จะไม่ได้มาจากพวกเขาโดยตรงก็ตาม“เห็นว่าเธอติดโรคมาด้วย ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่”“กรรมค่ะ คนเราทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับแบบนั้น” เวลานี้สัมปันนีอโหสิกรรมให้พิจิกาแล้วหลังจากนี้ก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่“ผมมีอะไรให้ลูกหนูดู” เอ่ยบอกเสร็จอชิระก็พา สัมปันนีไปที่โต๊ะทำงาน ซึ่งตอนนี้พวกเขาอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์ของชายหนุ่ม“อะไรคะ”“แบบบ้านครับ” เสียงทุ้มเฉลยนั่นทำให้สัมปันนีแปลกใจเป็นอย่างมาก
ทั้งอชิระและสัมปันนีก็ต่างเป็นคนสำคัญของกันและกัน เพราะไม่อยากให้กระทบกับหน้าที่การงานโดยเฉพาะอิชระ สัมปันนีจึงตั้งกฎว่าห้ามเปิดเผยความสัมพันธ์นี้ให้คนอื่นรู้อย่างเด็ดขาดแม้จะไม่อยากรับปากแต่อชิระก็จำต้องทำตามกฎที่เธอกำหนดขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นประธานหนุ่มก็มักจะหาโอกาสหรือจังหวะเหมาะๆ เพื่อให้ได้อยู่ตามลำพังกับสัมปันนีในที่ทำงานเสมอๆ ใช้ข้ออ้างเรื่องงานยุ่งเรื่องกาแฟหมดเพื่อให้เธอมาดูแลบ้าง แม้สัมปันนีจะรู้ทันแต่เธอกลับไม่ได้แย้งอะไร“กาแฟค่ะ” เสียงสดใสเอ่ยบอกพร้อมกับวางกาแฟหอมๆ ลงบนโต๊ะทำงานประธานหนุ่มที่เวลานี้เขาคือความรักของเธอเช่นกัน“ขอบคุณครับ อืม…ช่วงนี้งานยุ่งมาก ลูกหนูคิดว่าผมรับเลขาคนใหม่ดีไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามนั่นเพราะตอนนี้ชมดาวได้ลาออกไปแล้วส่งผลให้ประธานหนุ่มไม่ได้มีเลขาส่วนตัว เหตุผลเพราะมั่นใจว่าตนทำงานคนเดียวได้ทว่าพึ่งมาตระหนักว่าเขาไม่ได้มีเวลามากพอที่จะจัดการทุกอย่างงานเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเขาก็ต้องส่งให้เลขาช่วยจัดการแทน ไม่อย่างนั้นคิวงานเขาจะชนกันอย่างที่เป็นอยู่ แต่สมัยนี้การจะหาเลขาเก่
วันรุ่งขึ้นอชิระมาที่บ้านของสัมปันนีตั้งแต่เช้าตรู่ ชายหนุ่มอาสาขับรถไปส่งทั้งคู่ที่โรงพยาบาลท่ามกลางความสงสัยของสัมปันนี นั่นเพราะแม่ของเธอไม่ได้มีปฏิกิริยาตกใจหรือสงสัยที่จู่ๆ อชิระก็มารับแม้แต่น้อย แต่ก็ยังคงเก็บความสงสัยเหล่านั้นเอาไว้ระยะเวลารอคิวที่โรงพยาบาลรัฐใช้เวลาครึ่งค่อนวันแต่อชิระก็ไม่ได้บ่นหรือแสดงท่าทางหงุดหงิดอะไร แต่เพราะอยากให้วรรณีได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้เขาจึงเสนอทางเลือกให้ ซึ่งทั้งคู่กลับปฏิเสธที่จะรับข้อเสนอนั้นอชิระจึงมัดมือชกจัดการเปลี่ยนโรงพยาบาลจากรัฐไปเอกชนทันที“ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้โอม” ขณะนั่งรอเรียกพบหมอวรรณีก็เอ่ยขึ้น“ผมเต็มใจครับ อีกอย่างลูกเขยดูแลแม่ยายจะเป็นไรไป” อชิระยิ้มออกมา ซึ่งประโยคนี้สัมปันนีไม่ได้ยินเพราะเธอเดินไปซื้อน้ำ แต่พอกลับมาก็คอยสังเกตคนทั้งคู่มาตลอดหลังจากเก็บความสงสัยมาตั้งแต่เช้าในที่สุดก็เอ่ยถามออกไป“แม่รู้จักท่านประธานมาก่อนหรือเปล่าคะ”“ตอบยังไงดีล่ะทีนี้” วรรณีหันมองมาที่อชิระราวก
“ฉันต้องกลับบ้านแล้ว” สัมปันนีพยายามคุมโทนเสียงอย่างมากเพื่อไม่ให้สั่นสะท้านไปกับสัมผัสของอชิระ แต่ดูเหมือนประธานหนุ่มจะไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ เพราะนอกจากลูบไล้เขาก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นขย้ำหน้าอกอวบอิ่มของเธอเบาๆ“ท่านประธาน…อา” เสียงครางกระเส่าดังมาจากคนในอ้อมกอด เธอเผลอส่งเสียงที่ทำให้อชิระตื่นตัวแบบนี้เขาจะปล่อยให้เธอกลับบ้านได้ยังไง“ลูกหนูกำลังทำให้ผมหลง”“หนูเปล่า” สัมปันนีขบเม้มริมฝีปากอิ่มแล้วเผลอเอ่ยแทนตัวเองด้วยชื่อนั่นกลับยิ่งทำให้อชิระยิ่งลูบไล้เธอมากขึ้น “สีหน้ายั่วๆ แบบนี้ เสียงกระเส่าแบบนี้ มันทำร้ายผมมากรู้ไหม เพราะฉะนั้นลูกหนูต้องรับผิดชอบ”“ท่านประธาน”“ทำไมถึงยังเรียกผมว่าท่านประธาน” เสียงทุ้มเอ่ยถาม“หนูอยากเรียก ในที่ทำงานหนูจะเรียกคุณว่าท่านประธาน”“แล้วนอกเวลางานจะเรียกว่าอะไร”“เอ่อ…” สัมปันนีอึกๆ อักๆ ทันที ใบหน้าหวานแดงก่ำ“ว่าไงจะเรียกว่าอ
“จะโกรธคุณ ฉันจะไปจากคุณ ฉันจะฆ่า…คุณ”“จะทำแบบนั้นกับผมจริงๆ นะเหรอลูกหนู” ขณะเอ่ยถามอิชระก็เร่งจังหวะนิ้วให้ถี่กระชั้นยิ่งขึ้น “ไม่ค่ะ ฉันไม่ทำ ได้โปรดอย่างทรมานฉันแบบนี้อีกเลย” สัมปันนีครางกระเส่าออกมา ดูเหมือนว่าเวลานี้เธอไม่อาจต่อรองอะไรกับอชิระได้ทั้งนั้น เธอต้องรังเกียจสัมผัสจากเขาไม่ใช่โหยหาอย่างที่เป็นอยู่ แต่ไม่ว่าจะบอกตัวเองยังไงร่างกายและหัวใจกลับไม่ทำตามคำตอบที่ได้ยินทำให้อชิระยิ้ม ชายหนุ่มเลื่อนกายขึ้นมาทาบทับบนร่างเปลือยของสัมปันนี เขาเองก็อดทนมามากพอแล้วเช่นกัน ทั้งคู่สบตากันก่อนที่อชิระจะมอบจูบให้เธออีกครั้งพร้อมกับค่อยๆ บดเบียดสะโพกสอบเข้าหาแล้วใช้หัวเข่าดันขาทั้งสองข้างของสัมปันนีให้แยกห่างออกจากกันจากนั้นก็ค่อยๆ แทรกตัวฝากฝังความเป็นชายที่เวลานี้ตื่นตัวอย่างเต็มที่ให้เธอ ความคับแน่นก่อเกิดเป็นความเจ็บที่ทำให้สัมปันนีสะดุ้ง แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่เธอก็ยังใหม่อยู่มาก“เจ็บใช่ไหม”“ค่ะ” สัมปันนีเอ่ยรับอย่างไม่ปิดบัง อชิระจึงเพิ่มความนุ่มนวลให
อชิระยังคงมอบจูบให้สัมปันนีอย่างต่อเนื่อง ใช้ปากของตัวเองปิดปากของเธอพลอยทำให้จังหวะหายใจของสัมปันนีสะดุดตามไปด้วยนั่นเพราะเธอยังรับมือกับเรื่องนี้ได้ไม่ค่อยดีนัก จูบลงโทษอยากเขาช่างร้อนแรงจนเธอไม่อาจต่อต้านได้นั่นเพราะแม้จะพยายามหลบเลี่ยงมากแค่ไหนก็ยังคงถูกประธานหนุ่มล็อคตัวไว้ได้และทำให้เธอดำดิ่งไปกับรสสวาทจนหาทางออกไม่ได้ โดยเฉพาะปลายลิ้นร้อนชื้นแสนชำนาญของอชิระตวัดเกี่ยวรัดกับปลายลิ้นของ สัมปันนีอย่างช่ำชอง นั่นทำให้สัมปันนีเผลอส่งเสียงครางออกมาเบาๆ ยามที่ชายหนุ่มจูบอย่างดูดดื่มความรู้สึกต่อต้านค่อยๆ หายไปเหลือเพียงความโหยหาที่เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพราะอะไรถึงได้รู้สึกแบบนั้นกับอชิระ เธอต้องผลักไสเขา เธอต้องรังเกียจเขาแต่แล้วทุกๆ อย่างกลับไม่เป็นแบบนั้น เสียงครางกระเส่าของ สัมปันนีทำให้อชิระถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง“นึกว่าจะไม่ได้ยินเสียงครางแบบนี้อีก”“คุณ” สัมปันนีกำลังจะด่าทอแต่ก็ถูกอีกฝ่ายปิดกั้นด้วยจูบที่ครั้งนี้ร้อนแรงและเต็มไปด้วยความต้องการ พร้อมกันนั้นอชิระก็จัดการถอดเสื้อของเธอออก แต่
“อย่านะ”“งั้นก็ตอบตามความจริงมา” ลมหายใจอุ่นๆ รดอยู่บริเวณใบหน้าของสัมปันนีนั่นยิ่งทำให้เธอประหม่า“ท่านประธานจะอยากรู้ไปทำไมว่าใช่ฉันหรือไม่ใช่”“ผมถามเรื่องสร้อยข้อมือไม่ได้ถามสักคำว่าคืนนั้นใช่คุณไหม”“คุณอชิระ” เพราะความลนทำให้สัมปันนีพลาดพลั้ง จะปฏิเสธก็คงไม่ทันเสียแล้วรวมไปถึงคำพูดของประธานหนุ่มก็ยิ่งตอกย้ำให้สัมปันนีมั่นใจว่าเขาคือผู้ชายในคืนนั้นไม่ผิดแน่“เรียกชื่อกันแบบนี้ โกรธแล้วใช่ไหม”“เปล่าค่ะ ท่านประธาน” น้ำเสียงของสัมปันนีห้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โลกใบนี้ทำไมมันถึงไม่เมตตาเธอเลยสักนิด“ปล่อยฉันได้หรือยังคะ”“ปล่อยแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”“จะทำอะไร” เพราะเขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้อีกครั้งสัมปันนีก็ถามขึ้นพร้อมกับออกแรงผลักไสชายหนุ่มให้ออกห่าง“ต้องให้บอกด้วยเหรอ ทั้งๆ ที่เราก็โตๆ กันแ
เพราะงานยังไม่เสร็จทำให้สัมปันนีจำต้องอยู่เป็นคนสุดท้ายของแผนก การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ ทำให้สัมปันนีเกิดอาการตาล้าและเมื่อยแถวๆ หัวไหล่ลามไปจนถึงบ่าและหลัง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องรีบทำเพราะถ้าไม่เสร็จก็ส่งงานให้คนอื่นทำต่อไม่ได้ ในขณะที่เธอกำลังขะมักเขม้นจดจ่อกับการเคลียร์งานอยู่นั้น จู่ๆ ไฟส่วนกลางที่ตั้งเวลาไว้ก็ดับลงพรึบ!สัมปันนีถึงกับสะดุ้งโหยงพร้อมกับขนเส้นเล็กๆ บนร่างกายก็พากันลุกซู่ด้วยความพร้อมเพรียง เธอนั่งตัวตรงแล้วจู่ๆ เรื่องผีในออฟฟิศที่พึ่งฟังจากรายการผีรายการหนึ่งก็ผุดเข้ามาโลดแล่นในหัวเป็นเรื่องเป็นราว จินตนาการฟุ้งไปหมดเพราะมองไปมุมไหนก็เจอแต่ความมืดและเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงหายใจแสงที่มีตอนนี้มาจากคอมพิวเตอร์บนโต๊ะของเธอเท่านั้น สัมปันนีนั่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหอบงานกลับไปทำต่อที่บ้านดีกว่าทนทำงานต่อในบรรยากาศแบบนี้ เธออาศัยแสงจากไฟฉายในโทรศัพท์นำทาง เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ คล้ายมีลมเย็นๆ ผ่านไปเมื่อครู่รวมถึงรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่“เอาเป็นว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำบุญให้” สัมปันนี