ใบหน้าสวยนั่งครุ่นคิดอยู่ชั้นสองของหอการค้า เพราะเรื่องที่ชาวบ้านชอบมาขโมยของ ครั้งแรกที่โดนขโมย นางไม่เอาเรื่องเพราะคิดว่าว่าตัวเองก็มีส่วนผิด แต่ยิ่งทำให้พวกเขาได้ใจ มาขโมยวันเว้นวัน ถึงจะไม่ทำให้ร้านของนางได้รับผลกระทบเท่าไหร่ แต่อนาคตอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้“ปวดหัวจังเลย ทำไมพวกนั้นไม่มาคุยกันดี ๆ น่ะ ทุกอย่างมีทางออกเสมอ” “ข้าน้อยคิดว่าควรให้ทางการเป็นคนลงมือดีไหมเจ้าคะ แค่นี้คุณหนูก็ใจดีมากแล้ว” ถ้าทำแบบนั้นก็ได้อยู่หรอก แต่ชาวบ้านพวกนั้นน่าสงสาร ถ้าให้การช่วยเหลือได้ก็คงดี และยังได้คะแนนความดีอีกด้วย “ไม่ได้หรอกนะ ชาวบ้านพวกนั้นรวมตัวกันสามหมู่บ้าน คนมากมายข้าไม่อยากให้ผู้ใดเดือดร้อน อีกอย่างของที่ได้ไปก็แค่สิ่งที่เราจงใจทิ้งไว้” เมื่อมาขโมยสองสามครั้งนางก็สั่งให้คนจงใจทิ้งของที่ขายไม่หมดไว้ และเก็บเอาแต่ของที่สดใหม่ ถ้าพวกเขามาคุยด้วยก็พอมีทางที่ดีร่วมกันอยู่“ไปเจรจากับพวกเขาดีไหม” “แบบนั้นอันตรายเกินไปเจ้าค่ะ” “ไม่เป็นไรหรอก ข้ามีวิธีรับมืออยู่แล้ว” “เจ้าค่ะ” หยางได้แต่รับคำ ลืมคิดไปว่าคุณหนูของเธอตอนนี้ ฉลาด และมีฝีมือมากแค่ไหนหลานเสวี่ยแปลงโฉมให้เรียบร้อย แล้วลงมาท
เมื่อเห็นว่าตรงหน้าไม่มีอันใดแล้วแม่ทัพผู้นั้นก็ควบม้าออกไป นั้นก็ทำให้หลานเสวี่ยหันมาสนใจหัวหน้าหมู่บ้านคนที่ยื่นอยู่หน้าสุดของเหล่าชาวบ้าน อันที่จริงแม้ไม่มีแม่ทัพผู้นั้นนางก็มีวิธีจัดการกับพวกเขาอยู่แล้ว แต่ได้คนช่วยก็ดีกว่าจริง ๆ “เอาล่ะ พวกเรามาเจรจากันเถอะ ข้าเองก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไร รับรู้ปัญหาของทุกท่านดี เพราะแบบนี้จึงต้องเจรจากันไม่ใช่หรือ” “ถูกแล้วขอรับ พวกเราทำผิดใหญ่หลวง ขอใต้เท้าจางอย่าถือสาเอาความ” เมื่อนางตั้งท่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ก็ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านที่กำลังกลัวแม่ทัพหน้ากากเหล็กอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งกลัวใต้เท้าจาง เดิมที่คิดว่าพ่อค้าผู้นี้ไม่มีภูมิหลัง แต่พวกเขาไม่คิดว่าจะรู้จักกับแม่ทัพใหญ่ปูนั้นได้“พวกเรายอมรับผิด แล้วจะชดใช้ทุกอย่างที่ขโมยมาขอรับ เรื่องนี้ข้าน้อยผิดเองที่ส่งเสริมคนให้ทำผิด” คุกเข่ารับความผิด“ยังถือว่าท่านมีความคิดอยู่บ้าง ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือสาเอาความ และยังจะช่วยแก้ไขปัญหาของพวกเจ้าอีก” “จะช่วยพวกเราหรือ” หลานเสวี่ยหยิบถุงเมล็ดพันธุ์พืชออกมาจากรถม้า ก่อนจะส่งให้หัวหน้าคุ้มกันไปมอบให้พวกเขา“นี้คือสิ่งใดขอรับ” หัวหน้าหมู่บ้านถามด้วยความสงสัย
นางเข้ามาข้างในจวนก็มีคนรับใช้นำทางไปห้องรับรอง พอไปถึงใบหน้าคมเข้มของแม่ทัพเฉินที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับแม่ทัพหลงก็หันมามอง ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในห้องเสียงของเขาก็พูดขัดเสียก่อน “มาช้าไปแล้วใต้เท้าจาง หากมาไวกว่านี้สักครึ่งชั่วยามน่าจะยังทัน” แม่ทัพเฉินใบหน้าคมเข้มสมเป็นชายชาติทหาร แค่เห็นนางมาถึงก็รู้ว่ามาเพื่ออะไร หลานเสวี่ยถึงกับแอบเอ่ยชมในใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ก็คนมันชอบตื่นสาย ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่คิดจะยอมแพ้แต่อย่างใด เพราะครั้งนี้ต้องได้คะแนนความดีเยอะเป็นแน่ โอกาสที่นางจะกลับบ้านก็ใกล้เข้ามาแล้ว“ข้าน้อยจางจิงอวี้ อยากขอคุยกับท่านแม่ทัพสักครั้งได้หรือไม่ ข้อเสนอของข้าแน่นอนว่าดีกว่าคนตระกูลลู่อย่างแน่นอน” เฉินตูมองหน้าแม่ทัพหลง อย่างสงสัยว่าเขาจะเอาอย่างไร ก่อนที่ชายในชุดหน้ากากจะหัวเราะในลำคอ พร้อมยกยิ้มมุมปากร้ายมองบุรุษตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยสั้น ๆ “เชิญ!” หลานเสวี่ยกลั้นใจรอฟังคำตอบตั้งนาน พอได้ยินก็หายใจโล่ง เดินตรงไปที่นั่งของตน โดยมีคนรับใช้เป็นคนนำทาง หลานเสวี่ยในคราบจางจิงอวี้ นั่งลงอย่างเรียบร้อย ก่อนที่สายตาจะแอบสังเกตว่าวันนี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หรือ
ใบหน้าสวยทอดมองผู้คนเดินสวนกันไปมาตามถนน ผู้คนเหล่านี้คือผู้อพยพจากชายแดน เพื่อหนีสงคราม นางจึงสั่งให้ลูกน้องจัดเตรียมข้าวของแจกจ่ายให้กับคนเหล่านี้ แม้จะตั้งจุดแจกจ่ายตั้งสามที่ แต่ยังไม่พออยู่ดี ผู้อพยพมีมากเท่าไหร่กันนะ...นางเปิดหน้าต่างของระบบเพื่อดูคะแนนความดี ก็ยิ้มอย่างพอใจ ที่มันเพิ่มขึ้นแบบเรียลไทม์ ตอนนี้นางช่วยคนมาแล้ว เกือบหนึ่งหมื่นชีวิต ถ้าหากเสบียงที่กองทัพถูกใช้ คะแนนคงจะเพิ่มขึ้นเยอะแน่ ส่วนเงินก็เยอะมาก เกือบจะได้ถึง หกแสนตำลึงทอง กับคะแนนระบบอีก ห้าหมื่น เพราะใช้ไปเยอะ เมื่อหลายวันก่อนนางออกไปซื้อของตกแต่งจวนเลย ใช้คะแนนแลกข้าวของจำเป็นอย่างเช่นอ่างอาบน้ำ เตียงนอนแบรนด์ดัง และที่ขาดไม่ได้ชุดนอน กับ กกน ก็จำเป็นจริง ๆ ทว่าสายตาของนางหันไปสนใจคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังเข้ามารับของ พวกเขาดูแปลกไปมาก ดูราวกับว่ากำลังไม่สบายอยู่ นางจึงดูสถานการณ์ต่อไปก่อน“ช่วยด้วยมีคนหมดสติ” “ทางนี้ก็มี พวกเขาเป็นอะไร” หลานเสวี่ยตกใจกับภาพตรงหน้าที่คนกลุ่มใหญ่พากันล้มลงพื้นทีลัคนสองคน จนนางต้องลงไปดูด้วยตนเอง“ให้คนอื่นออกหางจากคนที่หมดสติก่อน แล้วพาพวกเขาไปหาที่พัก” หลานเสวี่ยสั่งการคนข
คนรับใช้เดินออกมาพร้อมสีหน้าไม่ดีนัก ก่อนจะพูดสิ่งที่แม่ทัพหลงบอกเอาไว้ ทำเอาหลานเสวี่ยกัดฟันแน่น คนจะตายห่าอยู่แล้วจะยุ่งอะไรนักหนา“บอกไปว่า จางจิงอวี้มาขอพบเรื่องสำคัญ ข้าจะรออยู่ที่นี่ อาฟู่ให้ของ” ฟู่ปิง ทหารคุ้มกันคนที่ไว้ใจได้ พอได้ยินก็เข้าใจ จึงหยิบก้อนสีเงินออกมาให้บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตู ได้แบบนี้เขาก็รีบวิ่งเข้าไปในจวนอย่างกับติดจรวดไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็เห็นบ่าวคนเดิมเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า เพราะได้ก้อนสีเงินจากท่านแม่ทัพมาอย่างงงๆ ทำให้เขารู้แล้วว่า จางจิงอวี้คือแขกพิเศษ“ต้องขออภัยด้วยที่เสียมารยาท เมื่อตะกี้ท่านแม่ทัพคิดว่าเป็นคนจากที่ว่าการจึงบอกปัดไป ตอนนี้เชิญใต้เท้าจางขอรับ” “ขอบใจมาก" หลานเสวี่ยเดินเข้าไปตามคนรับใช้อีกคนที่มารอรับ นางถูกพามาที่ห้องรับรองที่ดีกว่าครั้งก่อนมาก ในห้องให้ความรู้สึกสบาย อย่างกับห้องหนังสือของฮ่องเต้เสียอย่างนั้น“คารวะท่านแม่ทัพ ขออภัยด้วยที่ข้าน้อยมารบกวน้เวลาพักผ่อนของท่าน” หลานเสวี่ยก้มคำนับ“เชิญนั่งเถิด ไม่ต้องมากพิธี” เมื่อนั่งลงนางรู้สึกเหมือนจะถูกมองทุกการเคลื่อนไหว จนทำเอาความรู้สึกขนหัวลุกคราวนั้นผุดขึ้นมาจนตัวสั่น ท่
แม่ทัพหลงเดินเข้าไปหาเจ้าเมืองอย่างเชื่องช้า ด้วยท่าทางสงบนิ่ง ไม่เหมือนเจ้าเมืองที่กำลังตัวสั่นเทาเพราะความกลัว เข้ามาใกล้เท่าไหร่ยิ่งหายใจไม่ออก “ท่านเจ้าเมือง รู้หรือไม่ว่าทำผิดอันใด" พูดเสียงเรียบ“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยผิดไปแล้ว โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วยขอรับ”เขาแสยะยิ้มใต้หน้ากากเหล็ก มองขุนนางชั่วอย่างเหลืออด ถ้ามันไม่ใช่คนของไทเฮามันหัวขาดตั้งนานแล้ว วันนี้นับว่าโชคเข้าข้างจะได้กำจัดเสียที“ข้าน้อยแค่จัดงานเลี้ยงเล็กน้อย ท่านคงไม่มองว่าเป็นความผิดกระมัง” เจ้าเมืองอู่ พูดด้วยความมั่นใจเพราะคิดว่าตนเป็นคนของไทเฮาเรื่องแค่นี้จะเอาผิดเขาได้ไง ทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมาบ้าง“อย่างนั้นหรือ ทหารนำตัวขุนนางผู้นี้ไปขังคุกรอการลงอาญา” “ไม่ได้นะ ข้าเป็นคนของไทเฮา เจ้ากล้าหรือ” เขาพูดเสียงแข็งเพราะคิดว่าตนอยู่เหนือกว่าแม่ทัพหลงไม่กล้า แต่ลูกน้องของเขากล้ามาก จึงใช้เท้าเตะก้านคอของเจ้าเมืองอู่จนสลบคาที่ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืน หลานเสวี่ยยกนิ้วให้เลย ในที่สุดขุนนางชั่วก็ถูกลงโทษ ไม่คาดคิดว่าจะเร็วมากขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นแม่ทัพผู้ไม่เกรงกลัวอำนาจ“นำผู้ที่เกี่ยวข้องในห้องนี้ไปให้หมด” “ทราบแ
หลายอาทิตย์ผ่านไป หอการค้าร้านสะดวกซื้อก็ได้รับความนิยมอย่างมากมาย ในเมืองหลวง และต่างเมือง แม้แต่ต่างแคว้นยังได้ยินชื่อหอการค้านี้ ทำให้มีพ่อค้าต่างเมืองต่างแคว้นมาแวะเวียนไม่ขาดสาย จนกลายเป็นที่จับตามองของหลายอำนาจในเมืองหลวงหลานเสวี่ยได้นับเงินวันละพันตำลึงทุก ๆ วัน คะแนนความดีกับ คะแนนระบบก็เพิ่มขึ้นมามากมาย แต่ยังน้อยมากสำหรับเป้าหมายสิบล้านคะแนน ยิ่งสงครามยังไม่เกิดเสบียงที่ขายไปก็ยังไม่ได้ใช้อย่างรวดเร็ว ทำให้นางคิดในใจว่า อยากให้สงครามเกิดจะได้มีโอกาสรับคะแนนเพิ่ม แต่ความเป็นจริงนางหรือจะทนเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นและตอนนี้โฉมสะคราญยังคงนอนอ่านนิยายรักที่ซื้อมาจากระบบไม่ยอมลุกไปไหน ส่งเสียงหัวเราะบ้าง เขินอายบ้างตามบทที่อ่าน บรรยากาศหนาวหน่อย ๆ เช่นนี้ นางอยากนอนอ่านนิยายต่อเหลือเกิน ปกติก็เป็นคนขี้เซาอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งได้ใจ ตอนนี้นางไม่ต้องกังวลเรื่องคะแนนจากระบบมากเท่าไหร่ เพราะสามารถเก็บเกี่ยวได้วันละหนึ่งหมื่นคะแนน แต่คะแนนความดียังคงต่ำมากได้ไม่ถึงวันละห้าพัน “อยากทำความดีให้เยอะ ๆ ในครั้งเดียวจังเลย”“คุณหนู วันนี้ไม่ไปเดินเล่นอีกหรือเจ้าคะ” “ข้าอยากนอน ง่วงมากเลย”
เมื่อสอดส่องว่าไม่มีผู้ใดแล้วหลานเสวี่ยจึงออกมาจากมิติ ยังดีที่รถม้าเดินทางมาไม่ไกลจากเมืองหลวง ตรงที่นางอยู่เป็นป่าหญ้าสูงล้อมรอบสองข้างทาง ถ้าจะกลับไปมีแค่ต้องเดินเท้าอย่างเดียว“ไม่คิดว่าเจ้าจะหนี้รอดมาได้ ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว” “เป็นเจ้าเองหรือ กู่ชิงเฉินคงไม่ใช่ชื่อจริงของเจ้ากระมัง” พ่อค้ากู่เปิดเผยตัวออกมา เกรงว่าคงถูกไป๋คงอินจับได้แล้ว ด้วยระดับฝีมือของพ่อค้าคนนี้ กับหัวหน้าไปที่เป็นผู้ฝึกเซียนเช่นกันคงต่อสู้ได้อย่างสูสี แต่ก็โชคร้ายที่นางมาเจอกับสุนัขที่หนีตาย ถ้าหากสามารถยื้อเอาไว้ได้ ไม่นานหัวหน้าไปก็คงตามมาถึง “ใครกันที่สั่งให้ท่านต้องลงมือเช่นนี้ เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน คงไม่มีเหตุผลต้องลงมือ ถ้าเป็นเรื่องเงินทองก็ยังคุยกันได้” “หึ หึ อย่าคิดว่าจะถ่วงเวลาได้เลย ท่านเป็นแค่คนธรรมดา แค่มือเดียวข้าก็จัดการได้แล้ว ส่วนคำตอบที่ท่านอยากรู้ก็จะได้รับรู้เอง” “ที่ข้าหนีมาได้ไม่ใช่เพราะโชคช่วยหรอกนะ อยากลองดูก็เข้ามาเลย” หลานเสวี่ยตั้งท่ารอรับมือ แต่ดูเหมือนพ่อค้ากู่จะลังเล อย่างที่บอกมาก็มีเหตุผล ลูกน้องของเขาไม่ใช่ไก่กาที่ไหน ฝีมือก
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ
ในสายตาของผู้ฝึกเซียนขั้นสี่ พวกนางจะทำอะไรได้ ส่วนคนคุ้มกันก็แค่พอถ่วงเวลา งานนี้ไม่ยากเย็นนัก มือสังหารเดินเข้ามาตรง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คุ้มกันไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปขวาง แต่หลานเสวี่ยห้ามเอาไว้ก่อน“ก็แค่มดปลวก ข้าจัดการเอง พวกเจ้าถอยไปก่อน” นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ และหนักแน่น แววตาคู่สวยแสดงออกถึงความจริงจัง ทำให้หยางกับเหมยถอยออกมา รวมถึงผู้คุ้มกันที่กำลังตัวสั่นเพราะความกลัว “ถ้าเช่นนั้นก็ฝากแม่นางด้วย” เขาโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม แม้จะมองไม่ออกว่าหลานเสวี่ยจะใช้อะไรเอาชนะผู้ฝึกเซียนระดับนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาจึงเลือกที่จะเชื่อนาง และขอให้นางสามารถจัดการได้ เขายังไม่อยากทิ้งครอบครัวให้ลำบาก“แค่มดปลวกหรือ ปากดีเสียจริงนะ คำพูดนี้เป็นข้าทีต้องพูดออกมา ลนหาที่ตายนัก ได้...ข้าจะส่งเสริมเจ้าให้ตายเร็วขึ้นเอง” “อย่าเอาแต่พูดเลย อยากเข้ามาก็มาได้ตลอด ข้ารอเจ้าอยู่ เจ้ามาสิ” หลานเสวี่ยยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ทำเอาผู้ฝึกเซียนถึงกับเหงื่อซึม เมื่อสัมผัสพลังบางอย่างจากตัวนาง เขาไม่มั่นใจนักว่ามันคือสิ่งใด แต่สัญชาตญาณของเขาบอกให้ถอย เมื่อยั
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะเรื่องต่าง ๆ มากมายให้จัดการ เร่งด่วนจนไม่มีเวลาพัก หลายวันนี้แม้แต่ระบบยังห้ามไม่ให้นางใช้น้ำวิเศษเพราะจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าดี เหตุก็เพราะว่านางดื่มน้ำเกือบห้าสิบครั้ง แต่ละครั้งคือร่างกายนางเหนื่อยล้าเต็มที่ โดยเฉพาะยามกลางคืน ที่หลานเสวี่ยจะยังอยู่หอการค้า เพราะรออนุมัติ ไม่ก็รอตอบจดหมายเร่งด่วน ขอความเห็นจากสาขาอื่นที่ส่งออกไป เป็นเรื่องที่แม้ว่าคนอื่นจะรอได้ แต่นางไม่สามารถรอได้ร่างเพรียวบางนอนราบบนเตียงนุ่ม อ่อนล้าไปทั้งตัว ขอบตามีรอยดำคล้ำเล็กน้อย กับความรู้สึกปวดร้าวทั้งร่างกาย ใบหน้าของนางซีดเชียว และซูบผอมลง เพราะไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาเกือบอาทิตย์ “ลูกแม่ ทำไมถึงทำงานหนักเช่นนี้ เงินทองใช่ว่าจะสำคัญทุกอย่าง ตอนนี้เราไม่ได้ขาดเงิน เจ้าจะรีบร้อนทำไมหรือ” ผู้เป็นแม่เข้ามาบีบนวดให้นางทุกวัน ทำให้หลานเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นมาก ๆ ฝีมือของท่านแม่ดีจริง ๆ ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม นางได้แต่ยิ้มให้หลานฮูหยิน“ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ผอมลงนิดเดียว อีกอย่างไม่ได้แต่งงานกับบุตรชายเสนาบดี เท่านี้ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความร่าเริง เม
หลานเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่กับระบบ เพราะตั้งแต่ที่เปิดร้าน ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คะแนนรวมของนางคือหก แสนคะแนนจากระบบ และ แสนห้าหมื่นคะแนนความดีที่เพิ่มขึ้น เมื่อก่อนนางมีคะแนนจากระบบเจ็ดแสน แต่เพราะอัปเดตระบบเป็นเวอร์ชันสุดท้าย ใช้ไป 1 แสนคะแนน ทำเอาหลานเสวี่ยแอบสงสัยว่าทำไมถึงใช้เยอะแบบนี้ แต่นางก็ยอมเพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะอัปเดต“ระบบ ทำไมถึงใช้คะแนนเยอะมากกว่าทุกครั้งละ หรือว่ามีของรางวัลดี ๆ”(เป็นเพราะว่านี้คือระบบเวอร์ชันสุดท้าย ที่สำคัญจำเป็นต่อผู้ใช้เช่นกัน....)“เดี๋ยวก่อน ทำไมเงียบไปละ” ระบบไร้เสียงตอบ ทำเอาหลานเสวี่ยตกใจไม่น้อย แต่ก็จัดการ ส่งคำสั่งเพาะปลูกได้เป็นปกติ ถึงมิติก็ยังใช้ได้ จึงคิดว่าระบบคงขัดข้องชั่วคราว แต่นางแอบสังเกตนิดหน่อยเพราะช่วงนี้ระบบแปลกไปจากเดิมมาก อย่างเช่น น้ำในลำธารของระบบลดลงจนสังเกตได้ และแสงสว่างในนี้ก็ลดลงเช่นกัน อยากจะถามระบบแต่ก็มาหายตัวไป สงสัยคงกำลังอัพเดทชุดใหญ่ นางจึงไม่สนใจระบบ แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ แต่ละวันนางจะใช้คะแนนแลกของขายดี อย่างเช่นเครองสำอาง ที่สตรีร่ำรวย และขุนนางใช้กัน นี้เป็นรายรับสามส่วนของนางก็ว่าได้ ช่วยให้จัดกา
หลานเสวี่ยกลับมาที่จวนในตอนสาย พอมาถึงสายตาของบิดามารดาก็มองนางด้วยความสงสัย บุตรสาวของตนไปค้างที่ใดมา แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในอกของทั้วสอง แต่พักนี้รู้สึกว่านางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แถมยังเฉลียวฉลาดมากกว่าเดิม ท่าทางก็เปลี่ยนไป ทำให้ทั้งสองไม่กล้าที่จะถามตรง ๆ หลานฮูหยินรีบออกมารับบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนใต้เท้าหลานเดินตามหลังมาด้วย“กลับมาแล้วหรือ หิวไหมแม่จะไปทำกับข้าวให้เจ้า” “ลูกินอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ตอนขากลับแวะซื้อของอร่อยตามทางมาด้วย นี้เจ้าต่ะ” หลานเสวี่ยยกสิ่งของรุงรังในมือขึ้นมา รวมถึงบ่าวทั้งสองคนก็แทบจะแขนลาก เพราะเป็นคนถือของให้นาง ดีที่แข็งแรงหน่อย“ทำไม่ซื้อมามากมายเช่นนี้ จะกินหมดหรือ ดูสิผิวพรรณ.. เนียนสวยเสียจริง ดูแล้วลูกแม่สวยขึ้นเป็นกองเชียวนะ” มารดาของนางเมื่อสำรวจดี ๆ จึงรู้ว่านางดูเปร่งประกายราวกับถูกเคลือบด้วยออร่า แม้เมื่อก่อนนางจะงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่วันนี้ยิ่งแตกต่าง ผิวพรรณผุดผ่อง สัมผัสนุ่มนวล ไหนจะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โดดเด่น ทำให้หญิงวัยย่างเข้าสี่สิบสนอกสนใจกว่าเดิม ดวงตาคู่นั้นก็มองด้วยความสงสัย เพราะมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายอย่างเช่น เมื่อวานท
หลานเสวี่ยถูกอุ้มเข้าไปในห้องนอน มือเรียวยังคงปิดหูตัวเองเอาไว้แน่น เพราะกลัวเสียงฟ้าร้อง ทันทีที่เข้ามาข้างในเสียงต่าง ๆ ก็เงียบไปอย่างมหัศจรรย์ หญิงสาวลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ และพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าของหลานเสวี่ยแดงระเรื่อ เธอหลุบตาลงต่ำด้วยความเขินอายเมื่อสบสายตาคมคายที่มองตรงมา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกอุ้มเข้ามาในห้องเสียแล้ว“เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ไม่มีเสียงฟ้าร้องเหมือนด้านนอก เพราะข้าใช้สมบัติวิเศษป้องกันเอาไว้” น้ำเสียงทุ้ม พูดพลางวางเธอลงบนเตียงนุ่ม ๆ พร้อมกับห่มผ้าให้ และลงไปนอนรวบตัวนางเอาไว้แน่น“เจ้าค่ะ...แต่” หลานเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพจะกอดข้าน้อยแบบนี้ทั้งคืนหรือ ชายหญิง...”ปากน้อย ๆ ของนางกำลังจะพูดเรื่องยาว แต่ถูกมือใหญ่ปิดเอาไว้อย่างรู้ทัน เขาไม่ปล่อยโอกาสอันดีให้เสียเปล่า เป็นวัวเป็นม้าให้นางแล้ว ต้องได้รางวัลเสียหน่อยถึงจะถูก“สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะเป็นไรไป หากเจ้ายังดื้อดึงอีก ข้าจะไม่หักห้ามใจแล้วนะ” พูดเสียงสั่นเครือ เพราะกำลังหักห้ามใจตัวเองหลานเสวี่ยรู้สึกถึงหัวใจของตนเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก จึงก้มหน้ามองแผ่นอกกว
รอจดหมายจากพระองค์เกือบสองถ้วยชา แต่นางยังไม่เห็นจะมีวี่แววจะออกมาเลย เขียนร้อยฉบับหรืออย่างไรกันแน่ ร่างเล็กเดินไปมาอยู่ในห้องรับรอง ก่อนจะเดินออกมามองดูนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก นางยิ่งร้อนใจ ขาเรียวไม่รอช้าอีกต่อไป เดินออกจากห้องรับรองไปที่ห้องทำงานของท่านแม่ทัพโดยตรง ก่อนจะเห็นท่านแม่ทัพเดินมาจากข้างนอก ทำเอานางรู้สึกงุนงงอย่างมาก “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ! ท่านคงไม่ลืมจดหมายของข้าหรอกนะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงไปด้วยความไม่พอใจ แม่นางจะพยายามเก็บความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้“ข้าจะลืมได้อย่างไร เมื่อครู่ข้ามีธุระด่วนไม่คิดว่าเจ้าจะรีบร้อนอย่างนี้” ยืนตัวตรง มองนางด้วยสายตามีเลศนัย“หาใช่แบบนั้นเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะกล้าเร่งรัดท่านแม่ทัพได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็มาฝนหมึกให้ขาเถิด” หลงเยี่ยนเดินนำไปก่อน ทิ้งให้หลานเสวี่ยมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความไม่พอใจเล็ก ๆหลานเสวี่ยเดินตามไปพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ ทำไมแค่จดหมายฉบับเดียวต้องดึงเวลาให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วยนะ แต่นางจะทำอันใดได้ ยามนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝนหมึกให้ได้เยอะ พระองค์จะได้เร่งเขียนให้เสร็จ ทว่าไม่นานเสียง “กร๊อก" ดังขึ้นใบหน้าสวย
ทหารหนุ่มวิ่งหน้าตั้งออกมาจากกำแพงใหญ่ แล้วสั่งให้รถม้าของหลานเสวี่ยเข้าไปได้ ทำเอาเหล่าคุณหนูที่มารอตั้งนานแทบจะตาลุกเป็นไฟด้วยความริษยา แม้จะรู้ว่านางถูกปลดแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงของฝ่าบาทย่อมสูงส่งกว่าสตรีทั่วไป “พวกเจ้าก็รอต่อไปเถิด เห็นทีคงต้องรอจนหัวหงอกกระมัง” หลานเสวี่ยพูดทิ้งท้ายก่อนจะให้คนขับรถม้าขับออกไป ทำเอาบ่าวสองคนยิ้มอย่างสะใจที่ได้เอาคืนพวกนั้นเมื่อมาถึงขาวในจวนนางเดินตามทหารยามเข้าไปในจวน ที่นี่ไม่ได้หรูหราเหมือนจวนแม่ทัพที่เมืองหลวง เพราะเป็นที่พักชั่วคราวใช้ยามจำเป็น แต่ก็เรียบง่ายดี สีสันไม่โดดเด่น ส่วนมากจะเป็นข้าวของที่ทำจากไม้ สวยอยู่ไม่น้อย“รอก่อนนะขอรับข้าน้อยจะไปแจ้งท่านแม่ทัพให้” ทหารหนุ่มสีหน้าซีดเซียว แม้จะรู้ว่าตราไว้ชีวิตมีไว้ทำอันใด แต่เขาเกรงว่าครั้งนี้จะตัดสินใจพลาดจนถูกแม่ทัพลงโทษ หรือถ้าหากเกิดเขาปล่อยแขกของท่านแม่ทัพไป เกรงว่าจะยิ่งถูกลงโทษหนัก สถานการณ์เช่นนี้เลือกทางไหนก็ไม่รอด นอกจากท่านแม่ทัพจะให้ความสำคัญกับแขกคนนี้ทหารหนุ่มยืนอยู่ต่อหน้าประตูห้องทำงานส่วนตัว เมื่อเช้าเขาได้รับคำสั่งว่าไม่ให้ผู้ใดมารบกวน แต่ตอนนี้เขาลังเลว่าจะรอดต
มือเรียวยกกาน้ำชาขึ้นมารินให้บิดาอย่างเรียบร้อย จึงเลื่อนไปรินให้มารดาที่นั่งยิ้มให้กับนาง ทั้งสองคนดีใจจนยิ้มไม่หุบ ที่บุตรีสุดที่รักกลับมาให้เอ็นดูอีกครั้ง นับตั้งแต่พี่สาวของนางออกเรือน จวนตระกูลหลานก็เงียบเกินไป จะดีแค่ไหนหากพวกนางสองคนมีหลานให้พวกเขาทั้งสอง แม้ว่าหลานเสวี่ยจะไม่มีโอกาสแล้วก็ตาม เรื่องนี้ทั้งสองรู้ดี แต่พี่สาวนางกำลังจะได้รับข่าวดี จวนจะได้ครึกครื้นไม่เงียบเหงาอีก “กลับมาไม่นาน ลูกปรับตัวได้หรือยัง ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลเมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้เพลินตานัก” มารดาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม“ลูกปรับตัวได้เจ้าค่ะ อีกอย่างที่เมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้ลูกดูมากนัก ที่นี่น่าดูมากกว่า” “ถ้าเช่นนั้นพ่อจะสั่งคนทำห้องให้เจ้าใหม่ จะได้อยู่สบายขึ้น รออีกสักสามเดือนพี่สาวเจ้าก็จะมาเยี่ยมแล้ว ตอนนี้ลูกคงไม่รู้ว่าพี่สาวของเจ้าตั้งครรภ์แล้วนะ” ใต้เท้าหลานพูดด้วยน้ำเสียงปีติ แสดงออกมาชัดเจน“จริงหรือ เป็นเรื่องดีแท้ ๆ ท่านทั้งสองจะได้ไม่เหงามาก ลูกเองก็จะมาเยี่ยมบ่อย ๆ เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาก็มองหน้ากันอย่างสงสัย ทั้งที่คิดไว้ว่านางจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่“ลูกไม่มาอยู่ที่