ใบหน้าสวยนั่งครุ่นคิดอยู่ชั้นสองของหอการค้า เพราะเรื่องที่ชาวบ้านชอบมาขโมยของ ครั้งแรกที่โดนขโมย นางไม่เอาเรื่องเพราะคิดว่าว่าตัวเองก็มีส่วนผิด แต่ยิ่งทำให้พวกเขาได้ใจ มาขโมยวันเว้นวัน ถึงจะไม่ทำให้ร้านของนางได้รับผลกระทบเท่าไหร่ แต่อนาคตอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้“ปวดหัวจังเลย ทำไมพวกนั้นไม่มาคุยกันดี ๆ น่ะ ทุกอย่างมีทางออกเสมอ” “ข้าน้อยคิดว่าควรให้ทางการเป็นคนลงมือดีไหมเจ้าคะ แค่นี้คุณหนูก็ใจดีมากแล้ว” ถ้าทำแบบนั้นก็ได้อยู่หรอก แต่ชาวบ้านพวกนั้นน่าสงสาร ถ้าให้การช่วยเหลือได้ก็คงดี และยังได้คะแนนความดีอีกด้วย “ไม่ได้หรอกนะ ชาวบ้านพวกนั้นรวมตัวกันสามหมู่บ้าน คนมากมายข้าไม่อยากให้ผู้ใดเดือดร้อน อีกอย่างของที่ได้ไปก็แค่สิ่งที่เราจงใจทิ้งไว้” เมื่อมาขโมยสองสามครั้งนางก็สั่งให้คนจงใจทิ้งของที่ขายไม่หมดไว้ และเก็บเอาแต่ของที่สดใหม่ ถ้าพวกเขามาคุยด้วยก็พอมีทางที่ดีร่วมกันอยู่“ไปเจรจากับพวกเขาดีไหม” “แบบนั้นอันตรายเกินไปเจ้าค่ะ” “ไม่เป็นไรหรอก ข้ามีวิธีรับมืออยู่แล้ว” “เจ้าค่ะ” หยางได้แต่รับคำ ลืมคิดไปว่าคุณหนูของเธอตอนนี้ ฉลาด และมีฝีมือมากแค่ไหนหลานเสวี่ยแปลงโฉมให้เรียบร้อย แล้วลงมาท
เมื่อเห็นว่าตรงหน้าไม่มีอันใดแล้วแม่ทัพผู้นั้นก็ควบม้าออกไป นั้นก็ทำให้หลานเสวี่ยหันมาสนใจหัวหน้าหมู่บ้านคนที่ยื่นอยู่หน้าสุดของเหล่าชาวบ้าน อันที่จริงแม้ไม่มีแม่ทัพผู้นั้นนางก็มีวิธีจัดการกับพวกเขาอยู่แล้ว แต่ได้คนช่วยก็ดีกว่าจริง ๆ “เอาล่ะ พวกเรามาเจรจากันเถอะ ข้าเองก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไร รับรู้ปัญหาของทุกท่านดี เพราะแบบนี้จึงต้องเจรจากันไม่ใช่หรือ” “ถูกแล้วขอรับ พวกเราทำผิดใหญ่หลวง ขอใต้เท้าจางอย่าถือสาเอาความ” เมื่อนางตั้งท่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ก็ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านที่กำลังกลัวแม่ทัพหน้ากากเหล็กอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งกลัวใต้เท้าจาง เดิมที่คิดว่าพ่อค้าผู้นี้ไม่มีภูมิหลัง แต่พวกเขาไม่คิดว่าจะรู้จักกับแม่ทัพใหญ่ปูนั้นได้“พวกเรายอมรับผิด แล้วจะชดใช้ทุกอย่างที่ขโมยมาขอรับ เรื่องนี้ข้าน้อยผิดเองที่ส่งเสริมคนให้ทำผิด” คุกเข่ารับความผิด“ยังถือว่าท่านมีความคิดอยู่บ้าง ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือสาเอาความ และยังจะช่วยแก้ไขปัญหาของพวกเจ้าอีก” “จะช่วยพวกเราหรือ” หลานเสวี่ยหยิบถุงเมล็ดพันธุ์พืชออกมาจากรถม้า ก่อนจะส่งให้หัวหน้าคุ้มกันไปมอบให้พวกเขา“นี้คือสิ่งใดขอรับ” หัวหน้าหมู่บ้านถามด้วยความสงสัย
นางเข้ามาข้างในจวนก็มีคนรับใช้นำทางไปห้องรับรอง พอไปถึงใบหน้าคมเข้มของแม่ทัพเฉินที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับแม่ทัพหลงก็หันมามอง ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในห้องเสียงของเขาก็พูดขัดเสียก่อน “มาช้าไปแล้วใต้เท้าจาง หากมาไวกว่านี้สักครึ่งชั่วยามน่าจะยังทัน” แม่ทัพเฉินใบหน้าคมเข้มสมเป็นชายชาติทหาร แค่เห็นนางมาถึงก็รู้ว่ามาเพื่ออะไร หลานเสวี่ยถึงกับแอบเอ่ยชมในใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ก็คนมันชอบตื่นสาย ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่คิดจะยอมแพ้แต่อย่างใด เพราะครั้งนี้ต้องได้คะแนนความดีเยอะเป็นแน่ โอกาสที่นางจะกลับบ้านก็ใกล้เข้ามาแล้ว“ข้าน้อยจางจิงอวี้ อยากขอคุยกับท่านแม่ทัพสักครั้งได้หรือไม่ ข้อเสนอของข้าแน่นอนว่าดีกว่าคนตระกูลลู่อย่างแน่นอน” เฉินตูมองหน้าแม่ทัพหลง อย่างสงสัยว่าเขาจะเอาอย่างไร ก่อนที่ชายในชุดหน้ากากจะหัวเราะในลำคอ พร้อมยกยิ้มมุมปากร้ายมองบุรุษตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยสั้น ๆ “เชิญ!” หลานเสวี่ยกลั้นใจรอฟังคำตอบตั้งนาน พอได้ยินก็หายใจโล่ง เดินตรงไปที่นั่งของตน โดยมีคนรับใช้เป็นคนนำทาง หลานเสวี่ยในคราบจางจิงอวี้ นั่งลงอย่างเรียบร้อย ก่อนที่สายตาจะแอบสังเกตว่าวันนี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หรือ
ใบหน้าสวยทอดมองผู้คนเดินสวนกันไปมาตามถนน ผู้คนเหล่านี้คือผู้อพยพจากชายแดน เพื่อหนีสงคราม นางจึงสั่งให้ลูกน้องจัดเตรียมข้าวของแจกจ่ายให้กับคนเหล่านี้ แม้จะตั้งจุดแจกจ่ายตั้งสามที่ แต่ยังไม่พออยู่ดี ผู้อพยพมีมากเท่าไหร่กันนะ...นางเปิดหน้าต่างของระบบเพื่อดูคะแนนความดี ก็ยิ้มอย่างพอใจ ที่มันเพิ่มขึ้นแบบเรียลไทม์ ตอนนี้นางช่วยคนมาแล้ว เกือบหนึ่งหมื่นชีวิต ถ้าหากเสบียงที่กองทัพถูกใช้ คะแนนคงจะเพิ่มขึ้นเยอะแน่ ส่วนเงินก็เยอะมาก เกือบจะได้ถึง หกแสนตำลึงทอง กับคะแนนระบบอีก ห้าหมื่น เพราะใช้ไปเยอะ เมื่อหลายวันก่อนนางออกไปซื้อของตกแต่งจวนเลย ใช้คะแนนแลกข้าวของจำเป็นอย่างเช่นอ่างอาบน้ำ เตียงนอนแบรนด์ดัง และที่ขาดไม่ได้ชุดนอน กับ กกน ก็จำเป็นจริง ๆ ทว่าสายตาของนางหันไปสนใจคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังเข้ามารับของ พวกเขาดูแปลกไปมาก ดูราวกับว่ากำลังไม่สบายอยู่ นางจึงดูสถานการณ์ต่อไปก่อน“ช่วยด้วยมีคนหมดสติ” “ทางนี้ก็มี พวกเขาเป็นอะไร” หลานเสวี่ยตกใจกับภาพตรงหน้าที่คนกลุ่มใหญ่พากันล้มลงพื้นทีลัคนสองคน จนนางต้องลงไปดูด้วยตนเอง“ให้คนอื่นออกหางจากคนที่หมดสติก่อน แล้วพาพวกเขาไปหาที่พัก” หลานเสวี่ยสั่งการคนข
คนรับใช้เดินออกมาพร้อมสีหน้าไม่ดีนัก ก่อนจะพูดสิ่งที่แม่ทัพหลงบอกเอาไว้ ทำเอาหลานเสวี่ยกัดฟันแน่น คนจะตายห่าอยู่แล้วจะยุ่งอะไรนักหนา“บอกไปว่า จางจิงอวี้มาขอพบเรื่องสำคัญ ข้าจะรออยู่ที่นี่ อาฟู่ให้ของ” ฟู่ปิง ทหารคุ้มกันคนที่ไว้ใจได้ พอได้ยินก็เข้าใจ จึงหยิบก้อนสีเงินออกมาให้บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตู ได้แบบนี้เขาก็รีบวิ่งเข้าไปในจวนอย่างกับติดจรวดไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็เห็นบ่าวคนเดิมเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า เพราะได้ก้อนสีเงินจากท่านแม่ทัพมาอย่างงงๆ ทำให้เขารู้แล้วว่า จางจิงอวี้คือแขกพิเศษ“ต้องขออภัยด้วยที่เสียมารยาท เมื่อตะกี้ท่านแม่ทัพคิดว่าเป็นคนจากที่ว่าการจึงบอกปัดไป ตอนนี้เชิญใต้เท้าจางขอรับ” “ขอบใจมาก" หลานเสวี่ยเดินเข้าไปตามคนรับใช้อีกคนที่มารอรับ นางถูกพามาที่ห้องรับรองที่ดีกว่าครั้งก่อนมาก ในห้องให้ความรู้สึกสบาย อย่างกับห้องหนังสือของฮ่องเต้เสียอย่างนั้น“คารวะท่านแม่ทัพ ขออภัยด้วยที่ข้าน้อยมารบกวน้เวลาพักผ่อนของท่าน” หลานเสวี่ยก้มคำนับ“เชิญนั่งเถิด ไม่ต้องมากพิธี” เมื่อนั่งลงนางรู้สึกเหมือนจะถูกมองทุกการเคลื่อนไหว จนทำเอาความรู้สึกขนหัวลุกคราวนั้นผุดขึ้นมาจนตัวสั่น ท่
แม่ทัพหลงเดินเข้าไปหาเจ้าเมืองอย่างเชื่องช้า ด้วยท่าทางสงบนิ่ง ไม่เหมือนเจ้าเมืองที่กำลังตัวสั่นเทาเพราะความกลัว เข้ามาใกล้เท่าไหร่ยิ่งหายใจไม่ออก “ท่านเจ้าเมือง รู้หรือไม่ว่าทำผิดอันใด" พูดเสียงเรียบ“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยผิดไปแล้ว โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วยขอรับ”เขาแสยะยิ้มใต้หน้ากากเหล็ก มองขุนนางชั่วอย่างเหลืออด ถ้ามันไม่ใช่คนของไทเฮามันหัวขาดตั้งนานแล้ว วันนี้นับว่าโชคเข้าข้างจะได้กำจัดเสียที“ข้าน้อยแค่จัดงานเลี้ยงเล็กน้อย ท่านคงไม่มองว่าเป็นความผิดกระมัง” เจ้าเมืองอู่ พูดด้วยความมั่นใจเพราะคิดว่าตนเป็นคนของไทเฮาเรื่องแค่นี้จะเอาผิดเขาได้ไง ทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมาบ้าง“อย่างนั้นหรือ ทหารนำตัวขุนนางผู้นี้ไปขังคุกรอการลงอาญา” “ไม่ได้นะ ข้าเป็นคนของไทเฮา เจ้ากล้าหรือ” เขาพูดเสียงแข็งเพราะคิดว่าตนอยู่เหนือกว่าแม่ทัพหลงไม่กล้า แต่ลูกน้องของเขากล้ามาก จึงใช้เท้าเตะก้านคอของเจ้าเมืองอู่จนสลบคาที่ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืน หลานเสวี่ยยกนิ้วให้เลย ในที่สุดขุนนางชั่วก็ถูกลงโทษ ไม่คาดคิดว่าจะเร็วมากขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นแม่ทัพผู้ไม่เกรงกลัวอำนาจ“นำผู้ที่เกี่ยวข้องในห้องนี้ไปให้หมด” “ทราบแ
หลายอาทิตย์ผ่านไป หอการค้าร้านสะดวกซื้อก็ได้รับความนิยมอย่างมากมาย ในเมืองหลวง และต่างเมือง แม้แต่ต่างแคว้นยังได้ยินชื่อหอการค้านี้ ทำให้มีพ่อค้าต่างเมืองต่างแคว้นมาแวะเวียนไม่ขาดสาย จนกลายเป็นที่จับตามองของหลายอำนาจในเมืองหลวงหลานเสวี่ยได้นับเงินวันละพันตำลึงทุก ๆ วัน คะแนนความดีกับ คะแนนระบบก็เพิ่มขึ้นมามากมาย แต่ยังน้อยมากสำหรับเป้าหมายสิบล้านคะแนน ยิ่งสงครามยังไม่เกิดเสบียงที่ขายไปก็ยังไม่ได้ใช้อย่างรวดเร็ว ทำให้นางคิดในใจว่า อยากให้สงครามเกิดจะได้มีโอกาสรับคะแนนเพิ่ม แต่ความเป็นจริงนางหรือจะทนเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นและตอนนี้โฉมสะคราญยังคงนอนอ่านนิยายรักที่ซื้อมาจากระบบไม่ยอมลุกไปไหน ส่งเสียงหัวเราะบ้าง เขินอายบ้างตามบทที่อ่าน บรรยากาศหนาวหน่อย ๆ เช่นนี้ นางอยากนอนอ่านนิยายต่อเหลือเกิน ปกติก็เป็นคนขี้เซาอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งได้ใจ ตอนนี้นางไม่ต้องกังวลเรื่องคะแนนจากระบบมากเท่าไหร่ เพราะสามารถเก็บเกี่ยวได้วันละหนึ่งหมื่นคะแนน แต่คะแนนความดียังคงต่ำมากได้ไม่ถึงวันละห้าพัน “อยากทำความดีให้เยอะ ๆ ในครั้งเดียวจังเลย”“คุณหนู วันนี้ไม่ไปเดินเล่นอีกหรือเจ้าคะ” “ข้าอยากนอน ง่วงมากเลย”
เมื่อสอดส่องว่าไม่มีผู้ใดแล้วหลานเสวี่ยจึงออกมาจากมิติ ยังดีที่รถม้าเดินทางมาไม่ไกลจากเมืองหลวง ตรงที่นางอยู่เป็นป่าหญ้าสูงล้อมรอบสองข้างทาง ถ้าจะกลับไปมีแค่ต้องเดินเท้าอย่างเดียว“ไม่คิดว่าเจ้าจะหนี้รอดมาได้ ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว” “เป็นเจ้าเองหรือ กู่ชิงเฉินคงไม่ใช่ชื่อจริงของเจ้ากระมัง” พ่อค้ากู่เปิดเผยตัวออกมา เกรงว่าคงถูกไป๋คงอินจับได้แล้ว ด้วยระดับฝีมือของพ่อค้าคนนี้ กับหัวหน้าไปที่เป็นผู้ฝึกเซียนเช่นกันคงต่อสู้ได้อย่างสูสี แต่ก็โชคร้ายที่นางมาเจอกับสุนัขที่หนีตาย ถ้าหากสามารถยื้อเอาไว้ได้ ไม่นานหัวหน้าไปก็คงตามมาถึง “ใครกันที่สั่งให้ท่านต้องลงมือเช่นนี้ เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน คงไม่มีเหตุผลต้องลงมือ ถ้าเป็นเรื่องเงินทองก็ยังคุยกันได้” “หึ หึ อย่าคิดว่าจะถ่วงเวลาได้เลย ท่านเป็นแค่คนธรรมดา แค่มือเดียวข้าก็จัดการได้แล้ว ส่วนคำตอบที่ท่านอยากรู้ก็จะได้รับรู้เอง” “ที่ข้าหนีมาได้ไม่ใช่เพราะโชคช่วยหรอกนะ อยากลองดูก็เข้ามาเลย” หลานเสวี่ยตั้งท่ารอรับมือ แต่ดูเหมือนพ่อค้ากู่จะลังเล อย่างที่บอกมาก็มีเหตุผล ลูกน้องของเขาไม่ใช่ไก่กาที่ไหน ฝีมือก
หลานเสวี่ยเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวัน แต่นางยังคงเป็นกังวลเรื่องหลงเยี่ยน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรสนใจ แต่ภาพของเขายังคงวนเวียนอยู่ในใจ ตลอดเวลาหลายวัน นางนอนพลิกไปพลิกมา เพราะเรื่องเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านนี้คงกลับโลกเดิมไปแล้ว เพราะคะแนนเพียงพอ แต่นางยังคงรอให้เขากลับมาก่อน “หวังว่าเขาจะปลอดภัย” นางพึมพำก่อนหลับตาลงวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวจากสนามรบมาถึงเมืองหลวง โดยมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ได้ยินว่าท่านแม่ทัพบาดเจ็บ ก็ทำเอาหลานเสวี่ยใจคอไม่ดี รีบเตรียมน้ำวิเศษเอาไว้รอเขา ร่างเพรียวบางสวมอาภรณ์สีน้ำเงินอ่อน เดินไปมาหน้าจวนตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่าได้รับชัยชนะนางก็มารอ แม้ทหารยามจะบอกว่าอีกสี่ห้าวันถึงจะมาถึงแต่นางไม่อาจอยู่นิ่งได้ ราวกับมีก้อนไฟที่สุมอยู่ในอกข้างซ้าย นางถึงขั้นนั่งรอตั้งแต่เช้ายันฟ้ามืด โดยหารู้ไม่ว่าหลงเยี่ยนมาถึงแล้ว แต่ใช้ประตูมิติไปที่ห้องหนังสือแทน พอรู้ว่านางรอเขาก็ได้แต่หัวเราะออกมา “ต่อให้ทำดี ข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ” เขาได้แต่มองนางอยู่ข้างในจวนราวกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ความรู้สึก และความต้องการที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทำให้เ
เช้าตรู่ของวันใหม่ เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารดังสะท้อนไปทั่วจวน ก่อนที่ทหารคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ท่าทีเร่งรีบของ แม่ทัพเฉินพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมเดินเข้ามา “กราบทูลท่านแม่ทัพ! ทัพศัตรูจากแคว้นกุ้ยโจว กับแคว้นหานโจวได้เคลื่อนพลประชิดชายแดนแล้วขอรับ!”หลงเยี่ยนที่กำลังอ่านรายงานอยู่ เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคมปลาบแสดงถึงความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว ก่อนจะออกคำสั่ง “จัดเตรียมกองกำลัง ข้าจะออกไปบัญชาการศึกด้วยตัวเอง”แม่ทัพเฉินคำนับและออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลงเยี่ยนลุกขึ้นและเดินผ่านห้องโถง หลานเสวี่ยที่เพิ่งตื่นและได้ยินข่าวลือในจวน รีบตรงไปหาหลงเยี่ยน นางเอกก็แปลกใจอยู่หลายส่วน เพราะต้าเหยียนไม่ใช่เมื่อก่อนที่ขาดแคลนเสบียง แถมตอนนี้กำลังทหารน่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนกุ้ยโจว กับ หานโจ คิดทำอันใดอยู่ถึงกล้าทำเช่นนี้ นางเดินมาส่งหลงเยี่ยนอย่างจำใจ ถ้าหากเขาออกไปแล้วนางก็จะไม่ขออยู่จวนแม่ทัพอีก “ท่านแม่ทัพ ข้าได้ยินว่าศัตรูมาประชิดชายแดน ท่านจะไปออกศึกหรือเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของหลานเสวี่ยเจือความกังวล แม้จะพยายามปกปิดความดีใจของตน“เจ้าคงดีใจ และสาปแช่งให้ข้ามีอันเป็นไปกระมัง ถึงยิ้มออกน
หลานเสวี่ยถูกกักบริเวณไว้ในจวนของแม่ทัพ นางไม่สามารถออกไปได้เพราะมีทหารเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะคะแนนความดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่แปลกคือเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ราวกับว่านางเปิดร้านเป็นร้อยสาขาไม่นานก็ตกเย็นยังไม่เห็นเงาของหลงเยี่ยนเลย แต่ก็ดีนางคิดในใจ ก่อนจะเดินไปมาในจวน แล้วนึกขึ้นได้เมื่อเห็นทหารยาม“ข้าถามอะไรได้หรือไม่” นางเดินมาถามทหารยาม เมื่อเห็นว่าเป็นหลานเสวี่ย ทหารยามก็ทำความเคารพอย่างเคร่งครัด สงสัยคงไม่ได้รู้เรื่องของนาง นับว่าฮ่องเต้บ้าอำนาจยังเป็นคนดีอยู่บ้าง“มีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ” ทหารยามก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ“แค่อยากถามเท่านั้นเอง แล้วท่านแม่ทัพหายไปไหนหรือ มืดค่ำเช่นนี้ยังไม่กลับมาอีก” สงสัยคงไม่อยากเจอหน้านางหรือ“ท่านแม่ทัพออกไปแจกเสบียงขอรับ” “เสบียงอะไรหรือ” “แม่นางคงยังไม่รู้ ท่านแม่ทัพเอาเงินส่วนตัวมาซื้อเสบียงแจกจ่ายให้กองทัพ เห็นที่ร้านสะดวกซื้อของท่านสินค้าคงไม่เหลือแล้ว” ทหารยามพูดไปยิ้มไป หลานเสวี่ยจึงพอเข้าใจ ที่แท้เป็นเขาเองหรือที่อยากให้นางกลับโลกเดิมเร็ว ๆ จนใช้วิธีนี้ ชิงชังกันขนาดนั้นเชียวหรือ นางกัดฟันแน่นคิดแล
ร่างเพรียวถอยห่างแต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอาไว้ ไม่ยอมให้ริมฝีปากหวานหนีพ้น มือเล็กอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน เสียงหัวใจพลันเต้นโครมครามราวกับกลองศึก เลือกในกายสูบฉีด ไปต่างจากคนตัวโตที่ทุบกำแพงสูงใหญ่ข้ามความกลัวของตัวเอง เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน เขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยนางไปอีกครั้ง ต่อให้นางยอมตรอมใจตายตามคนอื่น เขาก็จะชุบชีวิตนางขึ้นมา หลงเยี่ยนกอดรัดร่างแบบบางให้แนบชิดแผ่นอก ริมฝีปากหนักหน่วงดันลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจโพรงปากหวาน หลานเสวี่ยตาเบิกกว้างเมื่อสัมผัสลิ้นนุ่ม ทว่าทุกอย่างราวกับสายฟ้าแลบ เพียงชั่วอึดใจ นางก็ถูกหลงเยี่ยนดูดดึงลิ้นเล็กอย่างเอาแต่ใจ ความหิวโหยหนักหน่วงไม่ลดละ เข้าไม่ปล่อยให้นางได้หลีกหนี ร่างสูงรวบตัวยาวขึ้นก่อนจะเดินไปที่ห้องนอน หลานเสวี่ยอายจนหน้าแดงก่ำ แต่นางกลัวมากเมื่อรู้ว่าถูกพาเข้ามาในห้อง“ฝ่าบาทจะมำอันใดหรือเพคะ...” นางพูดเสียงสั่นเครือ เรียกด้วยสถานะจริงของเขา “ทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง” หลานเสวี่ยไม่อยากฉวยโอกาส ใช้ร่างกายของคนอื่น แม้ว่าหัวใจนางจะปลิวละล่องไปตามเขาแล้ว“วันนี้เรามาเข้าหอกันใหม่ ข้าไม่ปล่อยเจ้าอีกแล้ว เป็นของข้าทั้งตัวทั้งใจเถิด
หลงเยี่ยนกระชากแขนเรียวดึงเข้าหาตัว สายตาพลันจับจ้องดวงหน้าสวย ทั้งคู่มองตาไม่กะพริบ มือเรียวดันแผ่นอกเอาไว้ หลงเยี่ยนมองนางด้วยสายตาสับสน เหมือนความคิดของเขาที่ไม่ตรงกัน ยิ่งหลานเสวี่ยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกความจริง หัวใจของเขาพลันเจ็บแปลบขึ้นมา ใบหน้าคมสวยไม่กล้าสบตาคู่นั้น หันไปมองโคมไฟข้างฝาแทน แต่มือหนาประคองแก้มนวลให้หันมาสบตาเช่นเดิม“เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือ ถึงขนาดนี้เจ้ายังมองข้าเป็นคนอื่นหรือไร บอกความจริงเถิด” หลงเยี่ยนคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ใบหน้าแสดงออกถึงความสับสนและร้อนรุ่มในใจ แต่จะให้หลานเสวี่ยทำอย่างไร หากบอกไปชีวิตนางจะยังเหลือให้กลับบ้านอีกหรือ นางกลัวจนหัวใจเต้นระรัว ร่างกายแบบบางสั่นเทา “ข้าน้อยบอกไม่ได้...ข้าน้อยไม่มีทางคิดเป็นอื่น” นางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาคู่งามยามจ้องมองฉายแววเศร้าหมอง คิ้วสวยหักลงยามที่นึกถึงชะตากรรมตัวเอง เขารักหลานเสวี่ยมากเท่าใดไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ หากทุกอย่างเปิดเผยถึงคราวนั้นชีวิตจางเสี่ยวหลงจะเป็นยังไง “เหตุใดถึงปากแข็งนัก แค่เจ้าพูดมาข้าก็ช่วยเจ้าได้ หรือที่เจ้าไม่พูดเพราะเกี่ยวกับกวนเหยาหมิง” หลงเยี่ยนพูดพลางบีบมือเรียวสุด
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ
ในสายตาของผู้ฝึกเซียนขั้นสี่ พวกนางจะทำอะไรได้ ส่วนคนคุ้มกันก็แค่พอถ่วงเวลา งานนี้ไม่ยากเย็นนัก มือสังหารเดินเข้ามาตรง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คุ้มกันไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปขวาง แต่หลานเสวี่ยห้ามเอาไว้ก่อน“ก็แค่มดปลวก ข้าจัดการเอง พวกเจ้าถอยไปก่อน” นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ และหนักแน่น แววตาคู่สวยแสดงออกถึงความจริงจัง ทำให้หยางกับเหมยถอยออกมา รวมถึงผู้คุ้มกันที่กำลังตัวสั่นเพราะความกลัว “ถ้าเช่นนั้นก็ฝากแม่นางด้วย” เขาโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม แม้จะมองไม่ออกว่าหลานเสวี่ยจะใช้อะไรเอาชนะผู้ฝึกเซียนระดับนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาจึงเลือกที่จะเชื่อนาง และขอให้นางสามารถจัดการได้ เขายังไม่อยากทิ้งครอบครัวให้ลำบาก“แค่มดปลวกหรือ ปากดีเสียจริงนะ คำพูดนี้เป็นข้าทีต้องพูดออกมา ลนหาที่ตายนัก ได้...ข้าจะส่งเสริมเจ้าให้ตายเร็วขึ้นเอง” “อย่าเอาแต่พูดเลย อยากเข้ามาก็มาได้ตลอด ข้ารอเจ้าอยู่ เจ้ามาสิ” หลานเสวี่ยยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ทำเอาผู้ฝึกเซียนถึงกับเหงื่อซึม เมื่อสัมผัสพลังบางอย่างจากตัวนาง เขาไม่มั่นใจนักว่ามันคือสิ่งใด แต่สัญชาตญาณของเขาบอกให้ถอย เมื่อยั
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะเรื่องต่าง ๆ มากมายให้จัดการ เร่งด่วนจนไม่มีเวลาพัก หลายวันนี้แม้แต่ระบบยังห้ามไม่ให้นางใช้น้ำวิเศษเพราะจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าดี เหตุก็เพราะว่านางดื่มน้ำเกือบห้าสิบครั้ง แต่ละครั้งคือร่างกายนางเหนื่อยล้าเต็มที่ โดยเฉพาะยามกลางคืน ที่หลานเสวี่ยจะยังอยู่หอการค้า เพราะรออนุมัติ ไม่ก็รอตอบจดหมายเร่งด่วน ขอความเห็นจากสาขาอื่นที่ส่งออกไป เป็นเรื่องที่แม้ว่าคนอื่นจะรอได้ แต่นางไม่สามารถรอได้ร่างเพรียวบางนอนราบบนเตียงนุ่ม อ่อนล้าไปทั้งตัว ขอบตามีรอยดำคล้ำเล็กน้อย กับความรู้สึกปวดร้าวทั้งร่างกาย ใบหน้าของนางซีดเชียว และซูบผอมลง เพราะไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาเกือบอาทิตย์ “ลูกแม่ ทำไมถึงทำงานหนักเช่นนี้ เงินทองใช่ว่าจะสำคัญทุกอย่าง ตอนนี้เราไม่ได้ขาดเงิน เจ้าจะรีบร้อนทำไมหรือ” ผู้เป็นแม่เข้ามาบีบนวดให้นางทุกวัน ทำให้หลานเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นมาก ๆ ฝีมือของท่านแม่ดีจริง ๆ ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม นางได้แต่ยิ้มให้หลานฮูหยิน“ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ผอมลงนิดเดียว อีกอย่างไม่ได้แต่งงานกับบุตรชายเสนาบดี เท่านี้ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความร่าเริง เม
หลานเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่กับระบบ เพราะตั้งแต่ที่เปิดร้าน ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คะแนนรวมของนางคือหก แสนคะแนนจากระบบ และ แสนห้าหมื่นคะแนนความดีที่เพิ่มขึ้น เมื่อก่อนนางมีคะแนนจากระบบเจ็ดแสน แต่เพราะอัปเดตระบบเป็นเวอร์ชันสุดท้าย ใช้ไป 1 แสนคะแนน ทำเอาหลานเสวี่ยแอบสงสัยว่าทำไมถึงใช้เยอะแบบนี้ แต่นางก็ยอมเพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะอัปเดต“ระบบ ทำไมถึงใช้คะแนนเยอะมากกว่าทุกครั้งละ หรือว่ามีของรางวัลดี ๆ”(เป็นเพราะว่านี้คือระบบเวอร์ชันสุดท้าย ที่สำคัญจำเป็นต่อผู้ใช้เช่นกัน....)“เดี๋ยวก่อน ทำไมเงียบไปละ” ระบบไร้เสียงตอบ ทำเอาหลานเสวี่ยตกใจไม่น้อย แต่ก็จัดการ ส่งคำสั่งเพาะปลูกได้เป็นปกติ ถึงมิติก็ยังใช้ได้ จึงคิดว่าระบบคงขัดข้องชั่วคราว แต่นางแอบสังเกตนิดหน่อยเพราะช่วงนี้ระบบแปลกไปจากเดิมมาก อย่างเช่น น้ำในลำธารของระบบลดลงจนสังเกตได้ และแสงสว่างในนี้ก็ลดลงเช่นกัน อยากจะถามระบบแต่ก็มาหายตัวไป สงสัยคงกำลังอัพเดทชุดใหญ่ นางจึงไม่สนใจระบบ แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ แต่ละวันนางจะใช้คะแนนแลกของขายดี อย่างเช่นเครองสำอาง ที่สตรีร่ำรวย และขุนนางใช้กัน นี้เป็นรายรับสามส่วนของนางก็ว่าได้ ช่วยให้จัดกา