ระหว่างสองวันที่พวกเหล่ยหงพักอยู่ในโรงเตี๊ยมชุ่ยฮวา มีคนในเมืองหลวงไม่น้อยที่แอบเมียงมองไปที่รถม้า เนื่องจากมันดูงดงามแปลกตาจากรถม้าทั่วไป จนกลายเป็นที่กล่าวถึงอย่างรวดเร็ว ไม่แพ้ข่าวของเสิ่นหนิงเทียนเลยสักนิดเมื่อถึงวันออกเดินทางกลับเมืองเหอเฟย อวี่หรงได้มาเชิญเหล่ยหงกับพวกไปที่จวนเสิ่นอันโหว เพื่อนำของตอบแทนจากเจ้าตระกูล ไปมอบให้กับจ้าวจางหมิ่น เหล่ยหงคิดว่าคงเป็นของตอบแทนเล็กน้อย แต่ผิดคาดมันเป็นหีบขนาดใหญ่ถึงสามหีบ และหีบขนาดเล็กอีกหนึ่งหีบซึ่งผู้ที่ออกมาส่งมอบของตอบแทนในครั้งนี้ ก็คือเสิ่นอันโหวและเสิ่นหนิงเทียน “เจ้าคงเป็นเหล่ยหงที่บุตรชายข้าพูดถึงกระมัง ขอบใจพวกเจ้าทุกคนมากที่ดูแลบุตรชายของข้าเป็นอย่างดี และฝากขอบใจคุณหนูจ้าวผู้ที่ช่วยบุตรชายผู้นี้ของข้า ออกมาจากสถานที่อัปมงคลเช่นนั้น หีบที่พวกเจ้าเห็นอยู่คือน้ำใจจากตระกูลเสิ่น วันหน้าหากมีเรื่องเดือดร้อนอันใด พวกข้ายินดียื่นมือให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แน่นอน”เหล่ยหงที่ถูกกล่าวถึงทำความเคารพเสิ่นอันโหว “ข้าน้อยเหล่ยหงคารวะเสิ่นอันโหวขอรับ สิ่งของเหล่านี้ข้าจะนำไปมอบให้ถึงมือคุณหนู หวังว่าวันหน้าที่ได้พบกันคุณชายเสิ่นจะแข็
หลังจากวันที่ทำสัญญาการค้า นายท่านหลี่จัดการเรื่องสินค้าแล้วเสร็จ จึงได้พาหลี่ลู่เหอไปพบจ้าวจางหมิ่นที่จวน ทั้งสองคนนอกจากได้ทานอาหารและของว่างที่อร่อย ยังได้เห็นวิธีทำลูกชิ้นก่อนคนของตนจะมาร่ำเรียนสิ่งนี้ เมื่อได้เห็นการทำงานของเครื่องมือสองชิ้นนี้ นายท่านหลี่ยิ่งดีใจที่ตนคิดถูก เรื่องมาเจรจาการค้ากับจ้าวจางหมิ่นเมื่อถึงกำหนดต้องกลับเมืองเชาหู สองพ่อลูกยังได้อาหารไว้ทานระหว่างวัน จากจวนตระกูลจ้าวอีกเล็กน้อย ภายหลังนายท่านหลี่กลับไปได้ไม่นาน คนจากตระกูลหลี่ก็ถือจดหมายมาพบจ้าวจางหมิ่น และการเรียนวิธีทำลูกชิ้นจึงเริ่มขึ้น พวกเขาเรียนรู้ได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ พอมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างไม่มีปัญหา ทั้งคนทั้งเครื่องมือสองชิ้นนี้ก็เดินทางกลับเมืองเชาหูพวกเหล่ยหงที่ออกเดินทางจากเมืองหลวง ภายหลังพาเสิ่นหนิงเทียนไปส่งถึงจวนเสิ่นอันโหว ก็เดินทางกลับมาถึงเมืองเหอเฟยเมื่อผ่านไปเกือบสามเดือน และนำของตอบแทนจากเสิ่นอันโหว ซึ่งเป็นตำลึงทองรวมถึงหีบใบชาชั้นดีขึ้นชื่อของเสิ่นฮูหยิน จ้าวจางหมิ่นไม่คิดว่าครอบครัวของเสิ่นหนิงเทียน จะมอบของตอบแทนมีราคากลับมาให้นางภารกิจใหญ่ครั้งแรกสำเร็จลุล่วงด้วยดี ทำใ
ภายหลังเสร็จสิ้นการแจกอาหารในวันเกิดแล้ว จ้าวจางหมิ่นให้หลิวฉีพาไปดูจวนหลังดังกล่าว ที่เจ้าของปิดป้ายประกาศขายจวนไว้ ซึ่งมีบ่าวไพร่อยู่ดูแลที่นี่สองคน เพื่อรอให้ขายจวนเรียบร้อยถึงจะตามเจ้านายไปทีหลังกันพ่ายกับกันเตี้ยวสองพี่น้องที่อาสาเฝ้าจวน ได้ยินเสียงเคาะประตูจวนจึงชวนกันออกมาดู กันพ่ายเห็นแขกสี่คนยืนอยู่จึงถามออกไป “เอ่อ ไม่ทราบว่าพวกท่านมาเรื่องซื้อขายจวนใช่หรือไม่ขอรับ?”หลิวฉีทำหน้าที่แทนจ้าวจางหมิ่นในการตอบคำถาม “ใช่แล้วน้องชาย คุณหนูของข้าอยู่จวนหลังติดกันกับจวนหลังนี้ และสนใจอยากซื้อจวนไว้จึงต้องการมาดูด้านในจวนเสียก่อน หากคุณหนูถูกใจก็มาคุยเรื่องราคา พวกเจ้าพอจะพาคุณหนูของข้าเดินชมจวนได้ไหม”กันเตี้ยวได้ยินเช่นนั้นก็หูผึ่งทันที เพราะถ้าขายจวนได้เร็วก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่อีก “ได้สิขอรับ เชิญคุณหนูตามพวกข้าเข้าไปดูเรือนทุกหลังเถิด รับรองว่าคุณหนูต้องชอบจวนหลังนี้ขอรับ”จ้าวจางหมิ่นทำเพียงพยักหน้าตอบ และเดินตามสองพี่น้องไปด้านใน ไล่ตั้งแต่โถงรับรองติดเรือนใหญ่ ไปจนถึงเรือนหลักเล็กสำหรับเหล่าอนุ พื้นที่ทั้งหมดดูกว้างขวางกว่าเรือนของนางเล็กน้อยจ้าวจางหมิ่นคิดว่าจะเก็บเรือนใหญ่เอา
เมื่อจ้าวจางหมิ่นพาลูกจ้างคนใหม่มาถึงจวน ก็มีพ่อบ้านห้าวยืนรอรายงานเรื่องนายช่างอยู่แล้ว คนอื่น ๆ ก็มายืนรอเพื่อต้อนรับลูกจ้างคนใหม่เช่นพวกตน ระหว่างรอซีหยุนกลับมา จ้าวจางหมิ่นจึงให้พ่อบ้านห้าวรายงานเรื่องนายช่างเสียก่อน “ท่านลุงพ่อบ้านเรื่องนายช่างเป็นอย่างไรเจ้าคะ มีนายช่างรับทำงานของข้าหรือไม่”“เรียนคุณหนู ข้าได้ติดต่อนายช่างไว้สองคนขอรับ พวกเขากับลูกน้องเกือบยี่สิบคน จะเริ่มลงมือตามที่คุณหนูได้บอกไว้ในวันพรุ่งนี้ คาดว่าไม่เกินสามวันจะแล้วเสร็จขอรับ”“อืม ถือว่าทำงานได้รวดเร็วพอสมควรเจ้าค่ะ เช่นนั้นหลังจากนายช่างจัดการรื้อเรือนเล็กเสร็จ ข้าจะทำการเปิดขายสินค้าใหม่ทันที ส่วนลูกจ้างใหม่ทั้งยี่สิบห้าคนที่มาเพิ่ม ลูกจ้างสตรีจะช่วยงานที่นี่สองคน อีกสามคนต้องคอยดูแลทำความสะอาด และต้อนรับลูกค้าที่จวนหลังใหม่ลูกจ้างที่เป็นวรยุทธ์จะต้องหมั่นฝึกฝน เพื่อวันหน้าต้องนำสินค้าไปส่งยังต่างเมือง หรืออาจจะเป็นแคว้นที่อยู่ใกล้ ๆ และอีกสิบคนที่เหลือต้องคอยดูแลม้า รวมถึงสินค้าใหม่ซึ่งต้องดูแลอย่างดี เรื่องอาหารการกินพวกท่านไม่ต้องกังวล ข้ากินสามมื้อพวกท่านก็ต้องได้กินสามมื้อเช่นกันเจ้าค่ะ” นางกินอิ่ม
ความตกตะลึงของลูกจ้างทั้งเก่าและใหม่ ได้รับความกระจ่างจากพ่อบ้านห้าวและเหล่ยหง ยังเป็นคำพูดเดิมแต่สำคัญอย่างยิ่ง นั่นคืออย่าได้อยากรู้อยากเห็นสิ่งใด ไม่ว่าจะมีสิ่งของแปลกตาแค่ไหน จงคิดว่ามันมีเจ้าของคือจ้าวจางหมิ่นผู้เดียวเท่านั้นเพียงคำพูดนี้พวกเขาทั้งหลายก็เข้าใจได้ทันที จากนั้นพ่อบ้านห้าวจึงได้แบ่งงานให้ทุกคน ลูกจ้างใหม่อยู่ดูแลปัดกวาดฝุ่นรถบ้าน และหาน้ำหาหญ้ามาให้กับม้าสิบกว่าตัว ที่จ้าวจางหมิ่นจะขายมันพร้อมกับรถบ้าน ส่วนสุนัขทั้งสิบตัวออกไปวิ่งสำรวจจนทั่วจวนแต่เช้าสี่ตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยของเมืองเหอเฟย เมื่อได้รับหนังสือเชิญไปร่วมงานเปิดกิจการ พร้อมตัวอย่างรถบ้านของจ้าวจางหมิ่น ก็แทบทนไม่ไหวอยากจะเห็นของจริงเสียเดี๋ยวนั้น พวกเขาต่างร้องเรียกหาพ่อบ้านหรือคนสนิท ให้เตรียมตำลึงทองไว้มากหน่อย ด้วยเกรงว่าคนที่ได้รับหนังสือเชิญเช่นตน ย่อมไม่ยอมปล่อยรถบ้านที่งดงามนี้ไปแน่ในยามเว่ยพ่อบ้านห้าวเรียกทุกคน มารวมตัวกันเพื่อจัดเตรียมสถานที่ สำหรับต้อนรับแขกวันเปิดกิจการพรุ่งนี้ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีอาหารและขนมอีกสองสามอย่าง ให้แขกที่จะมาร่วมงานได้ทาน คาดว่าแขกมิได้มาคนเดียวเป็นแน่ เมื่อสามีมา
กิจการของจ้าวจางหมิ่นกำลังเติบโต ตามเวลาที่อายุของนางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกิจการรถบ้านอันแปลกตา ยามนี้เป็นที่กล่าวถึงไปทั่วเมืองเหอเฟย และกำลังถูกพูดถึงในเมืองอื่น ๆ แม้กระทั่งต่างแคว้นก็ยังมีเช่นกันด้านหลี่ลู่เหอที่ได้รับจดหมายจากน้องสาวต่างสายเลือด ก็ร่ำร้องอยากได้รถบ้านของนางบ้าง แต่เขายังติดภารกิจไปทำการค้ายังแคว้นข้างเคียง อีกหนึ่งเดือนถึงจะกลับเมืองเชาหู หลี่ลู่เหอจึงตอบกลับจดหมายของจ้าวจางหมิ่นอย่างเสียดายการเติบโตจากวัยเด็กมิได้มีเพียงแค่จ้าวจางหมิ่น เพราะคนที่ถูกนางช่วยเหลือเอาไว้อย่างเสิ่นหนิงเทียน ก็เติบโตผ่านวัยสวมกวานกลายเป็นบุรุษ ที่ใบหน้าหล่อเหลาแม้ดวงตาจะเย็นชา และมีชื่อเสียงว่าเขาโหดเหี้ยมไร้ความปราณี แต่เขายังคงเป็นที่หมายปองของคุณหนูในห้องหอหลายคนหลังจากวันนั้นที่เสิ่นหนิงเทียนกลับสู่ตระกูลเสิ่น เขาเข้ารับการฝึกฝนอย่างหนักในค่ายทหารองครักษ์ของบิดา รวมถึงคนสนิททั้งสองที่พยายามเช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้านาย เสิ่นหนิงเทียนฝึกฝนอย่างหนัก ด้วยความมุ่งมั่นเกือบสองปีจึงสามารถเอาชนะเฉิงตูได้ และกลับไปสมัครเข้าร่วมกองทัพของแม่ทัพไป๋อีกครั้งเมื่อทดสอบผ่านและได้อยู่ในกองทัพนี้อีก
หลังจากชำระร่างกายเรียบร้อย เสิ่นหนิงเทียนจึงไปคารวะผู้เป็นปู่และย่า ที่เรือนอันซินของผู้เฒ่าทั้งสอง ซึ่งก็ได้รับคำชมอยู่นานกว่าจะปลีกตัวกลับเรือนของตน เพื่อพักผ่อนจากการเดินทางไกลเสียหน่อยแต่เสิ่นหนิงเทียนต้องสะดุดตา กับขวดยาที่สาวใช้นำออกมาและมันทำให้เขาคิดถึงเจ้าของสิ่งนี้ ที่มอบให้ก่อนออกเดินทางเมื่อหลายปีก่อน เขาจึงต้องหยุดสาวใช้ผู้นี้เอาไว้“เดี๋ยว พวกเจ้ากำลังนำสิ่งใดออกไปจากเรือนของข้ารึ มิใช่ว่าทำความสะอาดไปแล้วเหตุใดถึงได้กลับมาอีก”สาวใช้ที่ถือถาดใบนั้นซึ่งมีขวดยาอยู่ มีท่าทีกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด “เอ่อ คือว่าบ่าว ๆ ลืมทำความสะอาดตู้เก็บของเจ้าค่ะ จึงกลับมาทำความสะอาดอีกครั้ง พบว่ามีขวดยาเก่าเหล่านี้อยู่ก็เลยจะนำมันไปทิ้งเจ้าค่ะคุณชาย”เสิ่นหนิงเทียนจับพิรุธจากน้ำเสียงของสาวใช้ได้ เขาคิดว่าต้องมีอะไรมากกว่าเรื่องทำความสะอาดเป็นแน่ “เจ้าแน่ใจหรือว่าแค่กลับมาทำความสะอาด ขวดยานั่นถูกเก็บไว้อย่างดีมานานหลายปี ไม่เคยมีสาวใช้คนไหนกล้าแตะต้องมัน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า แต่เจ้ากลับคิดจะนำมันไปทิ้งงั้นหรือ ถ้าเจ้าไม่พูดความจริงวันนี้ในจวนโหว จะมีสาวใช้ตายเป็นคนแรกนั่นก็คือเจ
และแล้วเรื่องของแม่ทัพบูรพาคนใหม่ ก็ถูกเล่าลือไปทั่วเมืองหลวง ถึงเรื่องที่เขากราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ทำเอาหลานสาวของชิวเต๋อเฟย ไม่กล้าออกจากจวนไปพบปะสหาย เพราะนางเคยพูดจาโอ้อวดเอาไว้มาก ว่าจะได้เป็นฮูหยินของท่านโหวน้อยส่วนเจ้าตัวต้นเรื่องมิได้ให้ความสนใจ เขาพาคนสนิทไปยังค่ายทหารนอกเมือง เพื่อจัดการสะสางงานที่ค้างไว้ และยังต้องรับหน้าที่ฝึกทหารใหม่แทนแม่ทัพไป๋ ที่ต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บจึงไม่ค่อยได้กลับจวนมากนัก แต่ข่าวที่มีแม่สื่อมาสอบถามการหมั้นหมาย ยังมีองครักษ์ของบิดานำไปรายงานอยู่เสมอ‘จัดการหาสามีให้พวกนางซะ! หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ไม่ต้องนำมารายงานข้าเข้าใจหรือไม่’เพราะคำสั่งนี้ของเสิ่นหนิงเทียน ทำให้บุตรหลานตระกูลที่อยากเกี่ยวดอง ต่างทยอยจัดงานแต่งงานให้พวกนางเรื่อย ๆ จนผู้คนในเมืองหลวงยังแปลกใจ เนื่องจากไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนแต่ใครจะมีความสุขเท่าจ้าวจางหมิ่น เถ้าแก่เนี้ยของร้านอาหารและกิจการรถบ้าน ที่รับเงินเป็นกอบเป็นกำจากคำสั่งซื้อ หลังจากลูกค้าเศรษฐีของนางใช้รถบ้าน เดินทางไปทำการค้าตามเมืองต่าง ๆ รวมถึงแคว้นข้างเคียงกับแคว้นเฉิน เช่นครั้งนี
จ้าวจางหมิ่นพาทุกคนออกเดินทางอีกครั้ง และมาถึงเมืองหลวงตอนกลางยามเหม่า จึงได้ปลุกทุกคนให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวผ่านประตูเมือง ซึ่งเสิ่นหนิงเทียนใช้ป้ายประจำตำแหน่ง ในการเปิดทางให้จ้าวจางหมิ่น ขับพาหนะแปลกประหลาดเข้าเมืองหลวง โดยได้สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนที่พบเห็นอีกครั้งเมื่อรถตู้สีดำสนิทหยุดลงที่หน้าจวนเสิ่นอันโหว บ่าวที่เฝ้าหน้าประตูจวนจึงรีบวิ่งไปตามพ่อบ้านมาทันที“ไหน ๆ สิ่งแปลกประหลาดที่วิ่งได้ พวกเจ้าอย่าได้โกหกข้าเชียว”“ท่านพ่อบ้านข้าจะโกหกไปทำไมกัน ก็เจ้านั่นมันหยุดอยู่หน้าจวนจริง ๆ นะขอรับ”พ่อบ้านเสิ่นเมื่อวิ่งตามบ่าวออกมา ก็พบเสิ่นหนิงเทียนยืนอยู่กับจ้าวจางหมิ่น “คารวะคุณชาย ๆ ที่แท้เป็นท่านเองหรือนี่ บ่าวคิดว่าเจ้าพวกนี้โกหกเสียอีก เอ่อ คุณหนูผู้นี้คือ?”“นางก็คือนายหญิงจ้าวคู่หมั้นของข้าเอง และเป็นเจ้าของสีทาบ้านที่งดงามอย่างไรเล่า”“โอ้ว คารวะนายหญิงจ้าวขอรับ เชิญคุณชายกับนายหญิงจ้าวที่โถงรับแขกเถิด ป่านนี้นายท่านกับฮูหยินคงรู้เรื่องนี้ จากพวกสาวใช้ในจวนแล้วขอรับ”“อืม หมิ่นเอ๋อร์เข้าไปพักด้านในก่อนเถิด เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อยเพราะขับเจ้ารถนี่เพียงลำพัง”“เจ้าค่ะพี่ชายเสิ่
ณ เมืองหลวงแคว้นเฉินภายหลังสินค้าจำนวนมากบนรถบรรทุก ที่สามารถมาถึงเมืองหลวงได้ในเวลาอันรวดเร็ว ก็ได้สร้างปรากฏการณ์แตกตื่นขึ้น เนื่องจากรถบรรทุกไม่สามารถเข้าประตูเมืองได้ จึงต้องจอดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ภายนอกกำแพงเมือง โดยหยางไห่รับหน้าที่เข้าไปรายงานต่อเสิ่นฮูหยินที่จวนเสิ่นอันโหวรู้สึกแปลกใจมากกับเรื่องนี้ เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่สินค้าจากเมืองชายแดน จะมาถึงเมืองหลวงได้รวดเร็วในเวลาไม่กี่วัน จึงได้ตามเสิ่นฮูหยินออกมาดูด้วยตาตนเอง ว่าที่หยางไห่บอกกับพวกเขานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่เมื่อหยางไห่พาเสิ่นอันโหวและเสิ่นฮูหยิน ออกมาเจอกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทำเอาทั้งสองคนตกตะลึงพูดอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่เป็นเสิ่นฮูหยินที่เรียกสติของตนกลับมาได้“หยางไห่เจ้าบอกว่าสินค้าที่อยู่บนรถ รถอะไรนะ?”“อ้อ นายหญิงเรียกมันว่ารถบรรทุกขอรับเสิ่นฮูหยิน” หยางไห่ตอบตามที่เขาจดจำมาจากคำพูดของจ้าวจางหมิ่น“ชะ ชะ ใช่เจ้ารถบรรทุก สินค้าที่ต้องส่งเข้าวังหลวงทั้งหมด อยู่บนหลังรถบรรทุกตรงหน้านี้ และนี่เป็นสิ่งที่หมิ่นเอ๋อร์จัดการด้วยตนเองงั้นรึ”หยางไห่ยืดอกตอบอย่างฉะฉาน “ถูกต้องแล้วขอรับเสิ่นฮูหยิน นายหญิงขอ
คำสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากของเสิ่นฮูหยิน ถูกส่งผ่านนกพิราบสื่อสารของร้านอาหารหงอวิ้นไหล ซึ่งคำสั่งซื้อนี้มาถึงจวนตระกูลจ้าวแห่งเหอเฟย ขณะที่จ้าวจางหมิ่นกำลังสอนลูกจ้าง ฝึกทำปอเปี๊ยะทอดสำหรับเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ที่จะทำขายเพิ่มในร้านอาหารของนางเซิ่งปินที่ดูแลความเรียบร้อยของเรือนใหญ่ เมื่อเห็นนกพิราบบินมาเกาะยังกิ่งไม้ต้นเดิม ก็เดินไปหยิบจดหมายจากกระบอกไม้เล็ก ๆ และนำมามอบให้จ้าวจางหมิ่นยังห้องครัว“นายหญิงขอรับ มีจดหมายจากเมืองหลวงเพิ่งมาถึงที่นี่ขอรับ”จ้าวจางหมิ่นรับมาเปิดอ่านด้วยท่าทางปกติ แต่เพียงชั่วพริบตาก็เริ่มตาโตจากข้อความในจดหมาย “โอ้ว! แม่เจ้า เงินทองไหลมาเทมาหาพวกเราได้ทุกวันสิน่า”คนที่ทนไม่ไหวมากที่สุดคงหนีไม่พ้นสาวใช้ทั้งสอง และฮุยอินจึงถามเพื่อคลายความสงสัยแทนทุกคน “นายหญิงเจ้าคะ ที่ท่านพูดมาหมายความว่าเช่นไรหรือเจ้าคะ ท่านถึงดูตกใจและดีใจในเวลาเดียวกันเช่นนี้”จ้าวจางหมิ่นเงยหน้ามองทุกคนในห้องครัว ที่เฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “นี่เป็นจดหมายจากมารดาของพี่ชายเสิ่น บอกเอาไว้ว่าฮ่องเต้ทรงต้องการสีทาบ้านจำนวนหนึ่งหมื่นถังเจ้าค่ะ”“ห๋า!! หนึ่งหมื่นถัง!!”หย่างไห่ถึงกับละล่ำ
การเปิดกิจการสีทาบ้านของจ้าวจางหมิ่นครั้งนี้ มิได้มีการจัดงานหรือจุดประทัดให้เสียงดังแต่อย่างใด นางเพียงอาศัยร้านอาหารเป็นตัวอย่างสินค้า และการตอบคำถามของเหล่าลูกจ้าง เมื่อมีลูกค้าในร้านอาหารสอบถามเท่านั้นเพียงเท่านี้ก็มีลูกค้ามาต่อแถวซื้อสีทาบ้าน จนพ่อบ้านห้าวต้องให้เหล่ยหง รวมถึงลูกจ้างอีกหลายคนในจวน ออกมาช่วยกันจัดระเบียบแถวของลูกค้า เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ในวันแรกที่เปิดขายสีทาบ้าน จ้าวจางหมิ่นได้กำไรถึงหลักพันตำลึงทองหนิงอวี่ที่ได้ช่วยนายหญิงของตนทำบัญชี ยังอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “โอ้ว นายหญิงเจ้าคะบ่าวมิได้คิดเลขผิดใช่หรือไม่ เพียงแค่ท่านเปิดขายสีทาบ้านวันแรก จากการพูดปากต่อปาก ก็ได้กำไรมากมายเช่นนี้แล้วนะเจ้าคะ”ฮุยอินที่นับทั้งก้อนเงินและตั๋วเงิน เพื่อให้ตรงกับบัญชีรายรับในมือของสหาย ยังคงมีอาการตื่นเต้นดีใจไม่หาย “นั่นสิเจ้าคะนายหญิง นี่ท่านเพิ่งขายให้คนในเมืองเหอเฟยเท่านั้น ยังได้กำไรหลักพันตำลึงทองแล้ว บ่าวไม่อยากจะคิดเลยว่าเมื่อสีทาบ้านไปถึงเมืองหลวง เหล่าขุนนางหรือคนที่ฐานะร่ำรวยไม่มีทางที่จะไม่อยากได้นะเจ้าคะ คงมีคนสั่งซื้อสินค้าชนิดนี้จำ
เรื่องการลงโทษสาวใช้ของเสิ่นหนิงเทียน บ่าวไพร่ในจวนปิดปากเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าพูดหรือนำไปเล่าต่อแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขายังอยากมีชีวิต ทำงานแลกเงินส่งให้ครอบครัวและก่อนจะแยกย้ายกันเพื่อพักผ่อน จ้าวจางหมิ่นจึงบอกเสิ่นหนิงเทียนว่า นางมีเรื่องอยากพูดคุยกับเขาเล็กน้อย “พี่ชายเสิ่นเจ้าคะ รบกวนท่านอยู่พูดคุยกับข้าสักประเดี๋ยวเถิดเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นว่ายังไม่ดึกมากเสิ่นหนิงเทียนจึงนั่งลงที่เดิม “ได้สิ ว่าแต่หมิ่นเอ๋อร์มีเรื่องอันใดจะคุยกับพี่งั้นหรือ”“ไม่มีอันใดมากหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่มีของมอบให้ท่านเล็กน้อย เพื่อขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์ยกปิ่นปักผมให้ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นของมีค่ากับท่านมาก ข้าจึงอยากตอบแทนสิ่งที่คล้ายกันกลับไปให้ท่านบ้างเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นพูดจบก็หันไปรับกล่องไม้ ที่หนิงอวี่กลับไปหยิบจากในห้องพักมาให้นางเสิ่นหนิงเทียนมองกล่องไม้ในมือบาง พร้อมกับเลิกคิ้วเข้มด้วยความอยากรู้ ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นคืออันใดกันแน่ “เจ้านำสิ่งใดมาให้พี่เช่นนั้นหรือ ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นสิ่งของชิ้นใด ล้วนไม่สำคัญเท่ากับเจ้าหรอกนะหมิ่นเอ๋อร์”“ท่านรับไว้เถิดเจ้าค่ะ เพราะข้าตั้งใจมอบให้ท่านจริง ๆ”
หลังจากเห็นว่าจ้าวจางหมิ่นนอนหลับสนิท เสิ่นหนิงเทียนย้อนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง เพื่อจัดการกับพวกหมิงเฉียว แต่เขากลับพบกับความว่างเปล่า คนตั้งมากมายกลับหายไปอย่างไร้ร่อยรอย แม้แต่เลือดสักหยดยังไม่มีให้เห็น “เป็นไปได้อย่างไรกัน? คนหลายสิบคนหายไปพร้อมกัน ใครจะมีความสามารถจัดการได้รวดเร็วเช่นนี้”เสิ่นหนิงเทียนจึงเดินกลับด้วยความงุนงง และมีข้อสงสัยมากมายอยู่ในใจของเขา ว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้ เป็นฝีมือของคนหรือภูตผีปีศาจกันแน่ เสิ่นหนิงเทียนรู้สึกเสียดายไม่น้อย ที่คนของตนกลับนอนหลับสนิท ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาสักนิด มิเช่นนั้นเขาคงได้รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใดเมื่อยามเช้ามาถึงภายหลังจัดการเรื่องอาหารมื้อเช้า ทุกคนช่วยกันเก็บของทั้งหมดเพื่อเดินทางต่อ โดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอันใดอีก ครั้งนี้ใช้เวลาเดินทางกลับเร็วกว่าเล็กน้อย แต่พวกเขามาถึงเมืองฟู่ชิงในเขตชายแดนแคว้นเฉิน ก็เข้าสู่ปลายยามเซินแล้ว เสิ่นหนิงเทียนไม่อยากให้จ้าวจางหมิ่นเดินทางยามค่ำคืน จึงได้เชิญนางพักเสียที่จวนของตน“หมิ่นเอ๋อร์ตอนนี้ใกล้จะมืดค่ำเข้าไปทุกที เจ้ากับคนอื่น ๆ พักเสียที่จวนของพี่เถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับเมืองเหอเฟยจะดีกว
หมิงเฉียวพาคนที่เถ้าแก่หนานเลี้ยงไว้ห้าสิบคน ออกเดินทางเพื่อตามจ้าวจางหมิ่นให้ทัน ขบวนเดินทางเล็ก ๆ ของหมิงเฉียวก็ขี่ม้าออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงต้องพยายามเร่งฝีเท้าม้า เพิ่มความเร็วให้มากขึ้นจะได้ตามไม่ห่างจนเกินไปเมื่อออกจากเมืองเชาหูได้ครึ่งทาง จ้าวจางหมิ่นได้รับข้อความจากระบบอีกครั้ง [ติ๊ง มีภารกิจด่วนแลกเงินรางวัลหนึ่งแสนตำลึงทองไม่ทราบว่าท่านจะรับภารกิจนี้หรือไม่]ห๋า! ทำไมครั้งนี้เงินรางวัลถึงมากเช่นนี้เล่า นี่ระบบภารกิจด่วนของเจ้าคงไม่ได้ให้ไปฆ่าคนหรอกนะ[ท่านไม่ต้องลงมือฆ่าคนพวกนั้นเอง เพราะอีกโลกหนึ่งที่ห่างไกลจากที่นี่ ต้องการแรงงานจำนวนมาก ท่านแค่คิดหาวิธีให้คนกลุ่มนี้มีชีวิต ส่วนที่เหลือระบบจะจัดการเก็บกวาดเอง]โอ้โห! แค่ไม่ต้องถึงตายแล้วยังได้เงินถึงหนึ่งแสนตำลึง ใครไม่รับทำก็โง่เต็มทีกระมัง ตกลง! ข้ารับทำภารกิจด่วนนี้ของเจ้านะระบบ ว่าแต่จะให้ข้าลงมือกับใครและเมื่อใดรึ[อีกสองชั่วยามพวกท่านต้องหาที่พักกันแล้ว ด้านหลังพวกท่านมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังตามมา และที่สำคัญคนพวกนั้นมิได้มีเจตนาดี ท่านหยุดพักให้คนพวกนั้นตามมาทัน แล้วค่อยลงมือยามค่ำจะดีที่สุด]นี่พวกข้าถูกคนส
หลังจากส่งหลัวเซิ่งอ๋องกลับจวนเจ้าเมืองแล้ว นายท่านหลี่ให้บุตรชายพาจ้าวจางหมิ่นไปพบที่ห้องทำงาน เพื่อบอกเรื่องที่หลัวเซิ่งอ๋องสนใจกับนาง เผื่อว่ากิจการใหม่ของจ้าวจางหมิ่นจะเปิดขายเร็วขึ้นจ้าวจางหมิ่นที่ยังมีเสิ่นหนิงเทียนตามติด ขึ้นมาพบนายท่านหลี่ที่อยู่รอนางเพียงลำพัง “ท่านลุงหลี่ให้พี่ชายหลี่ไปตามข้า มีเรื่องอันใดเกี่ยวกับร้านอาหารหรือไม่เจ้าคะ”“มาแล้วหรืออาหมิ่น ที่ลุงอยากพบเจ้ามิใช่เรื่องร้านอาหารหรอก แต่เป็นเรื่องของสีทาบ้านของเจ้าต่างหากเล่า” นายท่านหลี่บอกนางไปตามตรง“หืม สีทาบ้านของข้าทำไมหรือเจ้าคะ?”เสิ่นหนิงเทียนคาดว่าสินค้าของจ้าวจางหมิ่น คงจะมีคนสนใจจึงสอบถามผ่านนายหลี่เป็นแน่ “เรื่องที่นายท่านหลี่พูดถึงข้าขอเดาว่า สีทาบ้านที่ช่วยให้ผนังเหล่านี้งดงามได้ คงเป็นที่ถูกใจลูกค้าที่มาร่วมงานวันนี้ถูกต้องหรือไม่”“ท่านแม่ทัพเสิ่นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว สินค้าใหม่ของอาหมิ่นมีคนอยากได้มากมายเชียวล่ะ รวมถึงท่านอ๋องที่อยากจะเจรจาซื้อสินค้านี้กับเจ้า เพราะอยากนำไปปรับปรุงตำหนักที่เมืองเจินโจว และเอาใจพระชายากับซื่อจื่อน่ะ” แม้แต่ตัวนายท่านหลี่ก็อยากได้ไปทาที่จวนเช่นกันจ้าวจางหมิ่นเพิ่
เมื่อการปรับปรุงร้านเสร็จเรียบร้อย การทาสีก็เริ่มขึ้นทันทีเพื่อให้ทันการเปิดร้าน ซึ่งการทาสีในครั้งนี้เรียกความสนใจได้มาก มีชาวบ้านพ่อค้าเร่หรือแม้แต่เหล่าเศรษฐีมายืนมองจำนวนมาก เหล่าทหารที่มากับหลัวเซิ่งอ๋องยังหยุดมอง ว่าคนงานเหล่านี้กำลังทำให้ผนังของร้านค้าทั้งด้านในและด้านนอกเปลี่ยนสีมีคนอยากรู้เกี่ยวกับเจ้าสิ่งใหม่นี้มากมาย แต่พวกเขาไม่รู้ว่าควรไปถามกับผู้ใด พวกเขารู้แค่เพียงว่าเจ้าของร้านคือตระกูลหลี่ อาจจะต้องรอจนกว่าร้านอาหารจะเปิดอีกครั้ง ถึงจะหาทางสอบถามเรื่องนี้จากลูกจ้างในร้านได้หนึ่งวันก่อนที่จะเปิดร้านอาหารอีกครั้ง จ้าวจางหมิ่นเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อย การจัดวางโต๊ะเก้าอี้รวมถึงการตกแต่งร้าน โดยมีเสิ่นหนิงเทียนเดินตามนางทุกฝีก้าว มีเพียงเขาที่สนใจเพียงจ้าวจางหมิ่น ส่วนคนอื่น ๆ ที่ติดตามมาจากตระกูลหลี่ พวกเขาให้ความสนใจเรื่องสีทาผนัง เพราะยามนี้ร้านอาหารของพวกเขานั้นโดดเด่นมากหลี่ซู่เฟิงที่อายุไล่เลี่ยกับเสิ่นหนิงเทียน ยังเสียอาการเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของร้านอาหาร “ขะ ขะ ข้าไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลย ว่าสีทาบ้านที่คุณหนูจ้าวนำมานั้น จะช่วยให้ผนังสีเก่า ๆ กลายเป็นผนังที