บทที่ 57 ข้าไม่ยอมแพ้หลังจากฟางซินเย่เดินออกจากท้องพระโรงไป ความตึงเครียดก็เข้ามาปกคลุมท้องพระโรงอย่างแน่นหนา โจวจางเย่วยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าขาวซีดแสดงความขุ่นเคืองที่ถูกกดไว้ด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นมาในใจของเขา ก่อนที่โจวอี้เสวียนจะกล่าวอะไรออกมา โจวจางเย่วก็ยกมือขึ้นหยิบจานหมึกที่ตั้งอยู่ด้านข้าง พร้อมเขวี้ยงมันลงกับพื้นตรงหน้าของเขาอย่างแรง จานหมึกกระแทกกับพื้นกระเบื้องเคลือบเสียงดัง “เพล้ง” ก่อนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ กระจายไปทั่ว“เจ้าลูกชั่ว...เจ้ากล้าหลอกข้าหรือ" โจวจางเย่วตวาดเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง ความโกรธเคืองนั้นท่วมท้นทุกอณูในเสียงของเขาโจวอี้เสวียนยังคงยืนตระหง่านอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้าน สายตาเย็นชาจ้องมองหน้าโจวจางเย่วด้วยความแข็งกร้าวไม่มีความหวาดหวั่นหรือเกรงกลัวแม้แต่น้อย ริมฝีปากบีบเม้มเข้าหากันอย่างแน่นอย่างนึกขัดเคืองใจ“เสด็จพ่อ ท่านคงไม่ลืมที่รับปากข้าไว้" โจวอี้เสวียนพูดออกมาด้วยเสียงอันทุ้มต่ำแต่แฝงความหนักแน่นและจริงจังโจวจางเย่วฟังคำพูดของบุตรชายแล้วถึงกับนึกเอือมระอา ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นในทันใด โจวอี้เสวียนเป็นบุตรชายที่เ
บทที่ 58 พบกันที่อารามหลังจากที่ฟางซินเย่กลับออกจากวังหลวง เขาก็มุ่งหน้ารีบเร่งกลับจวนของตนอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่สาวเท้าก้าวเดินเข้ามาภายในจวนด้วยท่าทางที่รู้สึกอึดอัดและลำบากใจอย่างยิ่ง ความกังวลฉายออกมาบนใบหน้าของเขาอย่างเด่นชัด คิ้วทั้งสองขมวดย่นอย่างคนที่ใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลาฟางซินเย่หันไปมองโดยรอบจวนซึ่งดูเงียบสงบจนผิดสังเกต เขาหันซ้ายหันขวาอย่างนึกหวาดหวั่นในใจด้วยเกรงจะเกิดเรื่องร้ายอันใดขึ้นมาพ่อบ้านรีบเดินตรงเข้ามาต้อนรับอย่างท่วงที “คารวะนายท่าน ฮูหยินพาเฉินเม่าและเสี่ยวม่านไปไหว้พระที่อารามขอรับ ซินหยวนจงก็ติดตามไปดูแลด้วยเช่นกัน” เขารีบรายงานให้ฟางซินเย่ได้ฟังอย่างรู้ใจ เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของฟางซินเย่ฟางซินเย่พยักหน้ารับ "เช่นนั้นหรือ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ”พ่อบ้านโค้งตัวรับอย่างนอบน้อม แต่กลับไม่ยอมล่าถอยออกไป พ่อบ้านแสดงท่าทีอึกอักออกมาอย่างเห็นได้ชัด“เจ้ามีอะไรก็ว่ามา” ฟางซินเย่ถามออกไปอย่างจับสังเกต“เรียนนายท่าน ก่อนหน้านี้ในระหว่างที่นายท่านไม่อยู่ที่จวน ท่านอ๋องได้ส่งเทียบเชิญฮูหยินไปที่จวนอ๋อง แต่เพราะฮูหยินไหวตัวทันจึงรอดพ้นออกมาได้ แต่ท่านอ๋องกลับส่งเทียบค
บทที่ 59 ขอโอกาสอีกครั้งหลังจากไต้ซือป๋อหยวนเดินจากไปแล้ว โจวหนานเอ๋อร์ก็ขยับกายหันมาเพ่งมองฮวาอิงหลง หญิงสาวหน้าตางดงามตรงหน้าคนนี้กระมังที่ทำให้น้องชายและหลานชายของตนมีปากเสียงกันวันนี้ สายตาจ้องมองอย่างพิจารณาก่อนจะยิ้มอ่อนออกมาอย่างนึกปลงในใจ“เอาละเช่นนั้นพวกเจ้าก็อยู่คุยกันไปพลางก่อน ข้าจะเข้าไปสวดมนต์ด้านใน” โจวหนานเอ๋อร์กล่าวออกมาก่อนจะไม่ลืมหันมามองเฉินเม่าอีกครั้งอย่างนึกเอ็นดู นางรู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก “เจ้าช่วยพยุงข้าไปด้านในได้หรือไม่” โจวหนานเอ๋อร์โพล่งออกมาฮวาอิงหลง เฉินเม่าและเสี่ยวม่านมองหน้ากันไปมาอย่างนึกแปลกใจ ก่อนที่เฉินเม่าจะย่อกาย แล้วเดินเข้าไปประคองโจวหนานเอ๋อร์อย่างนอบน้อม “รบกวนเจ้าแล้ว” โจวหนานเอ๋อร์พูดพร้อมยกมือขึ้นตบที่มือของเฉินเม่าเบาๆเฉินเม่าประคองโจวหนานเอ๋อร์เดินตรงเข้าไปภายในอาราม นางสัมผัสถึงความเมตตาและความอ่อนโยนที่ได้จนทำให้เฉินเม่าถึงกับยิ้มกว้างออกมาอย่างยากจะอธิบายทางด้านฮวาอิงหลงที่รู้สึกอึดอัดใจอยู่ก่อนแล้ว นางจึงพยายามขอตัวเพื่อหาทางหลบเลี่ยงโจวอี้เสวียน“เช่นนั้นท่านอ๋อง...ข้าขอตัวลากลับก่อนเจ้าค่ะ” ฮวาอิงหลงรีบย
บทที่ 60 โจวหนานเอ๋อร์ในขณะเดียวกันที่ห้องพระภายในอาราม โจวหนานเอ๋อร์นั่งคุกเข่าต่อหน้าองค์พระพุทธรูป ดวงตาที่เคยเด็ดเดี่ยวกลับดูเศร้าหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด บัดนี้มีแต่น้ำตาที่รินไหลอาบลงบนสองแก้มไม่หยุด "ข้าเพียงขอให้ได้พบลูกของข้าอีกครั้ง..." โจวหนานเอ๋อร์ภาวนาออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ปลายมือที่พนมอยู่ตรงอกสั่นไหวไปตามแรงสะอื้น นานแค่ไหนกันที่นางได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้ฟ้าดินช่วยเมตตานางสักครั้ง แต่ดูเหมือนฟ้าดินจะไม่เคยได้ยินเสียงอ้อนวอนของนางเลยสักนิดภายในห้องพระที่เต็มไปด้วยแสงสลัวจากเทียนที่จุดอยู่รอบห้อง กลิ่นหอมของธูปยากำจายไปทั่ว โจวหนานเอ๋อร์นั่งอยู่ในความเงียบงันที่หนักอึ้ง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ท่วมท้น นางเคยเป็นหญิงสาวที่มีเพียบพร้อมและชีวิตชีวา หากกล่าวว่าหญิงใดในแคว้นที่สามารถสมหวังในทุกสิ่งก็คงไม่พ้นโจวหนานเอ๋อร์ พระราชธิดาของฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นแน่ แต่ทว่าบัดนี้ความทุกข์แสนสาหัสที่นางต้องเผชิญทำให้จิตใจของนางแทบแตกสลายลงจนไม่เหลือชิ้นดีโจวหนานเอ๋อร์ นางเป็นพระราชธิดาองค์โปรดของฮ่องเต้องค์ก่อนอีกทั้งยังเป็นพี่สาวร่วมอุทรกับโจวจางเย่ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอ
บทที่ 61 เฉินเฉียวเหยาภายในห้องเรือนนอนของจวนแม่ทัพ ฮวาอิงหลงนั่งลงอยู่ตรงโต๊ะกลางของห้อง ใบหน้าของนางซีดขาวเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้าและความครุ่นคิดที่ไม่อาจปล่อยวางลงได้ สายตาของนางจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย ดวงตาฉายแววความวิตกกังวลใจอย่างหนัก ฮวาอิงหลงเพิ่งกลับมาจากอารามได้ไม่นาน หลังจากที่ได้พบกับโจวอี้เสวียนในวันนี้ ภายในใจของนางยังคงว้าวุ่นอย่างไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดต่อไปฟางซินเย่เดินตรงเข้ามาภายในเรือน เขากลับพบว่าฮวาอิงหลงยังคงนั่งเหม่อลอยอย่างไม่รับรู้ว่าเขาอยู่ตรงด้านหน้าแล้ว ฟางซินเย่เพ่งมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความวิตกกังวลไม่ต่างกันสักเท่าใดนัก เขาค่อยๆ หย่อนกายนั่งลงตรงด้านข้างของนาง พร้อมยกมือขึ้นกอบกุมมือบางเอาไว้แน่น“ท่านพี่ ท่านเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ” ฮวาอิงหลงร้องทักออกมาเมื่อรู้สึกตัวขึ้น“ข้าเข้ามาได้สักครู่ใหญ่แล้ว เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ เหตุใดจึงดูเหม่อลอยเช่นนี้” ฟางซินเย่เอ่ยถามเมื่อเห็นนางดูเหนื่อยล้า“ไม่มีเรื่องอันใดหรอกเจ้าคะ วันนี้ข้าไปอารามเพื่อไหว้พระและพูดคุยกับไต้ซือป๋อหยวน จึงบังเอิญได้พบกับท่านอ๋องอี้เสวียนและท่านหญิงหนานเอ๋อร์เจ้าค่ะ” ฮวาอิง
บทที่ 62 ฮูหยินรองเมื่อถึงฤกษ์พิธี แม่สื่อค่อยๆ ประคองเจ้าสาวลงจากเกี้ยวอย่างทะนุถนอม ก่อนจะค่อยๆ พาเดินไปตามทาง แต่เมื่อครั้นเดินเข้าไปภายในจวน แม่สื่อถึงกับตกตะลึงเมื่อภายในจวนกลับมิได้มีการเตรียมการใดๆ ทั้งสิ้นแม่สื่อมองหน้าพ่อบ้านด้วยความแปลกใจปะปนกับสายตาที่ตำหนิติเตียน หากแต่พ่อบ้านกลับยังคงมีท่าทีเรียบเฉยประหนึ่งมิได้สนใจต่อท่าทีดังกล่าวพ่อบ้านหยิบซองสีแดงจากภายในเสื้อยื่นให้แม่สื่ออย่างพอเป็นพิธี ก่อนจะหันไปบอกสาวใช้ด้านข้าง “เจ้าพาแม่นางเฉินไปพักผ่อนที่เรือนหนิงหลงเสียเถิด”แม่สื่อชะงักค้างก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทีดุดัน “เจ้าช่างสามหามยิ่งนัก คุณหนูเฉินแต่งเข้ามาภายในจวนเหตุใดจึงมิจัดเตรียมพิธีการให้เรียบร้อย”เฉินเฉียวเหยาได้ยินคำกล่าวของแม่สื่อก็ตกตะลึงอย่างมาก ดวงตาสั่นไหวเต็มประกายไปด้วยความโกรธเคือง นางไม่คิดว่าจะได้รับการลบหลู่เกียรติมากถึงเพียงนี้“นายท่านได้จัดเรือนพักให้แม่นางเฉินเป็นที่เรียบร้อย ส่วนพิธีการ...” พ่อบ้านเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยออกมา “นายท่านเห็นว่าไม่มีความจำเป็น”สิ้นคำพ่อบ้าน เฉินเฉียวเหยาแทบจะลมจับ ร่างบางถึงกับซวนเซจนหลงหว่าน สาวใช้อาวุโสถึงกับ
บทที่ 63 ไร้ตัวตนในยามเช้าของวันขณะที่ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงกำลังนั่งทานอาหารร่วมกันอยู่นั้น เฉินเฉียวเหยาก็ก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องอย่างถือวิสาสะ นางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีชมพูสด เนื้อผ้าชั้นดีที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีตบรรจงถูกสวมใส่อย่างพิถีพิถัน ท่วงท่าก้าวเดินอย่างเชื่องช้าอ่อนช้อยเฉกเช่นคุณหนูสูงศักดิ์ที่ถูกขัดเกลามาตั้งแต่วัยเยาว์ ใบหน้าขาวนวลแต่งแต้มด้วยชาดสีแดงรับกับริมฝีปากอิ่มที่ยิ้มแย้มอ่อนหวาน ท่าทางเรียบร้อยแลดูสงบเสงี่ยมเจียมตัวแต่ทว่านัยน์ตากลับฉายแววเจ้าเล่ห์เย่อหยิ่งปนถือดีฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองเฉินเฉียวเหยาโดยไม่พูดสิ่งใดออกมา นางทำเพียงยกยิ้มบางขึ้นที่มุมปากอย่างคนรู้ทัน“คารวะท่านพี่ คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยาย่อกายเคารพด้วยท่าทางสุภาพอ่อนหวาน นางปรายตาหวานฉ่ำขึ้นมองฟางซินเย่อย่างต้องการความสนใจ เช้านี้เฉินเฉียวเหยาลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัวแต่เช้าตรู่ นางมั่นใจว่าความสวยงามที่นางมีย่อมต้องดึงดูดใจบุรุษทั้งหลายไม่พ้นแม้แต่แม่ทัพฟางซินเย่เป็นแน่ฮวาอิงหลงเพ่งมองเฉินเฉียวเหยา หญิงสาวคนดังกล่าวช่างคุ้นตานางยิ่งนัก เป็นเสี่ยวม่านที่เข้ามากระซิบบอกด้วยน้ำเสียงอันแ
บทที่ 64 เล่ห์กลนี้ใช้กับข้าไม่ได้ช่วงบ่ายของวันฮวาอิงหลงกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาภายในสวนโดยมีเสี่ยวม่านคอยปรนนิบัติอย่างรู้ใจ นางนึกย้อนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง“คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” เสี่ยวม่านถามออกมาด้วยความห่วงใย“ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย “เจ้าค่ะ” เสี่ยวม่านรีบย่อกายพร้อมถอยหลังออกไปอย่างไม่ต้องการรบกวนนายหญิงของตนอีกฮวาอิงหลงนั่งปล่อยความคิดได้เพียงสักครู่หนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงหวานดังขึ้นมา “เหยาเอ๋อร์คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยาเดินเข้ามาหาภายในศาลาพร้อมย่อกายคำนับฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นางก็มิได้คิดจะหนีหน้าแต่อย่างใด“เชิญนั่งสิ แม่นางเฉิน”" ฮวาอิงหลงเอ่ยเบาๆ พร้อมผายมือให้เฉินเฉียวเหยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเฉินเฉียวเหยาปั้นหน้ายิ้มหวาน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญ “ข้ามาอยู่ที่นี่รู้สึกเหงายิ่งนัก หากได้พูดคุยกับสหายเก่าเช่นท่านคงคลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง” เฉินเฉียวเหยากล่าวออกมาอย่างสนิทสนมดั่งเช่นพวก
บทที่ 72 เริ่มต้นวันใหม่ค่ำคืนอันเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่รอบจวนลอยมาแตะจมูก ภายในห้องนอนใหญ่ท่ามกลางแสงสลัวนั้น ฟางซินเย่นอนมองหน้าฮวาอิงหลงนอนคุดคู้อยู่บนเตียง นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบบนใบหน้าที่ผุดผาดฮวาอิงหลงยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นสายตาของฟางซินเย่ที่มองมาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่ไม่อาจซ่อนเร้น“อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่ยื่นมือขึ้นลูบไล้ไปตามลำแขนขาวก่อนจะไล่ลงมาตามลำตัวจนกระทั่งถึงหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา “พ่อเจ้าต้องการแม่เจ้าเหลือเกิน เจ้าอนุญาตหรือไม่” ฟางซินเย่เพ้อออกมาด้วยเสียงกระเส่า เขาพูดไปพลางปรายตามองฮวาอิงหลงด้วยสายตากรุ้มกริ่มฮวาอิงหลงยิ้มเขินออกมาอย่างรู้ทัน นางโน้มตัวขึ้นเกยบนร่างหนาของฟางซินเย่ในทันที สองมือของฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นคร่อมตัวเขาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงจะกระทบถึงบุตรในท้องฟางซินเย่หยัดกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมสองมือที่ยังคงลูบไล้ไปตามหน้าอกอิ่มนูนของฮวาอิงหลงอย่างหลงใหล ลมหายใจเริ่มติดขัดขึ้นมาพร้อมกับปากที่เป่าลมร้อนออกอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ฮว
บทที่ 71 อำลาเมืองหลวงเสียงกลองและแตรสัญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณลานวังหลวง ขันทียกราชโองการขึ้นประกาศ “ฮ่องเต้มีราชโองการ ด้วยบุญบารมีของราชวงศ์โจวทำให้เชื้อพระวงศ์กลับคืนสู่ราชวงศ์ ข้าขอแต่งตั้งฟางซินเย่เป็นองค์ชายโจวซินเย่ แต่งตั้งฮวาอิงหลงเป็นพระชายาอ๋อง และแต่งตั้งเฉินเม่าเป็นองค์หญิงโจวเหยาหยาง จบราชโองการ” ฟางซินเย่โน้มรับราชโองการด้วยใบหน้าเรียบสงบ เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผยอยู่ในที ในขณะที่ฮวาอิงหลงและเฉินเม่ากลับแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ จากสาวใช้ในจวนแม่ทัพคนหนึ่งได้เป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนได้เป็นพระชายาอ๋องช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักหลังเสร็จสิ้นการประกาศแต่งตั้งเฉินเม่าก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จวนโจวหนานเอ๋อร์ ผู้เป็นมารดาของนาง ทว่าสำหรับฟางซินเย่นั้นกลับเลือกที่จะขอพำนักที่จวนแม่ทัพตามเดิมโจวหนานเอ๋อร์แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของบุตรชาย นางจึงเพียงกำชับฮวาอิงหลงให้หมั่นไปเยี่ยมเยียนตนที่จวนให้บ่อยครั้งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงเดินทางไปยังจวนฉางกงจู่ โจวหนานเอ๋อร์และเฉ
บทที่ 70 ลูกของข้าราชโองการถูกประกาศปล่อยตัวฟางซินเย่ในวันต่อมาโดยทันที ในที่สุดฟางซินเย่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายวันเมื่อฟางซินเย่ได้รับอิสรภาพ เขาก้าวออกจากคุกด้วยความมุ่งมั่นและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงฮวาอิงหลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความถวิลหานาง ดั่งว่านี่คือการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของชีวิตเขา“อิงเอ๋อร์...ข้าไม่ยอมสูญเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” ฟางซินเย่กล่าวกับตนเองขณะที่ก้าวขึ้นม้าด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเมื่อฟางซินเย่ถึงจวนอ๋อง เขาปรี่ตรงเข้าไปหาโจวอี้เสวียนในทันที สองมือกุมคอเสื้อของโจวอี้เสวียนอย่างไม่นึกหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไป ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่มี พร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกัดฟันกรอด “อิงเอ๋อร์...อยู่ที่ใด”โจวอี้เสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่พรากหัวใจของหญิงสาวคนรักของตนไปทำให้เขานึกครึ้มอย่างจะกลั่นแกล้งฟางซินเย่อีกสักหน่อย โจวอี้เสวียนยิ้มเยาะขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ...เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วยเล่า”คำพูดยียวนทำเอาฟางซินเย่ถึงกับบันดาลโทสะ เขาง้างมือขึ้นเตรียมจะชกหน้าโจวอี้เสวียน แต่องครักษ์ข้างกายของโจวอ
บทที่ 69 ฝืนยอมรับในท้องพระโรงที่โอ่โถง บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน โจวจางเย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โจวอี้เสวียนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอย่างดุดัน“อี้เสวียน...เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อสตรีนางเดียวอย่างนั้นหรือ” โจวจางเย่วชี้นิ้วไปยังโจวอี้เสวียนด้วยความเกรี้ยวกราดโจวอี้เสวียนยืนนิ่งเงียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงทำสิ่งใด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องหาทางของข้าเอง”“เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก” โจวจางเย่วแค่นเสียงออกมาด้วยความขัดเคืองใจ “ความรักของเจ้าทำให้เจ้าลืมเลือนความเป็นบุตรหลานแห่งราชวงศ์แล้วหรือ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามีสถานะเช่นใด เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้วันหน้าต้องเป็นของเจ้า เจ้ากลับผิดแผนชั่วเพื่อแย่งชิงภรรยาผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปจะมีผู้ใดในแคว้นเคารพและนับถือเจ้า จะมีผู้ใดยอมรับใช้ถวายหัวให้กับเจ้า แม่ทัพฟางเป็นเสาหลักของแคว้น หากเจ้ากำจัดเขาทิ้ง เจ้าคิดหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้จะมั่นคงอยู่ได้”โจวอี้เสวียนกัด
บทที่ 68 พบพานภายในห้องขังที่แสนอับชื้นและเหน็บหนาว เสียงกุญแจที่บานประตูคุกหลวงสะท้อนเสียงดังไปทั่ว ฟางซินเย่ที่นั่งพิงผนังหินเย็นเฉียบตาแดงก่ำมองดูหนังสือหย่าที่เพิ่งได้รับ มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ริมฝีปากแห้งผากเผยอเบาๆ ออกมาราวกับจะกล่าวคำใด แต่ทุกคำกลายเป็นเพียงเสียงหายใจที่ตัดรอน “อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่พร่ำเอ่ยชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยดวงตาสั่นไหวที่คงความขมขื่นไว้ในห้วงแห่งความโศกเศร้า“อิงเอ๋อร์...เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพื่อข้า” ฟางซินเย่คร่ำครวญออกมา ใบหน้าเปลี่ยนสีแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงร้อนรุ่ม “เจ้ายอมแต่งงานกับโจวอี้เสวียนเพียงเพื่อรักษาชีวิตข้า...ข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าเพียงนี้เชียวหรือ...” เขาหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ขาดหายราวกับจะกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ความรันทดอดสูใจทำให้เขาถึงกับกุมหมัดขึ้นทุบผนังหิน เลือดไหลซึมออกมาหยดลงเป็นทางยาว ความเจ็บปวดของร่างกายกลับไม่อาจเทียบความเจ็บปวดภายในใจที่มีได้ในขณะที่บรรยากาศคุกขังอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ภายในเฉินเม่าและเสี่ยวม่านกลับไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ความทุกข์ร้อนของพี่น้องร่วมสาบานเช่นฮวาอิง
บทที่ 67 แผนร้ายภายในโถงใหญ่ในจวนอ๋อง โจวอี้เสวียนที่หน้าตาเคร่งเครียดยืนอยู่อย่างหัวเสีย ความหงุดหงิดก่อตัวภายในใจที่นึกไว้ใจคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นเฉินเฉียวเหยา หากนางไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้โอกาสที่เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างฟางซินเย่ย่อมเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น ข้าวของถูกปาแตกกระจายด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เขาก้าวเดินวนไปมาอย่างต้องการใช้ความคิดสักครู่หนึ่งโจวอี้เสวียนตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเข้ามา “พวกเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” โจวอี้เสวียนออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จักพ่ายแพ้องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที “ขอรับท่านอ๋อง”โจวอี้เสวียนเหม่อมองออกไปภายนอกห้องด้วยความคิดอันแยบยล หากแผนการแรกผิดพลาด เขาย่อมต้องมีแผนที่สองเตรียมรับมือไว้เป็นแน่ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน กองกำลังทหารของโจวอี้เสวียนก็เข้าปิดล้อมจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่เดินอย่างอาจหาญออกมาเผชิญหน้าเหล่าทหารของโจวอี้เสวียน โดยมีเหล่าทหารกองทัพของฟางซินเย่ยืนประจัญบานเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี“แม่ทัพฟางซินเย่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นจวนของท่าน โปรดใ
บทที่ 66 กำจัดทิ้งภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจวนสกุลเฉิน เสียงแผดคำรามของเฉินเซียวหยงดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง พ่อบ้านได้แต่ยืนตัวสั่นเทาด้วยกลัวแรงโทสะของนายท่านที่มี มือของเฉินเซียวหยงกำขยุ้มกระดาษรายงานที่เพิ่งส่งข่าวมาให้เขารับรู้ หัวใจเต้นเร็วแรงด้วยความโกรธแค้น เขาขบฟันแน่นจนสันกรามขึ้นเป็นริ้ว ดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต"พวกมันช่างอาจหาญยิ่งนัก กล้าข่มเหงรังแกบุตรสาวของข้า ทำเช่นนี้มิเท่ากับกล้าลบหลู่ข้าอย่างนั้นหรือ" เฉินเซียวหยงสบถออกมา เมื่อได้รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของเฉินเฉียวเหยา ทั้งยังเรื่องที่นางถูกละเลยและถูกลบหลู่สารพัดจากคนในจวนแม่ทัพ“พ่อบ้านเตรียมรถม้าข้าจะไปพบแม่ทัพฟางที่จวนแม่ทัพ เร็วเข้า” คำสั่งดังก้องด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ พ่อบ้านลนลานรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจัดการในทันทีขณะที่เฉินเซียวหยงกำลังจะก้าวออกจากห้องโถง ฉับพลันพ่อบ้านก็รีบเดินปรี่เข้ามาแจ้ง “เรียนนายท่าน ท่านอ๋องโจวอี้เสวียนมาขอพบขอรับ”เฉินเซียวหยงได้ฟังก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที เขาเร่งเดินออกมาต้อนรับโจวอี้เสวียนในทันที ใบหน้าของเขายิ้มกว้างออกมา ดวงตาทอประกายความยินดีอย่างยิ่ง“ค
บทที่ 65 ข่าวดีภายในเรือนหนิงหลง เฉินเฉียวเหยากำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง มือบางทั้งสองข้างบวมขึ้นจนน่าตกใจ ผิวที่เคยขาวซีดของนางบัดนี้แดงก่ำจากการถูกน้ำร้อนลวก เฉินเฉียวเหยาเจ็บแสบจนแทบทนไม่ไหว นางนึกเคืองแค้นจนเผลอตัวกำหมัดแต่เพราะผิวที่เป่งตึงทำให้นางถึงกับร้องครางออกมา เฉินเฉียวเหยาได้แต่ขบฟันแน่น ใบหน้าบูดบึ้งจนทำให้หน้าที่เคยสวยหวานกลับดูน่าเกลียดขึ้นมาหว่านหลงรีบเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบให้นายหญิงของตนด้วยความทะนุถนอม นางเช็ดไปพลางเป่าไปพลางเพื่อให้เฉินเฉียวเหยาคลายความเจ็บลงไป “คุณหนู เจ็บมาหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะต้องรายงานใต้เท้าแล้วนะเจ้าคะ บ่าวทนเห็นคุณหนูถูกรังแกเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”ยังไม่ทันที่เฉินเฉียวเหยาจะตอบกลับอันใดออกมา พ่อบ้านก็พาตัวหมอเข้ามาดูอาการ เฉินเฉียวเหยาจึงได้แต่เม้มปากก่อนจะตีสีหน้าเศร้าหมองออกไปหมอรีบเข้ามาดูอาการของเฉินเฉียวเหยาในทันที ความเจ็บปวดเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทันทีที่หมอแตะต้องบริเวณที่บวมแดง เฉินเฉียวเหยาก็ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดทางกายที่นางได้รับยังไม่ถึงเศษเสี้ยวความรู้สึกเจ็บปวดทางใจที่มี ดวงตาสั่นไหวระริกไปด้วยค
บทที่ 64 เล่ห์กลนี้ใช้กับข้าไม่ได้ช่วงบ่ายของวันฮวาอิงหลงกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาภายในสวนโดยมีเสี่ยวม่านคอยปรนนิบัติอย่างรู้ใจ นางนึกย้อนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง“คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” เสี่ยวม่านถามออกมาด้วยความห่วงใย“ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย “เจ้าค่ะ” เสี่ยวม่านรีบย่อกายพร้อมถอยหลังออกไปอย่างไม่ต้องการรบกวนนายหญิงของตนอีกฮวาอิงหลงนั่งปล่อยความคิดได้เพียงสักครู่หนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงหวานดังขึ้นมา “เหยาเอ๋อร์คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยาเดินเข้ามาหาภายในศาลาพร้อมย่อกายคำนับฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นางก็มิได้คิดจะหนีหน้าแต่อย่างใด“เชิญนั่งสิ แม่นางเฉิน”" ฮวาอิงหลงเอ่ยเบาๆ พร้อมผายมือให้เฉินเฉียวเหยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเฉินเฉียวเหยาปั้นหน้ายิ้มหวาน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญ “ข้ามาอยู่ที่นี่รู้สึกเหงายิ่งนัก หากได้พูดคุยกับสหายเก่าเช่นท่านคงคลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง” เฉินเฉียวเหยากล่าวออกมาอย่างสนิทสนมดั่งเช่นพวก