บทที่ 51 ค่ำคืนอันแสนหวานไอร้อนพวยพุ่งปกคลุมไปทั่วห้องอาบน้ำเผยให้เห็นร่างสลัวที่เปลือยเปล่าอยู่ภายในอ่างน้ำร้อนขนาดใหญ่ ฮวาอิงหลงค่อยๆ เชยคางฟางซินเย่ขึ้นก่อนจะจรดใบมีดคมลงบนขอบปากไล่ลงไปถึงคางอย่างเบามือด้วยกลัวเขาจะได้รับบาดเจ็บ หนวดยาวเขียวรกครึ้มค่อยๆ หลุดร่นลงไปจนเกือบจะเกลี้ยงเกลาเผยให้เห็นใบหน้าคมสันที่ดูสะอาดสะอ้านตาขึ้นมาทันทีฟางซินเย่จ้องมองฮวาอิงหลงด้วยสายตาฉ่ำเยิ้มชวนหลงใหล ภาพสาวงามที่เปิดเปลือยอยู่ภายใต้น้ำร้อน ไอควันที่ปกคลุมเผยให้เห็นเต้าถันอวบนูนเป็นรำไร ยามนางขยับเขยื้อนกายขึ้นลงตามจังหวะลงมีดบนใบหน้ายิ่งสร้างจินตนาการให้ฟางซินเย่ถึงกับเตลิดลอยไปไกลแสนไกล แท่งร้อนแข็งตั้งชูชันขึ้นมาอย่างยากจะหักห้ามได้ ฟางซินเย่ถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก“ท่านพี่...อย่าซุกซนสิเจ้าคะ ประเดี๋ยวคมมีดก็บาดท่านหรอก” ฮวาอิงหลงบ่นอุบขึ้นมาในทันที เมื่อมือใหญ่เริ่มลูบไล้ไปตามลำตัวของนางภายใต้น้ำอุ่นร้อน จนนางไม่อาจแยกได้ว่าความร้อนที่สัมผัสผิวกายเป็นเพราะน้ำร้อนหรือฝ่ามือร้อนดังกล่าวกันแน่“อิงเอ๋อร์...เป็นเจ้าต่างหากที่ยั่วยวนข้า” ฟางซินเย่แก้ตัวออกมาอย่างนึกเก้อเขิน ใบหน้าข
บทที่ 52 เป็นฮูหยินของข้ายามสายของวันถัดมา ฮวาอิงหลงลืมตาขึ้นด้วยความเมื่อยล้าไปทั้งร่างกาย ค่ำคืนที่ผ่านมาฟางซินเย่ตักตวงความหวานจากร่างกายนางอย่างไม่หยุดพักราวกับคนอดอยากที่ได้พบเจออาหารอันโอชะ เขาจึงเรียกร้องบรรเลงเพลงรักกับนางแทบทั้งคืน กว่าที่ฮวาอิงหลงจะได้นอนพักก็ล่วงเวลาเกือบรุ่งเช้าของวันเมื่อฮวาอิงหลงขยับกายลุกขึ้นก็พบว่าฟางซินเย่ได้ตื่นขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาจัดการตัวเองจนเสร็จสรรพ ก่อนจะนั่งจิบน้ำชาอยู่ตรงโต๊ะกลางห้องอย่างอารมณ์ดี“อิงเอ๋อร์...เจ้าตื่นได้แล้วหรือ” ฟางซินเย่หันมาหยอกเย้าฮวาอิงหลงอย่างอารมณ์ดี ความต้องการทางร่างกายถูกปลดปล่อยออกมาจนสำราญใจ แม้ว่าเขาจะอยากตักตวงความหวานจากนางมากกว่านี้เสียหน่อย แต่ก็ต้องทนอดใจเพราะนึกสงสารฮวาอิงหลงที่ได้แต่โอดครวญออกมาจากความเหนื่อยล้าที่ได้รับไม่หยุดและต้องการขอเวลาพักยกเสียหน่อยฮวาอิงหลงค้อนขวับเข้าให้ นางนึกหมั่นไส้ฟางซินเย่ยิ่งนัก ไม่รู้ว่าร่างกายนี้ของเขาอึดทนถึงเพียงใดถึงได้ไม่รู้สึกรู้สาเอาเสียเลย ทั้งที่ฟางซินเย่ใช้แรงกับนางแทบทั้งคืนแต่กลับยังดูมีท่าทางเป็นปกติยิ่งนัก ผิดกับนางที่แทบจะกระติกตัวได้อย่างยากลำบ
บทที่ 53 เข้าหอเสี่ยวม่านประคองฮวาอิงหลงกลับไปยังเรือนนอน ภายในห้องถูกประดับประดาไปด้วยผ้าแพรสีแดง “คุณหนูเจ้าคะ ข้าดีใจกับท่านด้วยนะเจ้าคะ ต่อไปท่านก็เป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพฟางอย่างเต็มตัวแล้ว”ฮวาอิงหลงยกมือกุมมือเสี่ยวม่านเอาไว้แน่น “เสี่ยวม่าน ข้าขอบคุณเจ้ายิ่งนักที่คอยอยู่เคียงข้างข้าเสมอ” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาจากใจจริง เสี่ยวม่านยิ้มรับด้วยความปลื้มใจทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก เฉินเม่ารีบเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับฮวาอิงหลง “อิงหลง ข้าแอบนำสุรามาให้เจ้า ในที่สุดเจ้าก็ได้เป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพเสียที” เฉินเม่าพูดพร้อมยื่นขวดสุราออกมาตรงหน้าของคนทั้งสอง“พี่เฉินเม่าท่านนำสุรามาเช่นนี้ได้เยี่ยงใด ท่านแม่ทัพยังไม่เข้าห้องหอเลย” เสี่ยวม่านยกมือทาบอก นางอุทานออกมาอย่างนึกอ่อนใจ“เสี่ยวม่าน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ท่านแม่ทัพถูกเหล่าทหารทั้งหลายรั้งตัวเอาไว้ไม่ยอมให้เข้าห้องหอ ข้าว่าคงอีกหลายชั่วยามทีเดียว ในเมื่อวันนี้เป็นวันมงคล ข้าจึงนึกอยากชนเหล้ากับพวกเจ้าทั้งสอง” เฉินเม่าตอบกลับออกมาอย่างครึ้มใจฮวาอิงหลงได้ฟังเช่นนั้น นางจึงยกมือขึ้นเปิดผ้าคลุมหน้าออก เสี่
บทที่ 54 ฮูหยินของข้าบรรยากาศภายในเรือนนอนเต็มไปด้วยความเงียบสงัด เสียงลมเย็นพัดผ่านจากหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้นำพากลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆ เข้ามาเติมแต่งให้ห้องที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟสลัวดูอบอุ่น ฮวาอิงหลงนั่งอยู่ตรงขอบเตียงด้วยความรู้สึกประหม่า ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังฟางซินเย่ซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างอย่างไม่วางตา นางมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมาฟางซินเย่ยังคงจับจ้องมองหน้าฮวาอิงหลงอย่างไม่หยุด ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาและความลุ่มหลงที่แฝงเร้นอยู่ เขายิ้มออกมาอย่างคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ละเมอที่หวานชื่น "อิงเอ๋อร์..." ฟางซินเย่พึมพำเรียกชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มราวกับละเมอจากนั้นฟางซินเย่จึงโน้มตัวลงเข้าหาฮวาอิงหลงด้วยความเร่าร้อน ปลายนิ้วของเขาแตะเบาๆ ที่ข้างแก้มเนียนนุ่มของนางอย่างอ่อนโยน สัมผัสนั้นแผ่วเบาแต่กลับทำให้ฮวาอิงหลงสะท้านไปทั่วร่างกาย ไฟปรารถนาแผ่ซ่านออกมาอบอวลไปทั่วทั้งห้องทว่าฉับพลันฮวาอิงหลงกลับเบี่ยงตัวถอยออกมาเล็กน้อยในทันที ทำเอาฟางซินเย่ถึงกับชะงักไปชั่วขณะ คิ้วหนาของเขายักขึ้นก่อนจะขมวดเป็นปมเล็กน้อยด้วยความรู้สึ
บทที่ 55 กลับเมืองหลวงแสงแดดอ่อนยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างห้อง ฮวาอิงหลงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น นางตระหนักได้ถึงเช้าวันใหม่กับการเป็นฮูหยินแม่ทัพอย่างเต็มตัว อากาศเย็นสบายพัดผ่านผ้าม่านที่ปลิวไสวไปมา ทำให้ฮวาอิงหลงอดยิ้มกับตัวเองอย่างปลื้มใจไม่ได้ ความรู้สึกอบอุ่นอันประหลาดที่เติมเต็มหัวใจให้เต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึงค่ำคืนที่เพิ่งผ่านพ้นไป นางรู้สึกเหมือนตนอยู่ในฝัน หัวใจเบิกบานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนฟางซินเย่ ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่และบัดนี้คือสามีของนาง ยืนมองฮวาอิงหลงด้วยสายตาที่แฝงความรักและความเอ็นดู เขายิ้มกว้างออกมาพร้อมเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะนางอย่างหยอกล้อ “ฮูหยินของข้า ตื่นแล้วหรือ” เสียงของเขานุ่มนวลมีความอ่อนโยนซึ่งต่างจากทุกครั้งที่เคยได้ยินฮวาอิงหลงยิ้มตอบ สายตาของนางเต็มไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง “ท่านพี่ตื่นแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังคงความงัวเงียอยู่เล็กน้อยฟางซินเย่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกล่าวออกไป “เที่ยงวันนี้พวกเราต้องเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวงเสียที เสี่ยวม่านและเฉินเม่าจัดการเก็บข้าวของของเจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็ลุกขึ้นเตรียมตัวเสียเถิด”ฮวาอิงห
บทที่ 56 ประทานสมรสเมืองหลวงในยามสายดุจดั่งท้องฟ้าเปิด แสงแดดอ่อนสาดส่องไปทั่วผืนดิน สายลมโชยพัดบรรเทาความร้อนอบอ้าวทำให้คลายความเหนื่อยล้าลงไปได้บ้า ขบวนทัพของฟางซินเย่หยุดยืนอยู่ด้านหน้าประตูเมือง ก่อนที่เหล่าทหารจะพากันเปิดประตูเมืองต้อนรับพวกเขาอย่างขมีขมันบรรยากาศภายในเมืองเต็มไปด้วยความครึกครื้นของบรรดาชาวบ้านที่ต่างพากันออกมารอต้อนรับขบวนทัพของฟางซินเย่ แม่ทัพใหญ่ผู้กล้าหาญที่เพิ่งได้รับชัยชนะจากศึกสงคราม ชาวบ้านต่างปรบมือและโห่ร้องยินดี ดอกไม้ถูกโยนลงบนตามพื้นอย่างต้องการแสดงความเคารพและขอบคุณ ธงรบที่มีลวดลายดอกบัวและสัญลักษณ์ประจำตระกูลฟางโบกสะบัดปลิวไสวไปตามทิวแถวของเหล่าทหารที่เดินเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบฟางซินเย่ที่นั่งอยู่บนหลังม้า สวมเสื้อเกราะเงินอันงามสง่า ใบหน้าเขาสงบเรียบแต่กลับดูเด็ดเดี่ยวเช่นเคย ดวงตาคมมองไปข้างหน้าไม่แสดงออกถึงความอ่อนล้าจากการศึกและการเดินทางที่ยาวนาน เขาควบม้านำขบวนทัพตรงไปยังเขตประตูวังด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ท่ามกลางเสียงปรบมือและการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวบ้านทั้งสองข้างทางเมื่อขบวนทัพมาถึงหน้าประตูวัง ฟางซินเย่หยัดกายลงจากหลังม้า ก่อนจะ
บทที่ 57 ข้าไม่ยอมแพ้หลังจากฟางซินเย่เดินออกจากท้องพระโรงไป ความตึงเครียดก็เข้ามาปกคลุมท้องพระโรงอย่างแน่นหนา โจวจางเย่วยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าขาวซีดแสดงความขุ่นเคืองที่ถูกกดไว้ด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นมาในใจของเขา ก่อนที่โจวอี้เสวียนจะกล่าวอะไรออกมา โจวจางเย่วก็ยกมือขึ้นหยิบจานหมึกที่ตั้งอยู่ด้านข้าง พร้อมเขวี้ยงมันลงกับพื้นตรงหน้าของเขาอย่างแรง จานหมึกกระแทกกับพื้นกระเบื้องเคลือบเสียงดัง “เพล้ง” ก่อนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ กระจายไปทั่ว“เจ้าลูกชั่ว...เจ้ากล้าหลอกข้าหรือ" โจวจางเย่วตวาดเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง ความโกรธเคืองนั้นท่วมท้นทุกอณูในเสียงของเขาโจวอี้เสวียนยังคงยืนตระหง่านอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้าน สายตาเย็นชาจ้องมองหน้าโจวจางเย่วด้วยความแข็งกร้าวไม่มีความหวาดหวั่นหรือเกรงกลัวแม้แต่น้อย ริมฝีปากบีบเม้มเข้าหากันอย่างแน่นอย่างนึกขัดเคืองใจ“เสด็จพ่อ ท่านคงไม่ลืมที่รับปากข้าไว้" โจวอี้เสวียนพูดออกมาด้วยเสียงอันทุ้มต่ำแต่แฝงความหนักแน่นและจริงจังโจวจางเย่วฟังคำพูดของบุตรชายแล้วถึงกับนึกเอือมระอา ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นในทันใด โจวอี้เสวียนเป็นบุตรชายที่เ
บทที่ 58 พบกันที่อารามหลังจากที่ฟางซินเย่กลับออกจากวังหลวง เขาก็มุ่งหน้ารีบเร่งกลับจวนของตนอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่สาวเท้าก้าวเดินเข้ามาภายในจวนด้วยท่าทางที่รู้สึกอึดอัดและลำบากใจอย่างยิ่ง ความกังวลฉายออกมาบนใบหน้าของเขาอย่างเด่นชัด คิ้วทั้งสองขมวดย่นอย่างคนที่ใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลาฟางซินเย่หันไปมองโดยรอบจวนซึ่งดูเงียบสงบจนผิดสังเกต เขาหันซ้ายหันขวาอย่างนึกหวาดหวั่นในใจด้วยเกรงจะเกิดเรื่องร้ายอันใดขึ้นมาพ่อบ้านรีบเดินตรงเข้ามาต้อนรับอย่างท่วงที “คารวะนายท่าน ฮูหยินพาเฉินเม่าและเสี่ยวม่านไปไหว้พระที่อารามขอรับ ซินหยวนจงก็ติดตามไปดูแลด้วยเช่นกัน” เขารีบรายงานให้ฟางซินเย่ได้ฟังอย่างรู้ใจ เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของฟางซินเย่ฟางซินเย่พยักหน้ารับ "เช่นนั้นหรือ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ”พ่อบ้านโค้งตัวรับอย่างนอบน้อม แต่กลับไม่ยอมล่าถอยออกไป พ่อบ้านแสดงท่าทีอึกอักออกมาอย่างเห็นได้ชัด“เจ้ามีอะไรก็ว่ามา” ฟางซินเย่ถามออกไปอย่างจับสังเกต“เรียนนายท่าน ก่อนหน้านี้ในระหว่างที่นายท่านไม่อยู่ที่จวน ท่านอ๋องได้ส่งเทียบเชิญฮูหยินไปที่จวนอ๋อง แต่เพราะฮูหยินไหวตัวทันจึงรอดพ้นออกมาได้ แต่ท่านอ๋องกลับส่งเทียบค
บทที่ 72 เริ่มต้นวันใหม่ค่ำคืนอันเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่รอบจวนลอยมาแตะจมูก ภายในห้องนอนใหญ่ท่ามกลางแสงสลัวนั้น ฟางซินเย่นอนมองหน้าฮวาอิงหลงนอนคุดคู้อยู่บนเตียง นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบบนใบหน้าที่ผุดผาดฮวาอิงหลงยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นสายตาของฟางซินเย่ที่มองมาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่ไม่อาจซ่อนเร้น“อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่ยื่นมือขึ้นลูบไล้ไปตามลำแขนขาวก่อนจะไล่ลงมาตามลำตัวจนกระทั่งถึงหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา “พ่อเจ้าต้องการแม่เจ้าเหลือเกิน เจ้าอนุญาตหรือไม่” ฟางซินเย่เพ้อออกมาด้วยเสียงกระเส่า เขาพูดไปพลางปรายตามองฮวาอิงหลงด้วยสายตากรุ้มกริ่มฮวาอิงหลงยิ้มเขินออกมาอย่างรู้ทัน นางโน้มตัวขึ้นเกยบนร่างหนาของฟางซินเย่ในทันที สองมือของฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นคร่อมตัวเขาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงจะกระทบถึงบุตรในท้องฟางซินเย่หยัดกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมสองมือที่ยังคงลูบไล้ไปตามหน้าอกอิ่มนูนของฮวาอิงหลงอย่างหลงใหล ลมหายใจเริ่มติดขัดขึ้นมาพร้อมกับปากที่เป่าลมร้อนออกอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ฮว
บทที่ 71 อำลาเมืองหลวงเสียงกลองและแตรสัญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณลานวังหลวง ขันทียกราชโองการขึ้นประกาศ “ฮ่องเต้มีราชโองการ ด้วยบุญบารมีของราชวงศ์โจวทำให้เชื้อพระวงศ์กลับคืนสู่ราชวงศ์ ข้าขอแต่งตั้งฟางซินเย่เป็นองค์ชายโจวซินเย่ แต่งตั้งฮวาอิงหลงเป็นพระชายาอ๋อง และแต่งตั้งเฉินเม่าเป็นองค์หญิงโจวเหยาหยาง จบราชโองการ” ฟางซินเย่โน้มรับราชโองการด้วยใบหน้าเรียบสงบ เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผยอยู่ในที ในขณะที่ฮวาอิงหลงและเฉินเม่ากลับแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ จากสาวใช้ในจวนแม่ทัพคนหนึ่งได้เป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนได้เป็นพระชายาอ๋องช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักหลังเสร็จสิ้นการประกาศแต่งตั้งเฉินเม่าก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จวนโจวหนานเอ๋อร์ ผู้เป็นมารดาของนาง ทว่าสำหรับฟางซินเย่นั้นกลับเลือกที่จะขอพำนักที่จวนแม่ทัพตามเดิมโจวหนานเอ๋อร์แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของบุตรชาย นางจึงเพียงกำชับฮวาอิงหลงให้หมั่นไปเยี่ยมเยียนตนที่จวนให้บ่อยครั้งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงเดินทางไปยังจวนฉางกงจู่ โจวหนานเอ๋อร์และเฉ
บทที่ 70 ลูกของข้าราชโองการถูกประกาศปล่อยตัวฟางซินเย่ในวันต่อมาโดยทันที ในที่สุดฟางซินเย่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายวันเมื่อฟางซินเย่ได้รับอิสรภาพ เขาก้าวออกจากคุกด้วยความมุ่งมั่นและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงฮวาอิงหลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความถวิลหานาง ดั่งว่านี่คือการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของชีวิตเขา“อิงเอ๋อร์...ข้าไม่ยอมสูญเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” ฟางซินเย่กล่าวกับตนเองขณะที่ก้าวขึ้นม้าด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเมื่อฟางซินเย่ถึงจวนอ๋อง เขาปรี่ตรงเข้าไปหาโจวอี้เสวียนในทันที สองมือกุมคอเสื้อของโจวอี้เสวียนอย่างไม่นึกหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไป ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่มี พร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกัดฟันกรอด “อิงเอ๋อร์...อยู่ที่ใด”โจวอี้เสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่พรากหัวใจของหญิงสาวคนรักของตนไปทำให้เขานึกครึ้มอย่างจะกลั่นแกล้งฟางซินเย่อีกสักหน่อย โจวอี้เสวียนยิ้มเยาะขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ...เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วยเล่า”คำพูดยียวนทำเอาฟางซินเย่ถึงกับบันดาลโทสะ เขาง้างมือขึ้นเตรียมจะชกหน้าโจวอี้เสวียน แต่องครักษ์ข้างกายของโจวอ
บทที่ 69 ฝืนยอมรับในท้องพระโรงที่โอ่โถง บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน โจวจางเย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โจวอี้เสวียนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอย่างดุดัน“อี้เสวียน...เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อสตรีนางเดียวอย่างนั้นหรือ” โจวจางเย่วชี้นิ้วไปยังโจวอี้เสวียนด้วยความเกรี้ยวกราดโจวอี้เสวียนยืนนิ่งเงียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงทำสิ่งใด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องหาทางของข้าเอง”“เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก” โจวจางเย่วแค่นเสียงออกมาด้วยความขัดเคืองใจ “ความรักของเจ้าทำให้เจ้าลืมเลือนความเป็นบุตรหลานแห่งราชวงศ์แล้วหรือ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามีสถานะเช่นใด เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้วันหน้าต้องเป็นของเจ้า เจ้ากลับผิดแผนชั่วเพื่อแย่งชิงภรรยาผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปจะมีผู้ใดในแคว้นเคารพและนับถือเจ้า จะมีผู้ใดยอมรับใช้ถวายหัวให้กับเจ้า แม่ทัพฟางเป็นเสาหลักของแคว้น หากเจ้ากำจัดเขาทิ้ง เจ้าคิดหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้จะมั่นคงอยู่ได้”โจวอี้เสวียนกัด
บทที่ 68 พบพานภายในห้องขังที่แสนอับชื้นและเหน็บหนาว เสียงกุญแจที่บานประตูคุกหลวงสะท้อนเสียงดังไปทั่ว ฟางซินเย่ที่นั่งพิงผนังหินเย็นเฉียบตาแดงก่ำมองดูหนังสือหย่าที่เพิ่งได้รับ มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ริมฝีปากแห้งผากเผยอเบาๆ ออกมาราวกับจะกล่าวคำใด แต่ทุกคำกลายเป็นเพียงเสียงหายใจที่ตัดรอน “อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่พร่ำเอ่ยชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยดวงตาสั่นไหวที่คงความขมขื่นไว้ในห้วงแห่งความโศกเศร้า“อิงเอ๋อร์...เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพื่อข้า” ฟางซินเย่คร่ำครวญออกมา ใบหน้าเปลี่ยนสีแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงร้อนรุ่ม “เจ้ายอมแต่งงานกับโจวอี้เสวียนเพียงเพื่อรักษาชีวิตข้า...ข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าเพียงนี้เชียวหรือ...” เขาหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ขาดหายราวกับจะกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ความรันทดอดสูใจทำให้เขาถึงกับกุมหมัดขึ้นทุบผนังหิน เลือดไหลซึมออกมาหยดลงเป็นทางยาว ความเจ็บปวดของร่างกายกลับไม่อาจเทียบความเจ็บปวดภายในใจที่มีได้ในขณะที่บรรยากาศคุกขังอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ภายในเฉินเม่าและเสี่ยวม่านกลับไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ความทุกข์ร้อนของพี่น้องร่วมสาบานเช่นฮวาอิง
บทที่ 67 แผนร้ายภายในโถงใหญ่ในจวนอ๋อง โจวอี้เสวียนที่หน้าตาเคร่งเครียดยืนอยู่อย่างหัวเสีย ความหงุดหงิดก่อตัวภายในใจที่นึกไว้ใจคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นเฉินเฉียวเหยา หากนางไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้โอกาสที่เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างฟางซินเย่ย่อมเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น ข้าวของถูกปาแตกกระจายด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เขาก้าวเดินวนไปมาอย่างต้องการใช้ความคิดสักครู่หนึ่งโจวอี้เสวียนตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเข้ามา “พวกเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” โจวอี้เสวียนออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จักพ่ายแพ้องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที “ขอรับท่านอ๋อง”โจวอี้เสวียนเหม่อมองออกไปภายนอกห้องด้วยความคิดอันแยบยล หากแผนการแรกผิดพลาด เขาย่อมต้องมีแผนที่สองเตรียมรับมือไว้เป็นแน่ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน กองกำลังทหารของโจวอี้เสวียนก็เข้าปิดล้อมจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่เดินอย่างอาจหาญออกมาเผชิญหน้าเหล่าทหารของโจวอี้เสวียน โดยมีเหล่าทหารกองทัพของฟางซินเย่ยืนประจัญบานเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี“แม่ทัพฟางซินเย่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นจวนของท่าน โปรดใ
บทที่ 66 กำจัดทิ้งภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจวนสกุลเฉิน เสียงแผดคำรามของเฉินเซียวหยงดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง พ่อบ้านได้แต่ยืนตัวสั่นเทาด้วยกลัวแรงโทสะของนายท่านที่มี มือของเฉินเซียวหยงกำขยุ้มกระดาษรายงานที่เพิ่งส่งข่าวมาให้เขารับรู้ หัวใจเต้นเร็วแรงด้วยความโกรธแค้น เขาขบฟันแน่นจนสันกรามขึ้นเป็นริ้ว ดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต"พวกมันช่างอาจหาญยิ่งนัก กล้าข่มเหงรังแกบุตรสาวของข้า ทำเช่นนี้มิเท่ากับกล้าลบหลู่ข้าอย่างนั้นหรือ" เฉินเซียวหยงสบถออกมา เมื่อได้รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของเฉินเฉียวเหยา ทั้งยังเรื่องที่นางถูกละเลยและถูกลบหลู่สารพัดจากคนในจวนแม่ทัพ“พ่อบ้านเตรียมรถม้าข้าจะไปพบแม่ทัพฟางที่จวนแม่ทัพ เร็วเข้า” คำสั่งดังก้องด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ พ่อบ้านลนลานรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจัดการในทันทีขณะที่เฉินเซียวหยงกำลังจะก้าวออกจากห้องโถง ฉับพลันพ่อบ้านก็รีบเดินปรี่เข้ามาแจ้ง “เรียนนายท่าน ท่านอ๋องโจวอี้เสวียนมาขอพบขอรับ”เฉินเซียวหยงได้ฟังก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที เขาเร่งเดินออกมาต้อนรับโจวอี้เสวียนในทันที ใบหน้าของเขายิ้มกว้างออกมา ดวงตาทอประกายความยินดีอย่างยิ่ง“ค
บทที่ 65 ข่าวดีภายในเรือนหนิงหลง เฉินเฉียวเหยากำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง มือบางทั้งสองข้างบวมขึ้นจนน่าตกใจ ผิวที่เคยขาวซีดของนางบัดนี้แดงก่ำจากการถูกน้ำร้อนลวก เฉินเฉียวเหยาเจ็บแสบจนแทบทนไม่ไหว นางนึกเคืองแค้นจนเผลอตัวกำหมัดแต่เพราะผิวที่เป่งตึงทำให้นางถึงกับร้องครางออกมา เฉินเฉียวเหยาได้แต่ขบฟันแน่น ใบหน้าบูดบึ้งจนทำให้หน้าที่เคยสวยหวานกลับดูน่าเกลียดขึ้นมาหว่านหลงรีบเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบให้นายหญิงของตนด้วยความทะนุถนอม นางเช็ดไปพลางเป่าไปพลางเพื่อให้เฉินเฉียวเหยาคลายความเจ็บลงไป “คุณหนู เจ็บมาหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะต้องรายงานใต้เท้าแล้วนะเจ้าคะ บ่าวทนเห็นคุณหนูถูกรังแกเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”ยังไม่ทันที่เฉินเฉียวเหยาจะตอบกลับอันใดออกมา พ่อบ้านก็พาตัวหมอเข้ามาดูอาการ เฉินเฉียวเหยาจึงได้แต่เม้มปากก่อนจะตีสีหน้าเศร้าหมองออกไปหมอรีบเข้ามาดูอาการของเฉินเฉียวเหยาในทันที ความเจ็บปวดเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทันทีที่หมอแตะต้องบริเวณที่บวมแดง เฉินเฉียวเหยาก็ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดทางกายที่นางได้รับยังไม่ถึงเศษเสี้ยวความรู้สึกเจ็บปวดทางใจที่มี ดวงตาสั่นไหวระริกไปด้วยค
บทที่ 64 เล่ห์กลนี้ใช้กับข้าไม่ได้ช่วงบ่ายของวันฮวาอิงหลงกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาภายในสวนโดยมีเสี่ยวม่านคอยปรนนิบัติอย่างรู้ใจ นางนึกย้อนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง“คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” เสี่ยวม่านถามออกมาด้วยความห่วงใย“ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย “เจ้าค่ะ” เสี่ยวม่านรีบย่อกายพร้อมถอยหลังออกไปอย่างไม่ต้องการรบกวนนายหญิงของตนอีกฮวาอิงหลงนั่งปล่อยความคิดได้เพียงสักครู่หนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงหวานดังขึ้นมา “เหยาเอ๋อร์คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยาเดินเข้ามาหาภายในศาลาพร้อมย่อกายคำนับฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นางก็มิได้คิดจะหนีหน้าแต่อย่างใด“เชิญนั่งสิ แม่นางเฉิน”" ฮวาอิงหลงเอ่ยเบาๆ พร้อมผายมือให้เฉินเฉียวเหยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเฉินเฉียวเหยาปั้นหน้ายิ้มหวาน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญ “ข้ามาอยู่ที่นี่รู้สึกเหงายิ่งนัก หากได้พูดคุยกับสหายเก่าเช่นท่านคงคลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง” เฉินเฉียวเหยากล่าวออกมาอย่างสนิทสนมดั่งเช่นพวก