บทที่ 19 อนุญาตออกจวน“อิงเอ๋อร์...อิงเอ๋อร์” เสียงทุ้มนุ่มที่ร้องเรียกฮวาอิงหลงดังแว่วขึ้นมา ทำให้ฮวาอิงหลงสะดุ้งตื่นขึ้น นางเงยหน้ามองคนตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะรีบลุกขึ้นมองไปโดยรอบอีกครั้ง ฮวาอิงหลงหันซ้ายหันขวาเพื่อสำรวจทุกสิ่งให้แน่ชัดอีกครั้งฮวาอิงหลงเม้มริมฝีปากแน่น เหงื่อซึมออกมาทั่วใบหน้าขาวนวล สองมือกำแน่นอย่างต้องการข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้“ที่แท้เป็นเพียงความฝัน” ฮวาอิงหลงพึมพำออกมาพร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเต็มสองตาเอาไว้“เจ้าฝันอันใดกัน เหตุใดจึงหน้าตาตื่นเช่นนี้” ฟางซินเย่รั้งแขนทั้งสองของฮวาอิงหลงเข้ามาหาตน พร้อมจ้องมองนางอย่างไม่วางตา เขาถามออกมาอย่างนึกเป็นห่วงระคนสงสัย คำพูดที่นางเอาแต่พร่ำเพ้อว่าต้องการไปจากที่นี่ ทำให้หัวใจของฟางซินเย่ถึงกับกระตุกวูบด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบฮวาอิงหลงมองหน้าฟางซินเย่อีกครั้ง ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ตนเองลง นางยกมือขึ้นซับเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างแผ่วเบา ก่อนจะก้มหน้าหลุบต่ำลง ฮวาอิงหลงย่อตัวลงเคารพฟางซินเย่ประหนึ่งว่าทุกสิ่งยังคงเป็นปกติเช่นเคย“ข้าเพียงฝันร้ายเท่านั้นมิได้เป็นอันใดเจ้าค่ะ อิงเอ๋อร์ทำให้ท่านแม่ทัพต
บทที่ 20 อาบน้ำฮวาอิงหลงเดินเข้ามาภายในเรือนนอน หลังจากนั้นไม่นานฟางซินเย่ก็ได้เดินตามเข้ามาภายในเช่นกันเสี่ยวม่านรีบย่อกายทำความเคารพคนทั้งสอง “คุณหนูเจ้าคะ ข้าเตรียมน้ำอุ่น ไว้ให้ท่านแม่ทัพและท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”ฮวาอิงหลงพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปหาฟางซินเย่ “ท่านแม่ทัพอาบน้ำก่อนดีหรือไม่” ฟางซินเย่พยักหน้าพร้อมปรายตามองเสี่ยวม่านเสี่ยวม่านก้มหน้าอมยิ้มน้อยอย่างรู้ทัน “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวม่านรีบย่อกายคำนับ พร้อมเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูอย่างเรียบร้อยฮวาอิงหลงเดินเข้าไปหาฟางซินเย่ พร้อมยกมือค่อยๆ ปลดเข็มขัด และถอดเสื้อคลุมด้านนอกออก นางคล้องแขนของฟางซินเย่ ก่อนจะพาเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำ “เช่นนั้นข้าจะถูหลังให้ท่านนะเจ้าคะ”ฟางซินเย่ถือโอกาสดึงตัวฮวาอิงหลงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “เจ้าอาบน้ำพร้อมข้า เลยละกันนะ”ฮวาอิงหลงหน้าแดงเรื่อ แม้พวกเขาทั้งสองจะมีความสัมพันธ์กันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ทว่าเวลานี้สัมผัสของฟางซินเย่ถึงกับทำให้นางรู้สึกสั่นไหว “อิงเอ๋อร์แล้วแต่ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”ฟางซินเย่ยิ้มกริ่มด้วยความพึงพอใจ เขาค่อยๆ คลายเชือกที่เ
บทที่ 21 ท่านพี่“ท่านแม่ทัพ ข้ารู้สึกเพลียยิ่งนัก” ฮวาอิงหลงถึงกับโอดครวญออกมาเมื่อฟางซินเย่เคี่ยวกรำนางอย่างหนัก ร่างบางเหนื่อยอ่อนจนแทบไร้เรี่ยวแรง ฮวาอิงหลงเบี่ยงตัวนอนหันหลังให้ฟางซินเย่อย่างต้องการการพัก ในขณะที่มือใหญ่ยังคงลูบไล้ลำแขนขาวไปมาไม่หยุด มือร้อนยังคงเคลื่อนไล้ไปตามเรือนร่างบางอย่างคนที่ไม่รู้จักอิ่ม“หากเจ้าเหนื่อยนักก็จงหลับเสียเถอะ ที่เหลือข้าจัดการเอง” ฟางซินเย่ไม่พูดเปล่า เขาขยับตัวเคลื่อนเข้ามาแนบชิดแผ่นหลัง ฮวาอิงหลงรับรู้ถึงแก่นกายที่แข็งชันถูไถไปตามสะโพกบาง นางหันมาเหลือบตามองฟางซินเย่อย่างอ้อนวอนแกมขอร้องด้วยรู้สึกอ่อนเพลียอย่างหนัก ทว่าฟางซินเย่กลับยิ้มกริ่มออกมา มือใหญ่วาดวงแขนโอบกอดร่างบางไว้แนบกับลำตัว มือหนายังคงฟอนเฟ้นทรวงอกนูนอิ่มอย่างหยอกล้อ“ท่านแม่ทัพทำเช่นนี้แล้วข้าจะนอนได้เช่นไรกัน” ฮวาอิงหลงถึงกับบ่นอุบออกมา ร่างบางโก่งตัวงอขดเป็นกุ้ง อย่างต้องการหนีสัมผัสอันร้อนรุ่มดังกล่าว“อิงเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดกับเสี่ยวม่าน เจ้าพูดจากใจจริงหรือ” ฟางซินเย่เอ่ยออกมาอย่างคนที่กำลังละเมอ มือหนายังคงเลื่อนไล้ลงลูบหน้าท้องแบนราบของนางด้วยความหลงใหลฮวาอิงหลงที่กำลัง
บทที่ 22 ตลาดฮวาอิงหลงตื่นขึ้นมาในช่วงสายของวัน นางลุกขึ้นบิดตัวไล่ความเมื่อยขบและเหนื่อยล้าที่มี พลันเมื่อหันไปมองสภาพเตียงนอนก็ทำให้ฮวาอิงหลงอดคิดถึงรสรักอันร้อนแรงที่ฟางซินเย่มอบให้อย่างเสียมิได้ นางถึงกับหน้าแดงเรื่อขึ้นมาในทันทีฮวาอิงหลงรีบสะบัดหัวไปมาไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง นางได้แต่กำชับตนเองว่าจะเผลอใจให้กับฟางซินเย่ไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นคนที่จะน้ำตาเช็ดหัวเข่าย่อมต้องเป็นนางแต่เพียงผู้เดียวเป็นแน่เสี่ยวม่านเดินเข้ามาภายในห้อง นางจัดเตรียมน้ำอุ่นและอาหารไว้รอนายหญิงของตนเป็นที่เรียบร้อย “คุณหนูดูท่าทางอิดโรยนัก เช่นนั้นวันนี้ท่านนอนพักอยู่ที่เรือนก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวม่านถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง ท่าทางอิดโรยที่มี ประกอบกับร่องรอยตามเนื้อตัว ทำให้นางพอดูออกว่าท่านแม่ทัพหลงใหลในตัวคุณหนูมากเพียงใด รอยช้ำจ้ำแดงบนผิวกายของฮวาอิงหลงเป็นหลักฐานอันดียิ่ง“ได้อย่างไรกัน โอกาสที่ข้าจะได้ออกจากจวนมิใช่มีมาบ่อยๆ ต่อให้วันนี้ข้าต้องตาย ข้าก็จะต้องออกไปภายนอกให้ได้” ฮวาอิงหลงร้องเสียงหลงออกมา นางเฝ้ารอคอยเวลานี้มานานแสนนานจนแทบจะรอต่อไปไม่ไหว “เจ้ามาช่วยข้าผลัดเปลี่ยน
บทที่ 23 โจวอี้เสวียน“คุณหนูเฉิน...เหตุใดเจ้าจึงยังเรียกนางเช่นนั้นเล่า ข้าได้ยินมาว่าบัดนี้นางเป็นเพียงบ่าวในจวนใดจวนหนึ่งในเมืองหลวงเท่านั้น ฐานะเช่นนางในตอนนี้เจอพวกเรายังต้องหลีกทางให้เสียด้วยซ้ำ” สุยหวางเจินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ทั้งแววตาและน้ำเสียงที่มองเหยียดมาที่ฮวาอิงหลงพร้อมเสียงหัวเราะขบขันด้วยความสะใจ“เจ้าอย่าได้พูดจาเช่นนั้นไป นางช่างน่าสงสารยิ่งนัก ชะตากรรมที่นางได้รับก็นับว่าเลวร้ายอย่างยิ่ง เจ้าไม่ควรพูดซ้ำเติมนางเช่นนี้อีก” เฉินเฉียวเหยาทำทีห้ามปรามก่อนจะร้องทัดทานออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ทว่าคนอย่างฮวาอิงหลงที่แสดงละครมานักต่อนักย่อมดูออกว่าท่าทีที่มีมิได้เป็นไปตามคำพูดที่อ่อนหวานเช่นนั้นเป็นแน่ฮวาอิงหลงหันไปเผชิญหน้ากับคนทั้งสอง นางยึดอกขึ้นพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “พวกท่านทักทายข้าเช่นนี้ ต้องการอันใดไม่ทราบ” ฮวาอิงหลงพูดพลางมองพวกนางตั้งแต่ใบหน้าจรดปลายเท้าด้วยสายตาประเมิน นางได้แต่ขบคิดในใจว่าพวกนางทั้งสองคงเป็นพวกที่อิจฉาเจ้าของร่างคนเก่ามาแต่ก่อนเก่าเป็นแน่ ถึงได้แสดงท่าทางวางอำนาจบาตรใหญ่ในคราวที่นางตกต่ำเช่นนี้“บังอาจนัก...ด้วยฐานะเช่น
บทที่ 24 อิงเอ๋อร์“อิงเอ๋อร์ เหตุใดต้องมากพิธีกับข้าด้วยเล่า เจ้าเป็นอย่างไรบ้างเจ็บตรงไหนหรือไม่ แล้วใครกันที่กล้ามารังแกเจ้ากันหรือ” โจวอี้เสวียนพูดกับฮวาอิงหลงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สายตาเป็นห่วงเป็นใยที่ส่งให้กับนางอย่างไม่คิดปิดบัง แถมยังถือวิสาสะเข้ามาจับแขนของฮวาอิงหลงอย่างสนิทสนม แต่กลับกันในท้ายคำพูดเขาราวกับเชือดเฉือนใส่คนด้านข้าง โจวอี้เสวียนปรายตามองหญิงสาวทั้งสองและเถ้าแก่เนี้ยด้วยความรู้สึกขัดเคืองใจ ในขณะที่พวกเขาก็ได้แต่ยืนก้มหน้านิ่งเพียงเท่านั้น“เรียนท่านอ๋อง พวกเราเพียงแค่มีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ขอท่านอ๋องอย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยารีบกล่าวออกหน้าเพื่อแก้สถานการณ์ดังกล่าว การทำให้โจวอี้เสวียนโกรธเคืองย่อมไม่ส่งผลดีต่อพวกเขาเป็นแน่“ใช่เจ้าค่ะ พวกเราแค่แวะทักทายคุณหนูฮวาก็เพียงเท่านั้น ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้” สุยหยางเจินรีบผสมโรงทันที หากแต่สายตาที่มองฮวาอิงหลงนั้นราวกับต้องการกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้“ช่างเถอะ ข้าไม่ต้องการฟังคำแก้ตัวของใครทั้งนั้น แต่จงจำไว้หากวันหน้าใครกล้ารังแกนาง คนผู้นั้นย่อมเป็นศัตรูของข้าเช่นกัน” โจวอี้เสวี
บทที่ 25 ไต้ซือป๋อหยวน“อิงเอ๋อร์ นั่นโรงเตี๊ยมหรูเฟ่ย เจ้ายังจำได้หรือไม่ในตอนที่พวกเราชอบมาเที่ยวเล่นกันตอนนั้นเจ้าชอบขนมเซาปิ่งของที่นี่มาก เจ้ายังรบเร้าข้าหลายต่อหลายครั้งให้ข้าพาเจ้ามาที่นี่” โจวอี้เสวียนหันไปชี้ตรงโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่เหล่าชนชั้นสูงมักจะมาพบปะสังสรรค์กัน“ขนมเซาปิ่งงั้นหรือ...ข้าชักอยากลองชิมเสียหน่อย” ฮวาอิงหลงหันไปบอกโจวอี้เสวียนด้วยความตื่นเต้น“เช่นนั้นพวกเราแวะทานข้าวกันเสียที่นี่ดีหรือไม่” โจวอี้เสวียนรีบยื่นขอเสนอทันที“เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องเจ้าค่ะ” ฮวาอิงหลงรับคำโดยไม่คิด ตอนนี้ท้องของนางเริ่มประท้วงขึ้นมาจากความหิวเสียแล้วโจวอี้เสวียนยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นท่าทีของฮวาอิงหลงดูผ่อนคลายกับเขามากขึ้น ทั้งสองเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมตรงหน้า เสี่ยวเอ้อรีบเข้ามาต้อนรับพร้อมพาไปยังห้องรับรองส่วนตัวทันทีพวกเขาเดินขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยม ห้องขนาดเล็กถูกจัดแบ่งเป็นสัดส่วน สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ภายในห้องจัดตกแต่งอย่างหรูหราและดูเงียบสงบ“จัดสำรับมาให้พวกข้า และเตรียมขนมเซาปิ่งมาด้วย” โจวอี้เสวียนสั่งเสี่ยวเอ้อทันที จากนั้นก็รีบรินน้ำชายื่นให้ฮวาอิงหลง
บทที่ 26 ลิขิตฟ้างั้นหรือฮวาอิงหลงและโจวอี้เสวียนเดินตรงเข้าไปภายในห้องรับรอง ชายชราผมยาวสีขาวยืนรอพวกเขาด้วยท่าทางสงบนิ่งดูน่าเคารพและยำเกรง“เชิญท่านทั้งสอง ไต้ซือป๋อหยวนรอท่านอยู่นานแล้ว” หลวงจีนน้อยกล่าวก่อนจะน้อมตัวและเดินออกจากห้องไป“คารวะไต้ซือ” โจวอี้เสวียนและฮวาอิงหลงคำนับด้วยความเคารพ“ข้าน้อยป๋อหยวน คารวะท่านทั้งสอง สีกามาในวันนี้คงมีเรื่องร้อนใจใช่หรือไม่” ไต้ซือป๋อหยวนเอ่ยทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและทว่ากลับดูทรงพลัง ฮวาอิงหลงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อได้สตินางจึงหันไปมองโจวอี้เสวียนอย่างลำบากใจ เขาเห็นท่าทางดังกล่าวก็เข้าใจโดยทันที “เช่นนั้นข้าจะออกไปรอด้านนอก หากเจ้าเสร็จธุระแล้วก็ไปหาข้าแล้วกัน” โจวอี้เสวียนพูดพร้อมหันหลังเดินออกไปเมื่อได้อยู่ตามลำพังสองคน ฮวาอิงหลงก็ยืนนิ่งอย่างทำตัวไม่ถูก นางกำสองมือแน่นด้วยความคิดสับสนมากมาย “ท่านไต้ซือ...ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับข้าใช่หรือไม่” ฮวาอิงหลงถามออกไปด้วยความสงสัยและหวาดระแวงไต้ซือป๋อหยวนยังคงทำหน้าเรียบเฉย กล่าวด้วยน้ำเสียงเพียงแผ่วเบา “ลิขิตสวรรค์ย่อมไม่อาจหนีพ้น หากสีกามีใจมุ่งมั่น ทุกสิ่งย่อมผ่านพ้นไปได้”ฮวาอ
บทที่ 72 เริ่มต้นวันใหม่ค่ำคืนอันเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่รอบจวนลอยมาแตะจมูก ภายในห้องนอนใหญ่ท่ามกลางแสงสลัวนั้น ฟางซินเย่นอนมองหน้าฮวาอิงหลงนอนคุดคู้อยู่บนเตียง นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบบนใบหน้าที่ผุดผาดฮวาอิงหลงยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นสายตาของฟางซินเย่ที่มองมาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่ไม่อาจซ่อนเร้น“อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่ยื่นมือขึ้นลูบไล้ไปตามลำแขนขาวก่อนจะไล่ลงมาตามลำตัวจนกระทั่งถึงหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา “พ่อเจ้าต้องการแม่เจ้าเหลือเกิน เจ้าอนุญาตหรือไม่” ฟางซินเย่เพ้อออกมาด้วยเสียงกระเส่า เขาพูดไปพลางปรายตามองฮวาอิงหลงด้วยสายตากรุ้มกริ่มฮวาอิงหลงยิ้มเขินออกมาอย่างรู้ทัน นางโน้มตัวขึ้นเกยบนร่างหนาของฟางซินเย่ในทันที สองมือของฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นคร่อมตัวเขาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงจะกระทบถึงบุตรในท้องฟางซินเย่หยัดกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมสองมือที่ยังคงลูบไล้ไปตามหน้าอกอิ่มนูนของฮวาอิงหลงอย่างหลงใหล ลมหายใจเริ่มติดขัดขึ้นมาพร้อมกับปากที่เป่าลมร้อนออกอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ฮว
บทที่ 71 อำลาเมืองหลวงเสียงกลองและแตรสัญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณลานวังหลวง ขันทียกราชโองการขึ้นประกาศ “ฮ่องเต้มีราชโองการ ด้วยบุญบารมีของราชวงศ์โจวทำให้เชื้อพระวงศ์กลับคืนสู่ราชวงศ์ ข้าขอแต่งตั้งฟางซินเย่เป็นองค์ชายโจวซินเย่ แต่งตั้งฮวาอิงหลงเป็นพระชายาอ๋อง และแต่งตั้งเฉินเม่าเป็นองค์หญิงโจวเหยาหยาง จบราชโองการ” ฟางซินเย่โน้มรับราชโองการด้วยใบหน้าเรียบสงบ เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผยอยู่ในที ในขณะที่ฮวาอิงหลงและเฉินเม่ากลับแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ จากสาวใช้ในจวนแม่ทัพคนหนึ่งได้เป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนได้เป็นพระชายาอ๋องช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักหลังเสร็จสิ้นการประกาศแต่งตั้งเฉินเม่าก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จวนโจวหนานเอ๋อร์ ผู้เป็นมารดาของนาง ทว่าสำหรับฟางซินเย่นั้นกลับเลือกที่จะขอพำนักที่จวนแม่ทัพตามเดิมโจวหนานเอ๋อร์แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของบุตรชาย นางจึงเพียงกำชับฮวาอิงหลงให้หมั่นไปเยี่ยมเยียนตนที่จวนให้บ่อยครั้งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงเดินทางไปยังจวนฉางกงจู่ โจวหนานเอ๋อร์และเฉ
บทที่ 70 ลูกของข้าราชโองการถูกประกาศปล่อยตัวฟางซินเย่ในวันต่อมาโดยทันที ในที่สุดฟางซินเย่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายวันเมื่อฟางซินเย่ได้รับอิสรภาพ เขาก้าวออกจากคุกด้วยความมุ่งมั่นและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงฮวาอิงหลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความถวิลหานาง ดั่งว่านี่คือการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของชีวิตเขา“อิงเอ๋อร์...ข้าไม่ยอมสูญเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” ฟางซินเย่กล่าวกับตนเองขณะที่ก้าวขึ้นม้าด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเมื่อฟางซินเย่ถึงจวนอ๋อง เขาปรี่ตรงเข้าไปหาโจวอี้เสวียนในทันที สองมือกุมคอเสื้อของโจวอี้เสวียนอย่างไม่นึกหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไป ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่มี พร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกัดฟันกรอด “อิงเอ๋อร์...อยู่ที่ใด”โจวอี้เสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่พรากหัวใจของหญิงสาวคนรักของตนไปทำให้เขานึกครึ้มอย่างจะกลั่นแกล้งฟางซินเย่อีกสักหน่อย โจวอี้เสวียนยิ้มเยาะขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ...เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วยเล่า”คำพูดยียวนทำเอาฟางซินเย่ถึงกับบันดาลโทสะ เขาง้างมือขึ้นเตรียมจะชกหน้าโจวอี้เสวียน แต่องครักษ์ข้างกายของโจวอ
บทที่ 69 ฝืนยอมรับในท้องพระโรงที่โอ่โถง บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน โจวจางเย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โจวอี้เสวียนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอย่างดุดัน“อี้เสวียน...เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อสตรีนางเดียวอย่างนั้นหรือ” โจวจางเย่วชี้นิ้วไปยังโจวอี้เสวียนด้วยความเกรี้ยวกราดโจวอี้เสวียนยืนนิ่งเงียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงทำสิ่งใด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องหาทางของข้าเอง”“เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก” โจวจางเย่วแค่นเสียงออกมาด้วยความขัดเคืองใจ “ความรักของเจ้าทำให้เจ้าลืมเลือนความเป็นบุตรหลานแห่งราชวงศ์แล้วหรือ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามีสถานะเช่นใด เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้วันหน้าต้องเป็นของเจ้า เจ้ากลับผิดแผนชั่วเพื่อแย่งชิงภรรยาผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปจะมีผู้ใดในแคว้นเคารพและนับถือเจ้า จะมีผู้ใดยอมรับใช้ถวายหัวให้กับเจ้า แม่ทัพฟางเป็นเสาหลักของแคว้น หากเจ้ากำจัดเขาทิ้ง เจ้าคิดหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้จะมั่นคงอยู่ได้”โจวอี้เสวียนกัด
บทที่ 68 พบพานภายในห้องขังที่แสนอับชื้นและเหน็บหนาว เสียงกุญแจที่บานประตูคุกหลวงสะท้อนเสียงดังไปทั่ว ฟางซินเย่ที่นั่งพิงผนังหินเย็นเฉียบตาแดงก่ำมองดูหนังสือหย่าที่เพิ่งได้รับ มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ริมฝีปากแห้งผากเผยอเบาๆ ออกมาราวกับจะกล่าวคำใด แต่ทุกคำกลายเป็นเพียงเสียงหายใจที่ตัดรอน “อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่พร่ำเอ่ยชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยดวงตาสั่นไหวที่คงความขมขื่นไว้ในห้วงแห่งความโศกเศร้า“อิงเอ๋อร์...เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพื่อข้า” ฟางซินเย่คร่ำครวญออกมา ใบหน้าเปลี่ยนสีแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงร้อนรุ่ม “เจ้ายอมแต่งงานกับโจวอี้เสวียนเพียงเพื่อรักษาชีวิตข้า...ข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าเพียงนี้เชียวหรือ...” เขาหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ขาดหายราวกับจะกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ความรันทดอดสูใจทำให้เขาถึงกับกุมหมัดขึ้นทุบผนังหิน เลือดไหลซึมออกมาหยดลงเป็นทางยาว ความเจ็บปวดของร่างกายกลับไม่อาจเทียบความเจ็บปวดภายในใจที่มีได้ในขณะที่บรรยากาศคุกขังอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ภายในเฉินเม่าและเสี่ยวม่านกลับไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ความทุกข์ร้อนของพี่น้องร่วมสาบานเช่นฮวาอิง
บทที่ 67 แผนร้ายภายในโถงใหญ่ในจวนอ๋อง โจวอี้เสวียนที่หน้าตาเคร่งเครียดยืนอยู่อย่างหัวเสีย ความหงุดหงิดก่อตัวภายในใจที่นึกไว้ใจคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นเฉินเฉียวเหยา หากนางไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้โอกาสที่เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างฟางซินเย่ย่อมเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น ข้าวของถูกปาแตกกระจายด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เขาก้าวเดินวนไปมาอย่างต้องการใช้ความคิดสักครู่หนึ่งโจวอี้เสวียนตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเข้ามา “พวกเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” โจวอี้เสวียนออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จักพ่ายแพ้องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที “ขอรับท่านอ๋อง”โจวอี้เสวียนเหม่อมองออกไปภายนอกห้องด้วยความคิดอันแยบยล หากแผนการแรกผิดพลาด เขาย่อมต้องมีแผนที่สองเตรียมรับมือไว้เป็นแน่ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน กองกำลังทหารของโจวอี้เสวียนก็เข้าปิดล้อมจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่เดินอย่างอาจหาญออกมาเผชิญหน้าเหล่าทหารของโจวอี้เสวียน โดยมีเหล่าทหารกองทัพของฟางซินเย่ยืนประจัญบานเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี“แม่ทัพฟางซินเย่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นจวนของท่าน โปรดใ
บทที่ 66 กำจัดทิ้งภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจวนสกุลเฉิน เสียงแผดคำรามของเฉินเซียวหยงดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง พ่อบ้านได้แต่ยืนตัวสั่นเทาด้วยกลัวแรงโทสะของนายท่านที่มี มือของเฉินเซียวหยงกำขยุ้มกระดาษรายงานที่เพิ่งส่งข่าวมาให้เขารับรู้ หัวใจเต้นเร็วแรงด้วยความโกรธแค้น เขาขบฟันแน่นจนสันกรามขึ้นเป็นริ้ว ดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต"พวกมันช่างอาจหาญยิ่งนัก กล้าข่มเหงรังแกบุตรสาวของข้า ทำเช่นนี้มิเท่ากับกล้าลบหลู่ข้าอย่างนั้นหรือ" เฉินเซียวหยงสบถออกมา เมื่อได้รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของเฉินเฉียวเหยา ทั้งยังเรื่องที่นางถูกละเลยและถูกลบหลู่สารพัดจากคนในจวนแม่ทัพ“พ่อบ้านเตรียมรถม้าข้าจะไปพบแม่ทัพฟางที่จวนแม่ทัพ เร็วเข้า” คำสั่งดังก้องด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ พ่อบ้านลนลานรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจัดการในทันทีขณะที่เฉินเซียวหยงกำลังจะก้าวออกจากห้องโถง ฉับพลันพ่อบ้านก็รีบเดินปรี่เข้ามาแจ้ง “เรียนนายท่าน ท่านอ๋องโจวอี้เสวียนมาขอพบขอรับ”เฉินเซียวหยงได้ฟังก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที เขาเร่งเดินออกมาต้อนรับโจวอี้เสวียนในทันที ใบหน้าของเขายิ้มกว้างออกมา ดวงตาทอประกายความยินดีอย่างยิ่ง“ค
บทที่ 65 ข่าวดีภายในเรือนหนิงหลง เฉินเฉียวเหยากำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง มือบางทั้งสองข้างบวมขึ้นจนน่าตกใจ ผิวที่เคยขาวซีดของนางบัดนี้แดงก่ำจากการถูกน้ำร้อนลวก เฉินเฉียวเหยาเจ็บแสบจนแทบทนไม่ไหว นางนึกเคืองแค้นจนเผลอตัวกำหมัดแต่เพราะผิวที่เป่งตึงทำให้นางถึงกับร้องครางออกมา เฉินเฉียวเหยาได้แต่ขบฟันแน่น ใบหน้าบูดบึ้งจนทำให้หน้าที่เคยสวยหวานกลับดูน่าเกลียดขึ้นมาหว่านหลงรีบเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบให้นายหญิงของตนด้วยความทะนุถนอม นางเช็ดไปพลางเป่าไปพลางเพื่อให้เฉินเฉียวเหยาคลายความเจ็บลงไป “คุณหนู เจ็บมาหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะต้องรายงานใต้เท้าแล้วนะเจ้าคะ บ่าวทนเห็นคุณหนูถูกรังแกเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”ยังไม่ทันที่เฉินเฉียวเหยาจะตอบกลับอันใดออกมา พ่อบ้านก็พาตัวหมอเข้ามาดูอาการ เฉินเฉียวเหยาจึงได้แต่เม้มปากก่อนจะตีสีหน้าเศร้าหมองออกไปหมอรีบเข้ามาดูอาการของเฉินเฉียวเหยาในทันที ความเจ็บปวดเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทันทีที่หมอแตะต้องบริเวณที่บวมแดง เฉินเฉียวเหยาก็ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดทางกายที่นางได้รับยังไม่ถึงเศษเสี้ยวความรู้สึกเจ็บปวดทางใจที่มี ดวงตาสั่นไหวระริกไปด้วยค
บทที่ 64 เล่ห์กลนี้ใช้กับข้าไม่ได้ช่วงบ่ายของวันฮวาอิงหลงกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาภายในสวนโดยมีเสี่ยวม่านคอยปรนนิบัติอย่างรู้ใจ นางนึกย้อนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง“คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” เสี่ยวม่านถามออกมาด้วยความห่วงใย“ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย “เจ้าค่ะ” เสี่ยวม่านรีบย่อกายพร้อมถอยหลังออกไปอย่างไม่ต้องการรบกวนนายหญิงของตนอีกฮวาอิงหลงนั่งปล่อยความคิดได้เพียงสักครู่หนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงหวานดังขึ้นมา “เหยาเอ๋อร์คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยาเดินเข้ามาหาภายในศาลาพร้อมย่อกายคำนับฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นางก็มิได้คิดจะหนีหน้าแต่อย่างใด“เชิญนั่งสิ แม่นางเฉิน”" ฮวาอิงหลงเอ่ยเบาๆ พร้อมผายมือให้เฉินเฉียวเหยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเฉินเฉียวเหยาปั้นหน้ายิ้มหวาน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญ “ข้ามาอยู่ที่นี่รู้สึกเหงายิ่งนัก หากได้พูดคุยกับสหายเก่าเช่นท่านคงคลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง” เฉินเฉียวเหยากล่าวออกมาอย่างสนิทสนมดั่งเช่นพวก