ทางด้านเทียนหานที่ตอนนี้ยังไม่ได้ไปทำงานเพราะมัวแต่ยุ่งกับเจ้าตัวแสบที่อยู่ในอ้อมแขนที่ต้องการจะหาแต่ผู้เป็นแม่
“เสี่ยวหยุนลูกต้องเงียบ ๆ นะเข้าใจไหม” คนเป็นพ่อที่อุ้มลูกน้อยอยู่ไม่ลืมกล่าวกำชับอีกครั้ง
“ฮับ” เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของบิดายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปากตัวเองแน่นพร้อมพยักหน้าส่งเสียงตอบรับ เบา ๆ
คนเป็นพ่อที่เห็นเจ้าตัวกลมทำท่าทางแบบนี้ก็หัวเราะน้อย ๆ ก่อนที่เขาจะเปิดประตูห้องนอนเข้าไปก็ได้เห็นภรรยาคนงามที่กำลังนั่งแต่งหน้าอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
“แม่” ลูกชายคนเล็กเมื่อเห็นคนเป็นแม่เขาก็รีบดิ้นดุ๊กดิ๊กในอ้อมแขนคนเป็นพ่อ ก่อนจะส่งเสียงเรียกเพื่อต้องการที่จะไปหาผู้เป็นแม่
เทียนหานที่เห็นความดื้อดึงของเจ้าตัวเล็กเขาก็เลยต้องปล่อยให้ลูกน้อยยืนลงพื้นก่อนที่เจ้าตัวกลมจะตกลงจากอ้อมแขนของตนเสียก่อน
“ยืนดี ๆ ก่อนครับเดี๋ยวล้ม” คนเป็นแม่หันมาบอกลูกชายเสียงหวาน
“ฮับ” เจ้าตัวเล็กรับคำก่อนที่จะยืนตัวตรงแล้วก็ค่อย ๆ เดิน ตุปัดตุเป๋ส่ายก้นน้อยมาทางแม่ที่ยื่นมื
“ฮุ่ยชิว ลี่ซือ คุณลุงแน่ใจนะครับว่าคนทั้งสองชื่อแซ่นี้” รองหัวหน้าหน่วยที่มักจะนิ่งอยู่เป็นนิจคล้ายกับสหายสนิททวนชื่อของทั้งสองออกมาใจเริ่มไม่สงบ“ใช่พวกเขาเป็นเพื่อนของลุงพวกเรามาจากที่เดียวกัน” หมิงป๋อเหรินที่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมสหายทหารหนุ่มด้านหน้าถึงดูตื่นเต้นตอบตามจริง“อาหมิ่นมีอะไรอย่างนั้นเหรอ” ตงหยางที่เห็นความผิดปกติของสหายสนิทที่เป็นเหมือนพี่น้องด้วยความแปลกใจ“ถ้าชื่อนี้จริงแล้วมาจากที่เดียวกับพ่อของนายมีความเป็นไปได้ว่าคนทั้งสองน่าจะเป็นพ่อแม่ของผม” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวเสียงสั่นใบหน้าเริ่มแสดงความหวาดหวั่น“ไม่ว่าคนทั้งสองจะเป็นพ่อแม่นายหรือไม่ก็ตามเราจะต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด และจะต้องไม่ลืมในสิ่งที่พวกเราเคยฝึกมานายเข้าใจไหม” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวเสียงหนักแม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นสหายสนิทและเป็นพี่น้องที่อยู่มาด้วยกันตลอดเจ็ดปีก็ตาม“ทราบ” ฮุ่ยหมิ่นที่ได้ยินคำพูดของตงหยางขานรับเสียงหนัก ใช่แล้วแม้ว่าสองชีวิตนั้นจะเป็นใครก็ตามพวกเขาจะต้องช่
“พ่อ!” ฮุ่ยหมิ่นรีบหันไปมองทางด้านหลังทันทีที่สหายช่วยแม่ของตนขึ้นไปเรียบร้อยแล้วตะโกนออกมาเสียงดังจนสุดเสียง“ไม่ต้องห่วง ฉันจะต้องช่วยพ่อนายได้แน่” ตงหยางรีบบอกเพื่อนก่อนที่เขาจะสวนกลับเพื่อนของตนโรยตัวลงไปทันทีลี่ซือแม้จะถูกช่วยขึ้นมาได้แต่พอมองเห็นสภาพบ้านของตนที่เริ่มจะเอนตัวมากขึ้นหัวใจของเธอก็ดิ่งวูบลง จากนั้นหล่อนก็พยายามจะลุกขึ้นยืนเพื่อหวังที่จะไปหาสามีด้านฮุ่ยหมิ่นที่เห็นว่าสหายรักลงไปเพื่อที่จะช่วยพ่อของตนแล้วก็ได้หันหน้ากลับมาหาคนเป็นแม่ที่ตอนนี้กำลังร่ำไห้อย่างหนักพร้อมร้องตะโกนเรียกชื่อพ่อซ้ำไปซ้ำมาด้วยความเจ็บปวดเหลือเกินชายหนุ่มอายุสิบเก้าจึงได้เดินเข้าไปใกล้แม่ผู้บังเกิดเกล้าที่พรากจากกันไปหลายปีพร้อมนั่งคุกเข่าทั้งสองข้างด้านหน้าก่อนที่เขาจะเปิดปากของตนเรียกหญิงผู้นี้“แม่ครับ เชื่อผมพ่อจะต้องปลอดภัยหัวหน้าหมิงเก่งมาก” ชายหนุ่มผู้เป็นลูกเรียกแม่เสียงเครือตาเริ่มแดง“แม่อย่างนั้นเหรอ เสี่ยวหมิ่น...เสี่ยวหมิ่นของแม่ฮือ ๆ แม่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม แม่คิดถึงลูกมาตลอด..คิดถึงมาก” ลี
“เสี่ยวตงลูกเป็นยังไงได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า”“ผมไม่เป็นไรครับพ่อวางใจได้ เอาไว้เราไปถึงที่พักค่อยคุยกันตอนนี้พวกเราต้องรีบกลับหากเกิดดินถล่มขึ้นจะแย่ได้” ชายหนุ่มยิ้มตอบคนเป็นพ่อ“ได้เอาตามที่ลูกว่า” คนเป็นพ่อก็ไม่ขัดเนื่องจากสถานที่พวกเขาอยู่ยังไว้ใจไม่ได้ทางครอบครัวฮุ่ยสามคนพ่อแม่ลูกต่างก็ร้องไห้กอดกันด้วยความดีใจ เพราะไม่คิดว่าเรื่องบังเอิญแห่งโชคชะตาแบบนี้จะมีจริงและได้มาเกิดกับพวกตน“พ่อครับตอนนี้พวกเราต้องรีบเดินทางแล้ว เอาไว้ผมเสร็จจากภารกิจแล้วพวกเราค่อยคุยกันนะครับพ่อกับแม่ก็ไปอยู่กับลุงหมิงก่อน”“ลูกรู้จักพี่หมิงแล้วอย่างนั้นเหรอจะว่าไปดูเหมือนว่าสหายหนุ่มของลูกก็น่าจะรู้จักกับพี่หมิงดี เพราะทั้งสองดูคุยกันอย่างสนิทสนม” คนเป็นพ่อพูดขึ้นเมื่อเขามองไปรอบ ๆ แล้วเห็นภาพที่พี่ชายที่ตนรู้จักคุยอยู่กับเด็กหนุ่มที่ช่วยตัวเองไว้“เขาเป็นพ่อลูกกันครับ พวกเขาเพิ่งจะมาพบกันที่นี่เหมือนที่ผมพบกับพ่อแม่นี่แหละ” ฮุ่ยหมิ่นอธิบาย“หา! นี่มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญจร
ตั้งแต่ที่ตงหยางกับฮุ่ยหมิ่นเจอพ่อแม่ของพวกเขาทั้งสองก็มีความสุขมากกว่าแต่ก่อนทางด้านสี่พี่น้องเจียงที่ได้ทราบเรื่องนี้ก็ได้แจ้งไปยังน้องสาวบุญธรรมของตนเพื่อให้หล่อนได้แจ้งไปยังครอบครัวของคนทั้งสองอีกครั้งอย่างน้อยคนแก่อย่างคนเป็นพ่อแม่ก็จะได้มีกำลังใจในการอยู่ต่อเพื่อที่จะได้พบหน้าลูกชายของพวกเขา“ใครโทรมาหรือครับคุณถึงดูมีสีหน้าดีใจแบบนั้น” เทียนหานที่กำลังอุ้มเจ้าลูกชายตัวแสบถามกับภรรยาสาวด้วยความสงสัย นอกจากเรื่องเงินแล้วภรรยาเขาจะมีเรื่องอะไรให้ดีใจได้อีก“ที่ถามแบบนี้คุณต้องคิดว่าฉันได้เงินเพิ่มจากไหนแน่เลยใช่ไหมคะ” หญิงสาวผู้เป็นภรรยาถามสามีที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีอย่างรู้ทัน“อะแฮ่ม...ผมเอ่อ” คนเป็นสามีที่ถูกภรรยากล่าวย้อนทำให้พูดไม่ออกจะปฏิเสธก็ไม่ได้จะยอมรับก็ใช่ที่“เอาเถอะค่ะฉันไม่ได้คิดโกรธคุณเสียหน่อย เรื่องที่ทำให้ฉันดีใจเป็นเรื่องของครอบครัวของหมิงกับฮุ่ยต่างหาก”“เรื่องอะไรอย่างนั้นหรือครับ” สามีที่อดทนรอไม่ไหวรีบถามออกมาพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้กับภรรยาสาว ส่วนเจ
“ขอบคุณค่ะ/ครับ” ทั้งสองคนนั่งลงที่เก้าอี้ด้านตรงข้ามกับเจ้าบ้านทั้งสอง เจ้าก้อนกลมที่ได้นั่งอยู่บนตักแข็งของคนเป็นพ่อทำให้เจ้าตัวเล็กยู่หน้าด้วยความไม่ชอบใจสักเท่าไหร่“ปล่อยลูกลงก็ได้นะอาหาน คงจะไม่ซนหรอกใช่ไหมเสี่ยวหยุน” ฮุ่ยซิ่วกล่าวออกมาเมื่อเห็นความนั่งไม่นิ่งของเด็กชายตัวกลม เทียนหานที่เห็นอาการของลูกชายเขาจึงได้ปล่อยเจ้าตัวน้อยให้ยืนเกาะเก้าอี้เพื่อดูว่าเจ้าแสบจะทำยังไงต่อไป“เมฆน้อยมาหายายไหมลูกมาให้ยายกอดหน่อย” เจียวจินที่เอ็นดูเด็กชายตัวกลมผิวขาวกวักมือเรียกเด็กน้อยพร้อมเอ่ยเรียกเสี่ยวหยุนที่เข้าใจว่าที่คุณยายคนนี้เรียกคือตัวเอง แต่ว่าแม่เคยบอกว่าห้ามเข้าใกล้คนแปลกหน้าแต่ว่าทำไมยายคนนี้ถึงรู้จักชื่อเขา แบบนี้ถือว่าแปลกหน้าหรือเปล่าเด็กชายตัวน้อยที่หันไปตามเสียงเรียกแต่ยังไม่เดินไปจึงได้หันหน้าไปมองแม่ของตนเหมือนกำลังขอความเห็น“ไปได้จ้ะ คุณยายเจียวจินกับคุณตาฮุ่ยซิ่วไม่ใช่คนแปลกหน้า” ซูเหยาที่รู้ว่าลูกชายมองหน้าเรื่องอะไรเอ่ยปากเด็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบของคนเป็นมารดาเขาจึงค่อย ๆ เด
ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกเมื่อมาถึงโรงงาน ซึ่งคนงานที่นี่ก็ยังมีจำนวนเท่าเดิม คนที่ทำงานก็ต่างพากันทักทายคนทั้งสามแต่ที่เป็นขวัญใจของทุกคนก็เห็นจะเป็นเจ้าเด็กตัวกลมที่แจกรอยยิ้มให้กับทุกคนที่ทำงานภายในโรงงานแห่งนี้ ที่ไม่ว่าใครก็มักจะเรียกชื่อเจ้าตัวน้อยด้วยความเอ็นดู“เฟยเมี่ยวตอนนี้ทุกคนเป็นยังไงกันบ้างเหนื่อยหรือเปล่าต้องการคนเพิ่มไหม” นายจ้างสาวถามกับหญิงสาวที่ทำงานมาด้วยกันหลายปีด้วยความเป็นห่วง“ตอนนี้พวกเราทุกคนยังทำงานกันไหวจ้ะ เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอกพวกเรายังสามารถรับมือกันได้อยู่แต่ถ้าอีกหน่อยเธอมีรายการสั่งซื้อมากกว่านี้ก็คงต้องหาคนเพิ่มแล้วล่ะ” หญิงสาวผู้ที่เคยคิดฆ่าตัวตายเมื่อครั้งอดีตตอบด้วยรอยยิ้ม“เอาไว้เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะให้พวกเธอทั้งเจ็ดคนได้มีตำแหน่งกินเงินเดือนคอยดูแลคนงานอีกทีเลยล่ะ” นายจ้างสาวกล่าว“พวกเราเชื่อเธอนะ ไม่มีเรื่องอะไรที่ซูเหยาพูดแล้วทำไม่ได้” ลี่เซี่ยนที่แม้จะแต่งงานกับคุณชายสามเจียงกล่าวออกมาบ้างทำให้หญิงสาวที่ได้ยินอีกหกคนต่างก็พากันหัวเราะพร้อมกับเห็นด้วยกับคำพูดขอ
“แม่มาทำไมหรือครับ” พี่ชายคนรองของบ้านถามแม่ด้วยความสงสัย ซึ่งปกติพวกเขาไม่ค่อยเข้ามาที่นี่บ่อยนัก เดือนหนึ่งก็มาเพียงสองหนเพื่อมาเยี่ยมปู่กับคนบ้านหมิงและพวกเขาก็เพิ่งจะมากันเมื่อสามสี่วันก่อน ที่แม่มาเตรียมสิ่งของให้กับพี่ชายใหญ่ของป้าเฉิน“แม่จะมาแจ้งข่าวให้กับบ้านหมิงรู้เรื่องที่ว่าพี่ตงหยางของพวกลูกพบพ่อของตัวเองที่เมือง S และแม่คิดว่าหากพวกเขาเสร็จภารกิจที่นั่นก็น่าจะได้เดินทางกลับมาบ้านพร้อมกัน” คนเป็นแม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างคนเป็นพ่อที่ทำหน้าที่ขับรถตอบ“พี่ชายใหญ่กับพี่หมิ่นจะกลับมาแล้วเหรอคะ พวกเขาใจร้ายมากเลยไม่ติดต่อหาพวกหนูเลยสักนิด” เจ้าหญิงหนึ่งเดียวของบ้านเทียนกล่าวดีใจกึ่งตัดพ้อที่ได้ยินคำพูดของแม่“พวกหนูก็น่าจะรู้ว่าพี่เขาอาจจะบอกไม่ทันและอีกอย่างพวกเขาก็ฝึกกันหนัก หากอยู่ตัวแล้วอีกหน่อยแม่ว่าพวกเขาก็น่าจะติดต่อลูกได้ง่ายขึ้น พี่เขามีความฝันของตนคืออยากแข็งแกร่งเป็นที่พึ่งให้ครอบครัวดังนั้นจึงต้องทุ่มเทมากแล้วพวกลูกล่ะได้คิดกันไว้หรือเปล่าว่าหากจบมัธยมปลายอยากจะทำอะไรกันจะเรียนต
เหตุการณ์การแจ้งข่าวดีให้กับทั้งสองบ้านผ่านมาจนเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าค่อนข้างครึ้มทำให้อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นกว่าเดิมดีที่ว่ายังไม่หนาวถึงขนาดมีหิมะตกเด็กทั้งสามก็ยังคงไปเรียนกันได้อยู่ ในช่วงเวลานี้ไม่ว่ามองไปทางไหนก็แทบจะไม่มีผู้คนออกมาเดินภายนอกมากนักเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นแต่เรื่องนี้กับเป็นผลดีกับกิจการของซูเหยาที่เสื้อกันหนาวทั้งชายหญิงไม่ว่าจะของเด็กหรือผู้ใหญ่ได้ขายดีเป็นพิเศษทางครอบครัวของทั้งสองบ้านแม้ว่าจะเฝ้ารอคนที่อยากพบหน้ามากเพียงใด ก็ยังคงทำหน้าที่ของตนกันเหมือนเดิม ถิงถิงเองก็ยังคงเอาหมูมาเลี้ยงอยู่เช่นเดียวกับครอบครัวของมู่จางเพื่อบังหน้าเหมือนเดิม ซึ่งงานเหล่านี้ได้หลานชายมู่ซือกับเสี่ยวฟางเป็นคนดูแลเนื่องจากพวกเขาเห็นปู่อายุมากขึ้นนั่นเอง หากจะไม่เอามาเลี้ยงก็ไม่ได้เนื่องจากอาจจะเป็นที่สงสัยของชาวบ้าน ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดปัญหาเด็กทั้งสองจึงเป็นคนที่ดูแลงานต่าง ๆ เองโดยที่แบ่งหน้าที่กันไปหลังจากเลิกเรียนเสี่ยวฟางคนเป็นน้องจะไปทำงานที่โรงงานและพักอยู่ที่นั่น เมื่อถึง
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ