ตงหยางที่ในเวลานี้ได้อยู่กับน้องสาวตัวน้อยของตนเมื่อครั้งอดีตตามลำพัง ชายหนุ่มก็ได้เห็นว่าน้องสาวคนนี้เติบโตขึ้นมากแถมใบหน้ากลมเมื่อตอนเป็นเด็กก็กลายเป็นใบหน้าเรียวสวยดูหวานละมุนผิดกับเด็กแก้มแดงกลมลิบลับ
“เสี่ยวผิง” ชายหนุ่มเรียกน้องสาวที่นั่งอยู่ด้วยกันเสียงอ่อน
“ค่ะพี่ชาย” คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าจากหนังสือที่อยู่ในมือมองคนที่เรียกตนเองด้วยดวงตากลมโต
“คือว่าตอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยน้องมีแฟนหรือว่าคนที่ชอบไหมครับ” คนแก่กว่าถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ด้วยใจเต้น ระส่ำอย่างไม่เคยเป็น
“อืม พี่ชายถามแบบนี้หมายความว่ายังไงหรือคะ” คนตัวเล็กกว่าที่พอจะคาดเดาอะไรได้ลาง ๆ ถามออกมาด้วยใบหน้าใสซื่อ
“พี่ชอบน้องหากว่าเสี่ยวผิงมีคนอื่นพี่จะได้วางตัวถูก” ตงหยางตอบออกมาตามความรู้สึกโดยไม่คิดอ้อมค้อม ต่อ ไปอีก
“ก็แค่นี้เอง เพราะน้องก็ชอบพี่เหมือนกัน” เสี่ยวผิงลดหนังสือในมือลงพูดออกมาอย่างเขินอาย เธอแค่รอว่าเมื่อไ
หนิงเหอเหม่อมองบ้านที่หล่อนจากไปนานด้วยความคิดถึงความทรงจำเดิม ๆ ยามที่ตนยังเคยอยู่ที่นี่ ทำให้ซูหลงจับมือภรรยาของตนแน่นอย่างปลอบใจเจ้าบ้านชราครอบครัวจ้าวเมื่อได้ยินว่าลูกสาวของตนมาถึงแล้วเขาก็รีบเดินออกมาด้านนอกด้วยความใจร้อน“หนิงเหอ” ชายผู้ชราตะโกนเรียกลูกสาวของตนเสียงสั่นเครือในความคิดถึงและรู้สึกผิด“พ่อคะ” คนเป็นลูกเมื่อหันไปตามเสียงเรียกชื่อของตน หล่อนก็วิ่งเข้าไปหาชายคนนั้นพร้อมกับเอ่ยเรียกผู้ที่จากกันหลายปีออกมาน้ำตาคลอหน่วย“พ่อขอโทษนะ ที่ทำให้ลูกลำบากมาเป็นเวลาหลายปี” คนเป็นพ่อกอดลูกสาวแน่นกล่าวถ้อยคำออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันสบายดีค่ะ ไม่ได้ลำบากอะไรเลยคนบ้านซูดีกับฉันมากตอนนี้ฉันมีสามีและมีหลานให้พ่อแล้วนะคะ” คนเป็นลูกกล่าวออกมาจากใจ แม้ครั้งแรกจะลำบากแต่หลังจากที่เธอแต่งงานก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองลำบากอะไรอีกเลย“ดีแล้วแสดงว่าลูกเขยของพ่อต้องเป็นคนดีมากใช่ไหมถึงไม่ยอมให้ลูกสาวของพ่อลำบาก” คนเป็นพ่อหลังจากระงับสติอารมณ์ของตนได้แล้วกล่าวหยอกลูกออกมาทั้งที่ยังไม่คลายอ้อมกอด
ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นห้างที่ซูเหยากับพี่น้องบ้านซูของเธอได้เป็นผู้ร่วมหุ้นกัน การก่อสร้างใช้เวลาถึงสองปีและยังไม่รวมการตกแต่งภายในในช่วงเวลานี้ทางด้านเทียนเฟยที่เรียนจบแล้วเขาได้ขอคนเป็นแม่เดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ซูเหยาเองแม้จะเป็นห่วงและคิดถึงลูกเธอก็ไม่ได้คิดขัดความต้องการของลูกชายคนรองแต่อย่างใดเพราะเธอเองก็อยากให้ลูกเติบโตในเมื่อเป็นสิ่งที่ลูกเลือกคนเป็นแม่ก็ได้แต่สนับสนุน เช่นเดียวกับคนเป็นพ่อที่แม้จะนิ่ง ๆ แต่เขาก็รักและเป็นห่วงลูกทุกคนส่วนเทียนผิงกับมู่ฟางนั้นเลือกที่จะไปทำงานในโรงพยาบาลในค่ายทหารที่พี่ชายของตนประจำการอยู่ที่นั่น ซึ่งก็ไม่ได้ไกลจากเมืองหลวงมากนักขับรถเพียงแค่สองชั่วโมงเศษก็ถึงโดยตอนนี้เทียนเฉินกับมู่ซือก็ได้ขึ้นเป็นนายกองกันทั้งคู่แล้ว แต่กว่าจะได้ตำแหน่งนี้มาก็เกือบต้องแลกกับชีวิตของทั้งสองคนที่ถึงขนาดเลือดตกยางออกกันทีเดียวในการช่วย เหลือตัวประกันที่พ่อค้าอาวุธเถื่อนจับคนกลุ่มหนึ่งเอาไว้โดยเทียนเฉินได้ปลอมเป็นหนึ่งในตัวประกันก่อนที่เขาจะเอาตัวเข้าไปบังผู้หญิงคนหนึ่งที่มาทราบทีหลังว่าเป็นพยาบาลที่กำลังจะมารา
ทางด้านจิวเหลียนตอนนี้ก็ได้ซื้อฟาร์มต่อจากซูเหยาตามที่คนเป็นน้องได้เสนอขายให้ เนื่องจากกิจการของเธอมีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อที่ร่วมหุ้นอยู่กับสองมังกรเจ้าถิ่น พอมาเมืองหลวงหล่อนก็มาเปิดห้างแบ่งพื้นที่ให้คนเช่าภายในอีกดังนั้นในเมื่อจิวเหลียนทำฟาร์มได้ดีซูเหยาก็เลยตัดสินใจขายให้กับอดีตพี่สะใภ้คนนี้เพื่อให้หล่อนได้มีความภาค ภูมิใจในตัวเองมากขึ้น และในตอนนี้จิวเหลียนก็ได้ซื้อบ้านใกล้กับค่ายของลูกชายเพื่อที่จะได้ไปอยู่กับลูกทั้งสองอีกความรักของหมิงตงหยางกับเทียนผิงก็เป็นไปด้วยดีจน กระทั่งหลายวันก่อนทางครอบครัวหมิงได้พาแม่สื่อมาทาบทามขอลูกสาวหนึ่งเดียวของบ้านเทียน“แม่คะ แม่ว่าฉันจะแต่งงานเร็วไปหรือเปล่า” คนเป็นลูกที่เพิ่งจะทำงานเต็มตัวได้สองปีถามคนเป็นแม่ในชุดแต่งงานสีแดงปักลายมงคลด้วยดิ้นสีทองจากโรงงานของซือซิง ที่ในเวลานี้ก็ได้มาสร้างโรงงานในเมืองหลวงตามเส้นทางเดิมของคนทั้งสอง“หนูอายุยี่สิบห้าแล้วนะ ตอนแม่แต่งกับพ่อแม่อายุสิบแปดเอง” คนเป็นแม่ที่กำลังหวีผมให้ลูกกล่าว“ก็ตั้งแต่ปฏิวัติคนก็ทำตามนโยบายของผู้นำคน
เหลียนฮวาที่หายไปจากโรงเรียนในช่วงค่ำของวัน หล่อนได้เกิดความตื่นตระหนกเป็นอย่างมากเนื่องจากได้ถูกคนมัดมือมัดเท้ารวมทั้งยังเอาถุงดำแสนสกปรกมาคลุมหัวของเธอเอาไว้อีก“ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้างที่รัก กลัวหรือว่าสิ้นหวังกันล่ะ” เสียงอันคุ้นเคยที่หญิงงามได้ลืมเลือนไปนานแล้วดังขึ้น ทำให้หล่อนรู้สึกสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว“คุณไม่ต้องกลัว ผมไม่ใจร้ายฆ่าคุณให้ตายทันทีเหมือนที่คุณคิดจะทำกับผมหรอก ในเมื่อชีวิตของผมพังทลายด้วยฝีมือของคุณ ดังนั้นเราก็มาพังไปด้วยกันเถอะ” ฮุ่ยหวงกัดฟันกรอดพูดออกมาอย่างเจ็บแค้นหลังจากเหลียนฮวาได้ยินเสียงของคนที่ตนคุ้นเคยเธอก็เริ่มส่งเสียงอู้อี้ออกมาพร้อมกับพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่ตัวเองได้ถูกกระทำอยู่ในขณะนี้ชายหนุ่มที่เห็นท่าทางดิ้นรนของหญิงสาวจึงได้ดึงถุงดำออกจากศีรษะของหญิงงาม และความสว่างอันริบหรี่ก็ได้ปรากฎขึ้นต่อหน้าของหญิงผู้ที่กำลังดิ้นรนอยู่ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำของหล่อนมองไปยังภาพด้านหน้าก่อนที่เธอจะแหงนหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่หน้าตัวเองพร้อมกับใจที่เต้นระส่ำ
โดยคนเป็นแม่ที่ยังคงเฝ้ารอการกลับไปของลูกสาวแบบ เธออยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งข่าวการประกาศรับสมัครเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งมาถึงด้วยความหวังว่าลูกสาวอันเป็นที่รักจะกลับบ้านมาในสักวัน แต่สุดท้ายความหวังก็ว่างเปล่าจนเวลาผ่านไปหลายปีหญิงชราจึงได้หมดหวังชีวิตความเป็นอยู่ของเหลียนฮวานั้นในปัจจุบันหล่อนได้ถูก ฮุ่ยหวงกระทำการอันทารุณไม่ว่าจะทางจิตใจหรือทางกายโดยตอนกลางวันเธอจะต้องไปใช้แรงงานโดยถูกล่ามโซ่เหมือนสุนัข กลางคืนเธอก็จะถูกชายผู้นี้กระทำชำเราเหมือนกับไม่ใช่คนนานวันเข้าจิตใจของเธอก็รู้สึกชินชากับทุกสิ่งทำให้อดีตหญิงงามไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่การที่จะให้หล่อนตายไปคนเดียวมันก็ไม่เป็นการแก้แค้นอย่างน้อยไอ้ชั่วมันก็ต้องลงหลุมไปกับตนด้วยเมื่อคิดได้แบบนี้เหลียนฮวาก็ทำการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้คนที่หล่อนเกลียดชังตายใจ ฮุ่ยหวงที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของหญิงคนนี้ในคราแรกเขาก็ยังรู้สึกหวาดระแวงอยู่ แต่เมื่ออยู่ด้วยกันจนผ่านมาอีกหลายปีการกระทำของเหลียนฮวาก็ยังคงเสมอต้นเสมอปลาย ฮุ่ยหวงจึงได้คลายความหวาด
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ