จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งที่คนบ้านเทียนได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่พวกเขาคิดถึงตลอดทั้งสัปดาห์
ย้อนกลับไปทางฝั่งเทียนเฉินในคราแรกหลังจากที่ชายหนุ่มเดินลงจากรถไฟเป้าหมายแรกของเขาก็คือพยายามมองหาโทรศัพท์เพื่อจะติดต่อคนทางบ้านตามที่ได้บอกไว้
แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเพราะโทรศัพท์เครื่องเดียวที่มีในสถานีรถไฟอันห่างไกลแห่งนี้เกิดเสีย ทำให้เขาเกิดอาการคอตกจึงจำใจต้องตัดใจจากการโทรกลับบ้านด้วยหัวใจอันห่อเหี่ยว แต่ในช่วงเวลาที่เขากำลังก้มหน้าอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของตน
“เสี่ยวเฉิน” น้ำเสียงอันคุ้นเคยตะโกนเรียกชายหนุ่มร่างสูงเสียงดังแข่งกับเสียงพูดคุยของผู้คนรอบด้าน
ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของชื่อจึงได้หันไปตามเสียงของคนผู้นั้นและจากใบหน้าที่หงอยเหงาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่ไม่คิดว่าพี่ชายทั้งสามจะสามารถมารับตัวเองได้พร้อมกัน
“พี่ตงหยาง พี่หมิ่น พี่ซือ” เด็กหนุ่มผิวขาวอายุสิบเก้ารีบสาวเท้ายาวของตนพร้อมกับยกกระเป๋าใบยักษ์สีเขียวสะพายขึ้นไหล่ด้านขวาเดินตรงมาหาบุคคลทั้งสามด้วยความดีใจ
“พวกพี่มากันได้ยังไงครั
จากเหตุการณ์ที่เจอกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นครูฝึกของตนด้วยความบังเอิญในวันนั้นก็ผ่านมาได้หนึ่งสัปดาห์ชายหนุ่มจึงได้มีโอกาสโทรศัพท์กลับมายังทางบ้าน“เสี่ยวเฉินลูกอยากให้แม่ไปหาถึงที่ใช่ไหมไปเป็นอาทิตย์แล้วเพิ่งจะโทรมา นี่หากว่าลูกยังไม่โทรมาอีกแม่กำลังคิดว่าจะบุกไปหาลูกแล้ว” ซูเหยาที่ปกติมักจะนิ่งเฉยกล่าวออกมาด้วยความร้อนใจผสมปนเปไปกับความโล่งอกที่ได้ยินเสียงลูกชายคนโต“แม่ครับผมขอโทษ เรื่องทั้งหมดมันเป็นแบบนี้ครับ...” คนเป็นลูกกล่าวเสียงอ่อยพร้อมเล่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งอาทิตย์ให้แม่ฟังอย่างละเอียด“นี่ถ้ามีโทรศัพท์มือถือคงจะดีไม่น้อย” คนเป็นแม่หลังจากที่ได้ฟังลูกชายพูดหล่อนก็เปรยสิ่งที่ตนคิดออกมา“โทรศัพท์มือถือคืออะไรครับแม่” ชายหนุ่มที่อยู่ปลายสายอดถามแม่ออกมาไม่ได้“อีกไม่นานลูกก็รู้เองมาคุยเรื่องของลูกต่อเถอะ แล้วตอนนี้ลูกเป็นยังไงบ้างเหนื่อยหรือเปล่าต้องการอะไรเพิ่มไหม แม่จะส่งไปให้” คนเป็นแม่รีบเปลี่ยนเรื่อง“ผมสบายดีครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าแต่น้อง
“กลับบ้านกันครับ ไม่แน่นะว่าหลังจากลูกเราไปไม่นาน คุณอาจจะได้รับเชิญให้ไปสอนหนังสือที่นั่นก็ได้” เทียนหานกล่าวปลอบภรรยาที่กำลังนั่งกอดลูกชายคนเล็กแน่นสองเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วันที่ลูกทั้งสามไม่อยู่ ซูเหยาก็ให้สามีลาออกจากงานที่ทำเพื่อจะได้มาช่วยเธอดูแลงาน ในส่วนของครอบครัวตนเอง เทียนหานผู้รักภรรยาก็ไม่ขัด ข้องอันใดแม้ผู้จัดการโรงงานจะขอร้องให้อยู่ต่อก็ตามส่วนมู่อันเองก็ลาออกตามคนเป็นพี่ชายด้วยเพราะพี่สะใภ้ได้สั่งให้เขาเปิดโรงงานเต็มรูปแบบ จากบ้านที่เป็นชื่อของเจียงเฟยในเวลานี้ได้กลายมาเป็นของซูเหยาโดยสมบูรณ์จากการที่เจียงเฟยได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนนี้ให้และยังมีเงินสดอีกจำนวนหนึ่งเจียงเฟยได้ลาลับจากโลกใบนี้เดินทางไปหาสหายสนิทของตนแล้วในเช้ามืดวันหนึ่งหลังจากที่หลาน ๆ ได้ไปรายงานตัวทำให้เด็กทั้งสามที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันเมื่อได้รับข่าวร้ายนี้ก็พากันกอดกันร้องไห้ตัวโยนด้วยความเสียใจผู้คนในค่ายทหารเองก็ต่างเสียใจไม่แพ้ญาติของชายผู้เป็นดั่งตำนานคนนี้ คนที่เสียใจมากที่สุดก็เป็นสี่พี่น้องหม
นับตั้งแต่วันที่พ่อแม่บ้านซูมาคุยกับลูกสาวเรื่องราวก็ผ่านไปด้วยดี จนกระทั่งได้ก้าวเข้าสู่ปี 1980 ปีนี้เป็นปีที่ทางรัฐให้ประชาชนทั่วไปสามารถจับจองอสังหาริมทรัพย์เป็นของตัวเองได้ซูเหยาที่ได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองดังเดิมแล้วได้เล็งโอกาสอันดีนี้ดังนั้นเธอจึงได้ไปหาพี่ชายเจียงทั้งสี่ที่บ้านเจียง โดยที่ไม่ทราบว่าจะได้เจอพี่ชายพร้อมหน้าพร้อมตาหรือไม่แต่ที่จะต้องเจออย่างแน่นอนก็คือพี่ชายเจียงสามที่ปัจจุบันได้ทำงานด้านเอกสารเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุที่พี่น้องสามคนเลือกเจียงเจ๋อนั่นก็เป็นเพราะในบรรดาสี่คนมีเขาที่แต่งงานมีครอบครัวเพียงคนเดียวภายในบ้านของครอบครัวเจียงในช่วงวันหยุดจึงได้ต้อนรับน้องสาวบุญธรรมของเจ้าของบ้านที่มาพร้อมกับสามีและเด็กชายตัวน้อยวัยหกขวบ“อาเหยาลมอะไรหอบเธอมาที่นี่ได้กันโดยปกติฉันจะต้องพาลูกชายหน้านิ่งไปหาเธอที่บ้านด้วยตัวเองตลอด” เพื่อนสาวที่เคยร่วมงานด้วยกันมาก่อนทักทายแขกผู้มาเยือนด้วยความสนิทสนม“ลมแห่งความอยากรวยหรือหล่อนไม่ต้องการ” คนเป็นทั้งเพื่อนและอดีตนายจ้างกล่าวคล้ายหยั่งเชิง“น้องสาวคนดีพี่
“นี่ค่ะ กล้องเป็นตัวใหม่” คนเป็นน้องก็ไม่ได้ปฏิเสธเงินนี้อีกเมื่อคนพี่ยื่นเงินให้คนเป็นน้องก็ยื่นกล้องให้ซึ่งเป็นการปิดการขายโดยสมบูรณ์ หลังจากนั้นคนสองครอบครัวจึงได้บอกลากัน เทียนหานก็เดินเข้าไปอุ้มลูกชายผู้กำลังนอนทำปากมุบมิบเหมือนกำลังเคี้ยวอะไรเพื่อกลับบ้านตั้งแต่วันที่ซูเหยากลับจากบ้านเทียนเธอก็ทำงานของเธอ ก็คือไปตรวจฟาร์มที่หมู่บ้านตงไห่ซึ่งในเวลานี้จิวเหลียน ได้ขอซื้อบ้านต่อจากเธอแล้ว โดยเงินที่ได้ก็เกิดจากน้ำพัก น้ำแรงของตนกับสามีในนาม และเมื่อหญิงผู้นี้มีที่อยู่มั่นคงดีหล่อนก็ไม่ลืมที่จะเขียนจดหมายส่งไปยังบ้านของพี่ชายเออโถวที่ตอนนี้ทางนั้นกำลังลำบากจากการที่พืชผลไม่ดีเท่าที่ควรทำให้เงินที่เคยมีเริ่มลดน้อยถอยลงแต่เขาก็ยังอดเป็นห่วงน้องชายไม่ได้คนเป็นพี่ได้แต่เฝ้ารอจดหมายของคนเป็นน้องอยู่ทุกวันด้วยความหวังว่าจะได้รับข่าวว่าน้องของตนสบายดี แต่หากคนเป็นน้องลำบากแม้ว่าจะเหลือเงินไม่มากเขาก็จะหาทางไปรับน้องกลับมาแล้วความหวังของการเป็นคนดีของเขาก็ได้รับการตอบแทนเมื่อจดหมายที่จิวเหลียนส่งได้มาถึง แต่เนื่องจากเ
“ตอนนี้ก็ยังไม่สายนี่ครับ ที่น้องสาวยังไม่กล้ากลับมาส่วนหนึ่งก็เพราะผู้หญิงคนนั้นกับลูกของหล่อน แต่ตอนนี้เราได้เก็บกวาดคนรอน้องแล้วผมเชื่อว่าหากพ่อเขียนจดหมายไปบอกเธอด้วยตัวเองน้องสาวจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน” คนเป็นลูกแนะ“ได้ถ้าอย่างนั้นพ่อจะรีบไปเขียนจดหมายเดี๋ยวนี้” คนเป็นพ่อที่ได้ยินสิ่งที่ลูกชายแนะนำจากที่กำลังรู้สึกหมดอาลัยในชีวิตก็มีกำลังวังชาขึ้นมาทันทีทางด้านมหาวิทยาลัยสถานที่เรียนของสามพี่น้องมู่ เทียน ในเวลานี้ทั้งสามได้กลายมาเป็นเพื่อนร่วมชั้นปีเดียวกันแล้วที่เป็นอย่างนี้ก็เนื่องจากคนเป็นน้องได้ขอสอบเทียบเพื่อต้องการเรียนให้อยู่ในชั้นเดียวกับพี่สาวแม้ว่ามู่เฟยจะเรียนคนละเอกก็ตาม ด้วยความคิดที่ว่าอยากจะหางานทำเพื่อให้พ่อแม่และน้องชายได้มาอยู่กับตนโดยที่สองพี่น้องยังไม่รู้ว่าความหวังของพวกเขากำลังจะเป็นจริงในไม่ช้าเนื่องจากตอนนี้อธิการบดีมหาวิทยาลัยกำลังเรียกประชุมคณะครู ที่ตอนนี้มีน้อยแสนน้อยจึงได้คิดจะเชิญอาจารย์ที่เคยสอนอยู่ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้กลับมาและพวกเขาทั้งหมดก็ต้องพากันแปลกใจในความบังเอิญที่อาจารย์สามท่า
ชายหนุ่มหนึ่งเดียวในสามพี่น้องเป็นตัวแทนกล่าวออกมาก่อนที่ทั้งสามคนจะลุกขึ้นยืนก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นการขอโทษ จากนั้นเทียนเฟยจึงได้วางจดหมายทั้งหมดลงกลางโต๊ะแล้วทั้งสามก็พากันถือหนังสือกับกระเป๋ารวมทั้งถาดอาหารของตนเดินจากไปโดยไม่ได้สนใจความอลวนด้านหลังที่เกิดจากการกระทำของพวกตนว่าเป็นอย่างไรต่อก็แม่ของพวกเขาเคยสอนเอาไว้ว่าอย่างไรพวกเขาก็ทำตามนั้น หากเราไม่ชอบใครก็อย่าไปให้ความหวังแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราชอบก็ลองลุยดูสักตั้งไม่ว่าผลที่ได้จะเป็นอย่างไรก็จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลังเรื่องราวของสามพี่น้องนั้นคนเป็นพี่ชายที่อยู่ในค่ายทหารก็ได้รับรู้ด้วยจากการที่พี่ชายใหญ่ของบ้านเทียนได้โทรศัพท์มาหาน้อง ๆ เป็นประจำอย่างที่เคยทำและได้เผลอพูดเรื่องนี้ออกมาให้พี่ชายที่กลับจากการฝึกในป่าได้ฟังด้วย ทำให้ใครบางคนรู้สึกร้อนใจอยู่ไม่น้อยก่อนที่เขาคิดว่าวันหยุดในครั้งหน้าจะต้องมาเยือนมหาวิทยาลัยของน้องสาวให้ได้ จะได้รู้ด้วยว่าตอนนี้น้องคนนี้เติบโตไปมากน้อยแค่ไหนแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นคนทางบ้านเทียนก็รับรู้จากเรื่องนี้ผ่านลูกชายคนโตเช่นเดียวกัน นั่นเป็นเพราะ
หลังสิ้นคำพูดของคุณแม่ลูกสี่ อธิการบดีก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจที่ตนเองมาไม่เสียเที่ยว“แต่ก่อนทำข้อสอบท่านหลวนช่วยกรุณาร่างสัญญาที่เราสองคนคุยกันเมื่อสักครู่ออกมาก่อนได้ไหมคะ ให้ท่านผู้ว่าเป็นพยาน” ซูเหยาที่เห็นรอยยิ้มสมใจของชายที่อายุมากกว่าตนผู้นี้แล้ว เธอจึงได้เสนอเงื่อนไขในการร่างสัญญาออกมาอะไรก็ตามหากมันไม่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วมันก็สามารถคลาดเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ดังนั้นป้องกันไว้นั่นแหละดีที่สุด“ได้ผมจะร่างหนังสือออกมาเดี๋ยวนี้”“ใช้สิ่งนี้วางคั่นกระดาษอีกแผ่นค่ะท่านจะได้เขียนแค่ครั้งเดียว” หญิงสาวยื่นกระดาษคัดลอกแผ่นสีดำให้กับอธิการหลวนพร้อมกับปากกาหมึกซึมที่ไม่ต้องเติมหมึกให้เสียเวลาอีกหนึ่งด้าม“นี่มัน สหายซูไม่ทราบว่าได้สองสิ่งนี้มาจากที่ใด แม้ว่าตอนนี้จะสามารถนำเข้าสินค้ามาได้แล้วแต่ว่าผมยังไม่เคยเห็นของสองสิ่งนี้ในเมืองหลวงมาก่อน” หลวนคุนหยิบสิ่งของที่เขาสนใจขึ้นมาดู“อีกไม่นานฉันจะนำออกมาขายค่ะ รับรองว่าเป็นปากกาที่สะดวกกว่าการต้องมาคอยเติมหมึกเยอะพอใช้หมดก็ทิ้งไป&
“ฉันจะโทรไปบอกบ้านแม่ก่อน จากนั้นค่อยโทรไปบอกบ้านเจียง จากบ้านเจียงก็ต้องเป็นโทรไปบอกเสี่ยวเฉิน จากนั้นก็โทรไปยังหอของลูกเพื่อบอกเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องกลับมาหาเราคุณว่าดีไหมคะ” คนเป็นภรรยาเอามือเรียวสวยคล้องคอสามีที่แม้จะเข้าใกล้วัยสี่สิบแต่ใบหน้ายังคงเปลี่ยนแปลงไม่มากถามออกมา“ผมตามใจคุณครับ เอาตามที่คุณเห็นสมควรเลย” ฝ่ายสามีโน้มใบหน้าของตนเข้าใกล้ใบหน้าสวยของภรรยาพร้อมกับตอบออกมาในระหว่างที่สามีกับภรรยากำลังสบสายตากันหวานซึ้งอยู่นั้น“แม่ครับ พ่อครับ” เจ้าเมฆน้อยที่รู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งนานเกินไปจึงได้วิ่งนำพี่เลี้ยงออกมาพร้อมตะโกนเรียกหาบุพการีทั้งสองเสียงดังสองสามีภรรยาที่กำลังอยู่ในโลกสีชมพูจึงได้ผละออกจากกันก่อนจะแสดงท่าทางแก้เก้อของแต่ละคนออกมา ซูเหยาที่เห็นลูกชายตัวกลมวิ่งมาก็อ้าแขนของตนออกเพื่อให้ลูกชายเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน แต่เธอในตอนนี้ไม่สามารถอุ้มบุตร ชายคนนี้ไหวเนื่องจากตัวเขามีน้ำหนักมากขึ้น“แม่ครับ พวกเราจะได้ไปเมืองหลวงหรือฮะ ผมจะได้เจอพี่ชายพี่สาวแล้วใช่ไหมครับ” เด็กชายวัยหกขวบที่ฉลาดเกินวั
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ