“ลำบากคุณแล้วต่อไปนี้ผมจะทำงานหนักเองให้คุณมาทำงานที่นี่แทนผมและผมจะขี่จักรยานรับส่งคุณทุกวัน” ผู้เป็นสามีหลังจากลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปโอบกอดภรรยาไว้แน่นอย่างแสนรักกล่าวออกมา
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันชินแล้วและฉันก็ดีใจที่ได้คุณกลับมาแค่นี้ก็ดีที่สุดแล้วขอบคุณนะคะที่กลับมา” ผู้เป็นภรรยากล่าวกับสามีโดยที่น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วได้ไหลออกมาอีก
ทำให้ทุกคนที่อยู่ด้วยกันตรงนี้มีความสุขไปกับภาพด้านหน้าที่คนในครอบครัวได้พบกัน จะยกเว้นก็เพียงแต่ลูกชายคนโตของทั้งสองบ้านที่หายไป
ฝั่งโรงเรียนมัธยมต้นอันดับหนึ่งที่เวลานี้แม้เด็กจะเลิกเรียนแล้วแต่ผู้ที่มีหน้าที่ทำความสะอาดก็ยังคงต้องทำหน้าที่ของตนจึงต้องกลับบ้านช้ากว่าคนอื่น
ด้านหน้าโรงเรียนในเวลานี้ได้มีชายหนุ่มร่างสูงรูปร่างสง่างามใส่ชุดทหารยืนตัวตรงอยู่สองคนทำให้เป็นจุดสนใจของเด็กนักเรียนทุกคน
โดยเฉพาะนักเรียนหญิงที่เริ่มจะเป็นสาวอายุสิบห้าสิบหกที่ยุคนี้สามารถแต่งงานได้แล้ว ชี้ชวนกันให้มองสองหนุ่มตรงหน้าแต่คนทั้งสองหาได้สนใจใครไม่นอกจากเป้าหมายที่พวกเขาต้องการมา
พี่ใหญ่ของน้องชายหญิงได้พาน้องมายังโรงงานลับเพื่อที่จะแนะนำให้เด็กทั้งสามได้รู้จักกับผู้มาใหม่ที่เป็นคนสำคัญสำหรับตนสามพี่น้องที่เห็นคนเป็นพี่ใหญ่ขี่รถนำมาทางนี้พวกเขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก เพราะโดยปกติทั้งสามพี่น้องก็มักจะแวะมาเพื่อตรวจงานอยู่แล้ว“เสี่ยวผิงไม่แปลกใจเหรอว่าทำไมพี่ถึงพามาที่นี่” ชายหนุ่มอายุยี่สิบถามน้องสาวคนสนิทที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง“ก็นิดหน่อยค่ะ แต่ส่วนใหญ่พวกหนูก็จะมาที่โรงงานหลังเลิกเรียนอยู่แล้ว เสี่ยวผิงก็เลยคิดว่าพี่ชายรู้จึงได้พามา ว่าแต่ที่นี่มีอะไรอย่างนั้นหรือคะพี่ถึงได้ถามแปลก ๆ” คนเป็นน้องได้บอกเรื่องของตัวเองพร้อมย้อนถามคนเป็นพี่“อ๋อ แสดงว่าตั้งแต่พี่ไม่อยู่พวกเราก็มาทำงานกันทุกวันช่างเป็นเด็กดีกันจริง ๆ แต่วันนี้ที่โรงงานมีคนสำคัญสำหรับพี่รออยู่ พี่จึงอยากแนะนำให้น้องทั้งสามได้รู้จัก” ตงหยางพูดพร้อมยิ้มออกมาในขณะที่สายตาก็มองทางด้านหน้าที่ตอนนี้กำลังจะถึงที่หมายเมื่อเด็กหญิงที่นั่งอยู่ด้านหลังได้ยินคำว่าคนสำคัญเธอก็รู้สึกใจหายวูบโดยที่ตัวขอ
“ฉันว่าพวกเราไปกินข้าวเย็นกันเถอะค่ะ ร้านอาหารเองก็อยู่ไม่ไกลเดินไปอีกซอยก็ถึง รวมทั้งพวกเธอทั้งเจ็ดคนด้วยนะ ฉันเลี้ยงเอง” หญิงสาวเจ้าของบ้านกล่าวออกมารวดเดียว“มันจะดีเหรอเสี่ยวเหยาพวกเรามีกันตั้งหลายคนจะให้เธอออกเงินคนเดียวได้ยังไงพวกเราก็จะช่วยออกด้วย” ผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านกล่าวออกมาพร้อมกัน“มันจะลำบากกับเธอนะพี่ว่า พวกเราทำกินกันเองก็ได้ มีอะไรก็กินอย่างนั้นเถอะอย่าได้เปลืองเงินเลย” ลี่ซือที่รับรู้ถึงความลำบากตั้งแต่ที่ถูกส่งตัวไปยังที่ห่างไกลกล่าวออกมาอย่างเกรงใจ“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทุกคนเชื่อฉันเถอะ อีกอย่างเมื่อสักครู่ฉันก็จองโต๊ะไปแล้วหากพวกเราไม่ไปสิคะจะไม่ดี เอาเป็นว่าถ้าทุกคนเกรงใจฉันอีกหน่อยก็ค่อยเลี้ยงคืนก็แล้วกันฉันรับรองว่าคนที่อยู่กับฉันจะไม่มีวันกลับไปลำบากแน่นอนนอกจากว่าจะทำงานจนไม่มีเวลาพักเสียมากกว่า” หญิงสาวเจ้าบ้านกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม“ไปเถอะถ้าเสี่ยวเหยาพูดถึงขนาดนี้หล่อนไม่มีทางเปลี่ยนใจหรอก อีกหน่อยเราทุกคนก็ค่อยทำตามที่เธอแนะนำก็
เหตุการณ์นับตั้งแต่วันที่สองครอบครัวได้สมาชิกกับคืนมาก็ผ่านพ้นไปจวบจนกระทั่งเข้าสู่ปี 1976 ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ซูเหยารู้ดีว่ากำลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดังนั้นเธอจึงต้องการเตือนพี่ชายทั้งสี่รวมทั้งครอบครัวตระกูลจ้าวด้วยแต่ว่าหล่อนไม่รู้จะเตือนยังไง หากจะบอกไปตามตรงพวกเขาจะมองว่าเธอเป็นสายลับมาจากที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่รู้ นี่คือปัญหาที่หญิงสาวยังคิดไม่ตกเนื่องจากเรื่องพวกนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนก็เลยทำให้ช่วงนี้ใบหน้าของคุณแม่คนสวยจึงได้มีแต่ความเคร่งเครียดจนคนในครอบครัวพากันเป็นห่วง“ภรรยาครับช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่า ผมสังเกตมาหลายวันแล้วคุณดูมีเรื่องกังวลใจไม่น้อย ทางโรงงานคุณก็ปิดอย่างไม่มีกำหนดอีกทั้งร้านค้าเองก็ด้วยมันกำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ” เทียนหานถามภรรยาที่อยู่กันมาหลายปีด้วยความเป็นห่วงที่เห็นคู่ชีวิตมีสีหน้ากังวล“คือว่ามันกำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นค่ะ ฉันก็เลยให้หยุดทุกอย่างและให้ทุกคนเก็บตัวเงียบเอาไว้ก่อน ช่วงนี้อยู่ให้เงียบดีที่สุด แต่ที่ฉันกังวลก็คือฉันอยากจะเตือนเรื่องบางอย่างให
และก็เพราะเรื่องนี้แหละที่ทำให้เขาตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกข้างยังไง เนื่องจากหลายฝ่ายในหน่วยงานมักจะมาหาเขาที่ทำตัวเป็นพวกขวางคลองไม่ได้เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ในครั้งนี้มันแตกต่างออกไปก็เลยทำให้เขามีสีหน้าเคร่งเครียดกลับบ้านไปทุกวัน จนภรรยาและลูกต่างก็เป็นห่วงโดยเฉพาะภรรยารักของตน เธอจึงได้สอบถามว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหล่อนจึงได้แนะนำให้เขาลองมาที่นี่นั่นเองทางสี่พี่น้องเจียงเองก็ไม่ต่างจากนายพลจ้าวที่มีตำแหน่งเดียวกับเจียงหยู เขาจึงได้ปรึกษาพ่อบุญธรรมจึงได้รับคำตอบว่าให้มาที่นี่คนในเครื่องแบบทั้งหกมองหน้าอย่างเข้าใจในสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่อย่างคนหัวอกเดียวกัน“สหายจ้าวจะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้แต่ฉันขอเตือนว่าเรื่องนี้ถ้าคุณเลี่ยงได้ให้เลี่ยง หากไม่สามารถทำได้จริงก็ไหลไปตามน้ำกับคนที่ทำอย่าคิดขวางเด็ดขาดเมื่อถึงวันนั้นคุณจะเข้าใจ” ผู้ถูกถามกล่าวตอบ“ผมเชื่อคุณ แล้วหากว่าผมสามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้พวกเราจะเป็นมิตรกันตลอดไปผมให้สัญญา” จ้าวเจียงกล่าวออกมาอย่างหนักแน่นการได้รับคำเตือนจากหญิงสาวด้านหน้าทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น&l
ครั้งแรกที่หล่อนได้ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองได้อยู่ภายในห้องดินสี่เหลี่ยมที่มีเพียงเตียงเตาที่ตัวเองนอนกับหีบใส่ผ้าใบใหญ่ที่อยู่มุมห้องภาพที่เห็นในตอนนั้นทำให้เธอตกใจมาก แต่เมื่อได้พบกับคนภายในบ้านก็ทำให้ใจชื้นขึ้น จิวเหลียนคิดถึงเรื่องอดีตของตนอย่างเหม่อลอย“ภรรยากินสิ อร่อยนะ” ชายร่างใหญ่สมองเป็นเด็กกล่าวชวนหญิงสาวที่นอนกล่อมตนทุกคืนด้วยความหวังดี“ได้ ฉันกินแล้วเออโถวก็ต้องกินเยอะ ๆ เหมือนกันจะได้มีแรงเข้าใจไหม” จิวเหลียนก่อนที่จะคีบข้าวเข้าปากของตนพูดออกมาบ้าง“อืม” ชายร่างใหญ่ตอบรับโดยที่ข้าวยังอยู่เต็มปากผู้เป็นแม่ของชายผู้นี้ได้แต่ยกผ้าเช็ดหน้าที่พกติดกายไว้เป็นประจำซับน้ำตาด้วยความซึ้งใจในตัวของหญิงสาวนางนี้ ที่ยอมแต่งงานกับลูกชายผู้น่าสงสารของตนแต่เดิมเริ่มแรกจิวเหลียนก็ไม่ได้ยินยอมที่จะแต่งกับชายคนนี้แต่อย่างใด เนื่องจากชายผู้นี้มีความผิดปกติแต่การที่หล่อนเป็นคนนอกและตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ภายในบ้านได้เห็นว่าทุกคนดีกับตัวเองมากขนาดอาหารยังไม่พอจะกินก็ยังเจียดเอามาให้คนไร้
ช่วงเวลานี้ได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นแต่ก็มีข่าวดีได้ประกาศออกมาว่าให้ผู้ที่มีสินค้าสามารถทำการซื้อขายกันได้อย่างอิสระแต่ทรัพย์สินนั้นจะต้องเป็นของที่ตนหามาได้ด้วยความสุจริตหากว่าทางการจับได้ว่าเป็นสิ่งของที่ขโมยมาคนผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษสถานหนักดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นโชคดีของซูเหยาที่ได้เตรียมสินค้าเอาไว้พร้อมมานานมาก ด้วยความคิดที่ว่าแม้จะมีสถานการณ์อะไรจะวุ่นวายขนาดไหน แต่ไม่ว่าสถานที่ใดย่อมที่จะไม่ขาดแคลนคนมีเงินที่จะหาความสบายให้กับตนเองดังนั้นวันนี้เธอจึงได้มาที่โรงงานลับและก็เห็นมารดาอยู่ที่นี่กับพี่สะใภ้ทั้งสาม ที่ตอนนี้ร้านค้าในตลาดมืดยังไม่เปิดทำการและอีกหน่อยจากตลาดมืดก็จะได้กลายเป็นศูนย์การค้าย่อม ๆซูเหยาตั้งใจว่าจะทำการเปลี่ยนแปลงโดยให้มาเฟียอันดับหนึ่ง พี่ชายทั้งสี่ และเจ้าของหอดอกไม้แดงผู้มีบุญคุณกับเธอในเรื่องร้านค้ามาเป็นหุ้นส่วนการทำงาน บางครั้งเราก็ไม่ควรโลภเอาไว้เองทั้งหมดแต่การจะหาพันธมิตรก็ต้องดูกันให้ดีเช่นกัน แต่คนเหล่านี้ที่ผ่านอะไรมาด้วยกันมากและพื้นเพก็เป็นคนที่มีอิทธิพลมากกว่า อีกทั้งยังไม่เคยมาเอาเปรียบเธอเลยส
“ได้พวกเราจะทำตามที่เธอพูด เริ่มพรุ่งนี้พวกเราจะไปตั้งแผงกันตามสถานที่ที่มีคนผ่านกันก่อน อย่างเช่นหน้าโรงงาน” ครั้งนี้เป็นเจียวมี่หญิงสาวตัวเล็กพูดออกมาตามที่เธอเห็นว่าคนโรงงานน่าจะมีเงินมากกว่าชาวบ้านธรรมดาทั่วไป“เป็นความคิดที่ดี ส่วนแผงขายของฉันจะเตรียมไว้ให้ยังไงก็ยังต้องได้ใช้อีกนานจนกว่าอะไรต่าง ๆ จะมีประกาศอย่างเป็นทางการ” ผู้เป็นนายจ้างกล่าวชมเชยหลังจากที่คุยกับคนทำงานในโรงงานลับของตัวเองจบลง ซูเหยาก็หันมาคุยกับทางพี่สะใภ้ทั้งสามกับน้องสะใภ้ต่อ โดยหว่านชิงได้ขอตัวไปดูแลหลานสาวชายหญิงให้ส่วนสาวทั้งเจ็ดก็แยกย้ายกันไปเตรียมเสื้อเพื่อที่จะได้เอาไปขายในวันรุ่งขึ้น พี่สะใภ้ทั้งสามกับน้องสะใภ้อีกหนึ่งก็หันหน้ามองกันไปมาแต่ก็ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยคำใดสุดท้ายจึงเป็นฟางหรงที่เป็นคนกล่าวออกมาก่อน“น้องสามีคือว่าที่น้องบอกว่าจะช่วยให้พวกพี่ตั้งโรงงาน ในสิ่งที่พี่อยากทำ คือพี่ขอถามในส่วนเรื่องของพี่ก่อนได้หรือเปล่าว่าถ้าหากพี่จะเปิดร้านรับแต่งหน้ากับทำผมร่วมกับน้องสะใภ้รองจะได้ไห
“พี่สะใภ้คะ ฉันคิดว่าตอนนี้พี่อยู่เฉย ๆ ไปก่อนก็แล้วกัน อย่าเพิ่งติดต่อกลับบ้าน เอาไว้ฉันจะให้พี่ชายตระกูลเจียงช่วยสืบเรื่องของแม่เลี้ยงพี่ก่อนฉันค่อยมาบอกพี่อีกที” ซูเหยากล่าวเสียงหนักหนิงเหอรู้สึกตกใจที่เรื่องภายในบ้านของตนได้ถูกน้องสาวสามีรู้ ถ้าจำไม่ผิดในตอนนั้นที่แต่งเข้ามาเธอเพียงแค่บอกว่าแม่ตายและมีพ่อกับพี่ชายเป็นทหารหรือว่าเธอเผลอเล่าออกไปกันความสับสนที่แสดงออกมาทางแววตาของพี่สะใภ้สาม ซูเหยาที่ได้เห็นก็คิดว่าซวยแล้วยายเหยาแกเผลอพูดออกไปอีกแล้วเอายังไงดีล่ะทีนี้ หากพี่สะใภ้ไม่ถามเราก็ตีมึนไปก็แล้วกัน แต่แล้วความหวังของเธอก็พังลงจากคนเป็นพี่ชาย“ภรรยาคุณมีแม่เลี้ยงเหรอครับทำไมผมไม่เคยรู้ล่ะ แล้วน้องสาวรู้ได้ยังไงหรือว่าคุณบอกหล่อนแต่ไม่บอกผม” คนเป็นสามีกล่าวอย่างตัดพ้อที่ไม่รู้อะไรของคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมาเกือบสิบปีคนนี้‘ซวยหนักกว่าเดิมพี่สามจะมาน้อยใจอะไ
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ