ตั้งแต่วันแรกที่ครอบครัวหมิงของตัวร้ายวัยเด็กได้ย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านตงไห่ เด็กชายตงหยางก็มักจะถูกเจ้าลูกชิ้นสามลูกชักชวนให้มาสอนหนังสือบ้าง
พากันเดินเข้าป่าที่อยู่หลังบ้านเพื่อเก็บฟืนในยามที่อากาศแห้งบ้าง หากวันไหนฝนตกเจ้าเด็กน้อยถึงจะมาอยู่กับแม่และผู้ใหญ่ภายในบ้านที่มักจะมาเล่นกับหลานสาวหลานชายตัวน้อยเป็นประจำ
แต่วันนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว เนื่องจากผู้ใหญ่บ้านได้ให้คนมาตามลูกบ้านในหมู่บ้านทุกหลังคาเรือนไปประชุมอย่างเร่งด่วน
ยามนี้คนบ้านซูสามหลังและบ้านมู่สองหลังต่างก็เดินมาประชุมพร้อมกัน เมื่อเดินผ่านบ้านของครอบครัวหมิง เจ้าลูกชิ้นก็ไปเคาะประตูบ้านของคนบ้านนี้เพื่อที่จะได้เดินไปกับพี่ชายคนโต
ซูเหยาที่พอจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่แล้วไม่ได้มีความรู้สึกแปลกใจอะไรทั้งสิ้น เพราะเธอคิดอยู่แล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้นในสักวัน
ครอบครัวทั้งหมดของเธอเมื่อเดินมาถึงลานดินบริเวณหน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ก็ได้เห็นยุวชนแดงที่ใส่ชุดสีเขียวเหมือนกับทหาร โดยมีแถบแดงคาดไว้ที่แขนเสื้อหลายคน
ซ
จำนวนคะแนนจะได้ตามประเภทของงาน ใช้แรงงานเยอะก็ได้สิบคะแนนเต็ม งานรองลงมาก็อยู่เจ็ดแปดคะแนน งานที่เบาลงมาอีกก็อยู่สามถึงห้าคะแนนส่วนคนที่ไม่ทำงานก็จะไม่ได้คะแนน และก็เสี่ยงอดตายด้วยเนื่องจากถ้าไม่ทำงานก็จะไม่มีคะแนนสะสมของแต่ละเดือนเพื่อแลกข้าวสารหรือธัญพืชต่างๆตอนนี้ก็ถึงเวลาแจกงานให้แต่ละคนในครอบครัวไปทำ ซูเหยาที่กำลังมองนู่นนี่นั่นรอบตัวอยู่ ก็ถึงกับตกใจเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่ง“อะไรนะ ฉันแก่ขนาดนี้แล้วยังต้องทำงานในทุ่งด้วยอย่างนั้นเหรอ ถ้าไม่ทำก็จะไม่มีข้าวให้กิน” เสียงแหลมเสียดแทงแก้วหูดังออกมาจากปากฉินเจียว“สหายหากคุณยังไม่หยุดโวยวายเราจะลงโทษคุณให้เป็นตัวอย่างในตอนนี้” เสียงยุวชนแดงนายหนึ่งกล่าวขึ้นเสียงเข้มฉินเจียวที่ได้ยินเสียงของยุวชนแดงพูดขู่ก็ถึงกับตกใจจนยืนไม่มั่นคง จึงได้นั่งลงไปที่พื้นทันที ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายชาวบ้านที่ได้เห็นภาพนี้ก็ต่างพากันหัวเราะออกมาครอบครัวซูและมู่เองถึงแม้จะรู้สึกขบขัน แต่พวกเขาก็ไม่ถึงกับหัวเราะเสียงดังเหมือนคนอื่น ฉินเจียวในตอนนี้จึ
ซูเหยาได้จับจูงมือลูกน้อยเดินมาหามู่หานที่กำลังมองมาที่พวกเธอสี่คนแม่ลูกอย่างไม่วางตา“คุณนี่ร้ายนักนะคะ” ซูเหยากระซิบข้างหูของมู่หานที่กำลังยืนตัวแข็งกับการกระทำใกล้ชิดของภรรยาสาวแบบนี้“ผม...ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย คุณรอผมตรงนี้กับลูกนะครับ ผมจะไปลงชื่อทำงานก่อน” มู่หานรีบพูดแก้ตัวออกมาอย่างร้อนรน ตอนนี้มู่หานรู้สึกร้อนที่หูเป็นอย่างมากหลังจากที่เขาพูดจบ จึงได้รีบก้าวเท้ายาวๆ ของตนออกมาจากแม่และลูกน้อยที่มองเขาอย่างสงสัยว่าจะรีบไปไหนกันมีเพียงซูเหยาที่เข้าใจ ‘ดูๆ ไปผู้ชายคนนี้ก็น่ารักดีแฮะ เขินจนหูแดงหนีไปเลย ฮ่าๆ’ ซูเหยาที่มองตามมู่หานไปรู้สึกขำในใจการลงชื่อทำงานก็มาถึงครอบครัวของบ้านมู่หาน กับมู่อันโดยสองบ้านนี้เขาแสดงเจตจำนงของตนชัดเจนว่าจะเป็นผู้ทำงานเองคนเดียว“มันสองคนท่าจะบ้า สงสัยอยากอดตาย คนในครอบครัวมีตั้งหลายคน” เสียงชาวบ้านที่ยืนอยู่ต่างพูดวิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ที่ได้ยินสิ่งที่มู่หานและมู่อันพูดและไม่ใช่เพียงแค่มู่หาน มู่อันเท่านั้น คนบ้านซูทั้งสามหลังก็ทำเช่นเดียวกัน ซู
หากจะต้องเลี้ยงหมูให้ได้น้ำหนักตามที่กล่าวมาก็อาจดูเป็นเรื่องยากไม่ใช้น้อย แต่ถ้ามีคนเลี้ยงได้ ผลประโยชน์ก็ได้ตามมาเช่นกันซูเหยาที่ยืนอยู่กับครอบครัวหมิงเธอยืนนิ่งไปสักพัก แล้วจึงกระซิบข้างหูของถิงถิง เมื่อถิงถิงได้ยินเธอก็เบิกตาโตพยักหน้าหงึกหงัก“ฉันขอเลี้ยงด้วยค่ะ” เสียงถิงถิงตะโกนขึ้นท่ามกลางความเงียบเมื่อชาวบ้านได้ยินถึงข้อกำหนดของการเลี้ยงหมู“สหายคุณมั่นใจนะครับ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากหากคุณทำน้ำหนักไม่ได้คุณอาจจะโดนลงโทษทีหลังได้เหมือนกัน” ฉีอันพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง“ฉันมั่นใจค่ะ” ถิงถิงเธอมองไปที่ซูเหยาอีกครั้ง แล้วจึงหันมาทางผู้ใหญ่บ้านกล่าวเสียงหนัก"ถ้าคุณมั่นใจ วันนี้เราจะไปสร้างคอกหมูที่บ้านของคุณเป็นงานแรก” ฉีอันเมื่อได้รับรู้เจตนาของลูกบ้านแบบนี้เขาก็ไม่คิดขัดอะไรอีก“ไปสร้างที่บ้านฉันด้วยฉันก็จะเลี้ยง” ฉินเจียวที่เห็นผู้มาอยู่ใหม่เลี้ยงได้ เธอก็ไม่รู้สึกลังเลอีกต่อไปจึงพูดขึ้นทันที“ตกลง ผมจะแบ่งคนไปสร้างคอกหมูที่บ้านคุณทั้งสองคน ส่วนคอกวัวผมจะเลี
ซูเหยาที่อยู่ๆ ก็มีขนมตกลงมาจากฟ้า เธอก็อดรู้สึกดีใจออกมาไม่ได้ แต่ภายนอกเธอก็ยังคงทำท่าทางสุขุมต่อไป“เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะคะ ฉันจะเอาอาหารและก็ผ้ามาแลกกับหยกชุดนี้ คุณป้าอย่าปฏิเสธเลยค่ะแล้วถ้าคุณป้ามีของมีค่าแบบนี้อีกก็เก็บไว้เถอะค่ะเชื่อฉัน หรือถ้าไม่ต้องการจริงๆ หรือว่ามีคนรู้จักที่ต้องการแลกเปลี่ยนของเหล่านี้กับอาหารก็บอกฉันได้นะคะแต่ทำอย่างระมัดระวังและเลือกคนที่ไว้ใจได้เท่านั้นนะคะ ป้องกันภัยร้ายมาสู่ตัว” ซูเหยาพูดด้วยเจตนาแสดงจุดยืนของตนอย่างชัดเจน‘ถึงฉันจะเป็นคนที่งกเงิน แต่ฉันก็จะไม่เอาเปรียบคนอื่นเด็ดขาด’ ซูเหยาคิดในใจด้วยความมุ่งมั่น“เย็นนี้ฉันขอเชิญครอบครัวของคุณป้าไปทานข้าวเย็นที่บ้านนะคะ ส่วนอาหารที่ฉันจะเอามาแลกฉันจะให้มู่หานเอามาส่งค่ะ” ซูเหยาพูดขึ้นเมื่อเธอเห็นว่าคนบ้านเธอสร้างคอกหมูเสร็จเรียบร้อยโดยใช้เวลาไม่นาน“ขอบใจมากนะเสี่ยวเหยา ครอบครัวฉันช่างโชคดีเสียจริงที่ได้มาเจอครอบครัวของพวกคุณ” อู๋ซินพูดขึ้นพร้อมกับที่ครอบครัวของตนที่ตอนนี้ขาดเพียงหมิงไท่ซานต่างก้มห
“ครับ/ค่ะ” เจ้าลูกชิ้นสามลูกก็ตอบรับอย่างไม่ดื้อดึง ซูเหยามองไปทางเด็กน้อยที่เดินออกไปไกลแล้ว ซูเหยาจึงได้ปิดประตูห้องหลังจากนั้นเธอก็เรียกข้าวของที่คิดว่าจำเป็นออกมาอย่างมากมาย ทั้งของกินของใช้ เธอมองข้าวของที่กองอยู่บนเตียงของตนพลางใช้สายตามองสำรวจดูอีกครั้งเมื่อเห็นว่าครบแล้วตามที่ตนต้องการ จึงได้เปิดประตูห้องนอนออกมา ก็เผอิญเห็นพ่อของลูกๆ กำลังจะเข้าห้องของตนพอดี“มู่หานคะ คุณช่วยเข้ามาในห้องกับฉันหน่อยได้ไหม” ซูเหยาได้เรียกสามีในนามเสียงนุ่มกว่าปกติเล็กน้อย ‘ก็จะใช้งานเขาต้องเสียงอ่อนเข้าไว้’“ได้ครับ คุณภรรยา” มู่หานที่ได้ยินเสียงเรียกของภรรยาคนสวย เขาก็ตอบรับด้วยความยินดีพร้อมกับเริ่มคิดไปไกล“คุณช่วยนำสิ่งของพวกนี้ไปให้คนบ้านหมิงทีนะคะ บอกเขาว่าให้รับเอาไว้ให้หมด หากยังเกรงใจไม่รับฉันจะโกรธ” ซูเหยาบอกกับสามีในนามที่ยืนมองข้าวของสลับกับมองเธอด้วยสายตาที่ค่อนข้างผิดหวังมู่หานที่คิดและวาดฝันเอาไว้อย่างสวยงาม ก็ถึงกับฝันสลายเมื่
นับตั้งแต่วันที่สร้างคอกหมูเสร็จระยะเวลาก็ผ่านมาหนึ่งเดือน ตอนนี้ได้เข้าสู่กลางเดือนหกเป็นช่วงที่ข้าวสาลีในท้องทุ่งกำลังสุกเมื่อได้มองไปในท้องทุ่งข้าวสาลีในช่วงที่แสงของวันได้โผล่พ้นขอบเหลี่ยมเขาขึ้นมา มันยิ่งเป็นภาพที่สวยงามจับใจที่ ซูเหยาคิดว่าภาพเหล่านี้ไม่สามารถหาได้จากในเมืองอย่างแน่นอนคนเมืองหลวงอย่างบ้านหมิงตอนนี้พวกเขาก็เริ่มที่จะปรับตัวเข้ากับงานที่ตนต้องทำเป็นประจำกันได้แล้ว ไม่ว่าจะงานเอกสารที่ไท่ซานต้องทำทุกวัน นอกจากจะลาหยุดเองหรืองานเลี้ยงหมูของถิงถิงที่จะต้องทำทุกวันโดยไม่มีวันหยุดโดยมีตงหยางเด็กหนุ่มร่างสูงผอม ที่ตอนนี้ผิวคล้ำแดดลงไปจนกลายเป็นตัวเกือบดำเห็นแต่ฟันขาวเวลายิ้มเป็นผู้รับหน้าที่ทำความสะอาดคอกและเก็บมูลหมู ที่ครั้งแรกเขารู้สึกผะอืดผะอมจนถึงขั้นอาเจียนออกมาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่คิดยอมแพ้เพราะหากเขาไม่ทำ แม่กับย่าก็จะต้องเป็นคนทำ ซึ่งเขาทนดูไม่ได้ ดังนั้นเขาจะต้องอดทนทำให้ได้ และความพยายามของเขาก็สำเร็จทุกวันนี้เขาจึงเริ่มชินกับกลิ่นและมูลของหมูตัวกลมพวกนี้ไปแล้ว แม้ว่าการทำงานหนักจะทำให้เขาผอมลง แต่เข
“จิวเหลียน เมื่อไหร่จะมาทำกับข้าว คนหิวจะตายอยู่แล้ว มัวไป...อยู่ไหน” เสียงถ้อยคำหยาบคายดังออกมาจากในลานบ้านมู่ที่ซูเหยาและเด็กๆ จะต้องเดินผ่าน“ฉะ..ฉันกำลังจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” เสียงจิวเหลียนตะโกนตอบคนด้านในด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น“วันนี้หล่อนถือว่าโชคดีนะยะ” จิวเหลียนพูดขึ้นชี้นิ้วที่เคยอวบอิ่มไปที่ซูเหยา หลังจากนั้นเธอก็หันหลังรีบก้าวเดินกลับเข้าไปด้านในบ้านของตนทันทีซูเหยาจึงได้แต่ยืนบื้อใบ้ด้วยความงงงวย ‘อะไรกัน ฉันทำผิดอะไรก็ตัวมาหาเรื่องเขาก่อนแท้ๆ สงสัยเก็บกดจากการถูกกดขี่ ช่างเถอะเดินต่อดีกว่า’ ซูเหยาคิด“เอามือออกจากหูได้แล้วค่ะ นกกาไปแล้ว พวกเรารีบเดินกันเถอะ พ่อน่าจะใกล้เวลาพักแล้ว” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยที่เอามือออกจากหูอย่างเชื่อฟังแม้แต่ตงหยางก็ยังเอามืออุดหูตามน้องๆ ด้วย ‘เด็กพวกนี้ช่างน่ารักเสียจริง’ ซูเหยาคิดในใจ คนทั้งห้าเมื่อเดินมาถึงที่ทำงานของไท่ซาน ทุกคนก็หยุดรอเพื่อให้ตงหยางส่งข้าวให้ปู่ที่หน่วยก่อนเสร็จจากส่งข้าวให้ปู่เรียบร้อยแล้ว คนทั้งห้าก็ม
หลังจากที่มู่หานลุกนั่งขัดสมาธิเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้รับผ้าชุบน้ำเย็นที่ซูเหยายื่นให้ เขาก็รับมาเช็ดตามหน้าและลำคอของตน มู่หานในเวลานี้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมากแล้วและเขาก็ได้คิดถึงความฝันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เขานิ่งค้างไป เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเขาจึงได้ฝันไปในทางร้ายแบบนั้นตอนนี้ภรรยาของเขาออกจะแสนดี บ้านหลังนั้นกับเขาก็ตัดขาดกันมานานแล้ว ดังนั้นเรื่องเลวร้ายในฝันจะต้องไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ“พี่มู่หานไปทำงานกันเถอะครับ หากช้าจะโดนตัดคะแนนได้” เสียงมู่อันที่เขากำลังจะเดินไปที่ทุ่งนาตะโกนเรียกพี่ชายที่ยังนั่งมึนอยู่“รู้แล้ว” มู่หานตะโกนตอบน้องชายกลับไปเช่นกัน“ผมไปก่อนนะครับ ตอนเย็นเลิกงานแล้วผมจะรีบกลับ” มู่หานบอกภรรยา แล้วสิ่งที่ซูเหยาคาดไม่ถึงก็คือมู่หานได้หอมแก้มเธอ“แก้มคุณหอมมาก ผมมีแรงขึ้นเยอะเลย” มู่หานพูดจบเขาก็รีบวิ่งไปทางทุ่งนาทันที โดยทิ้งให้ซูเหยาเอามือลูบแก้มของตนด้วยอาการตกตะลึงปนเขินอยู่คนเดียว“แม่ครับ ฮือๆ น้องๆ” เสียงเสี
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ