เสี่ยวผิงตัวน้อยนั่งทำข้อสอบผ่านไปแต่ละข้อโดยไม่มีอาการชะงักงันให้ครูผู้คุมสอบได้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว
คุณครูสาวที่มีความสงสัยจึงได้เดินเข้ามาดูข้อสอบที่เด็ก หญิงตัวเล็กผู้นี้ทำ แล้วเธอก็ต้องตกตะลึงกับคำตอบที่ตนเห็นแม้จะเป็นเพียงแค่บางส่วนก็ตาม
‘นี่มันเด็กคนนี้ทำข้อสอบที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนได้ยังไง ใครเป็นคนสอนเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้อย่างนั้นเหรอ’ ครูสาวยืนมองด้วยความรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมากพร้อมคิดไปด้วย
สำหรับเสี่ยวผิงเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกประหม่าแต่อย่างใดที่มีคนมายืนมองสิ่งที่ตนกำลังทำ เด็กน้อยก็ยังคงทำข้อสอบไปอย่างสบายเหมือนอยู่คนเดียวตามเดิม
จนกระทั่งเสียงกริ่งบอกเวลารอบแรกดังขึ้น เจ้าตัวเล็ก จึงได้วางดินสอของตนลง จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นจากกระดาษคำตอบ
“ครูคะ หนูทำข้อสอบเสร็จแล้วค่ะ” เสียงเล็กของเด็กหญิงตัวน้อยบอกกับครูสาวที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ครูสาวเมื่อได้ยินเสียงของนักเรียนอย่างไม่เป็นทางการพูดจากที่เธอกำลังยืนมองกระดาษคำตอบของเจ้าตัวเล็กหล่อนก็รู้สึกตัว
“เด็กคนนี้เป็นเพชรชั้นดีทีเดียว แต่จะว่าไปเด็กรุ่นแรกทั้งหกก็มาจากครอบครัวของเด็กคนนี้ไม่ใช่เหรอ” ครูหญิงวัยกลางคนพูดออกมาเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า ครูใหญ่ได้บอกเอาไว้ว่าที่เด็กคนนี้มาขอเลื่อนระดับก็เนื่องมาจากอยากเรียนร่วมกับพี่ชายพี่สาว“ใช่ค่ะ ฉันอยากจะรู้เหลือเกินว่าใครเป็นครูของเด็กพวกนี้ก่อนที่จะเข้าเรียน” ครูสาวกล่าวอย่างชื่นชม“ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละ เอาไว้ค่อยไปถามครูใหญ่ทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้พวกเราก็แยกกันไปกินข้าวกลางวันก่อนเถอะ ช่วงบ่ายยังต้องมาคุมเด็กคนนั้นสอบอีกสามวิชาเลยนะ” ครูวัยกลางคนพูดขึ้นครูหนุ่มสาวทั้งสองต่างก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยทางด้านเสี่ยวผิงหลังจากที่เดินออกมาจากห้องสอบคนตัวเล็กก็เดินมาหาผู้ปกครองของตนอย่างอารมณ์ดีเพราะเจ้าตัวมั่นใจว่าข้อสอบที่ทำนั้นตนทำได้อย่างแน่นอน“สาวน้อยของแม่ไปกินข้าวกันค่ะ” ซูเหยาที่เห็นลูกสาวคนเล็กเดินยิ้มตาหยีมาแต่ไกลเธอก็มั่นใจว่าไม่มีอะไรทำให้ต้องเป็นกังวล“ตกลงค่ะ หนูต้องเติมพลังเพื่อสู้รบตอนบ่ายอีกรอบ” ลูกสาวตัวน้อยเดินเข้า
“ยินดีด้วยนะนักเรียนเทียนผิงวันเปิดเรียนขอให้นักเรียนมาที่ห้องพักครูก่อนนะ จากนั้นครูจะให้ครูซูหยางเป็นผู้พานักเรียนไปที่ห้องประถมสองห้องที่หนึ่ง” ครูใหญ่หลี่พูดขึ้นหลังจากที่ออกมาประกาศผลคะแนนแล้วเมื่อคนในครอบครัวต่างทราบถึงผลสอบของเด็กหญิงตัวน้อยทุกคนก็พากันดีใจเป็นอย่างมาก คนที่ดีใจมากที่สุดก็ย่อมที่จะเป็นตัวของเสี่ยวผิงเอง“ค่ะ” เจ้าตัวเล็กรับคำเสียงใสแย้มยิ้มดวงตาเป็นประกายคนในครอบครัวเทียนเองก็รู้สึกขอบคุณครูที่โรงเรียนแห่งนี้ที่ยอมเปิดโอกาสในการสอบให้กับลูกและหลานของพวกเขาท่านผู้เฒ่าของบ้านจึงเป็นตัวแทนของทุกคนกล่าวกับครูทุกคนออกมา“วันนี้ครอบครัวของเราต้องขอบคุณครูใหญ่และครูทุกท่านมากที่ยอมเสียเวลามาทำให้ความปรารถนาของลูกหลานบ้านเทียนเป็นจริง ขอครูทุกท่านโปรดรับคำขอบคุณ” เทียนฮานเป็นตัวแทนของคนในครอบครัวกล่าวออกมาก่อนที่คนทั้งหมดจะลุกขึ้นพร้อมกับก้มตัวลงอย่างจริงใจ“ทุกท่านเกรงใจเกินไปแล้วครับ ทางผมเองก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เยาวชนเป็นเด็กเก่งมีความสามารถมาเข้าเรียน” ครูใหญ่ก็เป็นต
ซูหยางที่เห็นท่าทางของหลานสาวก็รู้สึกเบาใจ เขาจึงได้ก้าวเท้าของตนเดินเข้าไปในห้องที่เป็นหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนโดยให้เด็กหญิงรออยู่ด้านหน้ารอก่อนนักเรียนภายในห้องทั้งหญิงชายเมื่อเห็นว่ามีครูเดินเข้ามาพวกเขาก็รีบพากันไปนั่งที่ของตนตามเดิมเมื่อครั้งสมัยเรียนตอนประถมหนึ่งคนเป็นครูเมื่อเห็นว่านักเรียนเงียบเสียงและนั่งเป็นระเบียบแล้วก็รู้สึกพอใจก่อนที่เขาจะพูดออกมา“วันนี้สมาชิกในห้องของเราจะมีนักเรียนมาเพิ่มหนึ่งคนสหายนักเรียนคนนี้เป็นนักเรียนที่ทดสอบข้ามชั้นขึ้นมาเป็นคนแรกของโรงเรียนเรา ขอเชิญนักเรียนเทียนผิงเข้ามาได้” ครูซูของนักเรียนบอกกับนักเรียนในห้องก่อนที่จะเรียกเด็กหญิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าเข้ามาทันทีที่เสี่ยวผิงได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนเธอก็เดินเข้ามาด้วยความมั่นใจ เด็กหญิงตัวน้อยที่วันนี้ถักเปียคู่มีกระเป๋าสะพายอยู่ด้านหลังแต่งกายสุภาพเดินเข้ามายืนข้างครูที่หน้าชั้น“แนะนำตัวได้เลยครับ” ซูหยางบอกกับนักเรียนใหม่ของตน“สวัสดีสหายนักเรียนทุกคนค่ะ ฉันชื่อเทียนผิงอายุเจ็ดปีตั้งแต่วันนี้จะมาเรียนกับทุกคนขอฝา
“สามีคะ คุณอย่าคิดมากเลยนะคะฉันคิดว่าอาการแบบนี้พอพ้นเดือนนี้ก็น่าจะหายไปคุณอย่าน้อยใจเลยนะ” ภรรยาที่เห็นสามีทำคอตกก็กล่าวออกมาอย่างห่วงใยและรู้สึกสงสาร“ครับ ผมจะอดทนภรรยาก็ต้องทนเอาหน่อยนะครับ” ผู้เป็นสามีเมื่อได้ยินเสียงภรรยาปลอบก็เหมือนกับเขาได้น้ำทิพย์มาชโลมหัวใจดวงน้อย ๆ รีบเงยหน้าสบตาภรรยาสาวก่อนพูดออกมาเรื่องราวตอนท้องของซูเหยาก็ได้ผ่านไปจนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในช่วงฤดูฝนที่ค่ำคืนนี้มีฝนตกประปราย และเป็นช่วงที่เหล่านักเรียนที่เริ่มเติบโตเพิ่งจะผ่านพ้นช่วงสอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้นภายในตัวอำเภอซูเหยาที่กำลังนอนหลับก็รู้สึกเจ็บปวดจนสะดุ้งตื่นเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้านวล หญิงสาวพยายามสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก็ค่อย ๆ ผ่อน“สามี” หญิงสาวที่ตอนนี้มีรูปร่างอวบจากการตั้งครรภ์เรียกสามีที่นอนอยู่ข้างกันเสียงแผ่วเนื่องจากเธอรู้สึกเจ็บหน่วงขึ้นมาอีกระลอก“อืม” เทียนหานขานรับเสียงเบาแต่เมื่อเขาเริ่มรู้สึกตัวจึงได้ลืมตาตื่น“สามีคะ ฉันเจ็บท้อง” คนเป็นภรรยาพูดย้ำออกมา หล่อนกำลังพยายามสูดหายใจลึกแล
คงจะมีแต่เด็กวัยเริ่มโตที่กำลังจะเข้าเรียนชั้นมัธยมต้นเท่านั้นที่ยังคงนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องราวภายในบ้านว่าตัวเองกำลังจะได้น้องตัวน้อย ๆ มาเป็นสมาชิกเพิ่มอีกหนึ่งคน ทางด้านซูเหยาตอนนี้ได้เดินทางมาถึงโรงพยาบาลแล้ว และคนที่มาด้วยกันก็ได้พากันอยู่ด้านนอกเนื่องจากเวลานี้เป็นช่วงฉุกเฉินมีเจ้าหน้าที่อยู่ไม่มากและก็ช่างเป็นโชคดีที่ ซูเหยาได้มาเจอกับหัวหน้าพยาบาลอัน“เสี่ยวเหยาอดทนหน่อยนะพี่จะพาเธอไปห้องคลอด ตอนนี้พี่โทรตามหมอเฉินมาแล้วไม่ต้องกลัวนะ” พยาบาลอันปลอบ โยนคนที่เป็นเหมือนน้องสาวเสียงนุ่ม“ค่ะ” หญิงสาวกัดฟันตอบ ตอนนี้เธอรู้สึกเจ็บท้องถี่มากกว่าเดิมอีกคุณหมอคนสวยที่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องพักแพทย์หลังจากได้รับโทรศัพท์จากอันหลินเธอก็รีบวิ่งมายังห้องคลอดทันที“คุณน้าไม่ต้องห่วงนะคะฉันจะดูแลน้องสาวเอง” คุณหมอสาวพูดกับหญิงวัยกลางคนที่ตนจำได้ว่าหญิงผู้นี้เป็นแม่ของน้องสาวที่กำลังเจ็บท้องรอคลอดอยู่ด้านใน“ขอบใจนะจ๊ะแม่ขอฝากน้องด้วย” หว่านชิงพูดไล่หลังคนที่กำลังรีบวิ่งเข้าไปด้านในหลังจากที่หยุดบอกเธอ
รุ่งเช้าของอีกวันลูกชายหญิงทั้งสามของซูเหยาเมื่อลงมาจากชั้นบนแล้วไม่เห็นคนเป็นแม่แม้แต่พ่อพวกเขาก็ไม่ เห็นมีแต่ปู่อยู่เพียงลำพังนั่งที่โต๊ะอาหารเด็กทั้งสามได้แต่ แปลกใจ“ปู่ครับ พ่อแม่ไปไหนหรือครับ” เสี่ยวเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่ของน้องถามคนเป็นปู่ด้วยความสงสัย“แม่ของหลานไปคลอดน้องที่โรงพยาบาลเมื่อคืนนี้ พ่อกับตายายของหลานก็เลยไปเป็นเพื่อนแม่ พวกหลานเองก็รีบมากินข้าวกันเถอะปู่จะพาไปหาน้อง” คนเป็นปู่ตอบหลานทั้งสามที่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง“พวกเรามีน้องแล้วหรือครับ/ค่ะ” เด็กทั้งสามส่งเสียงดังขึ้นพร้อมกัน“ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้ก็มากินข้าวกันได้แล้วจะได้เอาของบำรุงไปให้แม่ด้วย” คนเป็นปู่ยกยิ้มกล่าวเร่งหลานอีกรอบ“น่าเสียดายนะครับที่พี่ชายพี่สาวกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ผมเลยไม่ได้อวดน้องคนเล็กเลย ปู่ครับพวกเราได้น้องสาวหรือน้องชายกัน” เสี่ยวเฉินที่ตอนนี้ตัวไม่น้อยพูดรำพึงรำพันก่อนถามคนเป็นปู่ออกมา“พวกหลานอยากได้น้องชายหรือน้องสาวกันล่ะ” คนวัยใกล้แปดสิบ
“พ่อครับ เร็วเข้าน้องร้องใหญ่แล้ว” เจียงเฟยที่ได้ยินเสียงน้องน้อยร้องถึงกับตกใจกล่าวเร่งคนเป็นพ่อ“ครับ ๆ พ่อรู้แล้ว โอ๋ ๆ นะ” คุณพ่อเองก็พยายามเกลี้ยกล่อมลูกเล็กเช่นกันในระหว่างที่ก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็วด้านเด็ก ๆ ทั้งสามก็รีบสาวเท้าเดินตามพ่อของตนไป เทียนฮานที่เดินมากับพ่อบ้านก็ได้แต่นึกขำกับบรรยากาศที่แตกตื่นของสี่คนพ่อลูก“ฮ่า ๆ ครอบครัวของเราต่อไปนี้คงไม่เงียบเหงาแล้วล่ะ ตอนแรกฉันคิดว่าพอเด็กพวกนี้โตขึ้นแล้วบ้านจะเงียบ แต่ตอนนี้ได้มีเจ้าตัวเล็กที่น่าจะแสบกว่าพี่ชายพี่สาวเสียแล้ว” คนเป็นเจ้านายพูดขึ้นพร้อมหัวเราะเสียงดัง“ผมเองก็เห็นด้วยกับท่านครับ” คนในวัยเดียวกันเดินคุยกันจนกระทั่งมาถึงห้องพักฟื้นหลังคลอดของซูเหยาที่ตอนนี้คนเป็นพี่สาวกำลังมองยายเปลี่ยนผ้านุ่งให้กับน้องชายอยู่ ใช่แล้วตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนรับรู้แล้วว่าตัวเองได้น้องชาย“คุณปู่พวกเราได้น้องชายครับ เมื่อน้องโตขึ้นผมจะสอนการต่อสู้ให้น้องและก็สอ
จนกระทั่งครบหนึ่งเดือนที่ซูเหยาได้ออกจากห้องคุมขัง หญิงสาวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เพราะวันนี้เธอจะได้อาบน้ำสระผมให้สมใจอยากแม้ช่วงเวลาที่อยู่ในนั้นจะได้เช็ดตัว แต่หล่อนก็คิดว่ามันไม่สะอาดเหมือนกับอาบน้ำหลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จคุณแม่ยังสาวก็ออกมาดูแลลูกน้อยของตนที่ตอนนี้เริ่มจ้ำม่ำจากความกินเก่งของเด็กน้อยยามเมื่อที่อยู่ในอ้อมกอดแม่เจ้าตัวเล็กมักจะอารมณ์ดี ไม่เหมือนอยู่ในอ้อมกอดคนเป็นพ่อที่เจ้าตัวมักจะฉี่ใส่บ้างอึใส่บ้างอยู่เป็นประจำ อย่างในเย็นวันนี้ที่เทียนหานกลับมาจากทำงานก็ตรงเข้ามาอุ้มลูกเหมือนทุกวัน“เจ้าเมฆน้อยท่าจะรักพ่อมากนะ ปู่เห็นฝากรักไว้ที่พ่อเป็นประจำเลย” เทียนฮานที่เห็นว่าหลานชายคนเล็กได้อึใส่พ่อของตนกล่าวอย่างหยอกล้อลูกชายบุญธรรม“...” คนเป็นลูกได้แต่นิ่งกับคำพูดของพ่อผู้ชรา พร้อมคิดว่าลูกชายรักเขาจริงใช่ไหม ตอนอยู่ในท้องพ่อก็เข้าใกล้แม่ไม่ได้พอคลอดออกมาส่วนใหญ่พอเขาอุ้มเจ้าตัวเล็กก็มักจะอึหรือฉี่ใส่พ่ออย่างตนเป็นประจำ“ว่าแต่วันนี้เป็นวันประกาศผลเข้าเรียนโรงเรียน
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ