ตอนนี้ไม่มีบ้านไหนคิดอยากจะดูแลเลย สหายคิดอยากจะเอาไปดูแลต่อหรือไม่ เนื่องจากตอนนี้บ้านหลังนั้นนายก็จะได้คืนกลับไปตามเดิมด้วย ฉันจะได้ทำเรื่องทะเบียนบ้านให้” ฉีอันพูดขึ้นอย่างหนักใจ
เนื่องจากเรื่องการเลี้ยงหมูไม่มีบ้านไหนรับเลี้ยงเลย ตอนแรกเขายังคิดว่า หากไม่มีใครเลี้ยงก็คงจะต้องจัดสรรให้มีคนไปเก็บหญ้ามาให้หมูและหาคนเก็บมูลหมูอีก
แต่ถ้าหากมู่จางรับเลี้ยงเขาก็จะได้ไม่ต้องแบ่งคนให้ไปทำหน้าที่เหล่านี้ มูจางที่ได้ยินผู้ใหญ่บ้านพูดเขาก็นิ่งไปสักพัก
ทุกวันนี้เขาก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรอยู่แล้ว หากเลี้ยงหมูก็ดีจะได้ทำให้คะแนนการทำงานเพิ่ม อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนลูก ๆ ของตน
และเขาก็ยังได้ย้ายกลับเข้ามาอยู่ในบ้านของตนตามเดิม โดยที่ลูกชายคนเล็กกับสะใภ้จะได้อยู่กันเป็นส่วนตัวมากขึ้น
“ผมตกลง” มู่จางหลังจากนิ่งไปสักพักเขาจึงให้คำตอบ
“สหายนายตัดสินใจได้ถูกต้องมาก ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันจะทำเรื่องทะเบียนบ้านให้นายเลย” ฉีอันพูดขึ้นอย่างดีใจ
“ได้ครับ” มู่จางจะพูดอะไรได้นอกจากตอบรับ
“พ่อแน่ใจนะครั
“มู่อันมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำไมนายดูใจลอย” มู่หานถามน้องชายหลังจากที่พวกเขาได้ยินกริ่งสัญญาณเลิกงานตอนเย็น“คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” มู่อันเล่าเรื่องที่เขาและพ่อได้ยินทั้งหมดให้กับมู่หานฟัง“พี่ว่าเรื่องมันจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม นายก็ไม่ต้องเก็บเอามาคิดหรอกเนื่องจากตอนนี้แม่ของนายก็เสียไปแล้ว ต่อให้เป็นเรื่องจริงผู้หญิงคนนั้นก็คือแม่ของนายส่วนเรื่องของมู่ปิงนายยิ่งไม่ต้องคิดมากใหญ่เลย เขาเป็นคนทำผิดเขาต้องย่อมรับผลที่ตามมา ตอนนี้หน้าที่ของเราก็แค่ช่วยกันดูแลพ่อและก็ใช้ชีวิตของเราทำให้มันดีก็พอเรื่องที่ผ่านมานานแล้วก็แค่ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอดีตไป สำหรับความเห็นของพี่ก็คือเราควรอยู่กับปัจจุบัน” มู่หานพูดขึ้นพร้อมกับเอามือจับบ่าน้องชายอย่างปลอบโยน“ผมจะทำตามที่พี่พูดให้ได้ครับ” มู่อันหลังจากที่คิดตามที่ มู่หานพูดเขาก็มีสีหน้าดีขึ้น“ตอนนี้พวกเราก็ไปช่วยพ่อทำความสะอาดบ้านกันเถอะ” มู่หานบอกน้องในระหว่างที่เขาเดินมาด้วยกัน โดยที่พี่ชายทั้งสามของซูเหยาเ
“ครับ” หลังสิ้นเสียงตอบรับสองชายหนุ่มก็พากันเดินไปหลังบ้าน พวกเขาก็เห็นซูเหยากับซือซิงกำลังช่วยกันล้างคอกหมูอยู่“มาครับพี่สะใภ้เดี๋ยวผมสองคนทำเอง” มู่หานเดินเข้าไปแล้วอาสาเป็นคนทำงานนี้แทน“ซือซิงคุณไปทำอย่างอื่นเถอะ เดี๋ยวทางด้านนี้ผมกับพี่ มู่หานจัดการเอง” มู่อันที่เห็นภรรยากำลังใช้แปรงยาว ๆ ขัดพื้นอยู่พูดขึ้น“ได้ค่ะ ฉันจะได้ไปจัดการเก็บส่วนอื่น ๆ ต่อ” ซือซิงก็ไม่อิดออด เธอจึงรีบเปลี่ยนให้สามีจัดการแทน เนื่องจากเธอกับพี่สะใภ้จะได้เข้าไปจัดการยังส่วนอื่นภายในบ้านทางด้านในครัวของบ้านมู่เดิม ซูเหยาที่ได้แอบเติมอาหารทุกอย่างไว้จนเต็ม กำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารเย็นโดยมี หว่านชิงและอู๋ซินเป็นคนช่วยโดยเธอลืมไปแล้วว่าวันนี้เธอบอกว่าจะไปยังบ้านของ เจียวจินหญิงชราที่ตนเคยช่วยเอาไว้ หากเธอไปบางทีเธออาจจะหยุดเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัวนั้นได้ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เกิดตามโชคชะตาของครอบครัวนี้ แต่ครั้งนี้ถือว่าได้
เรื่องบ้านของมู่จางก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ตอนเย็นคนในครอบครัวทั้งหมดก็นั่งกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา มีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ ๆ อย่างมีความสุขเช้าวันต่อมายังไม่ทันที่ซูเหยาจะทำอาหารเสร็จและมู่หานเองก็ยังไม่ได้ออกไปทำงานเสียงเคาะประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น“ขอโทษนะครับ ที่นี่ใช่บ้านของสหายมู่หานหรือเปล่า” เจียงเจ๋อตะโกนเรียกอยู่หน้าประตูบ้าน โดยเจียงซวนเป็นคนเคาะประตู“มาแล้วครับ” มู่หานตอบรับอยู่ด้านในเมื่อเขาเดินมาถึงหน้าประตูพร้อมกับเปิดประตูบ้านออก“สวัสดีครับ สหายเป็นใครอย่างนั้นเหรอ” มู่หานถามคนที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารสีเขียว แต่ไม่มีแถบแดงคาดต้นแขนอย่างสงสัย“สวัสดีครับผมชื่อเจียงเจ๋อ ส่วนคนนี้เป็นน้องชายชื่อ เจียงซวนพวกเราเป็นคนที่พ่อบุญธรรมเจียงเฟยส่งมาให้คอยคุ้มกันสหายซูครับ” เจียงเจ๋อเป็นคนกล่าวแนะนำตัวเองและน้องชาย“ถ้าอย่างนั้นเชิญเข้าบ้านเถอะครับสหาย” มู่หานกล่าวเชิญทั้งสองคนเมื่อเขาได้
เจียงซวนกล่าวเสียงนิ่งแต่แววตากลับเป็นประกาย โชคดีที่ได้มาทำงานที่นี่มีอาหารอร่อย ๆ ให้กินพวกเขาจึงได้เดินตามมู่หานเข้าไปด้านในก่อนที่จะถึงห้องครัว เขาสองคนก็ได้เห็นเด็กน้อยน่าตาน่ารักสามคน“สวัสดีค่ะ/ครับ คุณลุงเชิญนั่งครับ” เด็กน้อยสามคนกล่าวทักทายผู้เป็นแขกอย่างน่ารัก“สวัสดีครับ พวกลุงขอรบกวนด้วยนะ” สองพี่น้องเจียงพูดพร้อมส่งยิ้มให้เด็กน้อย ซูเหยาที่ได้ออกมาเห็นเธอก็ยิ้มให้กับภาพตรงหน้า“อะแฮ่มภรรยาครับ คุณมานั่งข้างผมเถอะครับ” มู่หานจงใจเรียกซูเหยาอย่างตั้งใจเขาไม่ได้หึงเลยนะไม่เลยจริง ๆ“ค่ะ” ชูเหยาตอบรับหลังจากนั้นเธอก็มานั่งข้างสามีที่อยู่ ๆ ก็หน้าบึ้งโดยที่เธอไม่เข้าใจ“กินข้าวกันเถอะครับ เชิญคุณสองคนตามสบาย” มู่หานกล่าวเชิญแขก โดยที่ซูเหยาก็คีบของโปรดให้เด็กทั้งสามจนวนมาถึงของโปรดของมู่หานจึงทำให้เขารู้สึกอารมณ์ทันตาหลังจากมื้ออาหารเช้าผ่านพ้นไปผู้ใหญ่ทั้งสี่ก็มานั่งคุยกันในห้องโถง ส่วนเด็กน้อยเมื่อเสี่ยวหยางมาพวกเขาก็พากันเดินไปเก็บหญ้าเอาไว้ให้กับกระต่ายน้อย
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เดินทางกันเถอะไม่รู้ว่า รถไถจะมีอยู่หรือเปล่า ว่าแต่เธอสองคนมาที่นี่กันยังไงอย่างนั้นเหรอ” หว่านชิงหลังจากที่ปิดประตูบ้านแล้วหันมาพูดคุยกับชายหนุ่มที่เดินอยู่ด้านหลังเธอกับซูเหยา“พวกเราให้พี่ชายขับรถมาส่งครับ และตอนเย็นเขาก็จะขับรถมารับอีกที” เจียงเจ๋อเป็นคนตอบออกมาซูเหยาเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่พี่ชายหมาด ๆ พูด เธอก็คิดอยากได้รถเอาไว้ใช้เองบ้างเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะสามารถทำได้หรือเปล่าเอาไว้เธอค่อยลองปรึกษากับเจียงเฟยอีกที“เสี่ยวเหยา ลูกไปเรียกพี่สะใภ้ทั้งสองของลูกเถอะแม่ว่า พวกเธอน่าจะอยู่ด้วยกันนี่แหละ” หว่านชิงพูดขึ้นเมื่อพวกเขาสี่คนยืนอยู่หน้าบ้านลูกชายคนโตของตน“ค่ะ” ซูเหยารับคำ หลังจากนั้นเธอจึงเรียกชื่อฟางหรงอยู่สองครั้งก็ได้ยินเสียงตอบรับจากด้านใน“มาแล้วค่ะ” จบประโยคของฟางหรงบานประตูบ้านก็เปิดกว้าง“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง ไปกันเถอะค่ะ” ซูเหยาทักหญิงสาวทั้งสองด้วยรอยยิ้มบางก่อนจะกล่าวชวน“จ้ะ” สองสาวรับคำ เมื่อหญิงสาวทั
แต่ติดตรงที่พวกเขาเห็นชายรูปร่างกำยำใส่ชุดทหารที่มากับซูเหยาเข้าเสียก่อน แม้ว่าพวกเขาอยากจะเดินเข้ามาเพียงไหนแต่ก็ไม่มีความกล้ามากพอซูเหยามองสภาพคนเหล่านี้ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็กและคนแก่ด้วยความรู้สึกเห็นใจ แต่จะให้เธอยื่นของกินให้ทุกคนก็เป็นไปไม่ได้เพราะเธอเองก็กลัวการถูกรุมทึ้งเหมือนกัน อยากช่วยก็อยากแต่เธอคิดว่าควรจะคิดหาวิธีที่รอบคอบที่ดีกว่านี้ หากช่วยสุ่มสี่สุ่มห้าไปเจอสายของโจรเข้าก็เดือดร้อนกันพอดีเจียงเจ๋อและเจียงซวนพวกเขาเคยได้ยินเรื่องความใจดีของ ซูเหยามาก่อน พวกเขาจึงคิดว่าถ้าซูเหยาเห็นคนเหล่านี้จะต้องเกิดความสงสารแล้วจะต้องช่วยเหลืออย่างแน่นอนพวกเขากำลังคิดวางแผนกันว่า ควรจะรับมืออย่างไรหากผู้คนมารุมกันเยอะ แต่แล้วเรื่องที่เขาทั้งสองคิดไว้กลับไม่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้พวกเขาถึงกับงุนงงหรือว่าข่าวที่พวกเขาได้รับมาจะได้ยินมาผิดกันซูเหยาผู้ที่ไม่รู้ตัวว่า การกระทำของตนได้ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคิดมากนั้น ตอนนี้เธอได้เดินนำคนทั้งห้าเข้ามาในซอยทางเข้าบ้านของเจียวจินที่ค่อนข้างแคบพวกเขาพากันเดินไปเรื่อย ๆ จนมาถึงบ้านท
ซูเหยาที่เห็นท่าทางอันโศกเศร้าของคนแก่เธอก็เงียบเสียงตัวเองลง เธอก็ได้แต่หวังว่าเจียวจินคงจะจำบทเรียนในครั้งนี้เอาไว้ให้มากเธอไม่อยากให้เด็ก ๆ ที่รู้ความและน่ารักต้องดำเนินไปในทางที่เลวร้าย ดังนั้นเรื่องแผนการของเธอที่จะดูแลเด็ก ๆ คงจะต้องจัดการให้เร็วที่สุดเสียแล้วในระหว่างที่ซูเหยากำลังนั่งเหม่ออยู่ เธอก็ได้ยินเสียงไอ เบา ๆ ดังออกมาจากด้านในของตัวบ้านที่เธอและครอบครัวนั่งอยู่ในตอนนี้“เธอคือซูเหยาใช่หรือเปล่า” เสียงแหบปนเสียงไอดังขึ้นห่างจากซูเหยาไม่มากนักถามขึ้นอย่างอ่อนแรง“ใช่ค่ะ คุณตาอาการดีหรือยังคะ” ซูเหยาเมื่อเธอหันไปตามเสียงที่คุยกับตนเธอจึงได้ถามออกมา“แค่ก ๆ พอจะดีขึ้นบ้างแล้ว ฉันขอบใจเธอมากนะที่ช่วยเหลือครอบครัวของเรา โปรดรับการคำนับจากฉันด้วย” ฮุ่ยซิ่วลุกขึ้นพร้อมกับที่เขากำลังจะก้มหัวของตัวเองลงซูเหยาที่เห็นแบบนี้เธอก็ตกใจ รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ขยับตัวออกด้วยใบหน้าตื่นตระหนก “คุณตาอย่าทำแบบนี้ค่ะ ฉันเด็กกว่าตั้งเยอะ ฉันยังไม่อยากอายุสั้น” ซูเหยารีบร้องห้ามออกมาเสียงห
และยังมีกองกำลังอีกรับรองปลอดภัยแน่นอน” ซูเหยาพูดกับแม่เสียงอ่อน“แต่ว่า...” หว่านชิงอยากจะแย้งแต่เธอก็รู้ดีว่าลูกของตนเป็นคนแบบไหน“แล้วลูกจะลงมือตอนไหนกัน” หว่านชิงที่รู้แล้วว่าห้ามลูกไม่ได้จึงได้ถามเวลาออกมาแทน“ตอนนี้ค่ะ ฉันว่าพวกมันคงไม่ระวังตัวกันหรอก ขนาดเจ้าสามคนที่อยู่กับพวกมันหายตัวกันไปตั้งนานมันยังไม่ออกมาตามหาพวกของมันเลยนี่ก็แสดงว่าพวกมันจะต้องมั่นใจว่า ไม่มีใครสามารถจับพวกมันได้อย่างแน่นอน” ซูเหยาพูดขึ้นตามการคาดเดาของตนที่ได้รับรู้มาจากนิยายที่กล่าวว่าคนพวกนี้ตอนกลางวันมักจะนอนเอาแรง แต่พอช่วงค่ำพวกมันจะตระเวนไปลักเด็กที่พ่อแม่พามาขออาหารประทังความหิว“พี่สองคนไปเตรียมกองกำลังมาเถอะค่ะ ฉันคิดว่าเอามาสักห้าสิบนายน่าจะพอ หากเยอะกว่านี้จะผิดสังเกตเอาได้” ซูเหยาพูดขึ้น ตอนนี้เธอต้องคุยกับคนที่รู้บ้านของมันก่อนว่าอยู่ตรงไหนจะได้วางแผนได้ถูก“เสี่ยวหมิ่นบ้านของพวกมันอยู่ตรงไหน บอกน้ามาเลย” ซูเ
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ