กลิ่นตัวเกิดจากใต้รักแร้ของมนุษย์หลั่งเหงื่อออกมาค่อนข้างมาก และถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียอย่างรวดเร็ว จึงก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นเพียงแค่ตัดต่อมเหงื่อบางส่วนที่ทำงานดีออก ก็สามารถแก้ปัญหานี้จากต้นต่อ ในชีวิตประจำวัน แค่ต้องรักษาความสะอาดของรักแร้ใบหน้าเฟิ่งเชียนอวี่เต็มไปด้วยความเข้มงวด อันดับแรกใช้มีดผ่าตัดเปิดปากแผลเล็กๆ ใต้รักแร้ของนาง ทำการลอกผิวหนังตรงปากแผลออกอย่างช้าๆจากนั้นนางตัดเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและต่อมเหงื่อออกทีละนิดมือทั้งสองข้างต้องทำการผ่าตัดที่เหมือนกันเวลาค่อยๆ ล่วงเลยไปทีละน้อยนอกฉากบังลม อวิ๋นจิ่นเซ่อและคนอื่นรออย่างประหม่ามีหลายครั้งที่อวิ๋นจิ่นเซ่ออยากชะเง้อศีรษะดู แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ แม้นางเป็นคนใจร้อน แต่ก็รู้จักแยกแยะหนักเบาหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เฟิ่งเชียนอวี่ทำการเย็บแผลและฆ่าเชื้อใต้รักแร้ฮูหยินหงให้เรียบร้อย ทายาบางอย่างลงบนผ้าพันแผล แล้วพันใต้รักแร้นาง นี่จึงจะถอนหายใจยาวทีหนึ่งเฟิ่งเชียนอวี่นำเสื้อกาวน์ ถุงมือ และสิ่งของอื่นๆ ใส่เข้าไปในถุงที่หยิบออกมาต่างหาก จากนั้นหยิบถุงออกมาอีกหนึ่งใบ ใส่เนื้อเยื่อและต่อมเหงื่อเหล่านี้รวมกันสุดท้ายก็เก็บ
นางสามารถอดทนมาจนถึงวันนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ“ท่านอาหญิง ท่านพูดเหลวไหลอะไร ต่อไปห้ามคิดเช่นนี้อีกนะ”“ใช่แล้วฮูหยิน นี่ก็หายป่วยแล้ว วันดีๆ ของท่านยังรออยู่ข้างหลังเจ้าค่ะ”ฮูหยินหงพยักหน้าแรงๆ ทั้งร้องไห้ทั้งยิ้มเฟิ่งเชียนอวี่ก็ถอนหายใจอย่างซาบซึ้งเช่นกัน“ท่านนักพรตเฟิ่ง ข้าได้เตรียมค่าตอบแทนไว้แล้ว ข้า…”นางยกมือขัดคำพูดของฮูหยินหง “อีกเจ็ดวันข้าจะมาอีก เพื่อดูอาการของฮูหยิน และยังต้องตัดไหม ค่อยให้ค่าตอบแทนตอนนั้นก็ยังไม่สาย…”ฮูหยินหงแสดงความขอบคุณอีกครั้ง เฟิ่งเชียนอวี่พาเว่ยเซิงกับเว่ยชิวไปจากจวนหงหลังจากนั้นสองวัน อวิ๋นจิ่นเซ่อไปหาเฟิ่งเชียนอวี่ที่จวนอ๋องหก เชิญนางไปร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลวง และสั่งอาหารที่แพงที่สุดมาหนึ่งโต๊ะ ลงทุนครั้งใหญ่เมืองหลวงกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะอีกครึ่งเดือน ก็จะถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างประเพณีของเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างต้องกินบ๊ะจ่าง พกถุงหอม ข้างในถุงหอมใส่ลูกชาด หรดาลแดง สุราหอมและอื่นๆ ห่อด้วยผ้าไหม ดมแล้วกลิ่นหอมสดชื่นโดยปากถูกมัดด้วยเชือกห้าสีที่ถักเองหญิงสาวยังสามารถมอบของสิ่งนี้ให้กัน เพื่อแสดงความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายที่ชอบ
เฟิ่งเชียนอวี่ค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้ม “ข้ารู้สึกว่ามันก็เหมาะสมนะ”“ต่อให้กระเด็นออกมา นั่นก็เป็นของที่ข้ากินเอง ข้าไม่รังเกียจเสียหน่อย ส่วนจะทำให้คนอื่นรังเกียจหรือไม่…”เกี่ยวอะไรกับข้าแม้ไม่ได้พูดคำพูดประโยคหลังออกมา แต่การแสดงออกของเฟิ่งเชียนอวี่เผยออกมาแล้วตงฟางจิ่ง “...”ขมับของเขาเต้นตุบๆ เอามือก่ายหน้าผาก ถอนหายใจ ตัดสินใจข้ามหัวข้อสนทนาที่ทำให้เขาปวดหัวนี้“อีกไม่กี่วันก็เป็นวันขอพรของราชวงศ์ ถึงเวลานั้น ฮองเฮาจะพาสมาชิกผู้หญิงของครอบครัวขุนนางทั้งหมดปีนบันไดพันคน จุดธูปขอพรที่วัดหลงถาน”เฟิ่งเชียนอวี่กะพริบตาปริบๆ “ดังนั้นล่ะ?”“ดังนั้น ด้วยสถานะของเจ้า ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ถึงตอนนั้นอย่าลืมวันและเวลาเสียล่ะ”นางกระแอมทีหนึ่ง “คือว่า ช่วงนี้ข้า…”ตงฟางจิ่งขัดคำพูดของนางโดยตรง “นอกจากเจ้าป่วยจนใกล้จะตายแล้ว ไม่เช่นนั้น ต่อให้คลานก็ต้องคลานไป”พลันนางชะงัก หน้าบึ้งทันที “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยากพูดอะไร?”“เหอะ”พลันตงฟางจิ่งหัวเราะอย่างเย็นชา มองนางด้วยสายตาที่เจ้ารู้อยู่แก่ใจเฟิ่งเชียนอวี่ “...”นางเบะปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ขอพรอะไรนั่น ทำอะไรบ้าง?”ตงฟางจิ
หลังจากนั้นห้าวันวันนี้อากาศแจ่มใส หมื่นลี้ไร้เมฆา ห้ามนอนขี้เกียจ เหมาะแก่การเดินทาง เหมาะแก่การขอพรเฟิ่งเชียนอวี่ถูกบรรดาสาวใช้ลากลงจากเตียงแต่เช้า นางหลับตาไว้ ดวงตาไร้วิญญาณเหมือนหุ่นกระบอก ปล่อยให้พวกนางทำนู่นทำนี่กับใบหน้าของตัวเองรอหลังจากที่นางตื่นจริงๆ แล้ว เมื่อลืมตาดูก็พบว่าตัวเองแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเฟิ่งเชียนอวี่อุทานในใจ มาถึงยุคโบราณแห่งนี้ มีสาวใช้ปรนนิบัติ เสื้อมายื่นมือ ข้าวมาอ้าปาก ช่างเป็นชีวิตที่ตกต่ำจริงๆหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ นางพาหลิวซู อิ้งเสวี่ย เหลิ่งหนิง เหลิ่งหานขึ้นรถมา ออกเดินทางไปวัดหลงถานแล้วผู้หญิงทุกคนล้วนไปรวมตัวกันที่เชิงเขาของวันหลงถานเฟิ่งเชียนอวี่มาถึงจุดหมาย ทันทีที่ลงจากรถม้า ก็มองเห็นเหล่าคุณหนูและฮูหยินของขุนนางจับกลุ่มคุยกันตรงนี้สามคน ตรงนั้นสองคนอวิ๋นจิ่นเซ่อมาถึงนานแล้ว“เชียนอวี่ เจ้ามาแล้ว”นางพยักหน้า โพล่งถามกลับไป “อาหญิงของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”เมื่ออวิ๋นจิ่นเซ่อได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเบิกบานแล้ว “ดีมาก บนร่างกายของอาหญิงข้าไม่มีกลิ่นแปลกแล้วจริงๆ ไม่มีเลยสักนิด”“นักพรตเฟิ่งท่านนั้นสุดยอดจริงๆ ทักษะการแพท
บนใบหน้าเหลิ่งหนิงมีความโกรธปนอยู่ นางเดินเข้ามาอย่างลึกลับ“พระชายา เมื่อครู่ข้าเผลอเดินไปถึงเรือนของคุณหนูใหญ่เฟิ่ง ท่านไม่รู้หรอก นางกับแม่ของนาง กำลังวางแผนทำร้ายท่าน”เฟิ่งเชียนอวี่ตะลึงงัน ค่อยๆ วางตะเกียบลง เลิกคิ้ว “พวกนางคิดจะทำร้ายข้าอย่างไร?”เหลิ่งหนิงเล่าแผนการของเฟิ่งหลิงหลงกับนางหลิ่วโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียวบนใบหน้าเหลิ่งหานเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอันเยือกเย็นทันที “พวกนางบังอาจมาก”หลิวซูกับอิ้งเสวี่ยตกใจจนสะดุ้ง “อะไรนะ? พระชายา พวกเราทำอย่างไรดี? จะแจ้งท่านอ๋องหรือไม่?”“ใช่แล้ว การขอพรวันนี้เป็นเรื่องใหญ่ หากเกิดข้อผิดพลาด ผลลัพธ์ที่ตามมาร้ายแรงมาก”เฟิ่งเชียนอวี่หรี่ตา แววตาสั่นไหวเล็กน้อย มุมปากเผยอยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนั้น ข้ามีวิธีของข้า”อยากทำร้ายนาง? ฝันไปเถอะพริบตาก็ถึงยามเว่ยหนึ่งเค่อที่จริงบันไดพันคนของวัดหลงถานก็คือบันไดที่สูงหลายพันขั้นตรงด้านหลังของภูเขา ข้างบนสุดเป็นแท่นบูชาฝั่งซ้ายและขวาของแท่นบูชาปักธงของราชวงศ์ พลิ้วไหวตามสายลม ตรงกลางมีโต๊ะบูชาและกระถางธูปทองเหลืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ข้างหน้ามีอาหารสำหรับใช้บูชาวางอยู่หลายจาน
“มิทำชั่วขจัดภัยพิบัติ ทำความดีสร้างวาสนา สืบทอดลำดับแห่งสวรรค์ ใช้สิ่งนี้ในการบูชา มีเพียงเทพเซียนเป็นแสงสว่าง น้อมสักการะ ทุกคน คุกเข่า...”สิ้นเสียง ฮองเฮาคุกเข่าช้าๆ แน่นอนว่าทุกคนที่อยู่ด้านหลังก็คุกเข่าเช่นเดียวกันเฟิ่งเชียนอวี่ครุ่นคิด พระสงฆ์รูปนี้เสียงไพเราะ เสียงดังก้องกังวานตามธรรมชาติ ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะดึงสติกลับมาจากความฟุ้งซ่านแบบความรู้สึกช้าแล้วค่อยทำตามทุกคนโชคดีที่เวลานี้ไม่มีใครสนใจนางหลังจากทุกคนคุกเข่า ผู้ทำพิธีหยิบบทสวดแล้วคลี่ออก จากนั้นเริ่มท่องบทสวดใช้เวลาสวดนานหนึ่งก้านธูปกว่าจะจบลง เฟิ่งเชียนอวี่ถอนหายใจ หัวเข่าที่น่าสงสารของตน บาปกรรมจริงๆเวลานี้ เสียงร้องดังขึ้นจากไกลใกล้เข้ามาเรื่อยๆเห็นเพียงอินทรีย์ดำทั้งตัวบินโฉบมา สยายปีกบินวนเวียนอยู่บนท้องฟ้าเฟิ่งเชียนอวี่เคยได้ยินหลิวซูบอกว่านี่คืออินทรีย์ของวัดหลงถาน รู้ภาษามนุษย์ยิ่ง การปรากฏตัวของอินทรีย์ แสดงให้เห็นว่าการอวยพรลำดับสุดท้ายกำลังจะมาแล้วฮองเฮาจุดธูปหอมด้วยตนเอง แล้วยื่นให้ผู้ทำพิธี อินทรีย์โฉบบินลงมา ใช้ปากคาบธูปหอมที่จุดเสร็จแล้ว จากนั้นปักลงในกระถางธูป นี่จึงถือเป็นการจบพิธีสำ
นางหลิ่วผู้เป็นถึงฮูหยินอัครมหาเสนาบดี วันนี้เรียกได้ว่าอับอายขายหน้าอย่างมากสตรีบรรดาศักดิ์คนอื่นๆ แรกเริ่มพากันตกใจ เวลานี้มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นทั้งยังเปิดเผยและแอบสะใจ สายตาแปลกๆ มากมายมองไปที่นางหลิ่วแต่นางหลิ่วไม่อาจรู้สึกอะไรแล้ว ถูกอินทรีย์ทำให้ตกใจจนจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว“อ๊า พวกท่านดูใต้กระโปรงฮูหยินเฟิ่งสิ”อย่างกะทันหัน สตรีชั้นสูงสายตาเฉียบแหลมชี้ไปยังจุดหนึ่งแล้วร้องด้วยความตกใจทุกคนรีบหันไปมอง เห็นเพียงชายกระโปรงหรูสีเขียวเข้มของนางหลิ่วเปียกเป็นวง ชายกระโปรงเกยบนขั้นบันได ทิ้งรอยแดงเอาไว้บรรดาสตรีบรรดาศักดิ์เบิกตากว้างนี่คือเลือดหรือ?พวกนางล้วนเป็นสตรี ชั่วขณะหนึ่ง ต่างเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ของนางหลิ่วผู้ทำพิธีหลับตา กล่าวคำสวด “อมิตาพุทธ”เวลานี้ฮองเฮาจวนจะเป็นลมหมดสติ พระนางในฐานะฮองเฮา เป็นตัวแทนพาบรรดาสตรีทั้งหลายสวดอธิษฐาน เดิมเป็นพรอันประเสริฐแต่ในทางเดียวกันก็มีความกดดันระดับหนึ่งซึ่งก็คือทางที่ดีที่สุดอย่าเกิดข้อผิดพลาด หากเกิดเรื่องไม่คาดคิด แม้ฮองเฮาไม่ได้เป็นผู้กระทำ แต่นางซึ่งเป็นฮองเฮา สตรีผู้เป็นมารดาของแผ่นดินต้องรับผิดชอบส
โชคดีที่ในที่สุดสวรรค์ก็มีตาสีหน้าของนางหลิ่วซีดขาว แววตาเลื่อนลอย ตายแล้ว จบเห่แล้วหายใจไม่ทันชั่วขณะ ดวงตากลอกขึ้นแล้วหมดสติไป“ท่านแม่...”เฟิ่งหลิงหลงตกใจ รีบพุ่งตัวไป นางเงยหน้าขึ้นอยากมองหาคนช่วย แต่เวลานี้ ผู้ใดจะสนใจนางสำหรับเฟิ่งเชียนอวี่ นางหนีไปนานแล้วบนรถม้า เฟิ่งเชียนอวี่คลอเพลงอย่างอารมณ์ดี เพียงนึกถึงสีหน้าของนางหลิ่วก็ตลกแล้วตอนกลางวัน ในลานวัดหลงถาน เหลิ่งหนิงบอกแผนการชั่วของสองแม่ลูกให้นางฟังแล้วแท้จริงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นแผนชั่วอะไร เป็นเพียงความคิดชั่วร้ายเท่านั้นเดิมที ไม่รู้ว่าสองแม่ลูกทราบเรื่องจากที่ใด รู้เรื่องระดูรอบเดือนก่อนของนางประจวบเหมาะวันสวดอธิษฐานในเดือนนี้ ตรงกับระดูรอบเดือนก่อนของนาง จึงอยากให้นางขายหน้าต่อหน้าผู้คนอินทรีย์วัดหลงถาน ไวกับกลิ่นคาวเลือดอย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่นางหลิ่วบังเอิญรู้มาจากอัครมหาเสนาบดีสามีของนางหากไม่ใช่เพราะจวนอ๋องหกความปลอดภัยแน่นหนา ไม่อาจส่งคนเข้าไป พวกนางลงมือไปนานแล้ว ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆนางหลิ่วและเฟิ่งหลิงหลงอยู่ในเรือนของตนเองด่าทอเฟิ่งเชียนอวี่ สาปแช่งอีกฝ่ายด้วยคำพูดสุดแสนจะร้า