พออำมาตย์ไป๋หลางจูงบุตรชายทั้งสองมาร่วมเรียนหนังสือกับไป๋หยูและอาโหยวแล้ว ก็หาโอกาสสนทนากับยู่อิง "น้องสะใภ้อยู่แต่ในเรือนเหงาหรือไม่?" "ไม่" นางยู่อิงตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา "พรุ่งนี้ข้าว่าง ข้าจะพาเจ้าและลูกไปเที่ยวสวนป่าชุ่ยหลินดีหรือไม่?" "ไม่" ยู่อิงตอบ "ข้าไม่ว่าง ขอตัวก่อน" แล้วนางก็ไม่สนใจผู้เป็นแขก แต่เข้าครัวไปช่วยนางหลิวซื่อดูน้ำแกงเนื้อแกะตุ๋นที่เคี่ยวเอาไว้สำหรับพวกเด็กๆ "ทำไมไม่อยู่สนทนากับท่านลุงละ?" นางหลิวซื่อถาม "พี่ฮวง ข้าขอบอกตรงๆ เลยว่า ข้าไม่ชอบหน้าเขา" ยู่อิงกล่าว "เจ้าน่ะยังสาวยังแซ่ แถมยังสวยมากอีกต่างหาก ผู้ชายมาชอบพอก็เป็นเรื่องธรรมดา" "แต่เขาน่ะไม่ธรรมดา มีลูกมีเมียอยู่ทนโท่ ยังจะมาทำตัวเหลวไหลอีก" "เจ้าไม่คิดจะแต่งงานใหม่บ้างหรือ?" "ข้าจะเอาอย่างพี่ฮวง อยู่กับลูกจนลูกโต" นางหลิวซื่อหยุดมือที่กำลังเด็ดผัก แล้วกล่าวกับอีกฝ่ายอย่างจริงใจ "อาอิง...ข้าขอบอกตรงๆ การใช้ชีวิตเป็นแม่ม่ายไม่ง่ายนะ...ที่ผ่านมา บ้างครั้งข้าก็เงียบเหงาในยามค่ำคืน แต่ความทุกข์ยากที่ข้าได้รับ มันทำให้ข้าไม่มีเวลาจะอยู่กับความเงียบเหงา ข
สีไคไปจัดการทรมานอันธพาลทั้งสี่คนที่เคยลักพาตัวไป๋เหยียน ซึ่งถูกขังไว้ในคุกลับของจวนฉินอ๋อง จนได้ความจริงว่า...พวกเขาแค้นอำมาตย์ไป๋หลง จึงคิดทำร้ายไป๋เหยียนที่เป็นบุตรชายเป็นการล้างแค้น ด้วยการจับตัวไปขายเป็นทาสกามของเศรษฐีต่างเมือง "เมื่อสี่ปีก่อน อำมาตย์ไป๋หลงจ้างพวกข้าไปล่มเรือที่เศรษฐีแซ่หงนั่งข้ามฟาก ทำให้เศรษฐีแซ่หงถึงแก่ความตายเพื่อล้างหนี้ แต่ต่อมาพวกข้าขาดเงิน ไปขอเงินเขา เขากลับให้บ่าวรับใช้ทุบตีขับไล่พวกข้า" อันธพาลที่พิการตาซ้ายบอดเพราะถูกไป๋เหยียนใช้นิ้วมือทิ่มแทงตา และกระทืบใส่เป้าจนอวัยวะเพศชำรุดใช้การไม่ได้ เอ่ยสารภาพ "ฟังให้ดีนะ...เจ้าพวกเดนมนุษย์" สีไคเอ่ย "หากภรรยาหรือญาติของเศรษฐีแซ่หงไปฟ้องร้องต่อศาลเอาผิดพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงซัดทอดไปที่อำมาตย์ไป๋หลง...เข้าใจหรือไม่?" "เข้าใจขอรับ" ทั้งสี่รับคำพร้อมเพรียง สีไคจึงออกจากคุกลับไปยังห้องโถงพักผ่อน ก็เห็น...นางหลิวซื่อกำลังสนทนากับนางฮัวซื่ออยู่ มีอาเหยียนเป็นผู้รับฟัง นางยู่อิงกำลังแกะส้มให้อาโหยว ส่วนอาหยูน้อยมาเกาะแขนไป๋หยง แต่สนทนากับฉินอ๋องที่นั่งอีกข้างของพี่ชาย "ท่านอ๋องพี่เขย...ข้าน้อยพบเ
ดังนั้น...หงจุ้นจึงมาฟ้องร้องอำมาตย์ไป๋หลงที่ศาลอาญา เพราะศาลชั้นต้นและศาลชั้นกลางไม่สามารถรับเรื่องราวฟ้องร้องกล่าวหาขุนนางใหญ่ได้ อำมาตย์จูบุ๋นซึ่งเป็นตุลาการศาลอาญา จึงมาขอพบฉินอ๋อง เพราะเขารู้ว่าฉินอ๋องเป็นผู้สนับสนุนให้อำมาตย์ไป๋หลงได้เป็นรองเจ้ากรมการค้า และอำมาตย์ไป๋หลงยังเป็นท่านลุงของพระชายาไป๋หยงอีกด้วยพอฉินอ๋องอนุญาตให้พบ...อำมาตย์จูบุ๋นก็น้อมเรียนฉินอ๋องให้ทราบว่ามีชายหนุ่มแซ่หงมาฟ้องร้องที่ศาลอาญากล่าวหาว่า อำมาตย์ไป๋หลงจ้างอันธพาลสี่คนไปล่มเรือที่เศรษฐีแซ่หงใช้ข้ามฟาก ทำให้เศรษฐีแซ่หงจมน้ำตาย "ท่านอำมาตย์..." ฉินอ๋องกล่าว "ข้าเป็นคนยุติธรรมพอ ใครถูกก็ว่าไปตามถูก ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ท่านมิต้องเกรงใจข้า...จัดการไปตามความยุติธรรมได้เลย" "ขอรับ ท่านอ๋อง" อำมาตย์จูบุ๋นรับคำ แล้วน้อมกายประสานมือ "ข้าน้อยขอลา" "เชิญ" พออำมาตย์จูบุ๋นกลับไปแล้ว...สีไคที่อยู่ในห้องด้วย ถามว่า "วันนี้ ท่านเข้าประชุมที่ท้องพระโรง หลังจากที่ได้พักผ่อนนานสี่เดือน...ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง?" "มีข่าวว่าฮ่องเต้รับสนมใหม่ และโปรดปรานสนมใหม่มาก" ฉินอ๋องกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "
"อา...เรื่องถึงโรงถึงศาลเช่นนี้ ข้าเป็นสตรีปัญญาน้อยด้อยการศึกษา ไม่รู้จะช่วยท่านลุงได้อย่างไร" นางหลิวซื่อเอ่ยอย่างกึ่งปฏิเสธ แต่อำมาตย์ไป๋หลงมีหรือจะยอมถอยง่ายๆ "น้องสะใภ้ เจ้าช่วยข้าได้อย่างแน่นอน...เพียงแค่เจ้าไปบอกกล่าวกับพระชายาไป๋หยงให้ขอร้องท่านอ๋องให้ช่วยข้า หากพระชายาบอกกล่าวแทนข้าสักคำ ท่านอ๋องย่อมช่วยข้าได้...น้องสะใภ้นึกว่าเห็นแก่ตระกูลไป๋ของพวกเราสักครั้งเถิด" นางหลิวซื่อจึงจำใจต้องรับปาก และคิดว่า...วันพรุ่งนี้ จะพายู่อิง อาหยูน้อย และอาโหยว ไปจวนฉินอ๋อง เพื่อเยี่ยมอาหยงและอาเหยียน วันรุ่งขึ้น...นางหลิวซื่อก็พายู่อิงและเด็กๆ ไปจวนฉินอ๋อง อาหยูน้อยพาอาโหยววิ่งไปหาไป๋หยงที่สวนด้านหลัง ซึ่งไป๋หยงกำลังฝึกวิชาวรยุทธ์อยู่ มีอาเหยียนและนางฮัวซื่อนั่งชมอยู่ในศาลาชมสวน พอเห็นไป๋หยงกำลังฝึกวิชาตัวเบา...อาหยูน้อยก็ตะโกนเรียก "เกอเกอ..." อาโหยวตะโกนตาม "เกอเกอๆๆ" ไป๋หยงจึงกระโดดลงมายืนตรงหน้าของอาหยูน้อย พลางถาม "เกอเกอพาบินเอาไหม?" "เอา" อาหยูตอบอย่างยินดี ไป๋หยงจึงกอดร่างน้องชาย พาทะยานไปตามกิ่งไม้ใหญ่ จากกิ่งนั้นมากิ่ง เพียงสะกิดเท้าน
"หว่านหว่าน สบายดี" หลิวฮั่วตอบ "และยังมีข่าวดีอีกหลายเรื่อง...เย่ปิง (พี่สาวของเย่หว่าน) ออกเรือนไปกับคู่หมั้นของนางแล้ว เย่ปอ (พี่ชายคนโตของเย่หว่าน) กลับมาจากชายแดน และได้เป็นมือปราบประจำอยู่ที่ศาลอาญา และข่าวดีที่สุดคือ...หว่านหว่านกำลังตั้งครรภ์" พระชายาไป๋หยงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยเสียงหงอยๆ ว่า "ยินดีด้วย ท่านน้า" พอนางหลิวซื่อพาทุกคนกลับถึงจวนตระกูลไป๋ ทั้งหมดก็ถูกเรียกตัวไปยังห้องโถงใหญ่ในเรือนหลัก...ผู้เฒ่าของตระกูลทุกคนที่ชุมนุมกันอยู่ในห้องนั้นล้วนสีหน้าเคร่งเครียด"พวกท่านไม่มีเหตุผลที่จะถอดบุตรชายของข้าออกจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไป๋" ฟูเหรินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงขุ่นเคือง "ที่พวกท่านมีกินมีใช้อยู่ทุกวันนี้ มิใช่เพราะบุตรชายของข้าเลี้ยงดูพวกท่านหรือ? พวกท่านเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ พอเห็นบุตรชายของข้าพลาดท่า พวกท่านก็จะเหยียบซ้ำ..." แล้วนางก็คว้าข้อมือของนางหลิวซื่อ เอ่ยว่า"อาฮวงๆ...เจ้าบอกพวกคนแก่ที่ไม่มีจิตสำนึกเหล่านี้สิว่าเจ้าไปบอกกล่าวฉินอ๋องแล้ว...ท่านอ๋องว่าอย่างไร?" "ท่านอ๋อง มิได้กล่าวอันใจเจ้าค่ะ ฟูเหรินผู้เฒ่า" นางหลิวซื่อตอบ "ทำไมถึงไม่ว
ที่จวนฉินอ๋อง... ฉินอ๋องกับสีไรปรึกษากันอยู่ในห้องทำงาน "เวลานี้ เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือให้ไป๋หลงยินยอมเขียนจดหมายหย่าให้ท่านน้าฮัวลี่ แล้วรับฮัวกงบิดาของท่านน้ามายังเมืองหลวง เพื่อยืนยันเรื่องที่ท่านน้าได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับราชบุตรเขยเฉินอวี้ก่อนแต่งงาน และเรื่องที่ไป๋หลงวางยาพิษหวังสังหารฮัวกงด้วย" สีไคเอ่ย "นั่นเป็นธุระของท่าน ส่วนทางข้า ข้าได้ส่งไช่จื่อนำยอดฝีมือไปลอบค้นเรือนหลักของไป๋หลง และที่อยู่ของฟูเหรินผู้เฒ่า หาหลักฐานที่เขาติดต่อราชครูมู่สงและองค์ชายห้า" ฉินอ๋องกล่าว "แสดงว่าไป๋หลงยังมีประโยชน์อยู่" "ใช่" "ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเอาการงดโทษประหารให้เขามาต่อรองให้เขาเขียนจดหมายหย่า" "ได้" ฉินอ๋องเอ่ย "หลังจากที่เขาและภรรยาถูกเนรเทศ ข้าจะจัดการต่อเอง" "ส่วนข้าก็จะพาเมียจ๋ากลับแคว้นเว่ย" สีไคเหยียดยิ้มอย่างมีแผน "แล้วจัดการกินให้อิ่ม อยู่ที่นี่อดอยากปากแห้งเหลือเกิน" "ท่านไม่คิดอย่างอื่นเลยหรือ?" "แล้วเวลาทำอย่างว่า ท่านคิดอย่างอื่นด้วยหรือ?" "อึมม์..." ฉินอ๋องพยักหน้า "ก็ไม่คิดเหมือนกัน" สีไคไปหาไป๋หลงในคุกของศาลอาญา พอเ
สีไครีบคว้าตัวอาเหยียนมากอดเอาไว้ ตวาดฮัวกงว่า "ท่านทำอะไร?" "ข้าสั่งสอนหลานชายของข้าที่ไม่รักดี ริอ่านเป็นชายตัดแขนเสื้อ" "ท่านปล่อยข้า" อาเหยียนเอ่ยพลางดิ้นจะให้หลุดจากอ้อมแขนของสีไค สีไคจึงจี้สะกัดจุดนอนหลับของอาเหยียน แล้วให้ขันทีอาจี้อุ้มไปนอน นางฮัวซื่อคุกเข่าลงกับพื้น ร้องเรียก "ท่านพ่อ ข้าเป็นคนผิดเอง ข้าเป็นคนยกอาเหยียนให้แต่งงานกับท่านสี เพื่อแลกกับการดูแลรักษาที่ดี เนื่องจากอาเหยียนล้มป่วยหนักมาก การรักษาต้องใช้เงินทองจำนวนมาก ซึ่งข้าไม่มีปัญญาจะรักษาลูก" "แล้วไป๋หลงไม่เหลียวแลหรือ?" ฮัวกงถามเสียงขุ่น "ไม่เพียงไม่รักษา เขายังขายเสี่ยวเหยียนให้ข้า" สีไคตอบ "หากเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง ต้องยอมตายไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี "ศักดิ์ศรีของท่านอยู่ที่แท่งเอ็นที่งอกออกมาเท่านั้นหรือ?" สีไคตอกกลับ "ท่านเป็นคนผลักบุตรสาวและหลานชายให้ตกนรกทั้งเป็น...บุตรสาวของท่านชอบพออยู่ทั่นฮวาเฉินอวี้ ท่านก็รู้อยู่แก่ใจ แต่เพื่อรักษาหน้าของตนเองกลับบังคับให้นางตบแต่งกับไป๋หลง ก่อนวันที่เกี้ยวเจ้าสาวจะมารับ บุตรสาวของท่านก็ได้บอกกล่าวกับท่านแล้วว่า...นางกับเฉินอวี้ได้
ในวังหลวง ตำหนักไทเฮา... "เสด็จย่า...หม่อมฉันถูกรังแกเพคะ" องค์หญิงเหลียนฮัวทูลไทเฮา "ผู้ใดกล้ารังแกเจ้า?" ไทเฮาตรัส "อยู่ๆ ก็มีคนแอบอ้างเป็นบุตรชายของราชบุตรเขยเพคะ" "เขาคือใคร?" "เดิมเขาชื่อไป๋เหยียน แต่เวลานี้เป็นเปลี่ยนเป็นเฉินเหยียนแล้วเพคะ" "อึมม์...เจ้ามาฟ้องข้า ต้องการอะไรหรือ?" "เสด็จย่าโปรดมีพระราชเสาวนีย์เรียกไป๋เหยียนเข้าวังมา หม่อมฉันอยากแล่เนื้อเขาทั้งเป็นเพคะ" ไทเฮาทรงถอนพระทัย "ข้าผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ เหลียนฮัว" องค์หญิงเหลียนฮัวมีสีหน้าตกใจ "เสด็จย่า ไฉนตรัสเช่นนี้เพคะ?" "เจ้าคิดว่า เจ้าทำอะไรเอาไว้ข้าไม่รู้หรืออย่างไร? เจ้าชอบเฉินอวี้ เจ้าจึงวางแผนกับไป๋หลง เจ้าผลักบุตรสาวของฮัวกงตกสะพาน และให้ไป๋หลงเป็นคนช่วยนางต่อหน้าธารกำนัล เพื่อบังคับให้นางต้องตบแต่งกับไป๋หลง ส่วนเจ้าก็มาขอให้ข้าประทานสมรสพระราชทาน บังคับให้เฉินอวี้วิวาห์ด้วย แต่เพราะเขาไม่ยอมเข้าหอด้วย...เจ้าถึงกับสั่งให้ขันทีจับเขาตัดองคชาติ แล้วสับเป็นอาหารปลา จนเขาตรอมใจฆ่าตัวตาย" "หม่อมฉันเพียงแค่โมโหชั่ววูบเพคะ" องค์หญิงเหลียนฮัวเส
องครักษ์ซ้ายเจาหู่มาขอพบพระชายาไป๋หยงเป็นการส่วนตัว “มีธุระอะไรกับข้าหรือ?” พระชายาไป๋หยงถาม พลางใช้ช้อนสามง่ามทองคำจิ้มผลไม้ที่ปอกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างสวยงามพูนจาน เข้าปากอย่างชื่นใจ “น้อมเรียนพระชายา คือข้า…ข้าน้อยอยากจะขอกู้เงินพระชายาขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่พูดตะกุกตะกัก “ต้องการเท่าไหร่?” “ห้าร้อยตำลึงเงินขอรับ” “เอาไปทำอะไร?” พระชายาหนุ่มน้อยวางช้อนสามง่ามทองคำในมือลง “คือว่า…ข้าน้อยชอบเซียวมี่ขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่เอ่ยแล้วยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ชอบเซียวมี่?” “ขอรับ” “แล้วเกี่ยวอะไรกับเงินห้าร้อยตำลึง?” “คือว่า…เดิมทีเซียวมี่เป็นคนในจวนราชครูมู่สง ต่อมาราชครูมู่สงยกเซียวมี่ให้เป็นบ่าวของพระชายา แต่บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ยังคงเป็นบ่าวอยู่ในจวนราชครู พอตระกูลมู่ของราชครูต้องโทษประหารทั้งครอบครัว บ่าวไพร่ถูกขายทอดตลาด บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ก็ถูกขายทอดตลาดด้วย ทางการให้พ่อค้าทาสเหมาทั้งหมดไปขายอีกต่อหนึ่ง ข้าน้อยไปเจรจากับพ่อค้าทาสแล้ว เขาจะยอมขายยกครอบครัวให้ข้าน้อยในราคาห้าร้อยตำลึงขอรับ
องครักษ์บู๊สงพาองค์ชายหกหลี่เฟิง เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ค่ำไหนนอนนั่น คืนนี้…ทั้งสองพักในศาลเจ้าร้าง บู๊สงได้หากิ่งไม้แห้งจากรอบ ๆ ศาลเจ้า มาก่อกองไฟเล็ก ๆ เพื่อให้ไออุ่น องค์ชายหกมองเทวรูปดินปั้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุด แล้วคุกเข่าลงพนมมืออธิษฐาน…ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็อธิษฐานเสร็จ “องค์ชาย…ท่านอธิษฐานอะไร?” บู๊สงถาม เพราะตลอดหลายวันมานี้องค์ชายเอาแต่ร้องไห้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีน้ำตา องค์ชายวัยสิบสองเม้มปากตอบว่า “ข้าอธิษฐานว่า…ขอให้ข้าตายง่าย ๆ ตายไว ๆ” บู๊สงอึ้ง “ทำไมถึงได้อธิษฐานเช่นนี้?” “ข้าสับสนมาก…แต่ก่อนเสด็จแม่บอกกับข้าว่า คนอื่นล้วนเป็นคนไม่ดี ทว่าพอข้าถูกกักบริเวณ ทั้งขันที ทั้งนางกำนัล ล้วนกล่าวว่าเสด็จแม่เป็นคนไม่ดี แม้แต่…เสด็จย่า…ก็ว่าเสด็จแม่ไม่ดี“ องค์ชายน้อยเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าอยากรู้ความจริง ว่าตกลงเสด็จแม่เป็นคนไม่ดีจริง ๆ หรือ?” “องค์ชาย…สตรีที่เข้ามาอยู่ในวังหลัง ก็เปรียบเสมือนบุรุษออกสู่สมรภูมิ ต่างต้องช่วงชิงการมีชีวิตรอด ไม่เป็นตัวของตัวเอง…ข้าไม่อาจบอกต่อองค์ชาย ว่าฮองเฮาหยางเซียงร้ายหรือดี เพราะว่าข้าเพียงได้ฟังเขาเล่าต
หลังจากเรื่องราวในบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฮ่องเต้น้อยหลี่เจินขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยมีฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมหาเสนาบดียกทัพปราบหม่าฟู่เจ้าเมืองชิงซานแล้วเสร็จ สีไคก็จะเดินทางกลับแคว้นเว่ย ซึ่งเป็นแคว้นตอนใต้ของอาณาจักรต้าเป่ยและอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรจงกั๋วฉินอ๋องจึงจัดงานเลี้ยงส่ง…โดยมีแขกผู้รับเชิญเป็นครอบครัวของท่านแม่ยายนางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู และอาโหยว ส่วนท่านย่านั้น นางขอตัวเพราะไม่สะดวก (อยากนอนพักกลางวัน) และท่านน้าบัณฑิตหลิวฮั่ว ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอำมาตย์ตรี หัวหน้ากองเอกสารของกรมการค้า ฉินอ๋องจึงถือโอกาสจัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้อำมาตย์หลิวฮั่วด้วย อำมาตย์หลิวฮั่วได้พาฟูเหรินเย่หว่านมางานด้วย ฟูเหรินเย่หว่าน (หว่านหว่าน) นั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน ดวงหน้างดงามอิ่มเอิบ อาหยูน้อยที่ได้นั่งข้างๆ เย่หว่าน มองท้องที่นูนขึ้นของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่หว่านหว่าน…” อาหยูน้อยยังไม่ได้ถามต่อ ก็ถูกนางหลิวซื่อว่ากล่าว “อาหยู…ต้องเรียกว่าท่านน้าสะใภ้ ไม่ใช่พี่หว่านหว่าน” “ไม่เป็นไรค่ะ” เย่หว่านตอบนางหลิว
นางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู อาโหยว และเฉียวซาน (อาจารย์และองครักษ์ของอาหยูอาโหยว) ถูกรับมาอยู่จวนของฉินอ๋องตั้งแต่ตอนบ่าย พอวันรุ่งขึ้น…กองทัพขององค์ชายห้าหลี่เหิงตีเข้าเมืองหลวงมา ก็แยกเป็นสองขบวน ขบวนหนึ่งโจมตีวังหลวง อีกขบวนหนึ่งโจมตีจวนฉินอ๋อง ครั้นประตูจวนต้านไม่อยู่ ทหารของราชครูมู่สงบุกเข้ามา…ไป๋หยงก็ตรวจนับคนที่ตนจะพาออกไปทางลับด้วยกัน ก็เห็นว่าขาดอาเหยียนกับป้าไช่ จึงถามนางฮัวซื่อว่า “ท่านน้า…พี่เหยียนอยู่ไหน?” (ตั้งแต่รู้ว่า อาเหยียนเป็นบุตรของทั่นฮวาเฉินอวี้ ไป๋หยงก็เรียกนางฮัวซื่อว่าท่านน้า แทนที่ท่านป้าสะใภ้รอง) “อาเหยียนไปตามหาป้าไช่ที่โรงครัว” “ทำไมมาแยกตัวออกไปตอนหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ด้วย” ไป๋หยงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปตามพี่เหยียนกับป้าไช่ ทุกคนรออยู่ในห้องนอนใหญ่อย่าได้แยกย้ายไปไหนเป็นอันขาด” แล้วคว้ากระบี่ติดมือ มุ่งหน้าตรงไปยังโรงครัวทันที แต่ระหว่างทางพบเข้ากับราชครูมู่สง จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น “ข้าจะจับพระชายาไปแขวนที่กำแพงเมืองให้ฉินอ๋องดู” ไป๋หยงไม่ตอบว่าอะไร แต่ตั้งอกตั้งใจใช้เพลงก
ที่จวนของโหราจารย์ คืนนั้น…โหราจารย์รู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาได้รู้ข่าวการตายอนาถของขันทีปลอมเกาซ่ง ฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งและขังอยู่ที่ตำหนักเย็น เขาก็เกรงว่าภัยจะมาถึงตัว แล้วพอเข้าห้องนอน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งยืนรออยู่ในห้องนอนด้วย “ใคร?” โหราจารย์ถาม “คนที่เจ้าทำนายว่า…เกิดใต้ดาวพิฆาตอย่างไรล่ะ” “ฉิน…อ๋อง…” เสียงของโหราจารย์สั่นสะท้าน “ความจำของเจ้ายังดีอยู่” ฉินอ๋องตอบ “ท่านอ๋อง…ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาหาข้าน้อย ต้องการจะให้ทำนายเรื่องใดหรือขอรับ?” “ไม่มีอะไร…ข้าเพียงแค่มาส่งเจ้าเดินทางไกล (ตาย) เท่านั้น” ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ โหราจารย์จึงตัดสินใจวิ่งหนี แต่ช้าเกินไป เพราะเพิ่งจะขยับตัว ก็ถูกสะกัดจุดเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และไม่สามารถพูดออกเสียงได้ ได้แต่ขยับปาก โดยไร้สุ้มเสียง… พอรุ่งเช้า…บ่าวรับใช้ในเรือนของโหราจารย์ที่มีหน้าที่เข้ามาจะปรนนิบัติ ก็พบว่าโหราจารย์ได้แขวนคอตายอยู่ในห้องนอน! สามวันต่อมา… อดีตฮองเฮาหยางเซียงก็ได้รับพระราชทานยาพิษจากไทเฮา พร้อมกันนั้น คนตระกูล
เวลาบ่าย…สนมหม่าซู่ซู่ได้เชิญเสด็จฮ่องเต้ออกมาพักผ่อนที่อุทยานหลวง เกาซ่งขันทีคนสนิทของฮองเฮา ซึ่งหายจากอาการบาดเจ็บราวเจ็ดส่วน (เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์) ได้รับข่าวจากสายของตน ก็รีบนำมารายงานฮองเฮา “เหนียงเหนียง (พระนาง) ยามนี้ฮ่องเต้เสด็จลงอุทยาน นับเป็นโอกาสอันดีพ่ะย่ะค่ะ” “โอกาสอะไร?” ฮองเฮาตรัสถาม “ปกติสนมคนโปรดจะกีดกันผู้ที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระตำหนักหลวง แต่ในอุทยาน เหนียงเหนียงหาโอกาสเข้าเฝ้า แล้วทูลขอตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพื่อจะได้ว่าราชการหลังม่าน ซึ่งฮ่องเต้จะได้มีเวลาพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “เวลานี้ไทเฮาก็ทรงทำหน้าที่นี้อยู่มิใช่หรือ?” “เหนียงเหนียง อย่าลืมสิ ว่าพอไทเฮาออกว่าราชการ ฉินอ๋องกับพรรคพวกก็กำจัดองค์หญิงเหลียนฮัว แล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเขาต้องไม่พ้นเหนียงเหนียงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “ชิงลงมือก่อนได้เปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกต้อง…คนแรกที่เราจะต้องกำจัดก็คือฉินอ๋อง” ฮองเฮาขบฟันตรัสแต่แผนการณ์ของฮองเฮาพังพินาศ…เพราะหม่าซู่ซู่เสแสร้งว่าถูกฮองเฮาผลักล้มและเกือบแท้งบุตร หม่าซู่ซู่และหม่าเต้า (หม่าเต้าเป็น
ดังนั้น…พอฉินอ๋องเสนอกลางท้องพระโรงว่า ให้เชิญไทเฮาออกว่าราชการแทนฮ่องเต้ เหล่าขุนนางก็มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย จึงมีการนับคะแนนเสียง ซึ่งปรากฏว่า…ขุนนางที่เห็นด้วยมีมากกว่า จึงมีการเข้าชื่อถวายฎีกาไทเฮา ผู้ที่นำฎีกาเข้าไปถวายไทเฮาที่พระตำหนักของไทเฮา คือฉินอ๋อง มหาเสนาบดี และเจ้ากรมพิธีการ ไทเฮาตรัสถามว่า “ฮ่องเต้ไม่เสด็จออกว่าราชการนานเท่าไหร่แล้ว?” “กว่าสามเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉินอ๋องทูลตอบ ไทเฮาจึงทรงเรียกหมอหลวงมา แล้วเสด็จไปยังพระตำหนักหลวงที่ประทับของฮ่องเต้ พร้อมด้วยฉินอ๋อง มหาเสนาบดี เจ้ากรมพิธีการ และหมอหลวง ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ไม่กล้าขัดขวางไทเฮา ไทเฮาจึงนำทุกคนเข้าไปถึงห้องบรรทม เห็นฮ่องเต้บรรทมหลับอยู่บนพระแท่นบรรทม “หมอหลวงจงตรวจพระอาการของฮ่องเต้” ไทเฮาทรงออกคำสั่ง หมอหลวงทำการตรวจพระวรกายของฮ่องเต้ แล้วทูลไทเฮาว่า “ฮ่องเต้ทรงพระประชวรพ่ะย่ะค่ะ เพราะพระชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ ทั้งพระวรกายยังมีกลิ่นสมุนไพร เหมือน…” หมอหลวงทูลไม่ทันจบ…ฮ่องเต้ก็ทรงตื่นบรรทม และทรงเอะอะลั่น “พวกเจ้าเป็นใคร?” “แม่เอง” ไทเฮาตรัส “แ
อาเหยียนเตรียมพร้อมรับมือ…พอราชทูตเหอหู่เข้ามาในรัศมีของแขนปุ๊บ อาเหยียนก็ทิ่มนิ้วเข้าใส่ดวงตาที่เป็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายปั๊บ แต่ราชทูตเหอหู่นั้นมีวรยุทธ์ จึงหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ซ้ำคว้าข้อมืออาเหยียนแล้วกระชากให้เซถลาเข้ามาในอ้อมอก กะจะกอดรัดให้หนำใจ ทว่าไหล่ของราชทูตเหอหู่กลับถูกมือแกร่งกระชากไปด้านหลังและทุ่มลงกับพื้น ตามมาด้วยตีนใหญ่ๆ ของนางกำนัลร่างยักษ์เหยียบอยู่บนหลัง ทำให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อน ส่วนร่างบอบบางที่ถลาเพราะแรงกระชาก ก็ถูกสีไคคว้าไปกอดเอาไว้ด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งลูบไล้แผ่นหลัง “โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวน้า เมียจ๋า” “ปล่อยข้า” อาเหยียนตวาดเบาๆ “แหม…แค่นิดเดียวเอง” สีไคบ่นเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยอาเหยียนโดยดี “เจ้าๆๆ…” ท่านราชทูตใต้ฝ่าเท้าส่งเสียง “ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก” “ทำไมข้าต้องปล่อยเจ้าด้วย?” “ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายข้า คนของข้าข้างนอกกระโจม จะต้องเข้ามาสับเจ้าเป็นร้อยเป็นพันชิ้น” “อุ๊ยต๊ายตาย…กลัวซะที่ไหน” สีไคเอ่ย “คนของเจ้าถูกคนของข้าสังหารหมดแล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ลองเรียกดู” “ทหารๆๆๆ…” ไม่มีใครโผล่เข้ามาแม้แต่คนเดียว
ในพระราชวังหลวง…ที่เรือนของท่านชายเฉินเหยียน… เจ้ากรมพิธีการหวงฟงได้พาราชทูตแห่งซีเซี่ยเหอหู่ มาเยี่ยมคำนับท่านชายเฉินเหยียน พอแนะนำตัวและคารวะกันเรียบร้อยแล้ว เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็เป็นคนเริ่มเปิดฉากสนทนาก่อน “ท่านชายเฉินเหยียน…ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ท่านชายเดินทางไปซีเซี่ยพร้อมกับท่านราชทูตเหอหู่ เพื่อสมรสกับองค์หญิงอันอัน เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีของสองประเทศ…นี่ขอรับราชโองการ” กล่าวจบ เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็ยื่นม้วนราชโองการให้อาเหยียน “ข้าต้องทำเช่นไร?” อาเหยียนถาม เขาไม่ได้ตกใจ เพราะว่าสีไคได้นำเรื่องนี้มาบอกแก่เขาก่อนแล้ว “ท่านชายก็แค่ทำใจให้สบายและเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้นขอรับ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนเครื่องประดับมีค่าและเงินทองที่จำเป็น ทางกรมพิธีการจะจัดการให้ขอรับ” หวงฟงตอบ “แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” อาเหยียนถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ “อีกเจ็ดวันขอรับ” ราชทูตเหอหู่เป็นผู้ตอบขึ้น “ทำไมเร็วอย่างนี้” “ฮาๆๆ…หากท่านชายได้เห็นองค์หญิงอันอัน จะตำหนิว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ” ราชทูตเหอหู่พลางยื่นม้วนภาพวาดให้แก่อาเหยียน