“ไม่เป็นไรค่ะ ณาไม่โกรธ”“ขอบคุณมากครับณา พี่…ขอกอดหน่อยได้ไหม”“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ” ณาณีมยิ้มให้ ก่อนที่ทั้งคู่จะสวมกอดกัน สภาวะหน่วงๆ อึมครึมระหว่างณาณีมและดาวินเมื่อครู่ ค่อยๆ หายไป“เฮ้อ...ดีขึ้นเยอะเลย พี่นี่ก็บ้า จะมาหึงอะไรณาตอนนี้เนอะ”“ใช่ค่ะ บ้ามากๆ” คนตรงหน้าเอ่ยรับ นั่นทำให้ดาวินยิ้ม“โอเค กลับไปกินข้าวกันต่อดีกว่า ป่านนี้คุณราฮีมคงนั่งไม่ติดที่แล้ว”“ค่ะ” ทั้งคู่กลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง คราวนี้บรรยากาศดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ดาวินไม่ได้แสดงออกว่าเป็นเจ้าของณาณีม เขาดูผ่อนคลายมากขึ้นผิดกับราฮีมที่นั่งนิ่ง อารมณ์อึมครึมเหมือนพายุจะเข้าชอบกล เมื่อครู่ที่เห็นดาวินพยายามเอาอกเอาใจณาณีมสารพัดเขาก็เดือดปุดๆ มากพอแล้ว แต่พอทั้งคู่กลับมาจากคุยกันสองต่อสอง ที่หายกันไปนานอยู่หลายนาที ทำไมเขาถึงสัมผัสได้ว่าทั้งคู่ผ่อนคลายกันไปมาก หรือว่าเขาสองคนจะตัดสินใจกลับไปอยู่ด้วยกันใ
“มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้เสมอ พี่สัญญาว่าจะไม่ทำตัวงี่เง่า”“ขอบคุณค่ะ” ณาณีมยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินไปส่งดาวินเข้าเกท ซึ่งราฮีมก็เดินมาส่งเช่นกัน จากนั้นทั้งคู่ก็กลับโรงแรม ระหว่างทางที่นั่งรถอยู่นั้น ณาณีมเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็เลือกที่จะเงียบ ไว้ค่อยพูดวันหลังแล้วกัน“คุณมีแผนกลับเมืองไทยวันไหนครับ”“อีกสามเดือนค่ะ ทำไมคะ”“นี่คุณย้ายมาทำงานที่นี่นานขนาดนั้นเลยเหรอ” แค่คิดราฮีมก็คอตก แม้จะอยากอยู่ที่นี่ แต่สามเดือนมันก็นานเกินไป เพราะเขาเองก็มีงานที่ต้องทำเช่นกัน“ไม่เห็นจะนานเลย”“กลับไปพร้อมผมได้ไหม” คำขอของราฮีมทำให้ณาณีมนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา“ไม่ได้ค่ะ”“ผมน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ไม่น่าถามเลย”“ฉันเดาเอาว่างานของคุณที่นี่จบแล้วใช่ไหม คุณต้องไปที่อื่นต่อ และหวังให้ฉันไปด้วย”
ในขณะที่ณาณีมทำงาน ดูเหมือนชีวิตของราฮีมจะว่าง ชายหนุ่มนั่งเล่น นอนเล่นรอเวลาเธอเลิกงานที่โรงแรมจนเบื่อ จากนั้นก็ออกไปหาอะไรกินส่วนพราวตะวันที่ตอนนี้อยู่ญี่ปุ่น ก็ดูเหมือนชีวิตเธอจะคลาดกับราฮีม ดาวินและณาณีมอยู่เรื่อย จนไม่ได้เจอใคร แม้จะมานั่งดักรอพบดาวินที่ล็อบบี้ของโรงแรม แต่เธอก็ไม่ได้เจอเขา นั่นเพราะชายหนุ่มกลับไทยไปแล้ว“เจอยากเจอเย็น เจออีกที แม่งจะมอมเหล้าลากขึ้นห้องให้มันรู้แล้วรู้รอด” พราวตะวันหัวเสีย หงุดหงิดจนอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆก่อนจะแก้เซ็งด้วยการไปช้อปปิ้งอีกตามเคย กว่าจะกลับเมืองไทย เธอคงต้องซื้อกระเป๋าเพิ่มอีกหลายใบ“อุ๊ย! คุณราฮีม” แม้ไม่กี่นาทีก่อน เธอจะเอาแต่คิดถึงดาวิน แต่เวลานี้พราวตะวันเจอเป้าหมายใหม่แล้ว นั่นคือราฮีม เธอดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้เจอชายหนุ่มที่นี่ และไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปหาทันที“คุณราฮีม”“คุณพราว” น้ำเสียงของราฮีมไม่ได้แปลกใจสักเท่าไหร่ที่ได้เจอพราวตะวัน นั่นเพราะเขารู้ว่าเธออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล วันด
ราฮีมและณาณีมเดินไปตามถนน ที่นี่แม้จะมีการคมนาคมที่ทันสมัย แต่การเดินทางส่วนใหญ่ก็ยังคงต้องเดินด้วยเท้า“คุณ…จะไม่พูดอะไรกับผมจริงๆ นะเหรอ” ราฮีมเอ่ยถาม เพราะตั้งแต่เดินกันมาณาณีมก็แทบไม่คุยอะไรเลย“จะให้ฉันพูดอะไร”“อะไรก็ได้ โอ๊ย…คุณณา” เสียงอุทานของราฮีมที่อยู่ๆ ก็ดังขึ้น เหมือนเขาเจ็บปวดกับอะไรสักอย่าง ทำให้ณาณีมหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองชายหนุ่ม“เป็นอะไรคุณ อยู่ๆ ก็ร้องโอ๊ยแล้วยังเอามือกุมปากไว้แบบนั้นอีก”“ผมรู้สึกแปลกๆ อยากให้คุณช่วย” เสียงอู้อี้ของราฮีมเอ่ยตอบ เพราะยังคงเอามือปิดปากไว้อยู่“ช่วยอะไรคะ?” สีหน้าของณาณีมเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม นั่นเพราะยังไม่เข้าใจว่าราฮีมเป็นอะไร และเขาอยากให้เธอช่วยอะไร“ช่วยถอนพิษให้ผมหน่อย”“ถอนพิษ พิษอะไร” ตอนนี้สีหน้าของณาณีมยิ่งงงเข้าไปใหญ่“ก็พิษจากลิปสติกสีแดงๆ ของคุณพราวที่มันติดอยู่บนปากของผมตอนนี้ไง”“คุณราฮีม&hell
วันรุ่งขึ้น พราวตะวันตัดสินใจไปหาราฮีมที่โรงแรมตั้งแต่เช้า นั่นเพราะเมื่อวานเธอเซ้าซี้จนรู้ว่าชายหนุ่มพักอยู่ที่ไหน เธอไม่ได้มามือเปล่า แต่มาพร้อมอาหารทั้งคาวหวานและแอลกอฮอล์ รับรองว่าวันนี้เขาหนีเธอไม่พ้นแน่นอนราฮีมจำต้องลงไปพบเธอที่หน้าล็อบบี้ของโรงแรม อยากเสียมารยาทไม่เชิญเธอขึ้นมาบนห้องพัก แต่พอเห็นข้าวของที่เธอหอบหิ้วมาจนเต็มสองมือ วิญญาณสุภาพบุรุษก็เข้าสิง“เชิญบนห้องผมก่อนดีกว่าครับ”“จะดีเหรอคะ”“ถ้าคุณพราวไม่สะดวก ไว้วันหลังก็ได้”“พราวสะดวกวันนี้ค่ะ” พราวตะวันรีบเอ่ยรับทันที เพราะกลัวเสียโอกาส“งั้นเชิญครับ”“ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะเดินตามราฮีมขึ้นไปบนห้องพักของชายหนุ่มเมื่อเข้ามาในห้องพักของราฮีมได้ พราวตะวันก็ต้องแปลกใจกับกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่ตรงโซนรับแขก“คุณราฮีมจัดกระเป๋าเหมือนจะไปไหนอย่างนั้นแหละ”“ผมจะบินไปไทยพรุ่งนี้ครับ”“จริงเหรอ งั้นพราวกลับด้วยดีก
เพราะความเมา ทำให้ราฮีมเผลอหลับตรงบันไดหนีไฟ จึงไม่รู้ว่าตอนนี้พราวตะวันได้กลับออกไปจากห้องเขาแล้ว ชายหนุ่มจงใจหลบอยู่ที่นี่เพื่อรอณาณีมและเพราะหลับ ทำให้เขาไม่เห็นว่าเวลานี้เธอกลับมาแล้ว ณาณีมที่วันนี้รวบรวมความกล้ามาตลอดทั้งวัน ตัดสินใจจะสารภาพบางอย่างออกไป ก่อนที่พรุ่งนี้ราฮีมจะบินไปเมืองไทยเย็นวันนี้ เธอกลับห้องมาพร้อมเบียร์หลายกระป๋อง จากนั้นก็ดื่มเพื่อเรียกความกล้าเสียหน่อย ตบหน้าตัวเองสองสามครั้ง ก่อนจะเปิดประตูออกมาจากห้องตัวเองแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องราฮีมด้วยหัวใจที่เต้นโครมครามก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!ณาณีมเคาะประตูไปสองสามครั้ง แล้วเอ่ยเรียกชายหนุ่ม เพราะกว่าเธอจะรวบรวมความกล้าเดินมายืนตรงนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ“คุณราฮีม นี่ฉันเอง” ณาณีมรอให้ราฮีมเปิดประตูให้ แต่ทุกอย่างกลับเงียบ เหมือนกับว่าชายหนุ่มไม่อยู่ในห้องอย่างนั้นแหละเธอจึงเคาะประตูอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยเรียกเขาอีกหน แต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบ ไม่มีการตอบรับใดๆ
“คุณก็ชิงปล่อยพิษใส่พราวก่อนสิ จะได้ไม่เสียเชิงชาย จูบมาจูบกลับ ปล้ำมาปล้ำกลับ วินๆ”“ก็ถ้าเป็นคุณ ผมก็อยากจะวินๆ อยู่นะครับ แต่นี่มันไม่ใช่ เพราะถ้าทำแบบนั้นได้ ผมทำไปตั้งนานแล้ว ไม่หนีไปหลบที่บันไดหนีไฟหรอกครับ...ฮัดชิ้ว!” จามครั้งนี้ราฮีมไม่ได้แกล้งทำ แต่มันกลับมาถูกจังหวะ นั่นเพราะณาณีมคิดว่าชายหนุ่มอาจกำลังไม่สบาย จึงยอมให้เขาเข้าไปในห้องด้วย“ชิส์…งั้นก็เข้ามาสิ”“ครับ…ฮัดชิ้ว!” แต่จามครั้งนี้ราฮีมตั้งใจทำ เพื่อจะได้สมเหตุสมผลยิ่งขึ้นว่าหากณาณีมปล่อยให้เขายืนอยู่นอกห้องแบบนี้ต่อไป เขาอาจไม่สบายได้“คุณเปียกไปทั้งตัวแบบนี้ ผมว่ารีบไปอาบน้ำอุ่น สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบาย” เมื่อเข้ามาในห้องได้ ราฮีมก็บอกณาณีมทันที ซึ่งเธอก็เห็นด้วยแต่…พอเข้ามาในห้องน้ำได้ก็หน้าซีด นั่นเพราะห้องน้ำของที่นี่มันไม่มีกลอนสำหรับล็อกประตูนี่สิคือปัญหาใหญ่ อยู่คนเดียวไม่เท่าไหร่ แต่เวลานี้ในห้องมีราฮีมอยู่ด้วย น
ณาณีมกำลังยืนสระผมอยู่ใต้ฝักบัว ฟองสีขาวเต็มศีรษะ ส่วนหนึ่งไหลไปตามร่างกายอันเปล่าเปลือย ยิ่งทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้ง ราฮีมก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าไปยืนซ้อนหลังของเธอไว้ และทันทีที่ณาณีมหันกลับมา เธอก็ต้องสะดุ้ง“คุณราฮีม!”“ไว้ค่อยถาม ว่าผมคลายเชือกนั่นได้ยังไง” ราฮีมรีบคว้าเธอเข้ามากอดทันที เวลานี้ร่างกายเปลือยเปล่าของทั้งคู่ก็สัมผัสแนบแน่นร้อนรุ่มไปทั้งตัวเพียงแค่สบตาต่างก็รู้ใจว่าต้องการอะไร แต่ณาณีมก็ยังคงสับสน ลังเลอยู่ในความรู้สึก เธอจึงพยายามผลักชายหนุ่มให้ออกห่าง แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเสียดสีกับร่างกายเขา และส่วนนั้นของราฮีมที่ตื่นตัวเต็มที่ ก็ยังบดเบียดคลอเคลียอยู่แถวๆ ท้องน้อย ทำให้ใจเธอสั่น ลามไปจนถึงขาที่เริ่มจะอ่อนแรงอีกทั้งๆ ที่เรื่องแบบนี้เธอน่าจะชินได้แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกประหม่า ตื่นเต้น ราวกับนี่คือครั้งแรกของชีวิตนักก็ไม่รู้ นั่นทำให้เธอหลบสายตาเขา ลมหายใจร้อนๆ ของราฮีมรดอยู่แถวๆ แก้มของณาณีม ก่อนจะช้อนใบหน้าเธอขึ้นแล้วสบตาอีกครั้ง และนั่นเหมือนทำให้กำแพงของความลังเลสับสนของณาณีมพังทลาย
ชายหนุ่มดึงตัวณาณีมให้ขึ้นมานั่งคร่อม ยกสะโพกของเธอขึ้นสูงแล้วค่อยๆ กดลงมารับแก่นกายของเขาช้าๆ ให้มันค่อยๆ มุดหายเข้าไปอยู่ในตัวเธอ แม้จะมีอะไรกันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่แรงตอดรัด ความอุ่นภายในตัวของณาณีมก็ทำให้ราฮีมคลั่งได้เสมอๆ“อ่า...อาห์…” ณาณีมครางออกมาเมื่อเวลานี้เธอรับแก่นกายของราฮีมไว้จนลึกสุด ชายหนุ่มนอนนิ่งๆ ราวกับต้องการซึมซับความเสียวซ่าน แต่ณาณีมกลับทนไม่ไหวและเธอก็เริ่มขยับสะโพกบดเบียดสลับขึ้นลง จากช้าก็เปลี่ยนมาเป็นเร็วและถี่กระชั้น“ใจเย็นๆ ที่รัก ผมยังอยากอยู่ในตัวคุณ” ราฮีมรีบห้าม นั่นเพราะยังอยากอยู่ในตัวณาณีมให้นาน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือณาณีมกัดริมฝีปากล่าง มองราฮีมด้วยแววตาเซ็กซี่ ทำเอาหัวใจชายหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะเผลอปล่อยอารมณ์ให้กระเจิดกระเจิงจนเกือบปลดปล่อยและเมื่อรู้ตัวราฮีมก็ถอดถอนความแข็งขืนออกมาจากตัวเธอก่อน แล้วจัดการเปลี่ยนท่าทางด้วยการจับณาณีมให้กลับมานอนหงายบนเตียง ส่วนเขาลงไปยืนอยู่ริมเตียง รั้งเธอให้ขยับเข้าหาแล้วแทรกตั
“ขอบใจแกสองคนมากนะ ที่คอยช่วยเหลือฉันทุกอย่าง” ณิการ์หันไปมองณาณีมกับธัญมณที่ต้องเหนื่อยแทนเธอตั้งหลายเรื่อง โดยเฉพาะณาณีม“เล็กน้อยน่ะ” ธัญมณยิ้มให้“พรุ่งนี้สามีฉันก็บินกลับมาแล้ว โล่งอกไปหน่อย”“สู้ๆ คุณแม่” ณาณีมยิ้มให้คนบนเตียงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนด้วยอีกคน“อื้อ…สู้อยู่แล้ว เป็นแม่คนต้องอดทน สิบล้อชนต้องไม่ตาย แต่แค่ผ่าไส้ติ่งทำไมมันเจ็บงี้ก็ไม่รู้” เพิ่งบอกให้อดทนไปหยกๆ แต่อยู่ๆ หน้าณิการ์ก็ยู่ยี่ เพราะยังรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แผลผ่าตัด“เอาน่ะ เจ็บแค่นี้เล็กน้อย มันสู้ตอนแกเบ่งคลอดน้องภูมิไม่ได้ด้วยซ้ำ จริงไหม” ณิการ์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของณาณีม“จริง เพราะงั้นฉันเลยขอมีลูกแค่คนเดียวนี่ไง เข็ดตอนเบ่งคลอด”“แกนี่” ณาณีมส่ายหน้าให้ณิการ์อีกที ก่อนที่ณิการ์จะเอ่ยกับลูกชาย ที่พอทำการบ้านเสร็จก็ตัวติดกับราฮีมทันทีเหมือนกัน“น้องภู
“เชิญค่ะ เพราะการเม้าท์มอยในที่ทำงานถือเป็นงานหลัก เอ้ย! ไม่สิ งานอดิเรกของใครหลายๆ คนอยู่แล้ว แต่ณาว่าพี่ณิอรกับมาตาคงไม่เป็นหรอก ใช่ไหมคะ”“ใช่จ้ะใช่” ณิอรเอ่ยรับก่อน“ใช่ค่ะ มาตากับพี่ณิอรไม่ใช่พวกขาเม้าท์แน่นอน เรื่องเม้าท์ไร้สาระทั้งนั้น” มาตาที่นั่งฟังมานานเอ่ยเสริมขึ้นบ้าง แต่แค่ได้ฟังก็คันปากยิกๆ“กินข้าวกันค่ะ เดี๋ยวเย็นแล้วมันจะไม่อร่อย” ณิอรและมาตาพยักหน้ารับกันหงึกหงักแล้วกินข้าวเที่ยงกันอย่างเงียบๆ ส่วนณาณีมนั้นนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะรู้ว่าสองคนนี้คิดอะไรกันอยู่ ดีไม่ดีกลับเข้าไปทำงานในช่วงบ่าย เธออาจเป็นเซเลบที่มีแต่คนมอง ซึ่งณาณีมก็หาได้แคร์ไม่กระทั่งอิ่ม ณาณีมก็ขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงมื้อกลางวัน ณิอรและมาตาก็ไม่ได้คัดค้าน ดีซะอีก เพราะจะได้ประหยัดเงินค่ามื้อเที่ยงไปอีกหนึ่งมื้อ จากนั้นณาณีมก็ขอตัวกลับออกไปก่อน“ก่อนกินข้าว พี่ณิอรว่าพี่ณาแขวะเราไหมคะ” เมื่ออยู่กันสองคน มาตาก็เอ่ยขึ้น“
“เร็วไปนะคะ พูดถึงท่านปุ๊บก็จะชวนณาไปปั๊บ ใจร้อนเป็นวัยรุ่นไปได้” ณาณีมส่ายหน้าให้คนตัวโตกว่า ที่ตอนนี้เขาเอาแต่นั่งยิ้ม นั่นเพราะแม้รักครั้งนี้เขาจะให้ณาณีมเป็นคนออกแบบ แต่เส้นทางที่เธอเลือกมันก็ไม่ได้ต่างไปจากตัวตนในแบบที่ราฮีมอยากได้“ก็ผมอยากให้ครอบครัวได้เจอกับผู้หญิงคนที่ผมจะใช้ชีวิตด้วยหลังจากนี้ ผมจะได้บอกพ่อกับแม่ว่าวันนี้พระเจ้าได้ประทานผู้หญิงที่มีค่ามาให้ผมแล้ว”“เดี๋ยวณาก็ตัวลอยหรอก”“ผมพูดเรื่องจริง”“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจณา ขอบคุณ” นอกจากคำๆ นี้แล้ว ณาณีมก็ไม่รู้จะเอ่ยคำไหน ถึงแม้ก่อนหน้านี้เธอไม่คิดจะเปิดใจให้เขา แต่สุดท้ายก็แพ้ใจ“ถ้าไม่ให้ผมเข้าใจคนที่ผมรักแล้วจะให้ผมไปเข้าใจใครครับ…หืม” เพราะรักราฮีมจึงเข้าใจด้วยหัวใจ และไม่ต้องการเปลี่ยนตัวตนของณาณีม เขาต่างหากที่ต้องขอบคุณที่เธอเปิดใจให้ นั่นเพราะรู้ว่าความรักสำหรับคนอย่างณาณีมนั้นต่างจากทุกๆ คน“ดึกแล้ว ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้คุณ
“รู้ไหมว่าลูกแกพูดอะไรกับฉันเมื่อวาน น้องภูมิบอกว่ารักแกมาก แกอยากให้เรียนพิเศษอะไร น้องภูมิก็เรียน เรียนเพื่อตามใจแก” ยังฟังไม่ทันจบประโยค ณิการ์ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างยากจะกลั้นไว้ได้เธอสะอึกสะอื้นจนตัวโยน ที่ผ่านมาเธอคงเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัวจริงๆ คิดเองเออเองในฐานะแม่ ว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับภูมิแผ่นดิน และเมื่อเห็นแม่ร้องไห้ เด็กชายก็เดินเข้ามาหาใกล้ๆ นั่นทำให้ณิการ์คว้าลูกชายมากอดอย่างรู้สึกผิด“แม่ขอโทษนะครับภูมิ แม่ขอโทษ”“คุณแม่ขอโทษน้องภูมิทำไมครับ” เด็กชายเอ่ยถามอย่างงุนงง นั่นเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดนัก ที่สำคัญเมื่อครู่ยังถูกราฮีมจงใจเบี่ยงเบนความสนใจขณะที่ณาณีมคุยกับณิการ์ไปด้วย“วันหลังเราไปเล่นบ้านบอล ไปกินเฟรนช์ฟรายส์กันนะครับ”“จริงๆ นะฮะ” ภูมิแผ่นดินยิ้มกว้างทันที“จริงสิครับ ส่วนเรียนพิเศษ ต่อไปนี้แม่จะถามก่อนว่าน้องภูมิอยากเรียนไหม ถ้าไม่ชอบก็บอกแม่นะครับ”
และใช่ว่าณาณีมจะวาดภาพเหล่านั้นเพียงคนเดียว เพราะเวลาที่ราฮีมเล่นหยอกล้อกับภูมิแผ่นดิน เธอก็แอบคิดแวบๆ ว่าหากวันหนึ่งเธอมีลูกกับเขาขึ้นมา ภาพมันคงจะอบอุ่น น่ามองเหมือนกับตอนนี้ แต่นั่นก็คือเรื่องของอนาคต ที่อาจเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ เพราะสังคมสมัยนี้อันตรายรอบด้านจนเธอคิดที่จะไม่มีลูก จะได้ไม่ต้องมีห่วงให้ต้องทุกข์เมื่อใช้เวลาเล่นทดแทนเวลาเรียนพิเศษจนครบ ณาณีมและราฮีมก็พาภูมิแผ่นดินไปหาณิการ์ที่โรงพยาบาล แต่ระหว่างทางเด็กชายก็ผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะวิ่งเล่นมานานหลายชั่วโมง ซึ่งราฮีมก็ใช้จังหวะนั้นเปิดคลิปที่เขาถ่ายไว้ให้ณาณีมดู“ตอนพาน้องภูมิลงสไลเดอร์หน้าณาตลกขนาดนี้เลยเหรอ” เห็นหน้าตัวเองแล้วณาณีมก็ขำ แต่สไลเดอร์ที่เล่นมันสูงจริงๆ นะ เล่นทีก็เสียวที“ตลกมาก ผมยังนั่งขำจนท้องแข็ง” ราฮีมหัวเราะออกมา ส่วนณาณีมนั้นก็เปิดดูคลิปที่ชายหนุ่มแอบถ่ายเอาไว้“ถ้าเพื่อนฉันเห็นคลิปพวกนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ เพราะฉันเองก็ห่วงน้องภูมิที่ถูกปุ้ยอัดสารพัดความรู้ที่คิดว่าจำเป็นใส่หัวตั้งแต่ตัวเท่านี้ ทั้งๆ
“ไม่จุ๊บหน่อยเหรอ” น้ำเสียงอ้อนๆ ของผู้ชายตัวโตเป็นยักษ์เอ่ยถาม มันช่างขัดกับภาพลักษณ์นักธุรกิจหนุ่มผู้ร้อนแรงของเขานัก“ไม่” น้ำเสียงตึงๆ ของณาณีมเอ่ยตอบ แต่ใบหน้าของเธอนั้นกลับแฝงรอยยิ้มไว้ตลอดเวลา“กอดก็ได้นะ”“ไม่กอด ก็วันนี้ณาโสด เรื่องอะไรจะทำตัวเหมือนคนมีแฟน”“งั้นพรุ่งนี้เจอกัน หึ…อย่าคิดว่าน้องภูมิอยู่ด้วยแล้วจะรอด” ราฮีมเอ่ยคาดโทษ นั่นทำให้ณาณีมรีบไล่ชายหนุ่มกลับห้องทันที“กลับห้องไปนอนได้แล้ว” เธอดุนหลังเขามาถึงประตู ร่ำลากันอยู่สองสามนาที ราฮีมจึงยอมกลับห้องของเขาณาณีมส่ายหน้าให้ชายหนุ่ม ก่อนจะกลับมาจัดการอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยๆ ก้าวขึ้นเตียงนอนอย่างระวัง เพราะกลัว ภูมิแผ่นดินที่กำลังหลับจะตื่น วันนี้ณาณีมเองก็เหนื่อยมาทั้งวัน จึงไม่แปลกที่พอหัวถึงหมอนได้ เธอก็หลับสนิทอย่างง่ายดาย 
“คุณแม่ไม่สบายเหรอฮะ” น้ำเสียงของภูมิแผ่นดินดูสลดลงไป เพราะห่วงผู้เป็นแม่“ค่ะ ตอนนี้น้ามณพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลแล้ว ส่วนเราก็กำลังจะตามไป”“ฮะ” เด็กชายเอ่ยรับอย่างว่าง่าย ณาณีมจึงรีบพาภูมิแผ่นดินไปยังโรงพยาบาลทันที ซึ่งระหว่างนั้นธัญมณก็ได้โทรศัพท์มาหา โดยบอกว่าณิการ์ไส้ติ่งแตกกะทันหันต้องผ่าตัดด่วนณาณีมจึงเปลี่ยนแผนยังไม่พาภูมิแผ่นดินไปโรงพยาบาลตอนนี้ เพราะถ้าไปก็คงไปนั่งรอในพื้นที่ของโรงพยาบาลจนกว่าจะผ่าตัดเสร็จ ไม่น่าจะดีสักเท่าไหร่“น้องภูมิหิวไหมครับ”“หิวฮะ”“งั้นเราแวะหาอะไรกินกันก่อนดีไหม”“แต่ภูมิเป็นห่วงคุณแม่ อยากไปโรงพยาบาลเร็วๆ” คำตอบของเด็กชายทำให้ณาณีมยิ้มกว้าง รู้สึกอบอุ่นหัวใจแทนณิการ์ที่มีลูกน่ารักๆ แบบนี้“โธ่…ตัวก็เล็กแค่นี้ยังเป็นห่วงคุณแม่อีก แต่น้าณาว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องนะ ถ้าหิวน้องภูมิจะเอาแรงที่ไหนไปดูแลคุณแม่ล่ะครับ&r
“ฉันดีใจนะที่แกยิ้มได้แบบนี้น่ะณา” ณิการ์เอ่ยขึ้น นั่นเพราะความรักครั้งนี้พลอยทำให้เพื่อนเธอสดใสเป็นกอง ซึ่งธัญมณเองก็เห็นด้วย“ฉันด้วย สีหน้าแกดูมีความสุขอ่ะ ฉันสัมผัสได้”“มันออกขนาดนั้นเลยเหรอ” ณาณีมจับหน้าตัวเอง เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าสีหน้าของเธอจะเป็นแบบที่ทั้งสองคนพูด“มาก...แววตาแกก็วิ้งๆ มีประกายจนฉันอิจฉา ไปหย่าผัวมั่งดีกว่า เผื่อได้ผู้ชายใหม่ ดุ้นใหญ่ๆ บ้าง” ธัญมณยิ้มกริ่ม นั่นทำเอาณิการ์ต้องรีบถาม“เอาจริงเหรอยะยัยมณ”“พูดปากดีไปงั้น เพราะเรื่องอะไรฉันจะหย่าให้ชายโฉดหญิงชั่วมันมีความสุข อยู่เป็นก้างมันอยู่แบบนี้นี่แหละ สะใจดี” ธัญมณนั้นแค้นฝังหุ่นสามีที่มีเมียน้อย เธอจะตายไปพร้อมทะเบียนสมรสนี่ล่ะ สะใจดี“สะใจดี แล้วแกมีความสุขไหม” คำถามของณาณีมทำให้ธัญมณนิ่งไป“มีสิ ถ้าไม่สุข ฉันจะยิ้มได้แบบนี้เหรอ” เอ่ยจบก็ฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนทั้งสองได้เห็น