เธอยกไหล่ ไม่เห็นกลัว “คุณไล่ฉันออกได้ค่ะ แต่ฉันไม่ออกหรอก เรื่องไรจะออก เงินเดือนตั้งแยะ”
ชัชวินอึ้งจนพูดไม่ออก ขณะธนพลพยายามกลั้นเสียงในคอเอาไว้ไม่ให้ขำออกมา
“ให้ตายเหอะ! คุณแม่จ้างใครมาเนี่ย???”
คำพูดของเขา ตอกย้ำให้รู้ว่าเขาจำเหยื่อในสมัยเด็กของเขาไม่ได้จริง ๆ เขาลืมเธอไปแล้ว...เธอควรจะดีใจใช่มั้ย ไม่ใช่รู้สึกน้อยใจแบบนี้
เขาส่ายหน้าดูถูก “คนที่เห็นแก่เงินอย่างคุณ ทำงานนี้ไม่ได้หรอกนะ”
“ท่านจ้างฉันเพราะฉันอดทนเก่งต่างหาก”
“อะไรนะ!” เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย เธอเถียงเขาทุกคำเลย “อดทนเก่งเหรอ?”
“อยากพิสูจน์มั้ยล่ะคะ”
เขาส่งเสียงจิ๊กจั๊กขัดใจ เพราะตัวเขาเองนั่นล่ะ ที่กำลังจะเริ่มหมดความอดทนกับพยาบาลคนใหม่
“จอดรถเลยพล!”
“นี่คุณกลัวฉันขนาดนี้เลยเหรอ”
เขาชะงัก “ว่าไงนะ?”
“ถ้าไม่กลัวก็ลองมาสู้กันสักตั้งสิคะ มาดูกันว่าใครจะแพ้ใครก่อน เอาอย่างนี้มั้ย ถ้าฉันขอลาออกเอง ฉันจะไม่รับเงินค่าจ้างก็ได้ แต่ถ้าฉันสามารถทำงานจนครบหนึ่งเดือนตามสัญญาได้ คุณจะต้องให้ฉันขี่หลังคุณเหมือนในซีรี่ย์เกาหลี”
ชัชวินอึ้งหนักกว่าเดิม ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ แค่ปัญหาสุขภาพจิตสุขภาพกายของตัวเองก็มากพออยู่แล้ว แต่กลับต้องมารับมือกับพยาบาลจอมป่วนเจ้าเล่ห์หิวเงินอีกเหรอ
ชัชวินกัดกรามแน่น จ้องมองเธอตาขวาง แต่เธอไม่กลัวเลยสักนิด กลับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขาอย่างสนุก
‘เริ่มสนุกแล้วสิ...โอวว ตอนนี้เขาก็ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือของเธอสินะ เพราะเขาไม่สามารถทำอะไรเธอได้เลย นอกจากขู่ฟ่อ ๆ เหมือนงูไม่มีพิษ อ๊า..สงสัยสวรรค์อยากให้เธอได้แก้แค้นเขา!’
“คุณชื่ออะไร?” เขาเริ่มสอบสวนเธอ ด้วยอารมณ์ที่เย็นลง แต่ไม่มีความเป็นมิตร
วานิลลาถึงกับยิ้มขำ ขยับใบหน้าเข้าใกล้เขา แล้วกระซิบกระซาบเบา ๆ “ฉันไม่บอกชื่อจริงของฉันหรอกนะ เผื่อว่าคุณจะเล่นงานฉันในอนาคต คุณจะได้หาฉันไม่เจอไงล่ะ”
ชัชวินยิ้มหยาม “ก็ได้...ผมเองก็ไม่อยากจดจำคุณไว้หรอก บางทีไม่จำเป็นต้องจำเลยล่ะ เพราะคุณจะลาออกภายในสามวันนี้แน่นอน”
วานิลลาทำหน้ายักษ์พร้อมยกกำหมัดขึ้นเหมือนจะตั๊นหน้าเขา แต่ยั้งมือไว้
“คิดว่าฉันจะปล่อยให้คุณหลุดมือไปง่าย ๆ เหรอคะคุณชัชวิน ตอนนี้คุณก็เหมือนตัวเงินตัวทองของฉัน เป็นตัวนำโชคเลยล่ะ”
“ว่าไงนะ!” เขาตวาดอย่างกราดเกรี้ยว “นี่คุณหาว่าผมเป็นตัว...ตัว...”
‘ตัวเหี้ย’ ธนพลถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อก ไม่คิดเลยว่าพยาบาลคนใหม่จะกล้าต่อกรกับชัชวินขนาดนี้ เธอไม่กลัวเขาเลยรึไงนะ
“ตัวอะไรคะ? พูดออกมาสิ พูดเลย”
เขากดกรามแน่นแล้วหุบปาก ไม่ยอมพูดคำนั้นออกมา เพราะรู้ว่าถ้าพูด เขาแพ้...
“คุณจะไม่ได้เงินสักบาท คอยดูเหอะ”
เธอยกไหล่ “เตรียมแผ่นหลังแน่น ๆ ของคุณไว้ดีกว่า เพราะน้ำหนักฉันไม่ใช่น้อย ๆ”
“ถ้าถึงตอนนั้นจริง ๆ ผมคงไม่ทำแค่แบกคุณ แต่จะโยนคุณลงถังขยะด้วย”
“โอเคค่ะ งั้นคุณก็ควรให้ความร่วมมือกับฉันเป็นอย่างดี เพี่อที่คุณจะได้โยนฉันลงถังขยะตามที่คุณพูด”
เขาเกือบจะอ้าปากเถียง แต่คิดขึ้นมาได้ว่าหากเขาสามารถโยนเธอลงถังขยะได้จริง ก็ย่อมแสดงว่าตอนนั้น เขากลับมาเดินไปตามปกติแล้ว...
“โอ้ว...” ธนพลอดทึ่งไม่ได้ ที่พยาบาลคนใหม่สามารถกำราบปิศาจได้อยู่หมัดขนาดนี้ สงสัยเขาจะต้องยกให้เธอเป็นซุปเปอร์วูเม่นซะแล้ว
วานิลลาเผลอจ้องมองหน้าชัชวินแล้วยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ‘ไม่คิดเลยว่า...จะได้มองหน้าเขาใกล้ ๆ แบบนี้อีกครั้ง...คอยดูเถอะ ฉันจะมองคุณให้เบื่อไปเลย’
“มองหน้าเหรอ?” เขาทักขึ้น
เธอตกใจหน้าเหวอ เขารู้ได้ไง
“อย่ามองมากนะ เดี๋ยวจะหลงรักผมเข้า บอกไว้ก่อนว่าผมมีคนที่รักอยู่แล้ว”
“ชิ!” จะถูกทิ้งอยู่แล้ว ยังไม่รู้ตัวอีก
เขาหลับตาลง เพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่าเขาต้องการความสงบ และเธอควรหุบปากได้แล้ว...
ณ ห้องผู้อำนวยการ ของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง...วานิลลาถูกเรียกให้มาพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลในเช้าวันนี้ หลังจากที่เธอโดนไฮโซสาวหัวร้อนตบหน้าและทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บเมื่อวานนี้จากสาเหตุที่เธอพยายามปกป้องผู้ป่วย ซึ่งเป็นเมียน้อยของสามีไฮโซสาวคนนั้นเองแน่นอนว่า...ไฮโซสาวผู้กราดเกรี้ยวและหยิ่งยโสโกรธแค้นพยาบาลอย่างเธอมาก ก็เลยคิดจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แม้เธอจะไม่ได้ตอบโต้กลับด้วยกำลังเลยก็ตาม“คุณไปมีเรื่องกับ VIP ของโรงพยาบาลได้ยังไง ไม่รู้เหรอว่าคุณสาวิตรีเป็นภรรยาของท่าน สส.”พอเห็นหน้าเธอก็ใส่ทันที...โดยไม่ฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น หมอชาญณรงค์ให้ความสำคัญกับพวก VIP ของโรงพยาบาลมากกว่าลูกน้องของตัวเองเสมอ“ฉันแค่พยายามปกป้องคนไข้ค่ะ”“คุณด่าเขาด้วยไม่ใช่เหรอ!!”“ฉันแค่...ใช่ค่ะ ฉันยอมรับว่าเผลอ...นิดหน่อย แต่ไม่ใช่คำหยาบเลยนะคะ ฉันแค่อยากให้เธอเคารพ...”“พอเถอะ! ผมจำเป็นต้องให้คุณออก!!”“หา!!!”“เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย”ยกเว้นฝ่ายเธอ วานิลลาอ้าปากพูด แต่เสียงเคาะประตูดังขึ้นซะก่อน พร้อมกับเสียงรองเท้าส้นสูงลงเสียงหนักแน่นเดินเข้ามาในห้องผู้อำนวยการ เหมือนว่าคนนั้นโกรธแค้นพื้นห้อ
สองพ่อลูกหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ตอกย้ำว่าเรื่องที่เธอพูดเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย“ฮึ่ม!” ผู้เป็นพ่อเปิดโต๊ะเจรจาด้วยการเริ่มต้นขู่ฝ่ายตรงข้าม ตามความถนัดของเขา “ความจริงโทษของคุณคือไล่ออกนะ แต่เพราะคุณมีความสามารถ...”และเก็บความลับได้ใช่มั้ย?“ผมก็เลยจะให้คุณพักงานไปก่อน เมื่อเราเคลียร์กับทนายของคุณสาวิตรีได้ คุณก็ค่อยกลับมาทำงาน”“แต่ฉันไม่ได้ทำผิดนะคะ” เธอยืนยันเสียงแข็ง“คุณด่าเขาไง เขาจะฟ้องหมิ่น เพื่อความสงบของโรงพยาบาล คิดซะว่าเป็นความซวยแล้วกันนะ”วานิลลายิ้มไม่ออก “ค่ะ โคตรซวยเลย”“คราวหลังก็อย่าไปสั่งสอนคนรวยสิ” ผอ.ยังอุตส่าห์ให้โอวาทเธออย่างนั้นเหรอ “เรากับเขามันคนละชั้น สู้ไปก็ไม่ชนะหรอก”“เลิกพูดเรื่องความซวย แล้วให้เธอเซ็นต์สัญญาสิคะคุณพ่อ ว่าจะไม่เผยแพร่ข่าวลือและโพสเรื่องนี้ลงอินเทอร์เน็ต” ลูกสาวเริ่มมีสติ เลยหันมาจ้องมองเธอด้วยสายตานางร้าย “ทั้งเรื่องที่หนูจะเลิกกับวิน! และเรื่องที่วินจะโดนปลดด้วย!”“ยัยอัญ!” หมอชาญณรงค์ส่ายหน้าระอาใจให้ความปากพล่อยของลูกสาว “แกจะพูดย้ำทำไมเนี่ย แกจะไปไหนก็ไปไป๊”“หนูไปอยู่แล้ว แต่คุณพ่ออย่าลืมให้เธอเซ็นต์สัญญานะคะ หนูยังไม่อยากเ
“อะไรนะ ป้าว่าไงนะ??”วนิลลานั่งคุยกับป้าสะใภ้ในร้านกาแฟ หน้าโรงพยาบาลนั่นเอง“คุณอรอยากให้แกมาช่วยดูแลคุณวิน”“จะบ้าเหรอ!”“ไม่บ้าหรอก คุณอรต้องการแก” ป้าสะใภ้ของเธอกำลังพูดถึงเจ้านายสุดที่รัก อรดี บรรยงรักษ์...มารดาสุดสวยของนายชัชวินนั่นเองเกือบยี่สิบปีมาแล้วที่ป้าอนงค์ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลบรรยงรักษ์ ส่วนลุงแท้ ๆ ของเธอ ทำหน้าที่เป็นคนขับรถประจำตัวของคุณอรดี“ถึงเวลาแล้วที่แกต้องตอบแทนบุญคุณท่าน อย่าลืมสิว่าแกได้เรียนพยาบาลก็เพราะได้ทุนจากท่านเจ้าสัวชัชวาลและคุณอร ท่านทั้งสองเมตตาแกมาก จำได้มั้ย”จำได้สิ...แต่เธอก็ลืมไม่ลงเหมือนกัน เรื่องที่นายชัชวินร้ายกาจกับเธอมากแค่ไหน“หมอนั่นอาการหนักเลยเหรอ”“นี่! พูดถึงคุณหนูดี ๆ หน่อย ยังไงท่านก็เป็นเจ้านาย”เธอล่ะหมั่นไส้คนคลั่งเจ้านาย “เจ้านายป้าน่ะสิ ไม่เกี่ยวกับหนูเลย หนูถูกหมอนั่นไล่ออกจากบ้านตั้งแต่ อายุ 15 แล้ว ป้าจำไม่ได้รึยังไง ฮึ?”“เอาน่า เรื่องมันก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ลืมๆ มันไปเถอะ ตอนนั้นคุณหนูก็ไม่ได้ผิดอะไร แกอยากไปทำของขวัญคุณหนูแตกทำไมล่ะ”“โหววว” เธออยากจะบ้า “ป้าก็เข้าข้างหมอนั่นตลอด คนนิสัยเสียเอาแต่ใจ
“ตอนนี้คุณหนูอาการแย่มากเลย โดยเฉพาะอาการทางใจ จากคนที่มั่นใจในตัวเอง กลายเป็นคนเคร่งเครียด ไม่พูดไม่จา และอารมณ์ร้อนยิ่งกว่าไฟ”“เขาก็อารมณ์ร้อนมานานแล้วนี่ ว่าแต่ อาการของเขาหนักมากเลยเหรอ ถึงขั้นปิดข่าวขนาดนี้”“เฮ่อ...ก็พอสมควร” ป้าอนงค์เปลี่ยนเป็นกระซิบกระซาบ “แกอย่าตกใจไปนะ ตอนนี้คุณหนูยังมีปัญหาเรื่องสายตา ยังมองไม่เห็นเลย”วานิลลาถึงกับช็อค “จริงหรือป้า?”“อืม ส่วนแผลที่ขาซ้ายน่ะหายแล้ว แต่ก็ยังเดินไม่ได้ อย่าว่าแต่เดินเลย แม้แต่ยืนก็...”หนูไม่อยากแต่งงานกับคนพิการ...คำพูดของอัญชิสาลอยเข้ามาในหัวเลยล่ะ“ทั้งมองไม่เห็น และเดินไม่ได้ หนูไม่อยากคิดเลยว่าคนอย่างชัชวินจะรู้สึกยังไงที่ตัวเองกลายเป็นแบบนี้ คนที่เคย...คิดว่าตัวเองเพอร์เฟคที่สุดในโลก”เธออดนึกถึงช่วงเวลาสามปีที่เธออาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นไม่ได้ เพราะมันเหมือนตกนรกทั้งเป็นเลยล่ะ สามปีที่เธอโดนเขากลั่นแกล้งสารพัด และไล่เธอออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา เพียงเพราะเธอเสล่อไปสารภาพรักเขาในวันวาเลนไทน์ตอนใกล้จบ ม.3“คุณหนูน่าสงสารมาก” ป้าอนงค์หน้าเศร้า “ตอนนี้หน้าตาเหมือนคนไม่มีวิญญาณ”“ซอมบี้น่ะสิ ฮึ! จะให้หนูกลับไปเป็นคนใช้
“ป้าว่าคุณหนูคงจำแกไม่ได้หรอก เพราะตั้งแต่ที่แกออกจากบ้านไปตอนจบ.ม.ต้น คุณหนูก็ไม่เคยพูดถึงแกหรือเอ่ยชื่อแกอีกเลย ที่สำคัญตอนนี้คุณหนูยังมองไม่เห็น เขาไม่รู้หรอกว่าแกเป็นใคร”“งั้นเหรอป้า” ทำไมใจแป้ว ทำไมรู้สึกเหมือนอกหักซ้ำๆ ... “ก็แน่ล่ะสิ เขาโคตรจะรังเกียจหนูเลยล่ะ แล้วเขาจะจำคนอย่างหนูให้เปลืองเมมโมรี่สมองเพื่อ?”“ตอนนี้คุณอรไม่ไว้ใจใครเลย นอกจากแก ท่านเลยอยากให้แกมาทำหน้าที่นี้ แกช่วยปกป้องคุณหนูได้มั้ย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”เธอถึงกับงง “สายเกินไป?”“คุณหนูกำลังจะย้ายไปอยู่อเมริกา”“อเมริกา?”“คุณหนูจะย้ายไปอยู่แอลเอ คุณหนูยื่นคำขาดกับคุณอรว่าจะยอมให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับผู้ดูแลคนที่สิบสาม ถ้ายังช่วยอะไรเขาไม่ได้ เขาก็จะไป”เธออึ้งไปเลย หากตรงหน้าเป็นเหล้าก็คงดี จะได้ดื่มย้อมใจซะหน่อย “เขาจะทิ้งทุกอย่างเหรอ”“คุณหนูเศร้ามากตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาไม่ยอมพบเจอใครเลย แม้แต่ท่านเจ้าสัวกับคุณอร ดูเหมือนเขาไม่อยากสู้แล้ว”ก็แน่อยู่ล่ะ จากคนที่มีครบทุกอย่าง กลับกลายเป็นคนที่เหมือนจะหมดอนาคตไปแล้ว เขาคงรับไม่ได้หรอกที่ตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้“แล้วคู่หมั้นเขาล่ะป้า รู้รึยังว่าเขาต
“แกช่วยเรื่องตาของคุณหนูไม่ได้ แต่แกช่วยเรื่องขาของคุณหนูได้ ที่แกไปเรียนกายภาพบำบัดเพิ่มเติมมา เพราะแกต้องทำงานนี้ไงยัยนิล”วานิลลากรอกตามองบนให้กับความพยายามโน้มน้าวของป้าสะใภ้ “ความจริงส่งเขาไปรักษาตัวที่อเมริกาก็ดีนะคะ”“ไม่ได้!” ป้าอนงค์ทำหน้าเหมือนกุมความลับยิ่งใหญ่ไว้ กระซิบเสียงแข็งว่า “คุณชัชชนจ้องจะฮุบทุกอย่างของคุณหนูอยู่ ถ้าคุณหนูไปแล้วไม่กลับมา คุณหนูจะเสียทุกอย่างไปน่ะสิ”วานิลลากระพริบตาปริบ ๆ “อ้อ เข้าใจละ เลยปิดข่าวเรื่องอาการไว้ แล้วถ้าหนูทำไม่ได้ล่ะ”“ก็คงต้องยอมรับชะตากรรม เพราะมันเป็นโอกาสเดียวของคุณอรที่จะรักษาลูกชายไว้”“แล้วถ้าหนูทำให้เขากลับมาเดินได้ จะยังไงต่อ เขาก็มองไม่เห็นอยู่ดี”อนงค์นึกถึงคำพูดของอรดี ที่บอกว่าชัชวินเพียงแค่ตาบอดชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานเขาก็น่าจะกลับมามองเห็นได้ปกติ แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือขาของเขา ซึ่งเป็นสาเหตุให้ชัชวินใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว“เอาเป็นว่าแกทำงานของแกให้ดีที่สุดก็พอ แกมีเวลาแค่หนึ่งเดือนนะ”“หนึ่งเดือน!!” เธออุทานลั่น ก่อนจะรีบลดเสียงลงเพราะเกรงใจลูกค้าคนอื่น “แค่เดือนเดียวเนี่ยนะ??”“เออ! ก็คุณหนูให้เวลาเท่านี้ ถ้ายังไม่ได
สิบกว่าปีที่ไม่ได้เจอกัน...ชัชวินคนเลวหล่อขึ้นอีกร้อยเท่า สูงขึ้นอีกหลายเซ็นติเมตร แถมยังสมาร์ท สง่างามสมกับเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดได้นั่งแท่นผู้บริหารและได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำบริษัทมาสองปี ไม่ใช่เพราะเขาเป็นทายาทผู้ก่อตั้งบริษัท แต่เป็นเพราะความเก่งกาจ ความฉลาดหลักแหลม และการรู้เท่าทันเกมธุรกิจที่เหนือชั้นต่างหากแน่นอน เขาคือผู้ชายเพอร์เฟคคนหนึ่งเลยล่ะ แต่นั่นก็เมื่อสามเดือนที่แล้ว ตอนที่เขายังไม่ประสบอุบัติเหตุจนตกอยู่ในสภาพนี้...‘นั่นเขา...ไอ้คุณหนูตัวแสบ’วานิลลาพยายามระงับอาการตื่นเต้นเอาไว้ ขณะยืนรอรับการมาถึงของชัชวิน ซึ่งนั่งอยู่บนรถวีลแชร์ที่ป้าอนงค์กำลังเข็นผ่านประตูโถงของคฤหาสน์ออกมา‘แววตาดุ ๆ นั่น...มองอะไรไม่เห็นจริงเหรอ’คิดแล้วก็เศร้า เป็นเพราะเขาตาบอด คนอย่างเธอถึงได้มีสิทธิ์กลับมายืนต่อหน้าเขาอีกครั้งสายตาร้ายซ่อนรอยดูถูกคู่นั้น บัดนี้กลับกลายเป็นสายตาเย็นชาเหมือนปิศาจเลือดเย็น วิญญาณอันสดใสเต็มเปี่ยมพลังถูกแช่แข็งไว้ในร่างกายไร้ความสมบูรณ์ ขาซ้ายที่อ่อนแอ และดวงตาที่ทรยศตอนนี้ชัชวินแทบไม่ต่างจากรูปปั้น
เธอยกไหล่ ไม่เห็นกลัว “คุณไล่ฉันออกได้ค่ะ แต่ฉันไม่ออกหรอก เรื่องไรจะออก เงินเดือนตั้งแยะ”ชัชวินอึ้งจนพูดไม่ออก ขณะธนพลพยายามกลั้นเสียงในคอเอาไว้ไม่ให้ขำออกมา“ให้ตายเหอะ! คุณแม่จ้างใครมาเนี่ย???”คำพูดของเขา ตอกย้ำให้รู้ว่าเขาจำเหยื่อในสมัยเด็กของเขาไม่ได้จริง ๆ เขาลืมเธอไปแล้ว...เธอควรจะดีใจใช่มั้ย ไม่ใช่รู้สึกน้อยใจแบบนี้เขาส่ายหน้าดูถูก “คนที่เห็นแก่เงินอย่างคุณ ทำงานนี้ไม่ได้หรอกนะ”“ท่านจ้างฉันเพราะฉันอดทนเก่งต่างหาก”“อะไรนะ!” เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย เธอเถียงเขาทุกคำเลย “อดทนเก่งเหรอ?”“อยากพิสูจน์มั้ยล่ะคะ”เขาส่งเสียงจิ๊กจั๊กขัดใจ เพราะตัวเขาเองนั่นล่ะ ที่กำลังจะเริ่มหมดความอดทนกับพยาบาลคนใหม่“จอดรถเลยพล!”“นี่คุณกลัวฉันขนาดนี้เลยเหรอ”เขาชะงัก “ว่าไงนะ?”“ถ้าไม่กลัวก็ลองมาสู้กันสักตั้งสิคะ มาดูกันว่าใครจะแพ้ใครก่อน เอาอย่างนี้มั้ย ถ้าฉันขอลาออกเอง ฉันจะไม่รับเงินค่าจ้างก็ได้ แต่ถ้าฉันสามารถทำงานจนครบหนึ่งเดือนตามสัญญาได้ คุณจะต้องให้ฉันขี่หลังคุณเหมือนในซีรี่ย์เกาหลี”ชัชวินอึ้งหนักกว่าเดิม ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ แค่ปัญหาสุขภาพจิตสุขภาพกายของตัวเองก็
สิบกว่าปีที่ไม่ได้เจอกัน...ชัชวินคนเลวหล่อขึ้นอีกร้อยเท่า สูงขึ้นอีกหลายเซ็นติเมตร แถมยังสมาร์ท สง่างามสมกับเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดได้นั่งแท่นผู้บริหารและได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำบริษัทมาสองปี ไม่ใช่เพราะเขาเป็นทายาทผู้ก่อตั้งบริษัท แต่เป็นเพราะความเก่งกาจ ความฉลาดหลักแหลม และการรู้เท่าทันเกมธุรกิจที่เหนือชั้นต่างหากแน่นอน เขาคือผู้ชายเพอร์เฟคคนหนึ่งเลยล่ะ แต่นั่นก็เมื่อสามเดือนที่แล้ว ตอนที่เขายังไม่ประสบอุบัติเหตุจนตกอยู่ในสภาพนี้...‘นั่นเขา...ไอ้คุณหนูตัวแสบ’วานิลลาพยายามระงับอาการตื่นเต้นเอาไว้ ขณะยืนรอรับการมาถึงของชัชวิน ซึ่งนั่งอยู่บนรถวีลแชร์ที่ป้าอนงค์กำลังเข็นผ่านประตูโถงของคฤหาสน์ออกมา‘แววตาดุ ๆ นั่น...มองอะไรไม่เห็นจริงเหรอ’คิดแล้วก็เศร้า เป็นเพราะเขาตาบอด คนอย่างเธอถึงได้มีสิทธิ์กลับมายืนต่อหน้าเขาอีกครั้งสายตาร้ายซ่อนรอยดูถูกคู่นั้น บัดนี้กลับกลายเป็นสายตาเย็นชาเหมือนปิศาจเลือดเย็น วิญญาณอันสดใสเต็มเปี่ยมพลังถูกแช่แข็งไว้ในร่างกายไร้ความสมบูรณ์ ขาซ้ายที่อ่อนแอ และดวงตาที่ทรยศตอนนี้ชัชวินแทบไม่ต่างจากรูปปั้น
“แกช่วยเรื่องตาของคุณหนูไม่ได้ แต่แกช่วยเรื่องขาของคุณหนูได้ ที่แกไปเรียนกายภาพบำบัดเพิ่มเติมมา เพราะแกต้องทำงานนี้ไงยัยนิล”วานิลลากรอกตามองบนให้กับความพยายามโน้มน้าวของป้าสะใภ้ “ความจริงส่งเขาไปรักษาตัวที่อเมริกาก็ดีนะคะ”“ไม่ได้!” ป้าอนงค์ทำหน้าเหมือนกุมความลับยิ่งใหญ่ไว้ กระซิบเสียงแข็งว่า “คุณชัชชนจ้องจะฮุบทุกอย่างของคุณหนูอยู่ ถ้าคุณหนูไปแล้วไม่กลับมา คุณหนูจะเสียทุกอย่างไปน่ะสิ”วานิลลากระพริบตาปริบ ๆ “อ้อ เข้าใจละ เลยปิดข่าวเรื่องอาการไว้ แล้วถ้าหนูทำไม่ได้ล่ะ”“ก็คงต้องยอมรับชะตากรรม เพราะมันเป็นโอกาสเดียวของคุณอรที่จะรักษาลูกชายไว้”“แล้วถ้าหนูทำให้เขากลับมาเดินได้ จะยังไงต่อ เขาก็มองไม่เห็นอยู่ดี”อนงค์นึกถึงคำพูดของอรดี ที่บอกว่าชัชวินเพียงแค่ตาบอดชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานเขาก็น่าจะกลับมามองเห็นได้ปกติ แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือขาของเขา ซึ่งเป็นสาเหตุให้ชัชวินใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว“เอาเป็นว่าแกทำงานของแกให้ดีที่สุดก็พอ แกมีเวลาแค่หนึ่งเดือนนะ”“หนึ่งเดือน!!” เธออุทานลั่น ก่อนจะรีบลดเสียงลงเพราะเกรงใจลูกค้าคนอื่น “แค่เดือนเดียวเนี่ยนะ??”“เออ! ก็คุณหนูให้เวลาเท่านี้ ถ้ายังไม่ได
“ป้าว่าคุณหนูคงจำแกไม่ได้หรอก เพราะตั้งแต่ที่แกออกจากบ้านไปตอนจบ.ม.ต้น คุณหนูก็ไม่เคยพูดถึงแกหรือเอ่ยชื่อแกอีกเลย ที่สำคัญตอนนี้คุณหนูยังมองไม่เห็น เขาไม่รู้หรอกว่าแกเป็นใคร”“งั้นเหรอป้า” ทำไมใจแป้ว ทำไมรู้สึกเหมือนอกหักซ้ำๆ ... “ก็แน่ล่ะสิ เขาโคตรจะรังเกียจหนูเลยล่ะ แล้วเขาจะจำคนอย่างหนูให้เปลืองเมมโมรี่สมองเพื่อ?”“ตอนนี้คุณอรไม่ไว้ใจใครเลย นอกจากแก ท่านเลยอยากให้แกมาทำหน้าที่นี้ แกช่วยปกป้องคุณหนูได้มั้ย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”เธอถึงกับงง “สายเกินไป?”“คุณหนูกำลังจะย้ายไปอยู่อเมริกา”“อเมริกา?”“คุณหนูจะย้ายไปอยู่แอลเอ คุณหนูยื่นคำขาดกับคุณอรว่าจะยอมให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับผู้ดูแลคนที่สิบสาม ถ้ายังช่วยอะไรเขาไม่ได้ เขาก็จะไป”เธออึ้งไปเลย หากตรงหน้าเป็นเหล้าก็คงดี จะได้ดื่มย้อมใจซะหน่อย “เขาจะทิ้งทุกอย่างเหรอ”“คุณหนูเศร้ามากตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาไม่ยอมพบเจอใครเลย แม้แต่ท่านเจ้าสัวกับคุณอร ดูเหมือนเขาไม่อยากสู้แล้ว”ก็แน่อยู่ล่ะ จากคนที่มีครบทุกอย่าง กลับกลายเป็นคนที่เหมือนจะหมดอนาคตไปแล้ว เขาคงรับไม่ได้หรอกที่ตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้“แล้วคู่หมั้นเขาล่ะป้า รู้รึยังว่าเขาต
“ตอนนี้คุณหนูอาการแย่มากเลย โดยเฉพาะอาการทางใจ จากคนที่มั่นใจในตัวเอง กลายเป็นคนเคร่งเครียด ไม่พูดไม่จา และอารมณ์ร้อนยิ่งกว่าไฟ”“เขาก็อารมณ์ร้อนมานานแล้วนี่ ว่าแต่ อาการของเขาหนักมากเลยเหรอ ถึงขั้นปิดข่าวขนาดนี้”“เฮ่อ...ก็พอสมควร” ป้าอนงค์เปลี่ยนเป็นกระซิบกระซาบ “แกอย่าตกใจไปนะ ตอนนี้คุณหนูยังมีปัญหาเรื่องสายตา ยังมองไม่เห็นเลย”วานิลลาถึงกับช็อค “จริงหรือป้า?”“อืม ส่วนแผลที่ขาซ้ายน่ะหายแล้ว แต่ก็ยังเดินไม่ได้ อย่าว่าแต่เดินเลย แม้แต่ยืนก็...”หนูไม่อยากแต่งงานกับคนพิการ...คำพูดของอัญชิสาลอยเข้ามาในหัวเลยล่ะ“ทั้งมองไม่เห็น และเดินไม่ได้ หนูไม่อยากคิดเลยว่าคนอย่างชัชวินจะรู้สึกยังไงที่ตัวเองกลายเป็นแบบนี้ คนที่เคย...คิดว่าตัวเองเพอร์เฟคที่สุดในโลก”เธออดนึกถึงช่วงเวลาสามปีที่เธออาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นไม่ได้ เพราะมันเหมือนตกนรกทั้งเป็นเลยล่ะ สามปีที่เธอโดนเขากลั่นแกล้งสารพัด และไล่เธอออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา เพียงเพราะเธอเสล่อไปสารภาพรักเขาในวันวาเลนไทน์ตอนใกล้จบ ม.3“คุณหนูน่าสงสารมาก” ป้าอนงค์หน้าเศร้า “ตอนนี้หน้าตาเหมือนคนไม่มีวิญญาณ”“ซอมบี้น่ะสิ ฮึ! จะให้หนูกลับไปเป็นคนใช้
“อะไรนะ ป้าว่าไงนะ??”วนิลลานั่งคุยกับป้าสะใภ้ในร้านกาแฟ หน้าโรงพยาบาลนั่นเอง“คุณอรอยากให้แกมาช่วยดูแลคุณวิน”“จะบ้าเหรอ!”“ไม่บ้าหรอก คุณอรต้องการแก” ป้าสะใภ้ของเธอกำลังพูดถึงเจ้านายสุดที่รัก อรดี บรรยงรักษ์...มารดาสุดสวยของนายชัชวินนั่นเองเกือบยี่สิบปีมาแล้วที่ป้าอนงค์ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลบรรยงรักษ์ ส่วนลุงแท้ ๆ ของเธอ ทำหน้าที่เป็นคนขับรถประจำตัวของคุณอรดี“ถึงเวลาแล้วที่แกต้องตอบแทนบุญคุณท่าน อย่าลืมสิว่าแกได้เรียนพยาบาลก็เพราะได้ทุนจากท่านเจ้าสัวชัชวาลและคุณอร ท่านทั้งสองเมตตาแกมาก จำได้มั้ย”จำได้สิ...แต่เธอก็ลืมไม่ลงเหมือนกัน เรื่องที่นายชัชวินร้ายกาจกับเธอมากแค่ไหน“หมอนั่นอาการหนักเลยเหรอ”“นี่! พูดถึงคุณหนูดี ๆ หน่อย ยังไงท่านก็เป็นเจ้านาย”เธอล่ะหมั่นไส้คนคลั่งเจ้านาย “เจ้านายป้าน่ะสิ ไม่เกี่ยวกับหนูเลย หนูถูกหมอนั่นไล่ออกจากบ้านตั้งแต่ อายุ 15 แล้ว ป้าจำไม่ได้รึยังไง ฮึ?”“เอาน่า เรื่องมันก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ลืมๆ มันไปเถอะ ตอนนั้นคุณหนูก็ไม่ได้ผิดอะไร แกอยากไปทำของขวัญคุณหนูแตกทำไมล่ะ”“โหววว” เธออยากจะบ้า “ป้าก็เข้าข้างหมอนั่นตลอด คนนิสัยเสียเอาแต่ใจ
สองพ่อลูกหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ตอกย้ำว่าเรื่องที่เธอพูดเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย“ฮึ่ม!” ผู้เป็นพ่อเปิดโต๊ะเจรจาด้วยการเริ่มต้นขู่ฝ่ายตรงข้าม ตามความถนัดของเขา “ความจริงโทษของคุณคือไล่ออกนะ แต่เพราะคุณมีความสามารถ...”และเก็บความลับได้ใช่มั้ย?“ผมก็เลยจะให้คุณพักงานไปก่อน เมื่อเราเคลียร์กับทนายของคุณสาวิตรีได้ คุณก็ค่อยกลับมาทำงาน”“แต่ฉันไม่ได้ทำผิดนะคะ” เธอยืนยันเสียงแข็ง“คุณด่าเขาไง เขาจะฟ้องหมิ่น เพื่อความสงบของโรงพยาบาล คิดซะว่าเป็นความซวยแล้วกันนะ”วานิลลายิ้มไม่ออก “ค่ะ โคตรซวยเลย”“คราวหลังก็อย่าไปสั่งสอนคนรวยสิ” ผอ.ยังอุตส่าห์ให้โอวาทเธออย่างนั้นเหรอ “เรากับเขามันคนละชั้น สู้ไปก็ไม่ชนะหรอก”“เลิกพูดเรื่องความซวย แล้วให้เธอเซ็นต์สัญญาสิคะคุณพ่อ ว่าจะไม่เผยแพร่ข่าวลือและโพสเรื่องนี้ลงอินเทอร์เน็ต” ลูกสาวเริ่มมีสติ เลยหันมาจ้องมองเธอด้วยสายตานางร้าย “ทั้งเรื่องที่หนูจะเลิกกับวิน! และเรื่องที่วินจะโดนปลดด้วย!”“ยัยอัญ!” หมอชาญณรงค์ส่ายหน้าระอาใจให้ความปากพล่อยของลูกสาว “แกจะพูดย้ำทำไมเนี่ย แกจะไปไหนก็ไปไป๊”“หนูไปอยู่แล้ว แต่คุณพ่ออย่าลืมให้เธอเซ็นต์สัญญานะคะ หนูยังไม่อยากเ
ณ ห้องผู้อำนวยการ ของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง...วานิลลาถูกเรียกให้มาพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลในเช้าวันนี้ หลังจากที่เธอโดนไฮโซสาวหัวร้อนตบหน้าและทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บเมื่อวานนี้จากสาเหตุที่เธอพยายามปกป้องผู้ป่วย ซึ่งเป็นเมียน้อยของสามีไฮโซสาวคนนั้นเองแน่นอนว่า...ไฮโซสาวผู้กราดเกรี้ยวและหยิ่งยโสโกรธแค้นพยาบาลอย่างเธอมาก ก็เลยคิดจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แม้เธอจะไม่ได้ตอบโต้กลับด้วยกำลังเลยก็ตาม“คุณไปมีเรื่องกับ VIP ของโรงพยาบาลได้ยังไง ไม่รู้เหรอว่าคุณสาวิตรีเป็นภรรยาของท่าน สส.”พอเห็นหน้าเธอก็ใส่ทันที...โดยไม่ฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น หมอชาญณรงค์ให้ความสำคัญกับพวก VIP ของโรงพยาบาลมากกว่าลูกน้องของตัวเองเสมอ“ฉันแค่พยายามปกป้องคนไข้ค่ะ”“คุณด่าเขาด้วยไม่ใช่เหรอ!!”“ฉันแค่...ใช่ค่ะ ฉันยอมรับว่าเผลอ...นิดหน่อย แต่ไม่ใช่คำหยาบเลยนะคะ ฉันแค่อยากให้เธอเคารพ...”“พอเถอะ! ผมจำเป็นต้องให้คุณออก!!”“หา!!!”“เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย”ยกเว้นฝ่ายเธอ วานิลลาอ้าปากพูด แต่เสียงเคาะประตูดังขึ้นซะก่อน พร้อมกับเสียงรองเท้าส้นสูงลงเสียงหนักแน่นเดินเข้ามาในห้องผู้อำนวยการ เหมือนว่าคนนั้นโกรธแค้นพื้นห้อ