รปภ. กล่าวพลางจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาข่มขู่ หลี่ชิงเฟิงยิ้มเย็นชา "บอกให้บอสของแกมาปรากฏตัวตรงหน้าฉันภายในสิบนาที ไม่งั้นล่ะก็ฉันจะทำลายที่นี่ซะ" "แกเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วใช่ไหม! ฉัน..." ตู้ม! รปภ. ที่เพิ่งจะชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงรู้สึกราวกับถูกรถชนจนปลิวออกไปทันที! ปัง! ในเวทีกรงขังรูปแปดเหลี่ยมที่นักมวยสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด จู่ ๆ ก็มีคนร่วงลงมาจากท้องฟ้า สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ทุกคนรวมทั้งนักมวยด้วย! ผู้ชมที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ! ตอนนี้สายตาทุกคู่ต่างทอดมองมาที่หลี่ชิงเฟิงกับเย่เซียว ผู้ที่ลงมือก็คือเย่เซียว! เย่เซียวที่สวมชุดดำยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยพลังอันแกร่งกล้า! "นี่มันเรื่องบ้าบออะไรวะเนี่ย! เมื่อสักครู่นี้มีคนปลิวมางั้นรึ? เป็นคนจริง ๆ ใช่ไหม?" "นี่มันสัตว์ประหลาดแบบไหนกัน! ถึงได้ซัดคนไปกว่าสิบเมตร?" ท่าทีตอบสนองของผู้ชมรุนแรงกว่าใครเพื่อนไปชั่วขณะ พวกเขาไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดแบบเย่เซียวมาก่อนเลย หลังจากนั้นไม่นาน ก็มี รปภ. กลุ่มใหญ่วิ่งเข้ามา! ท่ามกลาง รปภ. พวกนั้น หลี่ชิงเฟิงเห็นคนที่นำหน้าเป็นชายร่างก
ราชสีห์คลั่งลงมือว่องไวราวสายฟ้า! ถึงแม้ว่าเขาจะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่ความเร็วในการโจมตีของเขาก็ทำให้ทุกคนต้องปากอ้าตาค้าง! เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานของพลกำลังและความว่องไวได้อย่างสมบูรณ์แบบ! ผู้ชมทุกคนต่างร้องอุทาน! บางคนขลาดกลัวเสียจนต้องปิดตาเอาไว้! นี่คือราชสีห์คลั่ง! พลังโจมตีเพียงครั้งเดียวของเขาก็บดขยี้ร่างให้เป็นชิ้น ๆ ได้แล้ว! เย่เซียวกอดอกอยู่นิ่ง ๆ จนกระทั่งราชสีห์คลั่งจวนจะประชิดตัวแล้วค่อยตอบโต้! "แกช้าเกินไปแล้ว!" ราชสีห์คลั่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแล้วเขวี้ยงหมัดใส่ศีรษะของเย่เซียว! เย่เซียวยกยิ้มมุมปาก! พลั่ก! เมื่อเสียงทึบดังขึ้น! ทุกคนต่างดวงตาเบิกกว้างเพราะอยากรู้ว่าเย่เซียวตายไปแล้วหรือไม่! แต่เมื่อทุกคนก็ต้องตกตะลึง เมื่อพวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า! เย่เซียวยังยืนนิ่งโดยไม่ขยับตัวแม้สักนิ้วเดียว หมัดของเขาถูกเย่เซียวใช้มือเดียวรับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย! รอยยิ้มอิ่มอกอิ่มใจของราชสีห์คลั่งค่อย ๆ เลือนหายไปทีละนิด จากนั้นกลับแทนที่ด้วยความตื่นตระหนกและประหลาดใจ! เป็นไปไม่ได้! ไม่มีใครสามารถต้านทานหมัดที่พกพาพลังทั้งหมดของฉันได้หรอกน่า! ไ
"พี่ใหญ่ เรียบร้อยแล้ว" เย่เซียวยืนอยู่บนกองศพแล้วพูดเสียงเบา หลี่ชิงเฟิงค่อย ๆ เดินเข้ามาในเวทีกรงขังรูปแปดเหลี่ยม จากนั้นก็เหลือบมองศพของพวกนักมวยที่อยู่บนพื้น กระทั่งเห็นราชสีห์คลั่งที่เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย เขาจิกผมของราชสีห์คลั่งแล้วพูดว่า "ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้งก็แล้วกัน โทรเรียกบอสของแกกลับมาซะ" ตอนนี้ราชสีห์คลั่งที่สิ้นไร้ท่าทีโอหังดังเช่นก่อนหน้านี้กลับดูเหมือนสุนัขป่าที่ถูกกดขี่ เขาผงกศีรษะอย่างอ่อนแรง "โทรศัพท์มือถือของฉัน..." เย่เซียวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและพบชื่อบอสของอีกฝ่ายในบันทึกการโทร ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ของจ้าวเทียนชื่อก็ใช่ว่าจะดีไปกว่าราชสีห์คลั่ง หลังจากโดนซ้อมปางตาย ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยเลือด... ฮ่าวเทียนเกาหัวแล้วพูดว่า "เวรเอ๊ย! แกมันดื้อด้านเสียจริง!" จ้าวเทียนชื่อหอบหายใจแล้วมองเขาด้วยสายตาเย็นชา "จนถึงตอนนี้แกก็ยังไม่เข้าใจ หลี่ชิงเฟิงไม่ใช่คนที่แกจะไปล่วงเกินได้หรอกนะ!" "ฉันกำลังจะล่วงเกินมันวันนี้แหละ!" "ปกป้องมันงั้นรึ? งั้นก็ไปรอมันที่ปรโลกก่อนเลยก็แล้วกัน!" ทันทีที่ฮ่าวเทียนพูดจบ เขาก็ลงมือตะปบลำคอของจ้าวเทียนชื่อเอ
เมื่อเย่เซียวได้ยินเช่นนี้ เขาก็มองฮ่าวเทียนพลางยิ้มจาง ๆ "ไอ้หนู แกตายไปก็ไม่เสียใจแล้ว" "ไสหัวไปซะ! เอาไว้จัดการกับเจ้านายของแกแล้ว ฉันจะกลับมาจัดการกับแกอีกที!" ฮ่าวเทียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เย่เซียวยิ้มเยาะโดยไม่พูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็หันหลังเดินออกมาจากกรงขังรูปแปดเหลี่ยมโดยไม่เหลียวกลับไปมองแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าเขาจะมั่นใจในตัวเจ้านายของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม! ฮ่าวเทียนไม่พูดพล่ามไร้สาระอีก เรื่องระหว่างบุรุษต้องแก้ปัญหาด้วยกำปั้น! ถึงจะพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์! เขาเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งเพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกกระบวนท่า! "ช้าก่อน" จู่ ๆ หลี่ชิงเฟิงก็เอ่ยขึ้นมา ฮ่าวเทียนยิ้ม "แกกลัวรึไง? น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว!" หลี่ชิงเฟิงค่อย ๆ พูดว่า "ก่อนที่ฉันจะฆ่าแกทิ้ง ฉันอยากถามอะไรสักอย่างให้กระจ่าง แกส่งคนมาขู่ขวัญลูกสาวของฉันถึงบ้านใช่หรือเปล่า?" ฮ่าวเทียนยิ้มเยาะ "ไม่ ไม่ ไม่ ฉัน ฮ่าวเทียน ไม่เคยขู่ใคร ฉันคิดจะฆ่าลูกเมียของแกต่างหากล่ะ!" "เพียงแต่ว่าฉันดูถูกคู่ต่อสู้ไปหน่อยเลยเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น! นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้แกยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ยังไงล่
เขาชักกระตุกไปสองครั้งแล้วค่อย ๆ หลับตาลง... ……. ครึ่งชั่วโมงให้หลัง จ้าวเทียนชื่อกำลังนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล อาการของเขาดีขึ้นมากแล้ว แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยผ้าพันแผล เขาน่าจะไปที่บริษัทไม่ได้ไปสักพัก "พี่ใหญ่ พี่ทำแบบนี้กับฮ่าวเทียน งั้นคนที่อยู่เบื้องหลังมันล่ะ..." จ้าวเทียนชื่อเอ่ยถามเสียงเบา หลี่ชิงเฟิงยิ้มให้ "ถ้ามันตายไป คนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์จะต้องปรากฏตัวแน่ ๆ คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก" หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ เขาก็ปอกแอปเปิลอยู่ข้างเตียง "ดูแลตัวเองให้ดี ๆ ล่ะ ยังมีบริษัทใหญ่รอให้คุณไปจัดการอยู่นะ ผมไม่ได้ขอให้คุณช่วยงานผมสักหน่อย ฉะนั้นคุณไม่ต้องสนใจหรอก" เมื่อจ้าวเทียนชื่อเห็นแอปเปิล เขาก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ เมื่อก่อนเขารู้สึกเคารพนับถือหลี่ชิงเฟิงเพราะหวั่นเกรงอำนาจของอีกฝ่าย ทว่ายามนี้เขากลับรู้สึกว่าพี่ใหญ่คนนี้อุปนิสัยใจคอไม่เลว ควรค่าให้ติดตามแล้ว "ขอบคุณครับ พี่ใหญ่" จ้าวเทียนชื่อยิ้ม ทันใดนั้นจ้าวเทียนชื่อก็พลันเอ่ยขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ พี่ใหญ่ ระหว่างที่ผมอยู่ในโรงพยาบาล พี่ช่วยผมจัดการเรื่องราวในบริษัทหน่อยได้ไหม?" หลี่ชิงเฟิงหัวเรา
เนื่องจากหลี่ชิงเฟิงแต่งเข้ามาในตระกูลเซี่ย พ่อแม่ของเซี่ยเซียนอินก็เลยดูถูกเขา เพราะฉะนั้นหลี่ชิงเฟิงจึงไม่รู้สึกโกรธเกรี้ยวหรือประหลาดใจ ผู้อาวุโสทั้งสองทนรอให้เขาตายไปแทบไม่ไหวอยู่แล้ว หลี่ชิงเฟิงลูบศีรษะของเซี่ยเซียนอินเบา ๆ พลางหัวเราะแล้วพูดว่า "ไม่เป็นไร หาโอกาสบอกความจริงแล้วผมจะหาทางเปลี่ยนความคิดของพวกท่านเอง" เซี่ยเซียนอินไม่เอ่ยให้มากความพลางทอดถอนใจ ทันใดนั้นก็ถามขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ ฉันได้ยินมาว่าวันนี้คุณจ้าวหายตัวไปงั้นเหรอ? เขาเป็นยังไงบ้าง? ไม่เป็นไรใช่ไหม?" "เขาไม่เป็นไรหรอก แค่ได้รับบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เลยต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล" "อีกอย่างคุณควรจะรีบเข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้บริษัทจะจัดประชุมแล้วคุณก็ต้องเข้าร่วมด้วย" "คุณรู้ได้ยังไง?" "เอ่อ...คุณจ้าวสั่งให้ผมมาบอกคุณน่ะสิ" ตอนนี้เซี่ยเซียนอินได้แต่ละวางปัญหาครอบครัวแล้วเข้านอน พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหลี่ชิงเฟิงก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าไปส่งเซี่ยเซียนอินที่บริษัทเช่นเคย แน่นอนว่าหลังจากนั่งอยู่ในห้องทำงานได้ไม่นาน พวกเขาก็แจ้งให้ทราบว่าจะมีการประชุมและทุกคนก็ต้องไปที่ห้องประชุ
ผู้จัดการต่งมองผู้จัดการไช่ด้วยสายตาเย็นชาพลางกล่าวว่า "เหล่าไช่ อย่าพูดเหลวไหลน่า ฉันไม่มีความคิดแบบนั้นสักหน่อย บางทีอาจจะเป็นนายหรือเปล่าถึงได้เผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา?" ผู้จัดการไช่ยิ้ม "ฉันก็แค่พูดเรื่องดี ๆ ไม่ใช่หรือไง? ลำพังด้วยความสามารถและคุณสมบัติของนายแล้วก็เหมาะจริง ๆ นั่นแหละ!" "เรื่องดี ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนพูด ถ้าบอสรู้เรื่องที่นายพูดล่ะเข้าก็ นายลืมเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้จัดการหวังของฝ่ายโครงการไปแล้วรึไง?" ผู้จัดการต่งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ผู้จัดการไช่ยิ้มเยาะแล้วมองมาที่เซี่ยเซียนอิน "นี่ไม่ใช่ผู้จัดการเซี่ยจากฝ่ายโครงการหรอกหรือ? พักนี้คุณกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงค่อนข้างโด่งดังเชียวล่ะ! ทั้งบริษัทรู้จักชื่อคุณกันหมดเลยนะ!" "แต่ฝ่ายโครงการของคุณไม่มีแม้แต่ผู้บริหาร คุณเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้เข้าท่าแล้วเหรอ?" "เลือกผู้บริหารให้ได้ก่อนแล้วค่อยกลับมาเถอะ!" ไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองฝ่ายถึงได้เบนความสนใจมาที่เซี่ยเซียนอินอย่างปุบปับ ผู้จัดการต่งยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า "ฝ่ายนี้นับว่าจบสิ้นกันแล้ว! มิหนำซ้ำยังอีรุงตุงนังไปหมด ขืนพวกเราไม่ถอนรากถอนโคนและจ
ผู้ช่วยเสี่ยวจางเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมเอกสารเอกสารปึกหนึ่งในมือ ทุกคนในห้องประชุมต่างเงียบเสียงลง! ผู้จัดการต่งเหลือบมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสีหน้ามั่นใจในชัยชนะพลางพูดเบา ๆ ว่า "อีกสองนาที พวกแกสองคนก็จะถูกไล่ออกจากบริษัทไปพร้อมกันแล้ว" ใบหน้าของเซี่ยเซียนอินฉายแววเป็นกังวล จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ พูดกับหลี่ชิงเฟิงว่า "พวกเราขอโทษดีไหม?" "เขาเป็นผู้จัดการ พวกเราล่วงเกินเขาไม่ได้นะ อย่าให้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนั้นทำให้พวกเราต้องตกงานเลย..." เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็ตอบพลางยิ้มนิด ๆ "อย่าห่วงไปเลย ยังไม่แน่หรอกว่าใครจะถูกไล่ออก" ในตอนนี้เอง ผู้ช่วยเสี่ยวจางก็เดินวางท่าขึ้นมาบนเวที สายตาต่างทอดมองมาที่เขา จากนั้นทุกคนก็สงสัยว่าใครจะชนะ? เสี่ยวจางที่ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งเปิดดูเอกสารแล้วหยิบไมโครโฟนขึ้นมา "ผมเชื่อว่าทุกท่านคงจะทราบว่าคุณจ้าวล้มป่วยจนไม่สามารถเข้ามาที่บริษัทได้เป็นการชั่วคราว ตำแหน่งประธานบริษัทจึงว่างลง" "ผมมีจดหมายแต่งตั้งที่คุณจ้าวร่างขึ้นเองกับมือโดยมีทนายอยู่ด้วย ทั้งยังปฏิบัติตามขั้นตอนของบริษัททั้งหมด" "ถ้าพวกคุณมีปัญหาอะไร ก็สามารถปรึกษ
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห