หญิงสาวเห็นเซี่ยเทาคุณพ่อของเธอกอดศพเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมดวงตาไร้แวว เป็นศพเซี่ยอิ่งพี่สาวของเธอ! ข้างกายเซี่ยเทาคือ นายหญิงผู้เฒ่าที่เอามือปิดหน้าร้องไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้! หัวสมองของหญิงสาวส่งเสียงอื้ออึง! เธอเดินเข้าไปหาเซี่ยเทาทีละก้าว ๆ พลางมองเขาแล้วพูดว่า "พ่อคะ? นะ...หนูคือเสี่ยวอิ๋ง เกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวกันแน่? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ พ่อพูดมาสิคะ!" เสี่ยวอิ๋งคว้าแขนของเซี่ยเทาแล้วเขย่าสุดแรงเกิด ในที่สุดก็เขย่าจนเขาได้สติ! เซี่ยเทามองเสี่ยวอิ๋ง ใบหน้าของเธอเหมือนกับเซี่ยอิ่งที่ตายไปไม่มีผิดเพี้ยน! เดิมทีพวกเธอก็เป็นพี่น้องฝาแฝดกันอยู่แล้ว! เสี่ยวอิ๋งอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็กและไม่เคยกลับมาเลย แต่ทั้งสองคนก็เติบโตขึ้นมาพร้อมกันและมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น! พวกเธอมักจะโทรคุยกันจนดึกดื่นทำให้ต่างล่วงรู้ความลับเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ้าง พวกเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีมากเสียจนรู้สึกราวกับว่าเป็นคน ๆ เดียวกัน และตอนนี้หลังจากกลับมาที่ประเทศจีน สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นร่างเย็นเฉียบของพี่สาวตนเอง ไม่ว่าใครก็คงนึกออกว่าเธอรู้สึกอย่างไรบ้าง "เสี่ยวอิ๋ง!" เซี่ยเทากอดเสี่
หลี่ชิงเฟิงเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า "อย่าห่วงไปเลย! เซี่ยอิ่งไม่ไปหรอก หรือต่อให้เธอไปก็สู้คุณไม่ได้หรอก!" ตอนนี้เซี่ยเซียนอินยังไม่รู้ว่าเซี่ยอิ่งตายไปแล้ว โต้วโต่วที่อยู่อีกด้านเองก็ยิ้มแล้วพูดว่า "แม่คะ โต้วโต่วเชื่อมั่นในตัวแม่นะคะ! แม่จะต้องทำสำเร็จแน่ ๆ! สู้สู้!" เมื่อเซี่ยเซียนอินเห็นโต้วโต่ว จู่ ๆ เธอก็รู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยแรงบันดาลใจ เด็กคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานมากมายเหลือเกิน ต่อให้เธอต้องสู้สุดกำลัง! ก็ขอลองดูสักตั้ง! "เอาล่ะ งั้นฉันจะไปเตรียมเอกสารก่อนแล้วพรุ่งนี้พวกเราก็ลุยกันเลย!" เมื่อเห็นเซี่ยเซียนอินไปเตรียมเอกสาร หลี่ชิงเฟิงก็เดินปลีกตัวออกมาแล้วกดเบอร์โทรของจ้าวเทียนชื่อ ตอนที่จ้าวเทียนชื่อรับสาย เขาถึงกับเสียงสั่นเครือ "จะ...จอมอสูรเหรอครับ?" "ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วยสักหน่อยครับ" "ว่ามาได้เลยครับ! คุณอยากได้อะไรก็ว่ามาเลย!" "พรุ่งนี้ภรรยาของผมจะไปสมัครงานตำแหน่งผู้จัดการโครงการที่บริษัทของคุณ" "อย่าว่าแต่ผู้จัดการโครงการเลยครับ! ต่อให้ผมต้องยกตำแหน่งให้คุณเซี่ย ผมก็ยินดี!" หลี่ชิงเฟิงยิ้มจาง ๆ "ขอบคุณมากเลยครับ ผมจะสนับสนุนบริษัทเทียนชื่อกรุ๊ปของคุณอย่
หน้าห้องรับรองแขก เสี่ยวอิ๋งกับเซี่ยเซียนอินนั่งประจันหน้ากัน บรรยากาศออกจะตึงเครียดและกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง... เซี่ยเซียนอินเอาแต่ก้มหน้าก้มตา เรซูเม่ในมือเธอยับย่นโดยไม่รู้ตัว "แกพกเรซูเม่ห่วย ๆ มาที่นี่ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจในตัวแกเสียจริง ๆ" "ดูฉันสิ ไม่ต้องเอาอะไรมาเลย แค่แต่งตัวสวย ๆ ก็พอแล้ว" "แล้วดูแกสิ อายุมากกว่าฉันแค่ปีเดียวก็แทบจะกลายเป็นยายแก่หนังเหี่ยวอยู่แล้ว!" เสี่ยวอิ๋งหยิบกระจกแต่งหน้าออกมาด้วยความภูมิอกภูมิใจพลางชื่นชมความงามของตัวเอง จากนั้นเธอก็ยิ้มพลางกล่าวว่า "คนเรานี่หนอ ช่างมีความแตกต่างกันจริง ๆ บางคนก็เป็นได้แค่ทาสรับใช้ของคนอื่นไปชั่วชีวิตและได้แต่ทำงานให้คนอื่นเขางก ๆ" "ถ้าทุกคนสามารถเป็นเจ้านายได้ โลกจะไม่วุ่นวายแย่เลยหรือไง?" "ดังนั้นนะเซี่ยเซียนอิน แกมันก็เป็นได้แค่นังแพศยาเท่านั้นแหละ อย่าคิดว่าจะได้ลืมตาอ้าปากเลย เพราะมันรังแต่จะทำให้แกยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก! จะมัวแต่รบกวนอยู่ทำไมกัน?" "พอได้แล้ว!" ในที่สุดเซี่ยเซียนอินก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้นมา "ยังไงซะฉันก็เป็นพี่สาวของเธอ! ฉันถูกตระกูลเซี่ยขับไล่ออกมาแล้ว ทำไมเธอยังตามรังควานอยู่อีก!"
เสี่ยวอิ๋งเอามือปิดหน้าแล้วลุกขึ้นด้วยท่าทางซวนเซ "ค่ะ... ฉันขอโทษ..." "ไสหัวไปซะ!" เสี่ยวอิ๋งไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากมองเซี่ยเซียนอินตาขุ่นตาเขียวแล้วหันหลังเดินจากไป... ก่อนที่จะออกไปจากบริษัทเทียนชื่อกรุ๊ป เสี่ยวอิ๋งก็ควักโทรศัพท์ออกมาโทรหาอดีตเพื่อนร่วมชั้น เธอจำได้ว่าตอนที่เธอเรียนอยู่ต่างประเทศ อดีตเพื่อนร่วมชั้นเคยบอกว่าเธอทำงานอยู่ที่บริษัทเทียนชื่อกรุ๊ป มิหนำซ้ำตำแหน่งของเธอก็ใช่ว่าจะต่ำเตี้ยและเธอก็เป็นหัวหน้าทีมฝ่ายโครงการด้วย เธอยังเคยบอกอีกว่าอยากจะแนะนำให้เสี่ยวอิ๋งมาทำงานด้วยกัน เสี่ยวอิ๋งเค้นสมองจนในที่สุดก็จำชื่อของอดีตเพื่อนร่วมชั้นได้ และเจอชื่อหลีเสี่ยวเวยในรายชื่อติดต่อของโทรศัพท์มือถือตัวเอง! ... หลังจากเสี่ยวอิ๋งจากไปแล้ว จ้าวเทียนชื่อก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป เขายิ้มแล้วบอกกับเซี่ยเซียนอินว่า "คุณเซี่ย ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ! ฝ่ายโครงการของพวกเรารับคุณเข้าทำงานอย่างเป็นทางการแล้ว!" ท่ามกลางเสียงปรบมือ เซี่ยเซียนอินรู้สึกสับสนอยู่บ้าง เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ายังไม่ได้อ่านเรซูเม่ของเธอเสียด้วยซ้ำไป เรื่องนี้... "ยิ่งไปกว
ความหยิ่งยโสโอหังของหลีเสี่ยวเวย ทำให้หลี่ชิงเฟิงมีสีหน้าสับสน เขาไม่เคยติดต่อกับคนพวกนี้มาก่อน และก็เพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งที่สอง เมื่อเห็นหลีเสี่ยวเวยจากไปแล้ว พนักงานคนอื่น ๆ ก็ไม่พูดอะไรมาก พวกเขาเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วค่อย ๆ ถอนหายใจ "มีใครอยากจะย้ายทีมอีกไหม?" หลี่ชิงเฟิงเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ ทุกคนถึงกับเงียบไป ในตอนนี้เอง หลีเสี่ยวเวยที่อยู่นอกประตูแอบมองเข้ามาในห้องพลางจ้องมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาอึมครึม... เธอควักโทรศัพท์มือถือออกมากดหมายเลขแล้วเดินปลีกตัวออกไป ไม่นานเสียงของเสี่ยวอิ๋งก็ดังขึ้นจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง "เสี่ยวเวย มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?" หลีเสี่ยวเวยยิ้ม "พี่เสี่ยวอิ๋ง ฉัน..." "เสี่ยวเวย นับแต่นี้เป็นต้นไปอย่าเรียกฉันว่าเสี่ยวอิ๋ง ฉันชื่อว่าเซี่ยอิ่ง เธอต้องจำไว้ให้ดีล่ะ!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยเสียงเบา หลีเสี่ยวเวยผงกศีรษะ "ฉันเข้าใจแล้วล่ะพี่ หลี่ชิงเฟิงคนนั้นมาเป็นหัวหน้าทีมของพวกเราค่ะ! ตอนนี้ฉันก็เลยย้ายจากทีมสามแล้ว ฉันไม่อยากรับคำสั่งจากไอ้เศษสวะพรรค์นี้!" เสี่ยวอิ๋งเงียบไปชั่วขณะแล้วพูดว่า "เสี่ยวเวย เธอควรจะอยู่จัดการไอ้เศษสวะพรรค์นี้สิ!" หลีเ
ไม่นานทุกคนก็ค่อย ๆ พูดคุยกันดังขรม... "ที่แท้ก็เป็นพวกกินข้าวนิ่ม[1]..." "เมื่อสักครู่นี้ฉันก็นึกว่าเขาพอจะมีความสามารถอยู่บ้างถึงได้พูดจาวางก้ามเสียขนาดนั้น คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ เลย..." "กินข้าวนิ่มไม่นับว่ามีความสามารถหรือไง?" เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมของทุกคน แทนที่หลี่ชิงเฟิงจะโกรธกลับยิ้มแล้วพูดว่า "ผมมีความสามารถมากกว่านั้นเยอะ พูดไปก็เปล่าประโยชน์ อีกไม่นานผมเชื่อว่าทุกคนก็จะได้เห็นเอง" เมื่อหลีเสี่ยวเวยได้ยินเช่นนี้ เธอก็หัวเราะขึ้นมาทันที! "หัวหน้าทีมหลี่ ฉันคิดว่าคุณคงจะได้ความมั่นใจมาจากการกินข้าวนิ่มใช่ไหม?" "ความสามารถบางอย่างใช่ว่าคุณจะเอาแต่พูด หรืออาศัยเพียงความหล่อเหลาสะอาดสะอ้านได้หรอกนะ" จ้าวกังพยักหน้าพลางยิ้มให้ "ใช่แล้ว ที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่หรอกนะ ผมแค่อยากจะบอกสมาชิกของทีมสามว่าเมื่อชั่วโมงก่อนพวกเราได้เจรจาคำสั่งซื้อกับบริษัทแมริออทกรุ๊ปสำเร็จแล้ว เป็นคำสั่งซื้อมูลค่าถึงสี่สิบล้านหยวนเชียวนะ!" "คืนนี้หลังเลิกงาน ทีมของพวกเราจะจัดงานเลี้ยงฉลอง ไหน ๆ พวกเราก็อยู่บริษัทเดียวกัน ผมจ้าวกังขอเชิญพวกคุณมาร่วมงานด้วยก็แล้วกัน!" "อีกอย่างผมจะไ
เมื่อหลานหลานเดินออกมาจากห้องทำงาน บรรดาเพื่อนร่วมงานก็เข้ามารุมล้อมเธอ "เป็นยังไงบ้าง? เขาว่ายังไง?" หลานหลานมีท่าทีทำอะไรไม่ถูกพลางเอ่ยเสียงเบาขึ้นมาว่า "หัวหน้าทีมบอกว่าใครไม่ไป พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำงานอีก..." ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีแล้วเริ่มไม่พอใจในตัวหลานหลาน "เธอพูดอะไรน่ะ! รู้จักพูดหรือเปล่าเนี่ย?" "นั่นสิ! ทำไมเรื่องเล็กแค่นั้นเธอถึงไม่เข้าใจล่ะ?" "ทะ ทีนี้ฉันคงรู้สึกอึกอัดใจเมื่อยู่ต่อหน้าทั้งบริษัท!" หลานหลานเองก็หน้าตาเหยเกแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "หัวหน้าทีมบอกว่าคนหนุ่มสาวอย่างพวกเราต้องขยันขันแข็ง! ทั้งยังต้องมีจิตวิญญาณแห่งความไม่ยอมแพ้อีกด้วย!" ทันทีที่หลุดปากพูดออกไป ทุกคนก็หัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว พวกเราล้วนเป็นมืออาชีพในที่ทำงาน แถมยังเคยเห็นอะไรมานักต่อนักแล้ว ขณะที่หัวหน้าดีแค่ฉวยโอกาสจากพวกเรา มีแต่เด็กฝึกงานหน้าใหม่อย่างหลานหลานเท่านั้นแหละจะเชื่อเรื่องนี้ "เขาก็แค่พวกตกถังข้าวสารไม่ใช่หรือไง? มีสิทธิ์อะไรมาบอกให้พวกเราขยันขันแข็งกันเล่า? ทำเอาฉันขำแทบตายเลยจริง ๆ!" "หลานหลาน! เธอเชื่อเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ด้วยงั้นเหรอ? เธอมันไร้เดียงสานัก!" ต
"คุณคงไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์มาที่นี่หรอกใช่ไหม?" "ผู้จัดการเซี่ยไม่ได้ซื้อรถให้คุณเหรอ?" หลังจากจ้าวกังพูดจบ ทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง... หลี่ชิงเฟิงไม่สนใจสักนิด เมื่อเห็นรอยยิ้มของพวกเขาแล้ว เขาก็รู้สึกแต่เพียงว่าคนพวกนี้ช่างเล็กจ้อยเสียจริง ๆ มิหนำซ้ำยังเล็กจ้อยมากเสียจนน่าสมเพชอีกต่างหาก... ในตอนนี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง "โอ้ ขอโทษทีค่ะ! ฉันคงไม่ได้มาสายใช่ไหมคะ?" น้ำเสียงฟังดูคุ้น ๆ เซี่ยเซียนอินรีบหันหน้าไปแล้วเห็นเสี่ยวอิ๋งเดินยิ้มเข้ามาหา! ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า? สีหน้าของเซี่ยอิ่งเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ จากนั้นเธอก็เดินยิ้มไปที่โต๊ะของจ้าวกัง ตอนที่เธอเดินเฉียดเซี่ยเซียนอินไปก็กระแทกไหล่อีกฝ่ายโดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลมอง หลีเสี่ยวเวยรีบลุกขึ้น "หัวหน้าจ้าวฉันขอแนะนำให้รู้จักนะคะ! นี่คือพี่สาวที่แสนดีของฉันเอง เธอชื่อว่าเซี่ยอิ่งเป็นนักศึกษาชั้นหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก มิหนำซ้ำเธอยังเคยเป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทข้ามชาติอีกด้วย!" เมื่อจ้าวกังเห็นเซี่ยอิ่งทั้งงดงามและเยาว์วัย เขาก็ไม่อาจละสายตาไปได้จึ
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห