ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงนี้ ดึงดูดความสนใจของหวังเจิ้นที่อยู่อีกด้านขึ้นมาทันที เมื่อเขาเหลียวมองก็พบว่าเป็นเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นทางหลี่ชิงเฟิง ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ"โทษทีนะครับ ผมขอไปตรวจสอบดูก่อน" หวังเจิ้นรีบเดินเข้ามาแล้วเห็นจางส่วงกำลังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังใส่หลี่ชิงเฟิง ขณะที่หลี่ชิงเฟิงกลับมีท่าทีสงบนิ่ง "เกิดเรื่องอะไรขึ้น?" หวังเจิ้นถาม เมื่อจางส่วงเห็นมหาเศรษฐีหวัง เขาก็ไม่กล้าหัวเราะอีกต่อไป จากนั้นเขาก็รีบเดินเข้ามาหามหาเศรษฐีหวังแล้วก้มหน้าพลางกล่าวว่า "ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่มีขอทานอยู่ที่นี่ ผมกำลังคิดหาทางไล่มันออกไปอยู่พอดี" "ผมไม่รบกวนด้วยเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้หรอกครับ" เมื่อหวังเจิ้นได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกตกใจอยู่บ้าง "ขอทาน? อยู่ที่ไหนงั้นรึ?" จางส่วงยื่นมือออกมาแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ก็อยู่ตรงนั้นไม่ใช่หรือไงล่ะครับ?" เมื่อเห็นจางส่วงชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิง สีหน้าของหวังเจิ้นก็พลันมืดมนขึ้นมาทันที แต่จางส่วงกลับไม่ทันได้สังเกต เขายังคงพูดต่อไปอีกว่า "คุณน่าจะยังไม่รู้จักมัน งั้นผมจะแนะนำให้คุณรู้จัดมันเอง มันชื่อหลี่ชิงเฟิง เป็นเ
หวังเจิ้นแค่นยิ้มเย็นชา "พวกเราได้เซ็นสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมายกันไว้หรือเปล่าล่ะ? ตอนนี้ฉันเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา มีปัญหาอะไรไหม? ฉัน หวังเจิ้น จะทำอะไร ยังต้องให้แกมาชี้นิ้วสั่งการด้วยเหรอ?" หวังเจิ้นรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจนัก เขาแค่ไม่รู้ว่าจะหาทางปฏิเสธคำเชิญของจางส่วงอย่างไรดี ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสจากเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้เพื่อหาทางออกให้ตัวเอง จางส่วงส่ายหน้าแล้วกัดฟันพูดขึ้นมาว่า "แต่...ต่อให้คุณไม่พักอยู่กับผม คุณก็ไปที่ตระกูลเซี่ยไม่ได้หรอก! ตอนนี้ตระกูลเซี่ยมีชื่อเสียงเลวร้าย ผมเกรงว่าคุณจะพลอยติดร่างแหไปด้วย!" หวังเจิ้นเลิกคิ้ว "คุณแช่งผมงั้นเหรอ? ใจกล้าไม่เบาเลยนี่!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงที่นั่งเก้าอี้คอยชมดูการแสดงได้ยินเช่นนี้เข้า ก็แทบจะหลุดหัวเราะลั่นออกมา สำหรับคนอย่างหวังเจิ้น การหาเรื่องทะเลาะชวนตีช่างเป็นเรื่องที่สุดแสนจะง่ายดาย ก่อนที่จางส่วงจะทันได้พูดอะไรอีก เลขาข้างกายหวังเจิ้นก็เดินเข้ามาตบหน้าเขา! จางส่วงถูกตบเสียจนลงไปนอนกองอยู่กับพื้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ "แกขอโทษเขาเดี๋ยวนี้! จากนั้นก็ไสหัวไปจากที่นี่ซะ!" หวังเจิ้นเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธจัด จางส่วงไม่มีทา
เมื่อใบหย่าถูกวางลงบนโต๊ะ สีหน้าของเซี่ยเซียนอินก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว! การเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าคนนอกมากมายขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าคิดจะทำให้หลี่ชิงเฟิงรู้สึกอับอายขายหน้า ทุกคนเฝ้ามองดูหลี่ชิงเฟิงพลางลอบยิ้มแล้วก้มหน้ากระซิบกระซาบกัน เซี่ยเซียนอินอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วยื่นมือออกมาหมายจะคว้าใบหย่าเอาไว้ แต่กลับถูกเซี่ยหมิงจื้อฉวยเอาไปเสียก่อน "เซียนอิน ไอ้ขี้แพ้มันพูดเองนะ ถ้ามันทำไม่ได้ก็จะหย่ากับแก หลี่ชิงเฟิง ถ้าแกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ล่ะก็ จงยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเสียดีกว่า!" เซี่ยหมิงจื้อมีสีหน้ายิ้มเยาะ เพราะหลงคิดว่าหลี่ชิงเฟิงหลงกลเข้าแล้ว เซี่ยเซียนอินพูดด้วยความร้อนใจ "พ่อคะ! ถ้ามีอะไรพวกเราก็ไปคุยกันที่บ้าน ตกลงไหมคะ? ที่นี่คือบริษัทนะ!" เซี่ยหมิงจื้อยิ้มเยาะ "อะไรกัน? มันกลัวเสียหน้างั้นเหรอ? ใคร ๆ ก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น ฉันก็แค่อยากจะป่าวประกาศในบริษัท เพราะเกรงว่าพออยู่ที่บ้าน มันจะแกล้งโง่เอาน่ะสิ!" "ยังไงซะมันก็เป็นจอมโกหกหลอกลวง เรื่องพวกนี้ของถนัดมันเชียวล่ะ!" เซี่ยเซียนอินโมโหจนริมฝีปากซีดขาว ในตอนนี้เอง หลี่ชิงเฟิงก็ลุกขึ้นแล้วหัวเราะพลางกล่าวว่า "
หลี่ชิงเฟิงทำได้จริง ๆ เขาเชิญมหาเศรษฐีหวังมาได้ หลังจากเธอยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้นไม่รู้ตั้งนานขนาดไหน เมื่อเซี่ยเซียนอินรู้สึกตัว เธอก็รีบวิ่งไปที่ห้องประชุมแล้วเห็นทุกคนพากันไชโยโห่ร้อง! เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ข่าวกันแล้ว อีกทางหนึ่ง เซี่ยหมิงจื้อกับหร่วนเหมยก็มองหน้ากันด้วยความรู้สึกสับสนสุดขีด ใครจะไปเชื่อว่าเขยไร้ประโยชน์จะทำเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เช่นนี้ให้สำเร็จขึ้นมาได้! แววตาของเซี่ยเซียนอินเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เธอรีบวิ่งเข้าไปหาหลี่ชิงเฟิงแล้วกอดเขาไว้แน่น! "ฉันขอโทษด้วยนะ! ฉันควรจะเชื่อใจคุณ! ฉันขอโทษด้วย..." หลี่ชิงเฟิงยิ้มพลางลูบศีรษะของเธอ "ยัยโง่ ผมจะโทษคุณได้ยังไงกันเล่า? ผมให้สัญญากับคุณเอาไว้แล้วว่าวันข้างหน้าจะจัดการทุกอย่างแทนคุณเอง" "แต่คุณทำได้ยังไงกัน? เมื่อคืนคุณไปพบมหาเศรษฐีหวังจริง ๆ เหรอ?" เซี่ยเซียนอินถามเสียงเบา หลี่ชิงเฟิงหัวเราะ "จริงสิ! ผมใช้วาจาคารมคมคายเกลี้ยกล่อมมหาเศรษฐีหวังจนสำเร็จเชียวนะ แน่นอนว่าก็อาศัยที่คุณไว้เนื้อเชื่อใจผมด้วยแหละครับ คุณประธานคนเก่ง" "คุณช่างน่าทึ่งจริง ๆ!" ทั้งสองคนต่างหยอดคำหวาน ขณะที่เซี่ยหมิงจื้อก
เซี่ยเซียนอินพยักหน้า "คุณย่าคะ หนูเข้าใจแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" หลังจากหยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เซี่ยเทากับคุณย่าก็ออกไปจากโรงแรม เซี่ยเซียนอินไม่กล้าเกียจคร้านจึงจัดการเรื่องอาหารและที่พักให้หวังเจิ้นด้วยตัวเอง เพราะเกรงว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาอีก บ่ายวันนั้น นักข่าวหลายคนรีบมาที่โรงแรมในเครือตระกูลเซี่ยเพียงเพื่อสัมภาษณ์หวังเจิ้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบรรดานักข่าว หวังเจิ้นก็พูดด้วยท่าทีมั่นใจและสงบนิ่ง พอนักข่าวบางคนซักถามถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกเข้าพักในโรงแรมแห่งนี้ หวังเจิ้นก็เอาแต่ยิ้มจาง ๆ พลางกล่าวว่า "โรงแรมแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาในเซี่ยชวนหลายสิบปี การที่อยู่รอดมาได้นานขนาดนั้น ก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว” "ผมมีความไว้วางใจเต็มเปี่ยมครับ" จากนั้นนักข่าวก็ถามว่า "ก่อนที่คุณจะมาที่นี่ เคยได้ยินเรื่องยาสีฟันมีพิษในโรงแรมแห่งนี้หรือเปล่าคะ?" หวังเจิ้นคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพวกเขาต้องถามเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงยิ้มพลางกล่าวว่า "ดูเหมือนว่านักข่าวอย่างพวกคุณยังไม่เป็นมืออาชีพและทำการบ้านมาไม่มากพอนะครับ! เรื่องยาสีฟันเป็นความประสงค์ร้ายของใครสักคน ผมเชื่อว่
คุณย่ายิ้มเยาะขึ้นมา "หลานคิดว่ายังไงล่ะ? หลานคิดว่าย่าจะโง่พอที่จะยกตระกูลเซี่ยให้คนอื่นจริง ๆ เหรอ? คราวนี้ย่าจะเหยียบมันให้เละเป็นโคลนเลย! มันจะไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว!" ในที่สุดเสี่ยวอิ๋งก็เข้าใจเจตนาดีของคุณย่าตัวเอง เธอลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้นพลางกุมมือของคุณย่าแล้วเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "คุณย่าคะ หนูขอโทษ! ก่อนหน้านี้หนูยังพาลโกรธคุณย่า เพราะหนูไม่เข้าใจเจตนาของคุณย่า...” คุณย่าเซี่ยยิ้มพลางลูบศีรษะของเธอแล้วพูดเสียงเบาว่า "หลานควรรู้เอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลานก็เป็นหลานสาวของย่านะ" เสี่ยวอิ๋งรู้สึกประทับใจมากเสียจนต้องหลั่งน้ำตา จากนั้นเธอก็โถมตัวเข้าในอ้อมแขนของคุณย่าแล้วร้องไห้โฮ... ……. ตกกลางคืน เซี่ยเซียนอินก็จัดการทุกอย่างโดยละเอียดรอบคอบ แม้แต่แปรงสีฟันที่หวังเจิ้นต้องใช้ เธอก็ตรวจสอบด้วยความระมัดระวัง ถ้าหากเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาอีกครั้ง ตระกูลเซี่ยคงได้จบเห่จริง ๆ แน่ เธอยุ่งง่วนอยู่ตลอดทั้งวันจนในที่สุดก็ได้โอกาสพักผ่อน เธอคิดจะพักในโรงแรมสักคืนหนึ่งแทนที่จะกลับบ้าน เมื่อลากสังขารอันเหนื่อยล้ามานั่งลงบนโซฟาแล้ว ขณะที่เซี่ยเซียนอินครึ่งหลับ
หนึ่งหมื่นล้านบาท! ตัวเลขพวกนี้กดทับลงบนอกของเซี่ยเซียนอิน ตอนนี้เธอรู้สึกหายใจติดขัดเสียแล้ว... ตัวเลขพวกนี้ช่างมากมายเหลือเกิน! เมื่อก่อนหากตระกูลเซี่ยได้รับโครงการมูลค่าหลายสิบล้านบาท พวกเขาก็มีความสุขแล้ว ทว่ายามนี้กลับมีมูลค่าถึงหมื่นล้านบาท! ไม่ว่าเป็นใครก็คงยากที่จะยอมรับได้อยู่สักพัก... เมื่อหวังเจิ้นเห็นว่าเธอมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาก็หัวเราะพลางกล่าวว่า "มีอะไรงั้นเหรอครับ คุณเซี่ย? คุณคิดว่าน้อยไปหน่อยหรือเปล่า?" "มะ ไม่ ไม่ค่ะ! มะ... มันออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ..." "บอกตามตรงว่า โครงการหมื่นล้านบาทของคุณทำให้ฉันกดดันมากเลยค่ะ..." หวังเจิ้นหัวเราะ "เอาล่ะครับ หากตัดสินจากผลงานวันนี้ ผมก็ไว้วางใจในความสามารถของคุณแล้ว ทำตัวตามสบายเถอะครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน" "ว่าแต่ฉันต้องทำยังไงบ้างคะ?" เซี่ยเซียนอินถาม หวังเจิ้นจึงกล่าวว่า "ในการเปิดโรงแรมสักแห่ง แน่นอนว่าคุณต้องมีที่ดิน ผมเล็งที่ดินผืนหนึ่งเอาไว้แล้ว เดี๋ยวผมจะให้คุณไปเจรจาต่อรองก็แล้วกัน" เซี่ยเซียนอินลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วพยักหน้า "ก็ได้ค่ะ! ในเมื่อคุณเชื่อมั่นในตัวฉันมากขนาดนั้น ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิต ฉัน
ทันทีที่พูดจบ ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนก็พลันตื่นตระหนก จนถึงขนาดรู้สึกพลุ่งพล่านเสียด้วยซ้ำไป! "หมื่นล้านบาท! ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม?" "โอ้พระเจ้า! เขาสมกับที่เป็นมหาเศรษฐีแห่งเมืองหลวงจริง ๆ! สิ่งที่เขาทำช่างไม่เหมือนใคร!" คุณย่าเซี่ยตบโต๊ะแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก "ทุกคน ใจเย็น ๆ ก่อน นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น พวกคุณตื่นเต้นเกินไปแล้ว ขอฉันพูดให้จบก่อน" "สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือ เอาที่ดินในหาดชิงไห่มาให้ได้ในเวลาอันสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้! เพราะตำแหน่งที่ตั้งของโรงแรมอยู่ตรงนั้น!" หลังจากพูดจบ ทุกคนที่เมื่อสักครู่นี้ยังตื่นเต้นกลับค่อย ๆ เงียบลงอีกครั้ง ในตอนนี้เอง ก็มีคนพูดขึ้นมาว่า "หาดชิงไห่เป็นพื้นที่พัฒนาที่เพิ่งจะเจริญขึ้นมา นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายคนต่างจับจ้องพื้นที่ดังกล่าวกันตาเป็นมัน พวกเราไม่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พวกเราจึงไม่มีทั้งประสบการณ์และเส้นสาย เรื่องนี้จึงออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง" "พวกเราขอให้มหาเศรษฐีหวังช่วยคิดหาทางแก้เป็นยังไง?" เมื่อคุณย่าเซี่ยได้ยินคำพูดเหล่านี้ เธอก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาพลา
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห