บทที่ 10 เตรียมของไปขาย ‘ที่แห่งนั้น’
หลังจากที่หยางซีซีให้ทุกคนฝึกลองใช้ตะกร้ามิติ จนทุกคนเข้าใจและสามารถที่จะทำเองได้แล้ว จากนั้นคนในตระกูลหยางก็เดินเรียงกันกลับไปที่สวนและเล้าไก่อีกครั้ง เมื่อไก่สองตัวที่กำลังนอนพักอยู่เห็นคนบ้านนี้เดินกลับมาหาพวกมันอีกแล้วพวกมันก็หันมองหน้ากันอย่างสงสัยก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาเหมือนจะเป็นการถามว่า พวกเขามาทำไมกันอีก...ไข่ก็ไข่ให้ไปแล้วอย่างไร...เมื่อพวกมันมองไปด้านหลังเห็นเจ้าหนุ่มคนเดิมหอบผักกาดขาวมาหอบใหญ่เข้ามา พวกมันมองหน้ากันอีกครั้งอย่างบอกนะว่า.….
ตอนที่คนตระกูลหยางกลับออกไปพวกเขาได้ไข่ที่เจ้าไก่ทั้งสองตัวช่วยกันเบ่งจนจะเป็นลมไปอีก 20 ใบ...ตอนนี้พวกมันสองตัวต่างก็พยายามที่เงยคอขึ้นมามองแต่ก็ทำไม่ได้เพราะความเหนื่อย หยางซีซีเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดกับพวกมันว่าช่วงนี้พวกมันอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะ จากนั้นเธอก็เทน้ำที่ใช้มือหัตถ์เทวะจุ่มลงไปและใส่พลังลงไปมากหน่อยให้พวกมันดื่มกิน และทันทีที่พวกมันกินน้ำอาการเหนื่อยล้าจากการเบ่งไข่มากมายนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีตอนนี้หากสังเกตดูดีตัวของพวกมันเหมือนจะอ้วนขึ้นและมีขนสีทองแซมออกมาหลายเส้นทีเดียว
เมื่อได้ไข่แล้ว ตอนนี้กลุ่มคนตระกูลหยางก็เดินเรียงมาที่แปลงผักทันที พวกเขาทั้งหมดต่างก็ช่วยกันเก็บผักและถอนผักทั้งหมดทันที ขณะนั้นเองคุณแม่หยางที่กำลังถอนผักกาดขาว เธอก็ได้สัมผัสกับพลังมากมายที่ถูกปล่อยออกมาจากผักเหล่านั้น แม้เพียงแค่สัมผัสยังไม่ทันได้กินเข้าไปพวกเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นและพลังที่เปล่งออกมาจากผักเหล่านี้ ในตอนนั้นความคิดของทุกคนก็เหมือนกันคือ ผักนี้ขายไม่ได้แล้ว เพราะมีพลังวิญญาณมากเกินไป
หยางฟู่หลงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
“น้องสะใภ้สามพี่ใหญ่คิดว่าผักเหล่านี้เราไม่สามารถที่จะนำไปขายได้แล้วหล่ะ เพราะว่ามันมีพลังมากเกินไป หากว่าพวกเรานำไปขายมันจะต้องสร้างปัญหาให้พวกเราแน่นอน”
ตอนนี้ทุกคนต่างก็ถือต้นผักที่ตัวเองตัดและถอนอยู่ในมือแม้ขณะอยู่ในมือของพวกเขามันยังเปล่งประกายพลังออกมามากมายซะขนาดนี้หากว่านำออกไปวางขายพวกเขาจะต้องมีปัญหาแน่นอน...
หยางซีซีมองไปที่แปลงพลังที่ส่งแสงระยิบระยับเปล่งประกายอยู่จึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่เธอส่งพลังจากฝ่ามือหัตถ์วิญญาณนั้นเธอส่งพลังมากไปจริงๆ
“เช่นนั้นพวกเราปลูกใหม่ดีหรือไม่คะ แล้วค่อยนำไปขาย รอบหน้าฉันจะไม่สัมผัสพวกมันโดยตรงแล้วแต่ใช่ทำเป็นน้ำเพื่อจะรดพวกมันแทนหากเป็นแบบนั้นมันน่าจะโตเร็วกว่าปรกติแต่ว่ามีพลังวิญญาณน้อยกว่านี้มาก"
“เอาแบบนี้ดีกว่านะพ่อว่า ถ้าเราปลูกผักใหม่ แล้วค่อยรดด้วยน้ำที่มีพลังวิญญาณผสมอยู่ ผักที่ได้น่าจะยังคงมีพลังวิญญาณอยู่บ้าง แต่ก็คงจะไม่มากเท่ากับการสัมผัสโดยตรงแบบนี้"
คุณพ่อบางทีก็มีความคิดดีๆ เหมือนกัน นี่คือสิ่งที่ลูกๆ ของเขาคิด
คุณพ่อหยางพูดขึ้นมาอีกว่า "ว่าแต่เราจะทำยังไงกับผักที่เก็บเกี่ยวมาแล้วล่ะลูก? มันเสียดายมากเลยนะ"
"พ่อคะผักพวกนี้เราสามารถเก็บเอาไว้ทำอาหารสำหรับครอบครัวเราได้ค่ะ" หยางซีซีกล่าว "หรือไม่ก็อาจจะนำไปแบ่งปันให้กับคนที่เรารู้จักที่มีบุญคุณกับเรา เพราะหากว่าพวกเขาได้กินผักเหล่านี้ร่างกายจะต้องแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายแน่นอน"
ในตอนที่หยางซีซีพูด หยางจิ้งและหยางฟู่เหยาต่างก็หันมองกันแล้ว พวกเขาสองคนคิดเหมือนกันนั้นคือจะต้องแบ่งผัก หรือทำอาหารจากผักเหล่านี้ไปให้พี่ใหญ่จางในเมืองให้ได้
เมื่อทุกคนเห็นด้วยที่จะไม่นำผักไปขายแต่จะเก็บเอาไว้กินแทน จากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันเก็บผักในแปลงทั้งหมดและใส่เข้าไปในตะกร้ามิติทันที แบบนี้ก็สามารถเก็บเอาไว้ได้นานเลย แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจอีกครั้งนั้นคือ คุณพ่อหยางเฉินที่กำลังแบกฟักทองยักษ์ขนาดใหญ่ที่น่าจะหนักเกือบ 30 กิโลกรัมได้คนเดียวแถมเดินไปมาสบายๆ ด้วยสิ คุณพ่อหยางเดินเก็บฟักทองที่มีขนาดเท่าๆ กัน ไปมาอยู่หลายเที่ยวจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติในตัวเอง เมื่อเดินไปถึงฟักทองยักษ์ที่เขากำลังจะเด็ดเขาก็นึกขึ้นมาได้ ...ทำไมเขาถึงได้สามารถแบกฟักทองใหญ่ขนาดนี้คนเดียวโดยที่ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเหรือต้องออกแรงเลยเล่า เขาลองพิสูจน์อีกครั้งโดยการเด็ดฟักทองและลองยกมันขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ...
"นี่มันอะไรกันเนี่ย!"
คุณพ่อหยางเฉินร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อเขาสามารถยกฟักทองยักษ์น้ำหนักเกือบ 30 กิโลกรัมขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นของเล่นชิ้นเล็กๆ
ก่อนหน้านี้ เขาเคยรู้สึกว่าร่างกายของเขามีเรี่ยวแรงมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ที่เขาได้ลองยกฟักทองหนักๆ ดู เขาก็ถึงกับต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจคุณพ่อหยางเฉินลองยกฟักทองขึ้นมาลงหลายครั้งเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริง เขารู้สึกแข็งแรงผิดปกติ ร่างกายเบาเหมือนปุยฝ้าย และกล้ามเนื้อก็ตึงกระชับราวกับนักกีฬาอาชีพ
“ทำไมฉันถึงได้มีพลังมากขนาดนี้เนี้ย และอาการป่วยข้อป่วยหลังก็หายไปหมดแล้วด้วย” หยางเฉินพึมพำกับตัวเอง
"พ่อ...พ่อแข็งแรงขึ้นมากเลย" หยางจิ้งพูดด้วยความทึ่ง
"ใช่แล้วล่ะ" คุณแม่หยางตอบรับด้วยความดีใจจากนั้นเธอก็มองเห็นที่ควรจะเหี่ยวแห้งของเขาตอนนี้กลับเหมือนจะมีกล้ามขึ้นมาเล็กๆ แล้ว
ทุกคนต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัย ก่อนที่จะนึกถึงผักวิญญาณที่พวกเขากินไปเมื่อไม่นานมานี้
"หรือว่าจะเป็นเพราะผักวิญญาณที่พวกเขากินเข้าไปเมื่อเช้า" สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของสะใภ้ใหญ่พวกเขาเริ่มเชื่อมโยงความแข็งแรงผิดปกติของพ่อหยางเข้ากับพลังของผักวิญญาณ และดูเหมือนว่าพวกเขาก็รู้สึกมีพลังมากเหมือนกันนะ
"ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าผักวิญญาณไม่เพียงแต่จะให้พลังงานกับเรา แต่ยังทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้นด้วย"
คุณพ่อหยางกล่าวด้วยความตื่นเต้นการค้นพบครั้งนี้ทำให้ครอบครัวหยางตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจผักวิญญาณมีพลังอันมหัศจรรย์จริงๆ
หยางซีซียิ้มก่อนจะพยักหน้าและบอกพวกเขาว่านั้นคือผลลัพธ์ของการกินผักและอาหารที่มีพลังวิญญาณนั้นเอง แต่ว่าตอนนี้เธอยังไม่สามารถที่จะบอกคุณสมบัติของพวกมันได้ทั้งหมด เพราะว่า ตอนนี้เธอคิดว่าพวกเขาควรจะขึ้นเขาและไปเอาเนื้อเพื่อนำไปขายกันได้แล้ว เพราะว่าตอนนี้พวกเขามีเพียงเนื้อไก่เท่านั้นดังนั้นพวกเขาจะต้องมีเนื้อหมูเยอะหน่อยถึงจะดี
แม่หยางจึงแบ่งงานทันทีโดยเธอให้สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองจะช่วยกันทำความสะอาดไก่ ทั้ง 20 ตัว ส่วนพวกผู้ชายให้ไปเอาเนื้อแล้วค่อยมาแล่ทำเป็นชิ้นกันที่บ้าน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดก็ลงมือทันที ที่ต้องให้พวกผู้ชายไป เพราะว่าหยางซีซีนั้นจะทำให้ชิ้นหมูมีชีวิตกลายเป็นหมูเป็น 1 ตัวดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องฆ่าหมูกันเองและนำกลับมา และแน่นอนว่าหากว่าจะฆ่าหมูก็ต้องไปทำที่ภูเขาเพื่อที่จะได้ไม่มีใครรู้นั้นเอง ....
คุณพ่อหยาง ลูกชายทั้งสองและลูกสะใภ้สามจากไปเกือบ 1 ชั่วโมงก็พากันกลับมาโดยที่สภาพของเสื้อผ้าของพวกเขานั้นยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (ความจริงคือโชกเลือดของหมูแต่ว่าหยางซีซีจัดการให้เสื้อผ้ากลับมามีสภาพเหมือนเดิมนั้นเอง)
เมื่อกลับเข้าบ้านมา พวกเขาก็รีบนำเนื้อออกมาหันเป็นชิ้นๆ ทันที โดยพวกเขาทำเป็นชิ้นละ 1 – 5 ชั่ง เพราะอาจจะมีบ้างคนที่อยากจะได้ชิ้นใหญ่บ้าง เล็กบ้าง คนทั้งครอบครัวช่วยกันทำงานจนกระทั่งเวลาเกือบจะ 11 โมงจึงได้เสร็จ
“เอาหล่ะเดี๋ยวฉันกับน้องสะใภ้สามจะเข้าไปที่แห่งนั้นเอง พวกคุณแม่ก็รออยู่ที่บ้านนะคะ”
หยางฟู่เหยาเป็นคนเอ่ยขึ้นมา เหตุที่เธอจะเป็นคนไปเพราะว่า เธอทราบดีว่าที่แห่งนั้นอยู่ตรงไหน และอีกอย่างพวกเธอก็ไม่ได้แบกของอะไรหนักดังนั้นพวกเธอนำไปขายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“ผมเป็นห่วงให้ผมไปด้วยเถอะ”
หยางจิ่งไม่อยากจะให้เมียรักและน้องสะใภ้สามเข้าเมืองกันเพียง 2 คนจึงได้เอ่ยขึ้นมา
“เอาแบบที่เจ้ารองพูดเถอะสะใภ้รอง ให้เจ้ารองไปด้วยไปกันผู้หญิง 2 คนแม่เป็นห่วง ส่วนพวกเราที่เหลือก็ช่วยกันทำแปลงผัก เตรียมปลูกใหม่อีกครั้ง”
คุณแม่หยางสรุปทันที และแน่นอนไม่มีใครสามารถแย่งได้ จากนั้นทั้งสามคนก็เดินออกจากบ้านเพื่อเข้าเมืองทันที
หมู่บ้านหลี่ฮวานั้นห่างจากตัวเมืองหางโจวประมาณ 30 กิโลเมตรคนตระกูลหยางทั้ง 3 เดินเกือบ 2 ชั่วโมงจึงได้ถึงเมืองหางโจว หากว่าเป็นเวลาปกติจะมีรถแทรกเตอร์ของหัวหน้าหมู่บ้านที่จะเข้าไปในเมือง ซึ่งรถแทรกเตอร์จะออกเวลา 6.โมงเช้าของทุกวันและกลับประมาณ บ่าย 2 หากคนในหมู่บ้านต้องการจะเข้าเมืองและกลับพร้อมกัน ก็ต้องมารอให้ตรงเวลา หรือหากว่าบ้านไหนมีฐานะหน่อยก็จะมีจักรยานเป็นของตัวเองซึ่งก็จะทำให้สะดวกมากในการที่จะเข้าเมือง
เมื่อทั้ง 3 มาถึงเมืองก็เป็นเวลา บ่ายโมงแล้วตอนนี้พวกเขาไม่หิวเลยอาจจะเป็นเพราะว่าอาหารเช้ากินกันไปเยอะ และอาหารที่มีพลังวิญญาณเยอะขนาดนั้นทำให้พวกเขาสามารถที่จะอดทนได้มากกว่าคนปรกติหลายเท่า..
พวกหยางจิ่งเดินตรงไปที่ ที่แห่งนั้นตามที่พี่ใหญ่จางเคยบอกเอาไว้ทันที เมื่อไปถึงพวกเขาเห็นประตูสังกะสีเก่าๆ ที่เกือบจะพังแล้วปิดอยู่และด้านหน้ามีชายร่างใหญ่เดินไปมาพวกเขาเดินไปที่ประตู หยางจิ่งเดินไปหาและเอ่ยรหัสขึ้นมาเบา ชายร่างใหญ่มองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“ 15 เหมา..”
ใช่แล้ว!!ค่าเข้าไปขายของซื้อของในตลาดนั้นคือคนละ 5 เหมานั้นเองซึ่งก็ถือว่าแพงเอาการอยู่ แต่ว่าเมื่อมาแล้วก็ต้องเข้า หยางจิ้งจ่ายเงินชายคนนั้นก็เปิดประตูให้ พวกเขาจึงเดินเข้าไปทันที ....
ประตูสังกะสีเก่าผุพังถูกผลักออกอย่างเงียบเชียบ เสียงบานพับร้องครางเบาๆ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าพวกเขากำลังก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ โลกที่เต็มไปด้วยความลับและอันตรายของคนในยุคนี้ก็ว่าได้
พวกของหยางซีซีก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในตลาดมืดที่เคยได้ยินชื่อเสียงมาโดยตลอด แสงไฟสลัวๆ จากหลอดไฟเก่าๆ ส่องกระทบกับใบหน้าของผู้คนที่เดินสวนไปมา ทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวและตื่นเต้นไปพร้อมกัน
"ว้าว! ที่นี่มัน..."
หยางจิ้งอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเขานั้นเพียงเคยได้ยินชื่อตลาดมืดเท่านั้นแต่ยังไม่เคยเข้ามาในนี้มาก่อนเลย เสียงพูดคุยเจรจาต่อรองดังก้องไปทั่วตลาด มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้คนเดินขวักไขว่ ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างคึกคัก แม้จะยังไม่ถึงเวลาพลบค่ำซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดมืดมักจะคึกคักเป็นพิเศษ แต่ที่นี่ก็ดูเหมือนจะมีผู้คนมาจับจ่ายใช้สอยกันตลอดเวลา
"คนเยอะมากเลยนะเนี่ย" หยางฟู่เหยาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หยางซีซีพยักหน้าเห็นด้วย "ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนเยอะขนาดนี้นะคะพี่สะใภ้รอง"
พวกเขาเดินลึกเข้าไปในตลาดมืดเรื่อยๆ ผ่านร้านค้าต่างๆ ที่ขายสินค้าหลากหลายชนิด ทั้งขายข้าว ขายเนื้อแต่ดูไม่สดนักและมีน้อยมาก มีพวกอาหารป่าอยู่บ้าง และมีแม้แต่ของผิดกฎหมายบางอย่าง กลิ่นอายของความตื่นเต้นและอันตรายคละคลุ้งไปทั่ว
"นี่แหละคือตลาดมืดที่แท้จริง"
หยางฟู่เหยากล่าวขึ้นมา ตอนนี้เธอไม่มีความกลัวใดๆ หรือออกจะรู้สึกตื่นเต้นมาด้วยซ้ำ
"เราจะไปขายของตรงไหนดีคะ" หยางซีซีถาม
"ดูเหมือนว่าตรงนั้นจะมีคนน้อยกว่าที่อื่น ลองไปดูกันไหม" เธอชี้ไปยังซอยเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังของตลาด
พวกเขาทั้งหมดเดินตามไปยังซอยที่เธอชี้ เมื่อเดินเข้าไปในซอยก็พบว่ามีร้านค้าเล็กๆ ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง ซึ่งแตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของตลาดที่คึกคัก พวกเขาตัดสินใจเลือกที่จะตั้งแผงขายของตรงบริเวณนี้
เมื่อได้ที่แล้วหยางจิ้งก็นำผ้ามาวางกับพื้นและดึงเนื้อหมูและไก่ออกมาจากตะกร้าโดยนำไก่ออก3-4 ตัว ส่วนเนื้อหมูเขานำออกมาทั้งหมด 5 ชิ้นใหญ่ เนื้อที่ทั้งสดและแดงสวยเรียกสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาทันที เพียงไม่นานก็มีหญิงชราเดินถือตะกร้าและตรงมาที่พวกเขาทันที
“เนื้อ!!!…มีเนื้อสดขนาดนี้ขายด้วยจริงๆ หรือเนี้ย พ่อหนุ่มขายเนื้อสดนี้อย่างไรหรือ?”
ลูกค้าคนที่ 1 และ 2 และ 3 เดินพุ่งมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็วทันทีราวกับกลัวว่าหากช้ากว่านี้พวกเธอจะซื้อไม่ทัน
หยางจิ้งและภรรยาต่างก็ยืนขายเนื้อสัตว์ มือไม้สั่นระรัวด้วยความตื่นเต้นและกังวลใจกับการค้าขายครั้งแรกในตลาดมืด ขณะที่ทั้งคู่กำลังวุ่นวายกับลูกค้า หยางซีซีก็ใช้โอกาสนี้สอดส่องดูบรรยากาศโดยรอบด้วยความสนใจ
สายตาของเธอปัดไปมาทั่วตลาด พบเห็นทั้งของแปลกตาและสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน ในชาติภพที่แล้ว เธอไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศที่คึกคักและเต็มไปด้วยสีสันเช่นนี้
ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับการสำรวจตลาดอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นสองตาหลานที่ร่างกายผอมแห้งน่าสงสารที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากแผงขายของของครอบครัวเธอ พวกเขานั่งเงียบๆ มองมาที่แผงเนื้อของครอบครัวเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอยากอาหาร สองตาหลานมองดูเนื้อสัตว์ด้วยความกระหายราวกับว่าไม่ได้กินมานาน
หยางซีซีสังเกตเห็นว่าแผงขายของของสองตาหลานนั้นเงียบเหงา ไม่มีใครสนใจเลย เธอจึงหันไปมองสิ่งของที่พวกเขานำขาย และแล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าสองตาหลานกำลังขายทองคำและเครื่องประดับต่างๆ ที่ดูมีค่ามากกองอยู่ตรงหน้าเหมือนของไม่มีค่าก็ว่าได้
"นั้นมัน… ทองคำนี้!!! " หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างตกใจ
เธอมองไปที่กองทองคำและเครื่องประดับเหล่านั้นอีกครั้งด้วยความสงสัย ทำไมสองตาหลานถึงมีของมีค่าแบบนี้มาขายในตลาดมืดได้ และทำไมถึงไม่มีใครสนใจที่จะซื้อเลย หยางซีซีมองจ้องไปที่กองทองคำและเครื่องประดับอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองตาหลานทันที….
****ตอนหน้าน้องซีซีจะเอาเนื้อแลกทองกับสองตาหลานนั้นแน่เลย…****