อึดใจเดียวก็ถึงคอกม้าซึ่งถูกปิดกั้นไว้ไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าเป็นการชั่วคราว พิภพบอกลุงคนเฝ้าม้าที่มีสีหน้าเศร้าหมอง เฝ้าโทษตัวเอง ให้ไปตามคนมาช่วยดูแลม้าป่วยในแต่ละคอกกั้นกลิ่นสาบม้าไม่ได้รบกวนจิตใจเท่ากิริยาไร้ซุ่มเสียงของสัตว์ใหญ่ที่นอนล้มราบลงกับพื้น หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบสองหน้าเผือดจากเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด ไม่บอกก็รู้ว่าเขารักม้าแต่ละตัวมากเท่าไร“ม้าคอกนี้มีแปดตัว ล้มมาตั้งแต่เมื่อช่วงเช้ามืด อยู่ฝั่งนู้นเจ็ดตัวกับคอกอื่นไม่มีอาการอะไรเลย” ไอศูรย์กวาดสายตามองโดยรอบ ก็รีบบอก “ผมจะเก็บหญ้ากลับไปแล็บ...” ไม่ขาดคำดีวงหน้าหล่อเหลาเข้มเครียดสบกันครั้งหนึ่ง ด้วยสีหน้าที่บอกอารมณ์แตกต่าง เมื่อในคอกม้าไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคน พิภพก้าวไว ๆ ไปถึงคอกท้ายสุดที่ประตูเปิดอ้าไว้ภายในคอกที่ถูกเก็บกวาดหญ้าเรียบร้อยดี ม้าสีน้ำตาลหม่น รูปร่างเป็นล่ำสันสายพันธุ์จากเยอรมันอายุสิบปี นอนสงบนิ่งอยู่บนพื้น ร่างอรชรสั่นเทานอนแนบใบหน้าบนลำตัวกว้าง พยายามจะโอบกอดม้าตัวโต ๆ ไว้ให้มิดด้วยวงแขนที่เล็กกว่าหลายเท่า ผมสีน้ำตาลเฮเซลเป็นลอนสวยบัดนี้ยุ่งเหยิงปรกหน้าแดงก่ำ พิภพหัวใจกระตุกวูบ สา
พิภพจัดการทุกอย่างเรียบร้อยโดยให้สิทธิพิเศษอัพเกรดห้องพักให้แขกย้ายไปข้างในรีสอร์ต ขณะที่ไอศูรย์ยกสายหาเจ้าของคลินิกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคนเก่าแก่ในท้องถิ่นอย่างอาจารย์นิธิคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วว่าจะต้องมีเรื่องแปลก ๆเป็นครั้งแรกที่เรื่องเหยียบแข้งขากันของสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธุรกิจละแวกนี้ดึงสถานพยาบาลรักษาสัตว์เข้าไปเอี่ยว แต่อย่างไรเสียก็ปฏิเสธไม่ได้ ปลายสายจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ ส่งทีมผู้ช่วยสัตวแพทย์ นักศึกษาปีสุดท้ายและพนักงานที่คลินิกสามคนมาสมทบ โดยมีเจ้าของฟาร์มให้การต้อนรับทุกคนเป็นอย่างดี-------------------------------ระยะทางประมาณยี่สิบกว่ากิโลฯ จากฟาร์มไปโรงพยาบาลสัตว์เอกชน สัตวแพทย์หนุ่มขึ้นรถยนต์แล้วก็เอนเบาะนอนพริ้มตาปิดลงในความเงียบ ทิ้งหน้าที่คนขับรถให้ลูกสาวเจ้าของฟาร์ม นำเมอร์เซเดสเบนซ์ของเธอพาเขาไปยังจุดหมายอริสาเข้าใจว่าเขาคงอดนอนมาหลายวัน จากขอบตาดำคล้ำบนใบหน้าหล่อเหลาอิดโรย ดูโทรมลงไม่เหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อนที่พบกัน จึงกุมพวงมาลัยไปเงียบ ๆความเศร้าหมองในเบื้องลึกจิตใจของเธอที่ต้องสูญเสียม้าคู่ใจแทนที่ด้วยความรู้สึกยากอธิบาย แม้ว่ามันยังคงแฝงอยู่ราวหมอกเบาบ
หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นมองค้อนคนข้างกันก่อนกลับมามองทาง ดวงตาร้อนแรงที่จับจ้องมาอย่างเต็มไปด้วยเสน่หาพร้อมขนมจีบลูกใหญ่ทำให้ต้องอมยิ้มแก้มตุ่ย“ไม่รู้ค่ะ... ไม่คุยด้วยแล้ว” “ไม่คุยก็ไม่คุย...” เขายิ้ม แล้วจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ ถึงยังไงเขาก็ไม่ต้องการคำอนุญาตไม่นานก็มาถึงโรงพยาบาลสัตว์เอกชนในเมือง คุณหมอหนุ่มใช้เวลาไม่นาน นำยาปริมาณมากพอสำหรับม้าเจ็ดตัวคืออะโทรปิน ซัลเฟต เมื่อผลตรวจจากห้องแล็บออกมาตรงกับสารตัวง่าย ๆ ที่หาซื้อกันได้ทั่วไปคือยาฆ่าแมลง นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ม้าเด็กสุดในคอกล้มไปในระยะเวลาสั้น ๆ ทุกวินาทีมีค่ากับอีกเจ็ดชีวิตจากแปด คงเป็นเรื่องยากที่จะไม่โทษตัวเองว่ามันตายไปแล้วหนึ่งตัวเพราะเขาไปที่ฟาร์มช้าเกินไป ดวงหน้าแดงก่ำที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตายังติดอยู่ในหัว และถ้าหากว่าเป็นไปได้ เขาไม่อยากจะเห็นผู้หญิงคนนี้ต้องเศร้าใจอีก ถึงเธอจะจำเรื่องราวของคนผ่านทางอย่างเขาไม่ได้ก็ตามที...“ไอ้วิทย์! ไปสั่งคุณเกศให้ต้อนรับแขกดีๆ วันนี้มีบัสลงหลายคัน ฟาร์มข้างนอกน่ะ โชว์ อาหาร ให้พร้อม เพิ่มเวลคั่มดริ้ง ขนมจุกจิกอะไรได้ก็เอาให้ลูกค้าไป อย่าให้บริษัททัวร์ยกฉันอีกล่ะ” น้ำเสียงแก
เขาใหญ่แฟมิลี่แคมป์รีสอร์ตแอนด์ฟาร์มอยู่ในช่วงปิดทำการ หลังจากที่อริสาส่งข้อมูลกล้องวงจรปิดให้กับตำรวจฝ่ายคดียาเสพติดทำการสืบสวน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของทางฟาร์มว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับยาเสพติด นับว่าเธอรอบคอบพอตัวที่มีวิธีการสำรองหลักฐานทุกอณูพื้นที่ในความดูแล นอกจากกล้องวงจรปิดตัวหลักกว่าสิบตัวซึ่งถูกตัดสายทิ้งไม่มีเหลือ กล้องลับ ๆ พวกนี้ถูกซ่อนอยู่ในจุดอับต่อมอนิเตอร์ตรงกับห้องนอนสองพ่อลูกเจ้าของฟาร์ม ทางตำรวจจึงทำงานได้ง่ายขึ้น จะอย่างไร ปลาตัวเล็กกับลมปากซัดทอดว่าทำงานให้นายเมธพนธ์ ไม่มีหลักฐานมากพอจับกุมผู้มีอิทธิพลละแวกนี้ เขามีทรัพย์สินมากพอประมาณฟ้องกลับว่าตนบริสุทธิ์ หลักฐานทางแวดล้อมทั้งรอยนิ้วมือทั่วบริเวณเศษซากของกล้องวงจรปิดที่ถูกทุบ ยังสอดคล้องว่าเป็นฝีมือของพนักงานหนุ่มผู้ดูแลคลังสินค้าของรีสอร์ต ตัวผู้ต้องหาเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาก่อนเข้ามาทำงานที่นี่ ส่วนเรื่องม้าที่ล้มป่วยไปทั้งคอกนั้นพบว่าสารเคมีบางตัวที่มีฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบซึ่งพบในยาฆ่าแมลงเจือปนอยู่ในน้ำ โดยไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเป็นฝีมือใคร มันอาจเกิดข
“ว้าย!” ร่างบางเซถลาล้มลงก้นจ้ำเบ้า มือแปะพื้นหินอ่อนเย็นทรงตัวไว้ไม่ให้หงายฟาดไปข้างหลัง ขณะที่กางเกงเข้ารูปสีดำสนิทเปียกชุ่มไปทั่วเป็นวงกว้าง ใบหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธสะบัดมองเสียงหัวเราะเยาะ“ฮ่า ๆ น้องอริสซุ่มซ่ามจริง ๆ เหมือนตอนเป็นเด็กตัวอ้วนกลมเลย” เรียวปากบางเม้มเข้าหากันจนเหยียดตรง ทั้งเจ็บทั้งขายขี้หน้า เธอจำได้ว่าเคยลื่นล้มมาก่อนเพราะไอ้เด็กชายเตชิน! จากนั้นมันก็ยืนหัวเราะเธอซึ่งร้องไห้อยู่ครึ่งค่อนวัน“ร้องไห้สิครับ น้องอริส...” ไม่ขาดคำดี“ไอ้เต แกนี่มัน..!” ขวัญฤดีเบิกตากว้าง จิกปลายเล็บลงบนท่อนแขนเป็นล่ำสัน ออกแรงบิดจนร่างสูงตัวขดงอ ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ดังลั่นไปทั่วครัว พอได้เป็นอิสระจากนิ้วพิฆาต เตชินยกมือขึ้นลูบแขนแรง ๆ “เจ็บนะแม่...”“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง ไปช่วยน้องเดี๋ยวนี้...”“ไม่เป็นไรค่ะ” ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นจากพื้นว่องไว ฝืนยิ้มอย่างเต็มที่ให้สองแม่ลูก “หนูไปตามพ่อมากินข้าวก่อนนะคะ ป้าขวัญ”อริสายังมีความอดทนอยู่มาก ในเมื่อเธอได้พูดแล้วว่าไม่สนใจคือไม่ กระทั่งว่ายกปลายเท้าจากพื้นแฉะ ความเจ็บที่แล่นปร้าดตรงข้อเท้าทำให้ต้องกระย่องกระแย่งไป มีชายห
จะรออะไร... เธอน่ะได้กำไรเต็ม ๆ !คิดเท่านั้น วงหน้างามพริ้มพรายค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไปหาคนที่เอ่ยปากว่ารอ...เป็นเสี้ยววินาทีที่ดวงตาคู่เรียวคมไม่กะพริบสักครั้ง ยามเรียวปากอิ่มงามเคลือบด้วยลิปสติกสีสวยโทนอ่อนธรรมชาติเข้ามาใกล้ ๆ เชิญชวนให้ชิมชมเป็นเจ้าของดูว่าจะหอมหวานปานไหนทันใดนั้นเอง แรงกระแทกหนัก ๆ ของเท้าปุกปุยกลางอกแกร่ง ทำเอาเจ็บจุกจนหน้าตาเหยเก สองหนุ่มสาวถอยห่างจากกัน“โฮ่ง! โฮ่ง!” ส่งเสียงทักทาย ลิ้นเปียกชุ่มจึงเริ่มกวาดเลียวงหน้าหล่อเหลา ตามสัญชาติดิบเถื่อนของโกลเด้นรีทรีฟเวอร์วัยกลัดมัน“ที่รัก..! ลงมานี่ลูก อย่าแกล้งหมอไอ” ดุไปก็เท่านั้น วันนี้เจ้าที่รักคงเกิดอารมณ์คึกคะนองเป็นพิเศษ มันกำลังมีความสุขกับการละเลงหน้าหมออย่างเอ็นดู แม้ชายร่างกำยำจะยกมือปัดป้อง พยายามผลักมันออก มันกระโจนเท้าปุกปุยเข้าใส่อีกรอบ ก่อนคาบผ้าสีขาวสะอาดไปกัดเล่น วิ่งวนไปรอบ ๆ อย่างสนุกสนานสัตวแพทย์หนุ่มยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำลายเหนียวข้น มีเสียงหัวเราะอย่างไร้ความเกรงอกเกรงใจ“เป็นหมอหมาแท้ ๆ ทำหน้าเหมือนไม่เคยโดนหมาเลียหน้า”“ใครจะชอบล่ะ... ทั้งสกปรก แสบตา” บ่นหน้าแหยง กะพริบตาถี่ ๆ หลังน้ำลายสุนัขเ
รอยบุ๋มปรากฏบนแก้มขาวเนียนราวกระจกใสที่มีเคราเขียวครึ้มขึ้นแซมไล่ไปตามกรามแกร่ง ดวงตาสว่างใสเฝ้ามองทุกการกระทำแสนอบอุ่น นึกถึงคำพูดของเตชินขึ้นมา เธอว่าเธออาจต้องกลายเป็นหมาซะแล้ว“อืม... ฉันชักอิจฉาหมาที่คลินิกอาจารย์นิธิ ถ้าหมอจะมือเบาขนาดนี้ ใจดีอีกด้วย”“จะหมาหรือคน ถ้าผมพอจะช่วยอะไรพวกเขาได้ ผมให้ความช่วยเหลือทั้งนั้นแหละ” เอ่ยพลางคว้าผ้ามาพันยึดข้อเท้าไม่ให้มีการเคลื่อนไหวมาก เพื่อที่หญิงสาวจะได้เดินสะดวกขึ้น สัตวแพทย์อย่างเขาเพิ่งจะเคยพันข้อเท้าให้คนก็วันนี้ แม้อีกคนจะคิดอีกอย่าง“โดยเฉพาะสาว ๆ สวย ๆ หรือเปล่า?”“ก็ต้องดูก่อนว่าถูกใจไหม ผมไม่ได้ถูกใจใครง่าย ๆ เสียด้วยสิ... แต่ก็มีอยู่คน.. ขี้เมา บ้าปืน” เงียบไปในรอยยิ้มมีเลศนัย สำหรับไอศูรย์แล้วมันคงยากจะลืมมือนุ่มนิ่มซุกซนที่เขาเก็บไปฝันอยู่หลายครั้ง“ต้องเมาขนาดไหนกัน น้องชายผมถึงกลายเป็นสมิธแอนด์เวลสันไปได้” พูดแล้ววงหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นอีกครั้ง คล้ายจะเอาความกับคนเมาไม่รู้เรื่อง ซึ่งเธอคงจำมันไม่ได้แค่เดาออกได้ว่าปืนอะไร!“วันนั้นฉัน... เอ่อ ทำอะไรหมอหรือคะ?”เขาไม่ตอบเรื่องนั้นแต่ถามด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมจริงจัง “ค่าตัวผมจะได
“เรื่องมันผ่านมาตั้งนาน ฉันไม่รู้ค่ะ ไม่เห็นจะจำได้ มาทวงอะไรตอนนี้ล่ะ?” น้ำเสียงว่ารำคาญ ยามสบเสน่หาลึกซึ้งภายในแววตาเป็นประกายซึ่งสั่นคลอนจิตใจอยู่ไม่น้อยเหมือนจะนึกอะไรออก เรื่องปืนรุ่นโบราณ... ด้ามจับพอดีมืออุณหภูมิสูงลิบเห่อขึ้นบนใบหน้าร้อนผ่าว ภาพลาง ๆ ในความทรงจำ พร้อมด้วยน้ำเสียงของชายแปลกหน้า“อริส...” เขายิ้มแล้วปรับสีหน้าเข้มเครียด “เรื่องค่าจ้างน่ะ ผมล้อเล้น แต่แค่เอาปากแตะกันน่ะ... มันนับเป็นจูบไม่ได้ ผมนับเป็นค่าพันข้อเท้าให้ก็แล้วกัน”“มีใครเคยบอกไหมคะว่าหมอไอเป็นผู้ชายขี้งก ขี้ทวง เจ้าชู้ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้... อย่ามาหลอกแต๊ะอั๋งฉันอีกเชียวนะ” ว่าพลางมองค้อนวงโต สะบัดมือออกจากเสื้อที่เผลอกำไว้หลายนาน ขยับขาออกจากหน้าตักของเขาเพื่อวางพักเท้าไว้บนพื้นใบหน้าหล่อเหลาเป็นฝ่ายโน้มลงหา หยุดดวงตาคู่เรียวคมไว้เหนือปลายจมูกโด่งงาม เอ่ยทีละคำ “คนแรกนี่แหละ”จากนั้นเขาก็ก้มตัวลงหยิบรองเท้าแตะมาสวมให้ ระยะห่างที่ทิ้งไปอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว เธอดันนึกว่าเขาจะจูบ!ไม่สิ เขาจูบเป็นแต่มาขอให้เธอจูบ พอสบโอกาสเขาก็ควรจะดึงเธอเข้าไปจูบอย่างเร่าร้อนใช่ไหม...!?อริสาสะบัดหน้าพรืด ไม่รู้ว
“ลูก...?” เป็นคำถามแรกของอริสา ที่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดในวินาทีที่เธอไม่ควรพรวดพราดออกไปหาอันตรายอย่างนั้น ไอศูรย์พยักหน้าเบา ๆ พาความปลื้มปิติขึ้นในหัวใจ เรี่ยวแรงของเธอตอนนี้ทำได้แค่ยกมือข้างที่เต็มไปด้วยสายน้ำเกลือขึ้นสะกิดบ่าแกร่ง แม้ว่าอยากกอดเขาแน่น ๆ สักแค่ไหน “ฉันขอโทษ... พี่... เป็นห่วงฉันมากเลยใช่ไหม?” “ไม่เป็นไร... เราไม่เป็นไรพี่ก็ดีใจแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาเกรอะคราบน้ำตาผละออกมองดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษ เบียดตัวนั่งลงข้างเตียง กุมมือน้อยไว้แผ่วเบา ไม่ให้เธอได้รู้สึกถึงความเจ็บแม้สักนิดกับรอยเข็มบนนั้น “ไม่เป็นไรทำไมตาแดงคะ? กินข้าวหรือยัง ได้นอนบ้างหรือเปล่าเนี่ย?” เสียงพร่าของคนป่วยตัดพ้อ อริสาสัมผัสได้ถึงมืออันอบอุ่นของชายทั้งสอง ไม่ลืมหันไปทางอีกคนที่คงหวาดกลัวไม่ต่าง จากดวงตาแดงก่ำที่พายุความโศกเศร้าได้สงบลงไปสักพัก “ไม่เป็นไรแล้วนะลูกพ่อ” ใบหน้างามพริ้มระบายยิ้มจาง ๆ “หนูไม่เป็นไร... พ่ออย่าร้องไห้ เวลาพ่อร้องไห้ พ่อจะมองอะไรไม่เห็น...” แล้วเลื่อนสายตาไปทางชายที่ยังคงจ้องหน้าเธออยู่ไม่ห่าง ไม่ได้มองคน
กว่าสิบชั่วโมงที่ผ่านมาเขาไม่ต่างจากคนเสียสติ ในวินาทีที่อุ้มร่างโชกเลือดไปหาอาจารย์ในโรงพยาบาลสัตว์ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มใบหน้าอย่างที่ตัวเขาเองไม่เคยจะร้องไห้ให้ใครได้เท่านี้ แม้แต่ในวันที่แม่จากไป เขาเสียใจแต่ยังคงความเป็นบุรุษที่เข้มแข็งเช่นพ่อ รถพยาบาลที่มาได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่ละนาทีช่างยาวนาน ผู้ชายตัวโต ๆ อย่างเขาแค่นั่งสั่นอยู่ตรงนั้นไม่รับรู้สิ่งใดแม้เสียงเรียกของเพื่อนที่คอยให้กำลังใจอยู่ตลอด เขายังจินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าไม่ได้เห็นรอยยิ้ม ใบหน้าสวย ๆ ของผู้หญิงคนนี้อีกตลอดไป ชีวิตที่เหลือจะเป็นอย่างไร กับลูกที่ได้เห็นหน้าเพียงครั้งผ่านจอสีเทาดำ สิ่งมีชีวิตที่ทำให้เขารักแต่แรกพบเหมือนอริสา... ความหวังอันเบาบาง เด็กที่เกิดจากความรักของเขาและเธอยังรอปาฏิหาริย์ “พี่จะรีบกลับมานะ... เราไม่ต้องห่วงพี่ พี่จะดูแลตัวเอง...” ในน้ำเสียงและแววตาแสนอ่อนโยน มือหนาค่อยเลื่อนขึ้นปัดไรผมบนขมับอย่างที่เขาชอบทำ ก่อนจะหยัดกายลุกจากเก้าอี้ที่นั่งมานานนับชั่วโมง มองเปลือกตาที่ยังคงปิดอยู่อย่างนั้น ก่อนออกจากห้องไป ชายหนุ่มตั้งใจจะตรงกลับบ้าน
“ไหวไหมลุงชา?” ใบหน้าซีดขาวของชายวัยหกสิบขยับเบา ๆ มือกระชับอาวุธในมือไว้เหนือเข่า แม้เลือดโชกชุ่มกาย ตัวต้นเหตุของบาดแผลฉกรรจ์นั้นนอนอยู่ข้าง ๆ ถึงห้าตัว พวกมันสามารถมีน้ำหนักตัวสูงสุดได้ถึงหกสิบสองกิโลกรัม มีอุ้งเท้าอันใหญ่โต แรงกัดมหาศาลด้วยกรามอันทรงพลังยังออกล่าเป็นฝูง หมาป่าสีเทาเกรวูฟที่กำลังหิวโหยดุร้ายถูกลักลอบมากับรถบรรทุกไม่มีป้ายทะเบียน ไม่ไกลจากฟาร์มของพิภพมากนัก คำขอความช่วยเหลือของพลตำรวจเอกปรีชา ประจวบเหมาะพอดีกับหญิงสาวจะออกไปตามล่าหาเสือโคร่ง ดันได้รางวัลเป็นหมาป่าขย้ำคอคนแก่อยู่กับลูกปืนจากพวกลักลอบค้าของเถื่อน ปัง! ปัง! กระสุนแสกผ่านเหล็กหนา เมอร์เซเดสเบนซ์สีดำสนิทรุ่นกันกระสุนของท่านนายพลอยู่ในสภาพยับเยิน ผู้หมวดสาวในร่างชายหนุ่มยิงสวนกลับไปเพียงครั้ง ก่อนแนบหลังไว้กับที่กำบัง หันไปถามนายตำรวจใหญ่ “ท่านรองกำลังเสริมใกล้ถึงรึยัง? กระสุนจะหมด...” “อือ... ข้างหน้า...” แรงตอบเฮือกสุดท้ายของพลตำรวจเอกปรีชาที่เอนร่างลงนอนพักไหล่ของหญิงสาว สติพร่าเลือนเต็มที “ลุงชา ๆ !” เรียกเสียงดัง มือเรียวเขย่าบ
มือหนากำหมัดแน่นแม้จะมีแค่รีโมตในมือ แววตาวาวโรจน์สาดประกายไปยังรายการตลก ซึ่งเขาไม่มีอารมณ์จะดูมันเหมือนทุก ๆ วัน “ถ้าแกจะมาตอกย้ำฉันก็ไปเถอะ… ไปไหนก็ไป...” “โธ่… พ่อ… ไอ้เมธพนธ์มันโคตรร้ายเลยนะพ่อ หนูไม่ชอบมัน ทำไมพ่อต้องเป็นแบบนี้ด้วย หนูไม่เข้าใจ” พ่อที่พูดไม่รู้เรื่องยังดีกว่าคุณพ่อเซ็งโลก ทำหูทวนลม อริสาพยายามเซ้าซี้เรื่องเดิม ๆ อยู่อย่างนั้น ทว่าคงไม่มีคำตอบจากร่างสูงในสภาพอิดโรย ขอบตาดำคล้ำด้วยความที่คงนอนคิดอะไรหลาย ๆ อย่าง จนเธอถึงกับถอนหายใจเสียงดัง ยกมือขึ้นลูบบ่าลูบหลังปลอบประโลม “พ่ออกหักยังไงพ่อยังมีหนู หนูไม่ทิ้งพ่ออยู่แล้ว... พ่อเหนื่อย พ่อหยุดงานไปนะ ดูตลกดูหนัง หนูไปทำป๊อปคอร์นให้” พิภพยิ้มเจื่อน ไม่ได้ดีใจกับคำปลอบของลูกสาวเลย ในที่สุดเขาก็ต้องถาม “อะไรนะ? แกบอกว่าฉันอกหัก?” “ใช่... พ่ออกหักแน่นอน ถ้าพ่อยังนั่งอยู่แบบนี้นะ เอาจริง ๆ ถ้าหนูเป็นพ่อ หนูปล้ำน้องพายไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เสือโหยคาบไป ป่านนี้กินอิ่มท้องไปแล้วมั้ง เอาเถอะ...ไว้หนูแนะนำเพื่อนสาว ๆ สวย ๆ เอ๊าะ ๆ ให้พ่อใหม่ส
“เซ็นแล้ว... ผมมีของขวัญให้พี่สาวคุณด้วยนะ แต่ว่า... มันอยู่ในมือถือ ไม่รู้ว่าอยากดูไหม?” “คุณ... หมายความว่าไง?” ขณิกาหน้าชาวาบ เพียงชายตรงหน้าสลัดคราบเทพบุตรเป็นซาตานร้ายใช่... ตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมาขณิการู้ว่าถ้าเขาร้าย เขาจะร้ายได้แค่ไหน! “พี่ยักษ์ก็หมายความอย่างที่พูด ของขวัญให้คนรักไอ้พิภพอย่างน้องพาย อืม... แต่พี่ว่านะ มันรักลูกสาวกับเมียเก่าที่สุด ไม่มีเศษซากความรักเหลือเผื่อแผ่ให้ส่วนเกินหรอก” “คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะคุณเมฆ อย่าไปยุ่งกับพี่อริสเลย... ที่แล้วมาก็ให้แล้วกันไปเถอะนะ พายขอ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาเว้าวอน มือเรียวเอื้อมไปแตะลงบนท่อนแขนแกร่งที่สะบัดออกอย่างไม่ไยดี “อย่ามาแตะต้องตัวผม...” ท่าทางเย็นชาของเขาสั่นคลอนหัวใจอย่างรุนแรง ริมฝีปากคู่งามเม้มเข้าหากันจนเหยียดตรง ยามสบมองวงหน้าหล่อเหลาของคนที่เคยอบอุ่น อ่อนโยนกับเธอมาเสมอ “พี่สาวคุณก็ทำร้ายคนของผมนะอย่าลืม ที่เล่นอะไรแบบเด็ก ๆ น่ะ คุณเมฆไม่ทำ ผมเป็นคนเล่นใหญ่” “คุณเมฆ... คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย... คุยกับพายดี ๆ ได้ไหม
นายหัวฟาร์มม้าดูจะทำตัวหม่นหมองลงทุกวันจนคนรอบกายพลอยเครียดตาม สิ่งหนึ่งที่เธอชื่นชมขณิกาคือไม่หวั่นไหวไปกับผู้ชายมากคารมอย่างเมธพนธ์ที่ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ยังมีฐานะร่ำรวยกับธุรกิจสีเทาที่จับอยู่ ความเจ้าเล่ห์ของนายเมธพนธ์นับว่าเป็นตัวร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขณะที่อีกคนไม่ได้เข้าใจในความหมายของเธอเลย หันกลับไปทางภรรยาที่เสียชีวิตในวัยสามสิบเจ็ดปี “แกไม่รักแม่แกแล้วหรือ? อริส” หญิงสาวสะบัดศีรษะอย่างหัวเสีย และที่ว่าจะไม่พูดก็ไม่น่าไหว... “แม่ตายไปตั้งกี่ปีแล้วพ่อ นี่คือชีวิตของคนเป็น คนที่ต้องเอาใจใส่คือคนที่ยังอยู่ ไม่ใช่คนตาย” หัวใจหนุ่มใหญ่พลันกระตุกวาบกับคำพูดตรง ๆ ของลูกสาว เขาไม่เคยสนใจความสุขนั้นเลย ยังพยายามยัดเยียดความคิดให้ลูกแต่งงานกับเตชิน เพราะเป็นความต้องการของคนตาย... เพราะเขาเป็นฆาตกร... ยังไม่สามารถทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของภรรยาได้ ดวงตาคู่คมเอ่อคลอหยดน้ำใสกับทุกความรู้สึกผิดในอดีต เสียงทุ้มสั่นเครือ “มาไหว้แม่ก่อน” หน้าเจดีย์ที่มีกระเบื้องหลากสีใต้ร่มไม้ พ
“เจ้าหน้าที่จากกรมปศุฯ กำลังมา ผมตั้งไลน์กลุ่มใหม่มาสามกลุ่ม ให้ลูกศิษย์มาช่วย รุ่นไหนใครสมัครใจมาก็มา บางคนไปเช่าอพาร์ทเม้นต์ คอนโดฯ ไม่ไกล บางคนก็มาบ้านผม ตอนนี้เต็มมาก เพื่อน ๆ รุ่นหมอ ไปอยู่บ้านหมอละกันนะ” “ฮะ? อะไรนะ... ครับ? บ้านผม?” สีหน้าของเขาตกใจยิ่งกว่าเมื่อสักครู่ เพราะนอกจากเขาจะต้องทำงานล่วงเวลาซึ่งพอเข้าใจได้ แต่การต้องสละพื้นที่ในบ้าน... “ได้ยินว่าหมอเพิ่งซื้อบ้านใหม่นี่ หลังใหญ่กว่าบ้านผมอีก โครงการคฤหาสน์เหลือ ๆ ห้องเยอะแยะ” “อาจารย์ครับ... อาจารย์ออกจะกำไร ระดับผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์เอกชน มีคลินิกครบวงจร สัตว์เล็กใหญ่ เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงอีก ขนมหมาของใช้หมาแมวนี่ก็ขายดี๊ดี.. ผมไม่ได้ส่วนแบ่งสักบาท” ไอศูรย์ยิ้มเจื่อนประชดอย่างสุภาพ คุณหมอรุ่นใหญ่ก็ทำแบบเดียวกัน “บ้านหมอออกจะรวย ผมนี่สิลูกสี่ เดือนนี้ก็ยอดตก ตั้งแต่หมอมีเมียน่ะ” ตาคมสาดประกายวับใส่ลูกศิษย์ที่แค่ยกยิ้มตอบ “ผมมารักษาสัตว์นะครับ ไม่ได้มาเป็นเซลล์ขายของ ลูกอาจารย์โต ๆ หมดแล้ว ลูกผมยังว่ายน้ำอยู่ในท้องคุณแม่เลย” “จริงรึหมอ? ผมดีใจด้ว
“อาภพลืม ๆ เรื่องของผมกับอริสเถอะครับ น้าแก้วแค่เห็นว่าผมกับน้องน่ารักดี ไม่เห็นต้องไปคิดจริงจัง ผมไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรม ไปพรากคนรักกันมันบาปกรรม น้องพายเคยบอกผม” พิภพแค่ได้ยินชื่อคนรักเขาจึงได้สติกลับมา หยิบกล่องเล็ก ๆ สีแดงใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต วางลงบนโต๊ะเบา ๆ มันเคยเป็นของสำคัญที่สุดของเขาที่ดื้อรั้นมาจนสุดทาง คงไม่มีหวังอะไรอีก “ก่อนแก้วเสีย แก้วให้อาไว้ ให้อาให้เต อยากเอาไปทำอะไรก็ทำเถอะ...” เตชินหน้าตะลึงงัน กล่องกำมะหยี่สีแดงเก่า ๆ เบื้องหน้าสายตา เดาได้ไม่ยากเลยว่าข้างในเป็นอะไร และด้วยเหตุใดเจ้าของบ้านจึงกำชับนักหนาว่าเขาจะต้องมาในวันนี้ “อาขอไปคุยกับลูกก่อนนะ” ในสายตาอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้ายกับแหวนแต่งงานที่เขาให้กับอดีตภรรยาผู้ล่วงลับไปด้วยควันบุหรี่มือสองของเขาเอง พร้อมคำสั่งเสียซึ่งเขาไม่สามารถทำมันได้ ร่างสูงลุกไปทิ้งสองแม่ลูกไว้ “น้าแก้วนะน้าแก้ว... คนเขาวุ่นวายกันไปหมดเพราะแหวนน้าแก้ววงเดียวเนี่ย” คนบ่นคว้ากล่องมาเก็บไว้ลวก ๆ อย่างไม่พอใจ โครม! เสียงของหล่นกระจายจากที่ไหนสักแห่งใน
“นั่นอ่านหนังสืออะไร?” ไม่ทันได้คำตอบ แขกทั้งสองคนก็ปรากฏตัว ต่างคนยกมือไหว้กัน รวมถึงอริสาที่วางหนังสือลงประนมมือนอบน้อม “สวัสดีค่ะ ป้าขวัญ พี่เต” “สวัสดีจ้ะลูก เป็นไงบ้างน่ะเรา? ป้าไม่เจอหน้าเลยนะ” ขวัญฤดีแย้มยิ้มอย่างสดชื่น ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ กันกับลูกชายในฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของบ้าน “สบายดีค่ะ ป้าขวัญกับพี่เตสบายดีนะคะ?” “ก็ดีเนอะแม่ เรื่อย ๆ” เตชินแย่งตอบ ดีใจอยู่ที่ได้พบหน้ากันหลังไม่ได้พบกันนานนับเดือน ถึงจะยังงง ๆ อยู่ว่าทำไมเธอถึงได้ดูอารมณ์ดียังทักทายเขาก่อน “วันมะรืนนี้ ผมว่าจะไปทำบุญให้แก้วอีกรอบ พี่ขวัญว่างหรือเปล่า?” พิภพถามด้วยสีหน้าระรื่นความสุขที่ได้กลับมานั่งรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา ถึงจะคอยชะเง้อคอมองประตูหาหญิงสาวรุ่นลูกอีกคนหนึ่งว่าจะมาหาเขาไหม แต่ก็ไม่มีวี่แวว... “ช่วงบ่าย ๆ พี่ว่าน่าจะได้นะภพ พี่ไม่ได้ติดธุระอะไร อยากไปหาแก้วอยู่เหมือนกัน” ระหว่างที่ลูกสาวเจ้าของบ้านไม่อยู่ ขวัญฤดียังมาเยี่ยมเยียนบ้าง เว้นแต่เตชินที่ยุ่ง ๆ อยู่กับกิจการร้านทองธุรกิจครอบครัว พิภพนั้นไปอุดหนุน