หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็หยุดพูด อู๋อี้ไห่มองไปที่ริมฝีปากสีแดงที่ดูค่อนข้างผิดปกติของเธอ เขาเม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม “อีกอย่าง ถึงผมไปผมก็ช่วยคุณไม่ได้ ให้พวกคุณคุยกันเองไม่ดีกว่าหรอ?” ทันทีที่เขาพูดจบ อู๋อี้ไห่ก็ได้รับสายตาที่เยือกเย็นจากเสิ่นหยินอู้ “ผู้จัดการอู๋ ถ้าคุณไม่มีเรื่องอื่นแล้วก็ไปทำงานเถอะ” “จุ๊ๆๆ ตอนนี้ไม่อยากเจอหน้าผมจริงๆสินะ โอเค โอเค งั้นผมไปทำงานก่อนนะ” หลังจากที่ผู้จัดการอู๋จากไป เสิ่นหยินอู้ก็ยื่นมือออกมาหนีบหว่างคิ้วอย่างฉุนเฉียว ในที่สุดก็เอนไปด้านหลังและนอนลงโดยไม่ได้คิดเรื่องอะไรอีก - ขณะที่เสิ่นหยินอู้ไปรับเด็กๆ เธอก็ได้รับสายจากเฉียวลี่ซือพอดี ลี่ซือนัดเธอไปทานอาหารเย็นด้วยกัน เสิ่นหยินอู้ไม่มีเรื่องที่ต้องทำตอนเย็นพอดี ดังนั้นเธอจึงตอบตกลง “ฉันใกล้ถึงโรงเรียนแล้ว ฉันจะไปรับพวกเขาแล้วพาไปที่ห้างก่อน แล้วเธอค่อยมาหาเรา” "ได้" ห้างสรรพสินค้าในตอนกลางคืนมีผู้คนจำนวนมาก เมื่อเสิ่นหยินอู้เจอเฉียวลี่ซือ เฉียวลี่ซือก็กำลังเล่นกับรถบั๊มและถ่ายรูปกับเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียนอยู่พอดี เธอเดินไป เห็นเฉียวลี่ซือถ่ายรูปหลายรูป จากนั้นก็ตัดต่อเพื่ออ
แต่เฉียวลี่ซือยังไม่ทันสังเกต จึงสั่งอาหารอย่างเบิกบาน “เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงยังเด็กเกินไป ไม่ทานอาหารเผ็ดๆน่าจะดีกว่า แต่ฉันอยากกินเผ็ดๆ ถ้างั้นเราจะสั่งซุปหยวนหยางดีไหม” เฉียวลี่ซือพูดเป็นเวลานาน แต่กลับพบว่าไม่มีใครตอบเธอ ดังนั้นเธอจึงต้องเงยหน้าขึ้นมา จากนั้นก็พบว่าเสิ่นหยินอู้กำลังมองต่ำและจ้องมองหน้าหลักในโทรศัพท์มือถือของเธอด้วยสายตาที่ว่างเปล่าราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ “หยินอู้?” เฉียวลี่ซือจึงทำได้เพียงโบกมือตรงหน้าเธอ เสิ่นหยินอู้จึงได้สติกลับมา “คิดอะไรอยู่เหรอ? เรามากินข้าวกันแต่เธอก็ยังเหม่อลอยขนาดนั้น คงไม่ได้คิดเรื่องงานอยู่ใช่ไหม?” หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่เฉียวลี่ซือ เธอกัดริมฝีปากล่างของเธอเบาๆ ท่าทางเหมือนลังเลที่จะพูด “ขอโทษที เธอ...” “ขอโทษเรื่องอะไร” ลี่ซือยื่นมือออกมาลูบหัวของเธอ: “เธอกับฉันไม่จำเป็นต้องขอโทษกันด้วยซ้ำ ฉันแค่รู้สึกเสียใจที่เธอทำงานเหนื่อยมาก อย่าไปคิดเรื่องงานตอนกำลังจะกินข้าวสิ มีความสุขหน่อย” ก็ถูก การไม่คิดถึงเรื่องอื่นในขณะรับประทานอาหารคงจะดีกว่า หลังจากทานเสร็จแล้ว เธอค่อยถามเกี่ยวกับรูปโปรไฟล์ก็ได้ ยิ่
เมื่อได้ยิน รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็หายไปเล็กน้อย แต่เธอยังคงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "ก็ถูก แต่ฉันยังสงสัยอยู่นิดหน่อย ขอดูโทรศัพท์ของเธอได้ไหม?" เฉียวลี่ซือกระพริบตา จากนั้นจึงยิ้มด้วยความประหม่าและพูดว่า: "หยินอู้ มันไม่มีอะไรจริงๆนะ มันเป็นภาพซ้ำกันเฉยๆหรือเปล่า?"เสิ่นหยินอู้ไม่รู้สึกอะไรเลยในตอนแรก แต่เมื่อเธอเห็นเฉียวลี่ซือกำโทรศัพท์ของเธอไว้แน่นและไม่แม้แต่จะให้เธอดูแม้แต่นิด เธอก็เริ่มรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย แม้ว่ามันจะไม่สุภาพที่จะขอดูโทรศัพท์มือถือของคนอื่น แต่ความสัมพันธ์ช่วงก่อนหน้านี้ของเธอกับเฉียวลี่ซือนั้นสนิทกันมากจนสามารถดูโทรศัพท์ของกันและกันได้ ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปไกลเลย ตอนก่อนหน้านี้ที่ลี่ซือพยายามอย่างเต็มที่ที่จะจับคู่เธอกับโม่ไป๋ เมื่อโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น เฉียวลี่ซือก็จะฉกมันไปเสมอ “ขอดูหน่อย ขอดูหน่อย โม่ไป๋ส่งข้อความมาหาเธออีกแล้วสิ โอ้โห จริงๆด้วย เดี๋ยวฉันตอบให้นะ” จากนั้นเธอก็ใช้โทรศัพท์ของเสิ่นหยินอู้ส่งข้อความสั้นๆหวานๆไปให้โม่ไป๋ เนื่องจากมันเกิดขึ้นหลายครั้ง เมื่อโม่ไป๋เห็นข้อความสั้นๆเช่นนั้น เขาก็รู้ว่าเฉียวลี่ซือเป็นคนส่ง แต่ก
หลังจากพูดจบ เฉียวลี่ซือก็ยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้ราวกับว่าเธอไม่กลัวอะไรทั้งนั้น "ดูเถอะ" เสิ่นหยินอู้ตกใจ เธอคาดไม่ถึงว่าเธอจะเปลี่ยนใจในตอนที่เธอกำลังจะเดินจากไป เธอมองไปที่เฉียวลี่ซือด้วยความประหลาดใจ “จริง แล้ว...ถ้าเธอไม่สะดวก ฉันก็จะไม่บังคับเธอ” “มันไม่ได้ไม่สะดวก” ลี่ซือกัดฟันแล้วพูดว่า “เมื่อก่อนฉันก็ดูโทรศัพท์ของเธอออกจะบ่อยไม่ใช่เหรอ? เธอจะดูของฉันมันก็ปกตินี่ ถ้าฉันดูต้องเธอแล้วไม่ให้เธอดูของฉัน มันก็ไม่สมเหตุสมผลไม่ใช่เหรอ? เธอเอาไปดูเถอะ” หลังจากพูดจบ ลี่ซือก็ยัดโทรศัพท์เข้าไปในมือของเสิ่นหยินอู้เสิ่นหยินอู้ถือโทรศัพท์ มุมปากของเธอก็ยกขึ้นช้าๆ "ขอบคุณนะลี่ซือ" หลังจากนั้นเธอก็ให้เฉียวลี่ซือปลดล็อกโทรศัพท์ให้เธอ และก่อนที่จะวางลายนิ้วมือบนมือลงบนปุ่มกด เฉียวลี่ซือรู้สึกร้อนใจเล็กน้อยจึงตัดสินใจสารภาพก่อน “ฉันอยากอธิบายให้เธอฟังก่อน ช่วงที่ผ่านมาฉันเพิ่มเพื่อนคนในร้านเหล้ามาหนึ่งคน คนที่เธอรู้จักคนนั้น คนที่ฉันเคยบอกเธอ” เมื่อได้ยิน หัวใจของเสิ่นหยินอู้ก็เต้นผิดจังหวะไป เพิ่มเพื่อนแค่ฉินเย่เท่านั้นเหรอ? งั้นโปรฟายล์นั้น... “ไม่มีใครอีกแล้วเหรอ?”
หลังจากได้ยิน ทันใดนั้นเสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้น ไม่กล้าพลาดรายละเอียดใดๆไป “มิน่าล่ะอะไรหรอ?” “ฉัน…” ลี่ซือกัดริมฝีปากล่างของเธอ ท่าทางดูกระอักกระอ่วน: “ก่อนหน้านี้มีช่วงที่เธอทิ้งเด็กๆไว้ให้ฉันดูแลใช่ไหม? เพราะเธอต้องไปจัดการธุระ” “ใช่ แล้วไงต่อ?” “หลังจากนั้นฉันก็ถ่ายรูปลงใน Moments แล้วคุณผู้ชายฉินก็เห็นเข้า แล้วเขาก็โทรหาฉัน” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็สูดหายใจเข้าและรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะปรากฎออกมา ใบหน้าของเธอขาวซีดและยืนขาสั่นเล็กน้อย “โทรหาเธอ แล้วไงต่อ? เขาถามอะไร?” “เขาถามเกี่ยวกับเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียน ตอนนั้นฉัน...ฉันคิดว่าเขาเป็นแฟนคลับของเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียน ฉันเลยบอกเขาไปทุกอย่างโดยไม่ได้คิดอะไรมาก ฉันขอโทษนะหยินอู้ แล้วก็มีเรื่องที่เกี่ยวกับเธอที่ฉันบอกเขาไป.. ฉันไม่รู้จริงๆว่ามันจะเป็นแบบนี้” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉียวลี่ซือรู้สึกสับสนมากจนเธอเอานิ้วจิ้มกันราวกับว่าเธอรู้สึกว่าเธอทำผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีกล่ะ? บางที ฉินเย่คงรู้ทุกอย่างที่เธอปิดบังไว้อย่างชัดเจนแล้ว ตอนที่เธอไปเจอกับลุงเ
“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” อาจเป็นเพราะเธอเหม่อและเงียบมานานเกินไป เด็กน้อยทั้งสองจึงสังเกตเห็นได้ลางๆว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อเธอหันกลับมา เธอก็เห็นเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนเงยหน้ามองเธอด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปาก เธอฝืนยิ้มหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ หม่ามี๊แค่กำลังคิดเรื่องงานอยู่ก็แค่นั้นเอง” เสิ่นเหมิงเหมิงค่อนข้างใสซื่อ หลังจากได้ยินคำพูดดังกล่าว เธอก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีก อย่างไรก็ตามเสิ่นซือเหนียนไม่ได้พูดอะไร สีหน้าของเขายังคงเป็นกังวลอยู่ “หม่ามี๊ ไม่ต้องคิดแล้วค่ะ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานแล้ว” เสิ่นเหมิงเหมิงยืนขึ้นมากอดแขนของเธอแล้วพูดอย่างนุ่มนวล “อืม หม่ามี๊เข้าใจแล้ว งั้นหม่ามี๊มีเรื่องจะถามลูกๆ ได้ไหมจ๊ะ?” เสิ่นเหมิงเหมิงพยักหน้า “วันนี้ตอนเที่ยง ลุงเย่มู่ได้ไปที่โรงเรียนหรือเปล่า?” หลังจากได้ยิน เด็กน้อยทั้งสองก็ส่ายหัวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “เมื่อวานกับเมื่อวานซืนไป แต่วันนี้ไม่ได้ไปเหรอ?” “ใช่ค่ะ” เฉินเหมิงเหมิงพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู: “เย่าเย่าบอกว่าลุงของเขาอาจจะยุ่งอยู่กับ
หลังจากที่ทั้งสองพูดจบแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นคร่าวๆ เธอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นยื่นมือออกไปบีบจมูกของเสิ่นเหมิงเหมิง “ทำไมลูกถึงซื่อบื้อขนาดนี้เนี่ย? เขาแค่ทำดีนิดๆหน่อยๆกับลูก ลูกก็อยากให้เขามาเป็นพ่อของลูกแล้วหรอ? ก่อนหน้านี้หม่ามี๊เคยสอนหนูแล้วไม่ใช่หรอว่าอย่าไปเชื่อใจคนแปลกหน้า?” "อื้อ" เสิ่นเหมิงเหมิงปิดจมูกของเธอแล้วพูดอย่างออดอ้อน: "แต่ว่าหม่ามี๊คะ เหมิงเหมิงคิดว่าลุงเย่มู่ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แล้วเหมิงเหมิงก็ชอบเขามาก" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็อึ้งไป "ลูกชอบเขาหรอ?" "ใช่ค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงพยักหน้าอย่างแรง: "ความรู้สึกที่ออกมาจากตัวของลุงเย่มู่เป็นความรู้สึกที่เหมือนพ่อ หม่ามี๊คะ ให้ลุงเย่มู่เป็นพ่อของเหมิงเหมิงกับพี่ได้ไหมคะ? พี่ชายก็ชอบลุงเย่มู่เหมือนกันนะ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่เสิ่นซือเหนียน เมื่อสบตากับเธอ สายตาของเหนียนเหนียนก็เริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย เขาหลบตาเธอ “เหนียนเหนียน?” “ไม่ ไม่ครับหม่ามี๊ เหนียนเหนียนไม่ ไม่ชอบลุงเย่มู่” เธอเฝ้าดูเด็กน้อยสองคนเติบโต เสิ่นหยินอู้รู้ดีที่สุดว่าพวกเขามีนิสัยเป็นเ
วันถัดมา เสิ่นหยินอู้ไปส่งลูกสองคนไปโรงเรียนตามปกติ โดยแสร้งทำเป็นว่าเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น เธอกลับมาที่บริษัทหลังจากส่งลูกๆเสร็จแล้ว หลังจากมาถึงบริษัท ฉันก็ได้รับข้อความจากเฉียวลี่ซือ “หยินอู้ เมื่อคืนเธอไม่เป็นไรจริงๆนะ?” แม้ว่าเมื่อคืนต่างฝ่ายต่างจะแจ้งให้ทราบว่าพวกเธอกลับถึงบ้านโดยปลอดภัย แต่เฉียวลี่ซือก็นึกถึงสีหน้าของเธอเมื่อคืนนี้จึงตัดสินใจถามอีกครั้ง "ไม่เป็นไร เธอไม่ต้องห่วง" “จริงเหรอ? แต่เธอดู...” เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจเบาๆ: "ไม่เป็นไรจริงๆ แค่มีเรื่องที่ต้องจัดการน่ะ ถ้าฉันจัดการเสร็จแล้ว ฉันจะบอกทุกอย่างให้เธอรู้" “ก็ได้ ฉันจะรอให้เธอจัดการให้เสร็จ เธอต้องบอกฉันทันทีนะ ไม่อนุญาตให้บอกชวงชวงก่อน” ประโยคสุดท้ายทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ “เข้าใจแล้ว ฉันจะบอกพวกเธอสองคนให้เร็วที่สุด ถึงตอนนั้นก็โทรกลุ่มนะ โอเคไหม?” "อืมอืม" เฉียวลี่ซือวางสายไปด้วยความพึงพอใจ หลังจากวางสาย เสิ่นหยินอู้ก็ยกมือขึ้นมาดูเวลา ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาเที่ยง แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะรีบร้อนในตอนนี้ แต่เสิ่นหยินอู้พยายาม
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง
อารมณ์ของเธอในเที่ยวบินขากลับแตกต่างไปจากในตอนขามาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีก็คือการที่ไม่ว่าจะเป็นขามาหรือขากลับ ลูกๆทั้งสองคนของเธอก็ล้วนอยู่ข้างกายเธอ หลังจากที่หลี่มู่ถิงได้รับข้อความจากฉินเย่ เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆสองคนให้คุณพ่อคุณแม่ฉินฟังก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ฉินรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ตกใจและเงียบไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็พูดว่า "เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ เที่ยวบินของพวกคุณคือเที่ยวไหน เดี๋ยวถึงแล้วเราจะไปรับ" หลังจากที่หลี่มู่ถิงบอกเสิ่นหยินอู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ฉินบอกมา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ได้เจอพวกเขามานานแล้ว เมื่อนึกถึงห้าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอจากไป เธอจึงไม่รู้ว่าจะทักทายพวกเขาได้อย่างไรเมื่อต้องพบกันอีกครั้ง หลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาทำได้เพียงคาดเดาจากการดูสีหน้าของเธอเท่านั้น เมื่อเห็นเธอดูไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงถามด้วยท่าทีระมัดระวัง: "คุณหนูเสิ่น ประธานฉินบอกผมว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือกังวลอะไร คุณบอกผมได้เสมอ และเรื่องนี้ก็สามารถล้มเลิก
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา