เมื่อได้ยินประโยคนั้น ซาบรีน่ารู้สึกแอบอิจฉาผู้หญิงที่เขากำลังจะออกเดทด้วยขึ้นมาทันที นึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจว่าคริสโตเฟอร์จะไปไหนมันก็เรื่องของเขา ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอเลยด้วยซ้ำ ทำไมต้องถาม ไม่เห็นจะต้องอยากรู้เรื่องของเขา “เธอเคยออกเดทไหม?” คริสโตเฟอร์ถามทั้งที่สายตาของเขาไม่ได้มองเธอ ห่วงแต่จัดทรงผมด้วยน้ำมันชโลมผมที่ถืออยู่ในมือ จากนั้นก็หรี่ตามองตัวเองในกระจก“ไม่เคยค่ะ” ซาบรีน่าตอบที่เขาถาม อดคิดไม่ได้ว่าเขาถามเพราะอยากรู้จริงๆ? หรือถามเพราะอยากชวนเธอคุย? “อะไรนะ…ฉันหูฟาดไปใช่ไหม เธอบอกว่าไม่เคยออกเดท?” คริสโตเฟอร์หันมาขมวดคิ้วเหมือนไม่เชื่อจากนั้นก็กวาดสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนจะกล่าวประโยคที่ทำให้หัวใจของซาบรีน่าพองโตขึ้นขึ้นในทันทีทันใด “จะว่าไป…เธอก็สวยนี่นา...ไม่น่าเชื่อว่าไม่เคยมีใครขอเดท” “.....”ซาบรีน่าได้แต่นิ่ง หน้าแดง หัวใจเต้นแรง แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร แอบปลื้มกับคำชมที่ได้ยินที่ผ่านมาซาบรีน่าแทบไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่ไหน เพราะฟาร์มที่เธออาศัยอยู่ก็ไกลกันมากกับตัวเมืองและตลาด เมื่อตอนที่เธอยังเป็นเด็
“ขอโทษค่ะ…เจ็บหรือคะ” เธอชะงัก นึกใจในว่าตอนต่อยกันกลับไม่เจ็บ แต่พอได้แผลแล้วทำสำออย“มือหนักเหมือนกันนะเรา” เขาว่าซาบรีน่าค่อยๆคลึงเนื้อยาลงเบาๆอีกครั้ง จากจุดเล็กๆ ลามเป็นวงกว้างไปทั่วรอยช้ำ รู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนในร่างกายของเขา“เจ็บไหมคะ” น้ำเสียงเธอห่วงใย“แบบนั้นแหละ…กำลังดี” เขาหมายถึงน้ำหนักมือ คงเป็นเพราะเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ปลายจมูกของเธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่จับอยู่ตามเนื้อตัวของเขา ปะปนอยู่กับกลิ่นน้ำมันใส่ผมจางๆ หอมจับใจ “ขอบใจมาก” กล่าวจบเขาก็คว้าเสื้อขึ้นมาสวม ส่งสายตาบอกเธอเป็นนัยว่าเธอควรจะไปได้แล้ว เขาจะได้สวมเสื้อผ้าได้สะดวกขึ้น“ฉันไปนะคะ…” เธอรู้ว่าหมดธุระของเธอแล้ว“อืม…” เขาพยักหน้า รอยยิ้มน้อยๆประดับอยู่ตรงริมฝีปากบางซาบรีน่าก้าวออกมาจากห้องด้วยหัวใจที่เต้นระทึก นึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ ที่ไม่รู้จักควบคุมจิตใจ ปล่อยให้อารมณ์ก่อตัวขึ้นจนฟุ้งซ่าน แอบฝันหวานอยู่ฝ่ายเดียว พร่ำบอกกับตัวเองซ้ำๆว่าเธอควรจะจดจำใส่กะโหลกเอาไว้ว่าคริสโตเฟอร์ไม่ใช่ผู้ชายที่เธอควรหมายปอง มีความแตกต่างและช่องว่างมากมายให้พิจารณา ที่สำคัญ…เขามีนางในดวงใจอยู่แล
“มันเป็นความประสงค์ของคุณโจนาธาน…แล้วอีกอย่าง จากนี้ไปเธอกับแม่ก็ไม่ต้องทำงานบ้าน นับจากนี้ฐานะของเธอกับแม่ไม่ใช่คนรับใช้อีกต่อไป”“คุณโจนาธานช่างกรุณา” หญิงสาวออกอาการดีใจจนบอกไม่ถูกที่ห้องรับแขกภายในคฤหาสน์บ่ายของวันนั้น ซาบรีน่าถูกตามตัวให้มาพบอีกครั้งในห้องรับแขก เมื่อมาถึง ก็พบว่าโซเฟียและโจนาธานนั่งยิ้มร่าอยู่เคียงกัน รอเธออยู่ที่เก้ารับแขกชุดใหญ่ บุด้วยกำมะหยี่เนื้อดี สีแดงเลือดนกซาบรีน่ารู้สึกแปลกใจกับหลายๆอย่างในชีวิต ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ทว่าก็ยังเก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจ ได้แต่รอโอกาสเหมาะที่จะถามกับโซเฟียผู้เป็นแม่“ลุงโจนาธานจะพาแม่กับหนูไปตัดเสื้อผ้าที่ในเมือง”เป็นประโยคแรกที่โซเฟียกล่าวเมื่อเจอหน้าลูกสาว นับเป็นอีกความประหลาดใจของเช้านี้“ดัดเสื้อผ้าหรือคะ” ซาบรีน่าตาวาว“ใช่…ลุงจะพาไปซื้อข้าวของที่หนูกับแม่อยากได้” โจนาธานสำทับสิ่งที่โซเฟียกล่าวเอาไว้ ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มซาบรีน่าสังเกตเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขของแม่ รอยหม่นในดวงตาที่เคยซุกซ่อนความเศร้าอยู่เป็นประจำคู่นั้น ได้อันตรธานไปแล้ว ที่เห็นอยู่ตรงหน้า คือดวงตาที่ฉายแววความสุขพร่างพราย มีหยาดแววชีวิตกลอกป
“ฉันรู้มาว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้…หล่อนเพิ่งไปสมัครเป็นนางระบำเปลือยที่บาร์เหล้าของปีเตอร์”เป็นเสียงจากลูกค้าในร้านอีกคนที่สำทับขึ้นมาเพราะความคะนองปาก และเรื่องนี้ก็รู้ไปถึงหูของคริสโตเฟอร์ที่แวะมาหาแซนดร้าในเย็นวันนั้น“ต๊าย!...น่าอายจริงๆ” ซินเทียผู้เป็นแม่ของแซนดร้า อุทานด้วยความตกใจ“ไม่คิดว่าโจนาธานจะตาต่ำเอาผู้หญิงน่ารังเกียจคนนี้มาเป็นนางบำเรอ” หญิงวัยกลางคนที่กำลังเลือกลูกไม้ หันมาสาดความเห็นลงในวงสนทนาอย่างสนุกปากและเย็นวันนั้นเอง ทันทีที่แซนดร้าเจอหน้าคริสโตเฟอร์ที่แวะมาหา เธอรีบเล่าเรื่องที่ได้รู้มาในทันที “ฉันได้ยินผู้คนพูดถึงคุณพ่อของคุณในทางเสียหาย”เป็นประโยคที่แซนดร้าตัดสินใจอยู่นานว่าควรจะบอกกับคริสโตเฟอร์ดีหรือไม่ ใจจริงเธอไม่อยากบอก ทว่าซินเทียแม่ของเธอคะยั้นคะยอว่าควรบอก“อะไรนะ!...” คริสโตเฟอร์ตกใจ ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินว่า ‘โซเฟียคืออดีตนางระบำเปลือยแห่งบาร์เหล้า’ชายหนุ่มนึกตำหนิโจนาธานผู้เป็นพ่ออยู่ในใจ ไม่คิดว่าจะหลงใหลโซเฟียถึงขั้นพามาตัดเสื้อผ้า ออกหน้าออกตาโดยไม่สนใจคำครหานินทาของผู้คนรอบข้างเขายอมไม่ได้ ถ้าโจนาธานจะยกย่องโซเฟียขึ้นเชิดหน้าชูตา ทัดเทีย
“แต่สิ่งที่แกเพิ่งพูดออกมา นั่นแหละ! ที่เรียกว่ากำลังก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของพ่อ” โจนาธานย้อน ปรามด้วยน้ำเสียงและสายตา เตือนให้ลูกชายได้คิด“แต่…” คริสโตเฟอร์ขยับริมฝีปากจะพูด ทว่าไม่ทันที่จะกล่าวอะไร โจนาธานก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน“ที่ผ่านมา พ่อทำเพื่อแก ทำเพื่อครอบครัวมามาก อะไรที่เป็นความสุขของพ่อ แกจะใจแคบถึงกับให้ไม่ได้เชียวหรือ?”ถ้อยคำนั้นถึงกับทำให้คริสโตเฟอร์อึ้ง“ผม…” น้ำเสียงของคริสโตเฟอร์รู้สึกผิดต่อโจนาธานผู้เป็นพ่อขึ้นมาทันทีเขาไม่ควรโผงพางจนลืมใคร่ครวญว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อของตนก็ไม่เคยมีความประพฤติเสื่อมเสียในเรื่องผู้หญิง แม้จะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเขามาบ้างในเรื่องความเจ้าชู้ ทว่านั่นก็นานมาแล้ว เป็นเรื่องในอดีต เมื่อครั้งที่โจนาธานยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ แต่ภายหลังจากที่ผู้เป็นมารดาจากไป โจนาธานแทบจะอุทิศเวลาทั้งหมดของชีวิตให้กับงานมากมายที่ต้องรับผิดชอบดูแล คำพูดของคนเป็นพ่อ ทำให้คริสโตเฟอร์ต้องกลับมาคิดใหม่ ตัวเขาเสียอีก ที่ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่ยอมโต ทั้งที่เรียนจบแล้ว วัยก็สมควรแก่การแบ่งเบาภาระการงานของโจนาธานซึ่งเหนื่อยมามากจากนั้นโจนาธานก็เล่าเรื่องที่ตนถูกลอบ
กล่าวจบเขาก็คว้าข้อมือของเธอ พยายามจะเอาตัวออกไปจากตรงนั้น“ปล่อยนะ!” ซาบรีน่าสะบัดแรงอีกครั้ง ทว่าไม่ได้ก้าวออกไปจากงานเลี้ยงคริสโตเฟอร์กัดฟัน รู้สึกไม่พอใจเมื่อเธอกล้าดื้อรั้นกับเขา“นั่นเธอจะไปไหน?” เขากดน้ำเสียงด้วยความโกรธ“ไปในทีที่มีคนต้องการฉัน…กรุณาอย่ามายุ่ง เอาเวลาไปดูแลผู้หญิงของคุณเถอะ”“มากไปแล้วซาบรีน่า” เขาถลึงตาใส่เธอ ทว่าหญิงสาวไม่สนใจ เธอปรายตามองเขา จากนั้นก็สะบัดสะโพกจากไปอย่างไม่ใยดี ก้าวตรงไปยังโต๊ะซึ่งแลเห็นบรรดาหนุ่มๆกำลังล้อมวงกันอยู่มาร์ครีบเปิดทางให้เธอเข้าไปทรุดร่างลงนั่งในทันที พร้อมกับรีบแนะนำตัวเองตัดหน้าเพื่อนคนอื่นๆ“มาร์คครับ”“ซาบรีน่าค่ะ” เธอกล่าวพร้อมกับสับขาไขว่ห้าง ทำท่าทางก๋ากั่น จับมือทักทายกับมาร์คเป็นคนแรก จากนั้นก็ยื่นมือไปรอบๆวง แซนดร้าหันไปซุบซิบกับเพื่อนสาวถึงที่ไปที่มาของซาบรีน่า จากนั้นพวกผู้หญิงก็มองเธอด้วยสายตาเหยียดต่ำคริสโตเฟอร์รู้สึกโกรธที่ซาบรีน่าทำเหมือนไม่ให้เกียรติเขาซาบรีน่าชนแก้วกับเพื่อนชายของคริสโตเฟอร์จนครบทุกคน สายตาของมาร์คจับจ้องมองซาบรีน่าไม่วางตา มาร์คต่อว่าเบาๆ เมื่อเดินเฉียดแผ่นหลังกว้างของคริสโตเฟอร์ ระหว่างที
ซาบรีน่านึกขอบคุณสุราที่ช่วยกระตุ้นความกล้าขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด หารู้ไม่ว่าคริสโตเฟอร์กำลังลดคุณค่าของเธอลงเรื่อยๆ จากสิ่งที่ซาบรีน่ากำลังทำ และมันกำลังจะกลายเป็นความเกลียดชังไปในที่สุดคริสโตเฟอร์ไม่รู้เลยว่าการที่ซาบรีน่าแสดงอาการเหมือนคนขาดความอบอุ่น แสวงหาความรักจากคนรอบข้างอยู่นั้น ที่จริงแล้วเธอต้องการเอาชนะเขา เรียกร้องความสนใจจากเขา“จะดีกว่าไหม…ถ้าเราแยกไปหาที่ส่วนตัวคุยกัน”มาร์คชวน มองเสี้ยวหน้าบางส่วนของซาบรีน่าที่สะท้อนอยู่ในแสงไฟสลัว นัยน์ตาสีฟ้าส่องประกายสุกใสกว่าดวงดาว ริมฝีปากอิ่มที่เขาเพิ่งได้ชิมเมื่อสักครู่ ยืนยันแล้วว่ามันหอมหวานเพียงใด ซาบรีน่ายิ้มให้มาร์ค แววตาเย้ายวนลอบชำเลืองไปทางคริสโตเฟอร์เป็นระยะๆ มีหลายครั้งที่สายตาของซาบรีน่าและคริสโตเฟอร์ปะทะกันเข้าโดยบังเอิญ“ตรงไหนดีล่ะคะ” ซาบรีน่าถามออกมาเสียงดัง จงใจให้คริสโตเฟอร์ได้ยินมาร์คหัวใจเต้นระรัวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นรวดเร็วจนน่าแปลกใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปรั้งสะโพกของซาบรีน่า แยกเธอออกจากหมู่เพื่อน เหมือนรู้ว่ามีความน่าค้นหาอื่นรออยู่ข้างหน้า ในที่ลับตาซึ่งมีเพียงเธอและเขา“ดูนั่นสิคะ…” แซนดร้าสะกิ
มาร์คคุยโวออกไปทันที ไม่กล้าปริปากบอกความจริงเพราะกลัวเสียหน้าว่าโดนแตะผ่าหมากจนหมดท่า ทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรหล่อนเลยด้วยซ้ำทว่ามันก็เป็นความภาคภูมิลึกๆในใจของผู้ชายอย่างมาร์ค แม้มันจะเป็นการโกหก ว่าเขาสามารถพิชิตสวาทหญิงสาวที่บรรดาเพื่อนชายต่างให้ความสนใจคำพูดของมาร์คเรียกเสียงฮาลั่นขึ้นกลางวงเหล้า หารู้ไม่ว่าที่ชั้นสองของคฤหาสน์ ผู้หญิงคนหนึ่งเพิ่งทิ้งร่างลงบนเตียงนอนทั้งใบหน้านองน้ำตา ซาบรีน่าพยายามเช็ดสัมผัสอันน่าขยะแขยงที่มาร์คฝากเอาไว้ เช็ดคราบลิปสติกเลือนๆที่ริมฝีปากหลังจากทำใจกล้า แลกจูบกับคนที่ไม่รักอย่างดูดดื่ม ไม่มีใครรู้หรอกว่าในวินาทีที่ต้องจูบกับมาร์ค เธอแทบกลั้นใจกับความขยะแขยง นึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจว่าเธอคงบ้าไปแล้ว แค่เรียกร้องความสนใจจากผู้ชายคนหนึ่ง…เธอต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือนานเท่าไรไม่รู้ ที่หญิงสาวหลับไปทั้งน้ำตา มารู้ตัวอีกทีเมื่อร่างหนักอึ้งของใครบางคนโถมทับมาที่ตัวเธอ “อื้อ…!!.”หญิงสาวดิ้นรน ทว่าริมฝีปากที่ขยับจะร้องหาอิสรภาพ กลับถูกฝ่ามือใหญ่ทาบสนิท กักกั้นเสียงร้องของเธอเอาไว้ เสียงจึงอู้อี้ อื้ออึง อยู่ในลำคอซาบรีน่าพยายามกระเสือกร่างหนี
“ดึกดื่นป่านนี้ คุณหนูจะไปไหนครับ” คนรับใช้ถามด้วยความแปลกใจ“ไปบ้านของจอร์จ…เร็ว! แล้วอย่าถามอะไรมาก”จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนออกไปด้วยความรวดเร็ว เสียงเท้าของแซนดร้าที่วิ่งลงบันไดบ้านไปเมื่อครู่ เสียงเฟืองและล้อรถม้าที่เสียดสีกับพื้นกรวดจากการออกตัวด้วยความเร็ว ดังขึ้นไปถึงชั้นบนของบ้าน โทนี่และซินเทียที่กำลังวิวาทะกันอยู่ในขณะนั้น รีบชะโงกหน้าออกมามอง“แซนดร้า…นั่นลูกจะไปไหน”ด้วยความตกใจ ซินเทียตะโกนไล่หลังรถม้าที่กำลังจะพาร่างของแซนดร้าหายลับไปในราตรีกาลอันมืดมิดจอร์จส่ายหน้า…น้ำตาซึม นึกตำหนิในอารมณ์ชั่ววูบของตนเอง ถ้าแซนดร้าเป็นอะไรไป เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นอันขาดสองเดือนผ่านไป“ช่างเป็นชุดแต่งงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด…” ซาบรีน่าซึ่งอยู่ในชุดวิวาห์ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม รำพึงออกมาลอยๆ มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก “เธอตะหากที่สมบูรณ์แบบ…ไม่ใช่ชุดแต่งงานสักหน่อย”คริสโตเฟอร์ในชุดเจ้าบ่าวสีเทาขรึม ก้าวเข้ามาใกล้ ทาบร่างกายกำยำใหญ่เอาไว้ที่ด้านหลังของซาบรีน่า กอดและก้มกระซิบเบาๆที่หลังใบหูเพียงปีแรกหลังแต่งงาน ทั้งสองก็ได้ทายาทเป็นลูกชายไว้สืบสกุล และอีกปีถัด
โทนี่ถอดหมวก ถอดเสื้อโค้ทสีดำออกช้าๆ แขวนไว้ที่หลังประตูแล้วก้าวขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านโดยไม่ลืมมองไปที่ห้องนอนของแซนดร้าผู้เป็นลูกสาว พบว่าเธอไม่อยู่ จำได้ว่าแซนดร้าบอกเอาไว้ว่าจะออกไปหาคริสโตเฟอร์ เกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรมที่ทำให้แซนดร้าดีใจจนเนื้อเต้น “ยังไม่นอนอีกหรือ” โทนี่ถามภรรยาที่ทอดร่างอยู่บนเตียงนอน อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าแม้เธอจะยังไม่หลับ ก็ไม่ได้หมายความว่าซินเทียกำลังรอคอยการกลับมาของเขา “คุณหายไปไหนตั้งนาน” ซินเทียถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ห่วงฉันด้วยหรือ” สามีขมวดคิ้ว นิ่วหน้า “ถามอะไรอย่างนั้น...ถามเหมือนคุณไม่รู้ใจฉัน คุณเป็นสามีของฉันนะโทนี่” ซินเทียตัดพ้อโทนี่อยากจะตอบว่า ‘ใช่…ฉันไม่เคยรู้ถึงจิตใจลึกๆของเธอเลย…ซินเทีย’ทว่าสุดท้าย เขาก็เก็บถ้อยคำยอกย้อนนั้นเอาไว้ในใจ “ไม่ห่วงคุณแล้วจะห่วงใคร…คุณเป็นสามีฉันนะโทนี่” เธอกล่าวให้เขาได้คิด “สามียังงั้นรึ!....ช่วยบอกหน่อยเถอะว่าฉันควรจะภาคภูมิใจกับตำแหน่งนี้ใช่ไหม?” โทนี่ทำน้ำเสียงเย้ยหยัน เหมือนกับคนที่สูญสิ้นศรัทธาในชีวิตคู่ของตนมานานแล้ว ซินเทียขมวดคิ้
สีหน้าของโทนี่เต็มไปด้วยความขมขื่น นิ่งฟังเสียงตึงตังของเตียงที่เคลื่อนไปกระแทกผนัง ดังอยู่เป็นจังหวะที่ต่อเนื่องและยาวนาน ยิ่งได้ยินยิ่งโกรธแค้น ชิงชัง และริษยาจอร์จที่บรรเลงลีลารักได้ยาวนานโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ไม่เหมือนกับเขาที่มักจะล้มเหลวในทุกครั้ง จากความบกพร่องของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวของกับการกลั้นเกร็งการหลั่งซึ่งไม่อาจบังคับได้อวัยวะชิ้นนั้นมันอยู่เหนือการควบคุมของเขามานานแล้ว สืบเนื่องมาจากประสาทรับความรู้สึกบางส่วนได้ถูกทำลายลงไปพร้อมๆกับการผ่าตัด ภายหลังจากอุบัติเหตุตกม้า โทนี่คว้าเหล้าในขวดขึ้นมากระดกดื่มเหมือนน้ำ สบถด่าตัวเองอยู่ในใจด้วยถัอยคำหยาบโลน ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองที่อ่อนแอทั้งกายและใจ ซินเทียคงหนักแน่นพอที่จะประคับประคองความซื่อสัตย์ต่อกันเอาไว้ได้ เขาคงไม่ตกอยู่ในสภาวะอันทุกข์ตรมขมขื่นเช่นนี้ จากนั้นไม่นาน โทนี่ก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ เขาหลับลงเพราะฤทธิ์สุราที่กรอกลงคอเพื่อให้ลืมทุกอย่างในชีวิต แม้รู้ดีว่าเหล้าอาจช่วยบิดเบือนความจริงอันเจ็บปวดได้ในช่วงสั้นๆก็ตาม จากเหตุการณ์อัปยศที่กำลังดำเนินอยู่นั้น โทนี่แทบจะไม่โทษซินเทีย เขาโยนความผิ
อีกครั้ง รั้งบั้นท้ายเปลือยร่อนไว้ในตำแหน่งที่พร้อมจะรองรับบางสิ่งซึ่งกำลังจะเคลื่อนเข้าสู่กันและกันหล่อนผ่อนลมหายใจเหมือนจะนับถอยหลัง ไม่ได้เหลียวกลับไปมอง หากก็เดาได้ถึงความเครียดเขม็งที่จรดเล็งลงตรงหลืบลับในสรีระของหล่อนเพียงพรวดสั้นๆ…ที่หล่อนจำต้องกัดฟันด้วยความทรมาน เสี้ยวสั้นๆที่เปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์ของเธอและเขาตลอดไป ซินเทียสูดและพ่นลมหายใจเข้าออกอย่างสับสน แบ่งรับแบ่งสู้กับความรู้สึกที่เติมเต็มเข้ามารุนแรงเหล้าหลายแก้วที่หล่อนดื่ม ความมึนเมาในตอนนั้น ทำให้โซเฟียไม่ได้ฉงนใจกับความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น ทว่าความรู้สึกอึดอัด รัด แน่น ก็ยืนยันว่า ‘ไม่ใช่โทนี่อย่างแน่นอน’เมื่อได้สติ…โซเฟียพยายามสะบัดสะโพกหนี หากเขาก็ดำดิ่งสู่แอ่งอารมณ์ของหล่อนไปแล้ว ความรู้สึกของซินเทียในตอนนั้น มันเหมือนกับมีรถไฟขบวนใหญ่ที่กำลังเคลื่อนผ่านเข้าไปในอุโมงค์ความปรารถนาอันมืดมิดและคับแคบของเธอ ซินเทียเหมือนผู้หญิงที่กำลังหวาดกลัวความมืด ได้แต่ภาวนาให้ความยาวลึกของรถขบวนนั้นเคลื่อนผ่านไปเสียที ยิ่งช้ายิ่งอึดอัด ยิ่งนานยิ่งทรมาน แต่เมื่อถึงที่สุดของมัน…กลับรู้สึกทรมานยิ่งกว่า ราวกับว่านรกและสวรรค์ได้ม
เหล้ารัมอีกขวดหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่นาน โทนี่ใช้มือหมุนขวดเปล่าไปมา มองดูมันกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ขวดเหล้าไม่ต่างอะไรกับจิตใจของเขาในตอนนั้น บางครั้งก็มั่นคง แข็งแกร่ง ทว่าอยู่ๆกลับอ่อนแอ ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า กลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนขวดเหล้า ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตของโทนี่ ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อที่ไร้ค่าขนาดนี้จากนั้นเขาก็ทอดร่างลงเหยียดยาว นอนหงายที่กลางพื้น มือก่ายหน้าผาก กวาดสายพาพร่าพรางไปที่เพดานบ้าน ราวกำลังค้นหาแมงมุมสักตัวที่อาจจะกำลังชักใยระโยงระยางอยู่ในตอนนั้นโทนี่ค้นพบว่านอกจากเหล้าจะไม่ช่วยให้เขาหยุดคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเก่าๆที่กร่อนกินใจ แต่มันยิ่งกลับไปกวนตะกอนความแค้นที่กาลเวลากดทับมันเอาไว้ ให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งเขาหยัดร่างซวนเซขึ้นมาจากพื้นด้วยดวงตาแดงก่ำ “คนทรยศ...คนชั่วช้า การที่ทำแบบนี้ มันเท่ากับว่าแกกำลังล้ำเส้นฉัน” โทนี่กล่าวถึงคนที่ตนกำลังโกรธ สาดเสียงสบถไปในความว่างเปล่า นอนฟังน้ำเสียงของตัวเองสะท้อนอยู่ในห้อง กังวานของมันกระทบผนังและสะท้อนกลับเข้าไปถึงหัวใจที่กำลังปวดแปลบ รู้สึกแสบเหมือนโดนสุราราดรดลงกลางบาดแผลหัวใจที่กลัดหนอง ความพิโรธสะท้อ
“ไม่แน่ใจขนาดนั้นหรอกมาธาร์…แต่ถ้าจะเป็นพินัยกรรมจริง คุณพ่อก็ต้องถูกบังคับให้เซ็นอย่างแน่นอน” “แต่ก็มีพยานรับรู้อย่างถูกต้องนะคะ” มาธาร์ให้เหตุผล “จะมีประโยชน์อะไร…ถ้าพยานเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่จอร์จวางเอาไว้ในกระดาน” คริสโตเฟอร์เปรียบเปรย มาธาร์หรี่ตา ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ “ถ้าคุณไม่ยอมรับพินัยกรรม หรือต้องการจะหาข้อจริงใดๆมาโต้แย้ง ก็ต้องรีบแล้วนะคะ เพราะในพินัยกรรมระบุเอาไว้ชัดว่าคุณจะต้องแต่งงานกับแซนดร้าภายในหนึ่งเดือนหลังจากที่พินัยกรรมฉบับนี้ได้ถูกเปิด” มาธาร์เตือนด้วยความหวังดี ที่บ้านของแซนดร้า ใกล้ค่ำของวันนั้น แซนดร้าที่กำลังอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจสุดขีด โผเข้ากอดกับซินเทียผู้เป็นแม่ ภายหลังจากตัวแทนจากสำนักงานกฏหมายที่ชื่อเดวิด แวะมาแจ้งข่าวให้แซนดร้าได้ทราบเกี่ยวกับเนื้อหาในพินัยกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับเธอ “แม่ได้ยินเหมือนกับที่หนูได้ยินใช่ไหมคะ” แซนดร้าละล่ำละลัก ถามออกมาด้วยความดีใจเหมือนต้องการคนยืนยัน ทันทีที่ร่างท้วมของเดวิดหายลับไปที่เบื้องหลังประตู “จริงแท้ที่สุด…แม่ดี
เป็นเพราะจอร์จให้ความเคารพโจนาธาน จอร์จไม่อยากได้ยินใครเอ่ยถึงใจนาธานในเชิงตำหนิติติงหรือลบหลู่เกียรติ“คุณท่านมีเหตุผลที่ทำแบบนี้…” จอร์จสัมทับความเห็น“ไม่รู้สึกหรือว่ามันออกจะแปลกพิลึก” คริสโตเฟอร์สงสัย“ผมเองก็ไม่เห็นว่าจะมีข้อไหนฟังดูพิลึกอย่างที่คุณว่า” จอร์จยืนกราน“ข้อสุดท้ายไง” ชายหนุ่มสวนขึ้นทันที“ข้อสุดท้ายรึ!…ผมก็ไม่เห็นว่าจะแปลกตรงไหน ในเมื่อคุณกับแซนดร้าก็รักกัน ใครๆก็รู้ว่าคุณทั้งคู่ คบหาดูใจกันอยู่ การที่คุณพ่อของคุณต้องการให้คุณแต่งงานโดยด่วนนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าท่านไม่อยากให้คุณต้องอยู่คนเดียว ไม่อยากให้คุณเหงา การมีใครสักคนดูแลเป็นเรื่องจำเป็นนะครับ และเรื่องที่ระบุให้คุณแต่งงาน ก็คงเพราะท่านมองการณ์ไกลไปถึงทายาทที่จะสืบสกุลต่อไป” จอร์จให้เหตุผล ซึ่งก็ฟังดูไม่เลวนักทว่าในความรู้สึกของคนที่ต้องรับผลแห่งพินัยกรรมกลับมองว่ากำลังโดนบังคับอย่างแรงคริสโตเฟอร์ยังเชื่อว่าโดยพื้นฐานอุปนิสัยของอุปนิสัย เขาไม่ใช่พ่อที่เผด็จการ ไม่เคยบังคับฝืนใจตนมาแต่ไหนแต่ไร คริสโตเฟอร์มองว่าความรักเหมือนการเดินทาง ผู้หญิงที่คบหาก็ล้วนแต่อยู่ในระหว่างดูใจกันทั้งสิ้น และความไม่แน่นอนในความ
แววตาของจอร์จในขณะนั้น ไม่ต่างอะไรกับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ มองเห็นประกายความไม่ซื่อสัตย์กำลังวูบไหวอยู่ในดวงตาที่จอร์จเองก็ทำเหมือนว่าจงใจที่จะไม่ปิดซ่อนมันอีกต่อไปความเงียบนำไปสู่ความตึงเครียดได้อย่างไม่น่าเชื่อ จอร์จปลดกระดุมเม็ดแรกตรงปกเสื้อที่ติดจนชิดลำคอออกช้าๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัด คลายเนคไทให้พอรู้สึกสบาย แม้อากาศในขณะนั้นก็ไม่ร้อน ทว่ากลับแลเห็นเม็ดเหงื่อผุดพรายไปทั่วหน้าผากเถิกกว้างของเขา“ธุระที่ว่า…แค่นี้ใช่ไหมจอร์จ” ทายาทเจ้าของคฤหาสน์ถาม “ครับ…ผมแวะมาเพื่อที่จะบอกว่าจะเปิดพินัยกรรมในวันพรุ่งนี้ ตามที่ท่านได้สั่งเอาไว้กับทางสำนำนักงานกฎหมายว่าหนึ่งสัปดาห์ภายหลังการตายของท่าน ให้เปิดอ่านพินัยกรรมได้” จอร์จกล่าวทิ้งเอาไว้ จากนั้นก็ลากลับออกไปเงียบๆคริสโตเฟอร์ยังคงครุ่นคิดถึงพินัยกรรมซึ่งตนเองก็เพิ่งได้รู้มาจากปากของจอร์จว่ามีอยู่ อดไม่ได้ที่จะนึกไปในทางร้าย ทว่าท้ายที่สุดก็พยายามคิดว่าโจนาธานอาจจะต้องการให้ทุกอย่างถูกต้อง ลายลักษณ์อักษรอาจช่วยให้ทุกอย่างสมบูรณ์ ผู้เป็นพ่อคงไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้นกับทายาทในภายหลัง แต่หากจะคิดไปในทางร้าย ก็อาจมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
“นี่มันถึงขั้นคอขาดบาดตายเชียวนะคะคุณคริสโตเฟอร์ ป้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจอร์จจะทำอย่างนั้นได้ จอร์จเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้าน เป็นคนสนิทที่คุณโจนาธานไว้วางใจที่สุดเลยก็ว่าได้” เสียงนั้นเบาจนเกือบกระซิบ “ก็เพราะความไว้วางใจนี่แหละ...ที่ฆ่าคุณพ่อ”แม้จะต้องสืบเสาะความจริงต่อ แต่น้ำเสียงของคริสโตเฟอร์ก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้มีเค้ามูลความจริง“ช่วยเล่าเรื่องของจอร์จให้ผมฟังทีเถอะ”โตเฟอร์ทำราวกับว่าผู้ชายที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ได้กลายเป็นคนแปลกหน้าที่เขาเริ่มสงสัย ว่าเขาอาจจะยังไม่รู้จักตัวตนของผู้ชายคนนี้ดีพอ เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาทิตย์ยังโผล่ไม่พ้นขอบฟ้า แสงสลัวของยามเช้าโรยตัวอยู่เหนือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตระหง่านง้ำอยู่ท่ามกลางอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลมาหลายสิบปีที่ประตูทางเข้าคฤหาสน์ ทันทีที่รถม้าจอดสนิท แลเห็นชายร่างท้วมใหญ่กำลังก้าวมาตามทางเดินเล็กๆที่ราดโรยเอาไว้ด้วยก้อนกรวดหยาบๆ เชื่อมต่อกับอิฐสีน้ำตาลเข้มที่ทอดไปสู่ประตูทางเข้าของตัวคฤหาสน์ หญ้าเขียวๆแซมอยู่ในรอยห่างของอิฐแต่ละก้อน“สวัสดีจอร์จ” มาธาร์เป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน หล่อนตื่นแต่เช้าตรู