เมื่อรถของทนายเล่นไปลับตา ขณะที่กำลังจะก้าวเท้ากลับเข้าไปในบ้าน พลันสายตาของโซเฟียเหลือบไปเห็นแสงไฟริบหรี่รำไร เล็ดลอดออกมาจากบ้านของนอร่าห์อยู่ๆ โซเฟียก็ฉุกคิดได้ถึงบางอย่าง ‘หรือแสงไฟจากบ้านของนอร่าห์ที่เห็นอยู่นั้น…มันคือการบอกใบ้จากพระเจ้า ชี้ให้เธอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์’เมื่อคิดดังนั้น เธอจึงไม่รอช้า รีบก้าวยาวๆไปตามทางเดินที่มุ่งสู่บ้านของนอร่าห์ในทันทีขณะที่โซเฟียกำลังก้าวเดินไปตามทางดินแคบๆ บ่ายหน้าไปตามทิศทางที่มุ่งสูฟาร์มของนอร่าห์ ระหว่างนั้นสายตาพลันปะทะเข้ากับแสงไฟเรืองๆที่สาดมาจากหน้ารถ วูบวาบลอดพุ่มไม้มาไกลๆโซเฟียนึกแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นรถของจอร์จที่เพิ่งแล่นจากไปเมื่อครู่ไม่ใช่รึ? เหตุใดเขาจึงย้อนกลับมาโซเฟียยังคงไม่หยุดเดิน รถสีดำคันใหญ่ที่มีร่างของจอร์จเป็นคนขับ เลาะเลียบมาใกล้เธอ กระทั่งเขาหยุดรถ ไขกระจกลงช้าๆ“โซเฟีย…” เขาเรียก“คุณนั่นเอง…มีอะไรหรือเปล่าจอร์จ”“พอจะมีเวลาสักครู่ไหม ฉันอยากจะคุยธุระที่ค้างคาเอาไว้เมื่อครู่ ให้มันจบๆไป”ยอร์จยื่นใบหน้าออกมาถาม โซเฟียหารู้ไม่ว่าสิ่งที่จอร์จค้างคาจนต้องเลี้ยวรถกลับมาหา คืออารมณ์ความต้องการที่ค
“อย่ามาทำเป็นรู้ทัน ฉันจะรู้สึกยังไงกับเรื่องพรรค์นี้…มันก็เป็นเรื่องของฉัน”“ฉันจะสนองให้เธออย่างสุดกำลังความสามารถเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นสุขได้ ฉันขอรับรองว่าจะทำให้เธอพึงพอใจ รับรองว่าเราจะมีความสุขด้วยกัน…อย่าดื้อนะโซเฟีย” จอร์จขยับเข้าไปใกล้ พยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบและฟังดูเป็นปกติที่สุดน่าแปลกใจว่าแม้ในสถานการณ์อันน่าตระหนกเช่นนี้ เขากลับควบคุมคำพูดได้ราบรื่น ไม่สะดุดเลยแม้แต่น้อย สมแล้วที่เขาคุ้นเคยอยู่กับงานที่ต้องใช้ความสามารถในการโน้มน้าว เกลี้ยกล่อม และเร่งรัดให้คนยอมรับในข้อเสนอของเขา“มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น”โซเฟียพยายามบังคับตัวเองอย่างสับสน ในวินาทีที่คำว่า ‘เสียสละเพื่อลูก’ กำลังจะเอาชนะความขยะแขยงที่มีต่อจอร์จ“ทำไมล่ะ…หากเธอปฏิเสธฉัน นั่นก็เท่ากับว่าเธอกำลังทำสิ่งที่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ลองนึกถึงสิ่งเหล่านี้สิ ไม่ว่าจะเป็นที่ซุกหัวนอน อาหารดีๆในแต่มื้อ เสื้อผ้าสวยๆที่ฉันจะสรรหามาให้เธอกับลูกสาวสวมใส่ หรือไม่…ฉันอาจจะไถ่ถอนฟาร์มแทนเธอในวันข้างหน้า” เขารีบเสนอโซเฟียถอนหายใจยาวลึก โลกทั้งใบกำลังบีบคั้นเธออย่างที่สุด“นึกถึงสิ่งที่แม่คนนึงค
โซเฟียสะดุ้ง เมื่อเสียงดังแกร่กของเข็มขัดที่คาดเคียนอยู่รอบพุงหนาของจอร์จถูกคลายออกตามด้วยเสียงแคว่กของซิบกางเกงที่ถูกรูดลงจนสุดแนวซิปโซเฟียสบถด่าตัวเองอยู่ในใจ ในเสี้ยวขณะหนึ่งที่เกือบยอมพลีกายไปอย่างคนสิ้นคิด ‘แค่คิดก็น่าขยะแขยง ให้ตายสิ!...เพียงเพื่อให้มีที่ซุกหัวนอน เธอจำเป็นต้องยอมให้จอร์จย่ำยีถึงเพียงนี้เชียวหรือ’“อย่าดิ้น…อย่าทำให้เป็นเรื่องยาก ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” จอร์จถลึงตา น้ำเสียงข่มขู่ เมื่อเธอทำท่าคล้ายจะขัดขืนคำพูดของเขาเกือบทำให้เธอยอมโซเฟียพยายามกล่อมตัวเองว่าแท้จริงก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ยากเย็น เสพสังวาสเป็นเรื่องธรรมชาติ หนักใจหน่อยก็เพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอรัก แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็แค่ประคับประคองความรู้สึกให้ยอมรับมันให้ได้…นึกถึงประโยชน์อื่นที่จะตามมา แค่หลับตา ภาวนาให้มันจบๆไป…ก็เท่านั้น จอร์จถอดกางเกงลนลาน เสี้ยวอึดใจ ร่างกายเปลือนเปล่าของเขาพยายามจะคลานกลับขึ้นมาทับเธอ จอร์จกำลังจะกระทำบางสิ่งซึ่งโซเฟียไม่อยากเชื่อว่าภายใต้สีหน้าเรียบขรึมดูมีน้ำใจของเขา เรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ “ฉันจะทำให้เธอมีความสุขที่สุด” เขาเกลี้ยกล่อมด้
“เป็นบ้าไปแล้วหรือไงโซเฟีย จึงได้กล่าวอะไรเช่นนั้น” กล่าวพลางส่ายหน้าเบาๆ“ที่ได้ยินไม่ผิดหรอก ช่วยบอกฉันหน่อยว่าต้องทำอย่างไรบ้างนอร่าห์?” โซเฟียย้ำนอร่าห์หรี่ตา นึกหวั่นในน้ำเสียงจริงจังตั้งใจของผู้หญิงตรงหน้า แววตาของโซเฟียเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นโซเฟียถามนอร่าห์ด้วยความสนใจในอาชีพเก่าของหล่อน คำถามนั้นทำให้นอร่าห์รู้สึกแปลกใจ และเจ็บปวดขึ้นมาพร้อมๆกัน เพราะหล่อนรู้ดีว่าการที่โซเฟียตัดสินใจจะทำอาชีพนี้ มันคงถึงที่สุดของความอดทนและทางเลือกที่เธอมี จากการที่เคยตั้งความหวังลมๆแล้งๆเพื่อรอคอยการกลับมาของคีธ ซึ่งก็ยืนยันด้วยระยะเวลาที่ผ่านมา 5 ปี นั่นคงนานพอจะสรุปว่าทั้งเดลและคีธ…ได้ตายไปจากชีวิตของเธอแล้ว“ฉันพูดจริงนะนอร่าห์” โซเฟียย้ำอีกครั้ง “เธอแน่ใจน่ะ...”นอร่าห์ย้อนถามโดยไม่รู้ว่าหนี้สินก้อนใหญ่ที่คีธเป็นคนก่อเอาไว้ คือสาเหตุใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของโซเฟียในครั้งนี้ “แน่ใจ” โซเฟียตอบโดยไม่คิด ไม่มีอาการลังเลใดๆให้เธอต้องยับยั้งชั่งใจอีกแล้ว ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา เธอครุ่นคิดถึงเรื่องนี้จนไม่อาจบังคับเปลือกตาให้หลับลงได้ขณะที่นอร่าห์กำลังขยับริมฝีปากจ
ใหญ่ใจดี ตามความประสงค์ของโซเฟียซึ่งตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเริ่มงานทันทีในค่ำของวันนั้นแม้นอร่าห์จะทิ้งสถานที่แห่งนี้มานาน ทว่ามันก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากภาพความทรงจำเมื่อครั้งอดีตมากนัก สภาพโดยรวมของบาร์ที่สร้างขึ้นจากไม้ ยังคงเดิมด้วยสีน้ำตาลทึมเทา ต่างตรงที่สีของไม้บางส่วนดูซีดจาง กร่อนเก่าไปตามกาลเวลาเพราะแดดฝนไม่มีใครรู้ว่าบาร์แห่งนี้ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? และใครเป็นคนตัดริบบิ้น ลงเสาเอก? รู้แต่ว่ามันอยู่คู่เมืองแห่งนี้มานานแสนนานหากมีใครสักคนนึกสงสัย ถามถึงประวัติความเป็นมาของบาร์เหล้าและซ่องโสเภณีในแถบนี้ คงตอบได้เพียงว่ามันเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับตัณหาของพวกผู้ชายที่ต้องการปลดเปลื้องราคะกับผู้หญิงที่เต็มใจยึดเอาการร่วมประเวณีระหว่างหญิงชายมาเป็นอาชีพเมื่อมีคน ‘ซื้อ’ และมีคน ‘ขาย’ ด้วยความสมัคร การแลกเปลี่ยนจึงเกิดขึ้นอย่างเสรี กลาดเกลื่อนอยู่ในบาร์เหล้า ทั้งในห้องหับที่มิดชิดสำหรับคนที่ยังหลงเหลือความกระดากอาย ทั้งในซอกหลืบและมุมอับลับตาสำหรับคนใจร้อนจนรอไม่ไหว ไม่เว้นแม้แต่ในรถบรรทุกถ่านหินที่แวะจอดพักนอนริมทาง รวมไปถึงด้านหลังของสุมทุมพุ่มไม้แถวๆนั้น ก็ล้วนซื้อและขาย
เสียงปืนของนายอำเภอดังขึ้นหนึ่งนัด ยิงขู่ทั้งที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรมือปืนที่มีผ้าผูกอำพรางใบหน้าเอาไว้ แลเห็นเพียงดวงตา เมื่อเห็นท่าไม่ดี จึงรีบควบม้าหนีไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งฝุ่นเอาไว้เป็นทาง ก่อนจะพาร่างหายลับไปพร้อมๆกับม้า“คุณ…เป็นอะไรหรือเปล่า?” โซเฟียร้องถามจากนั้นเสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังลั่นมาจากด้านหลัง“คุณโจนาธาน…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เป็นชายร่างท้วมที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสารถีที่จอดรถรออยู่ริมถนน รีบเปิดประตูรถออกมาพร้อมกับตะโกนถามคนเป็นนายด้วยความเป็นห่วงในจังหวะที่ได้หันไปเห็นใบหน้านั้นชัดๆ โซเฟียจำได้ว่าผู้ชายที่ปราดออกมาจากรถ ก็คือจอร์จนั่นเอง“ไม่เป็นไร” โจนาธานตอบ ขณะหยัดร่างสูงใหญ่ขึ้นจากพื้นช้าๆ ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังอยู่ในอาการตกใจ เขาถลาล้มเพราะมือของโซเฟียที่ผลักเต็มแรง เธอเบี่ยงร่างกายอันใหญ่โตของเขาออกจากวิถีกระสุนของมือปืนปริศนา ช่วยยื้อชีวิตเขาจากเงื้อมมือของมัจจุราชเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด“ขอบใจเธอมาก” โจนาธานกล่าวขอบคุณโซเฟียที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ โซเฟียนิ่งตะลึง ได้ยินจอร์จเรียกชื่อเขาออกมาชัดเจน ‘นี่หรือโจนาธาน…เจ้าหนี้ใหญ่ที่เพิ่งสั่งให้ทนายมาดำเนินกา
โจนาธานขมวดคิ้ว“จอร์จ…” เขากระแทกน้ำเสียงดุจอร์จ ปรามด้วยสายตาแข็งจนน่าเกรงขาม เหลือบมองไปทางจอร์จซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งสารถีอย่างรู้ทันจอร์จรีบหลุบตา หัวหดจนเกือบจะซ่อนลงไปในปกเสื้อ ท่าทางเหมือนเต่า แววตากลัวความผิด รู้สึกเสียหน้า ที่โจนาธานรู้ทันว่าเขากำลังใช้เล่ห์เหลี่ยม เพื่อหาประโยชน์จากร่างกายของผู้หญิงคนหนึ่งที่หมดหนทางดิ้นรนภายหลังจากส่งนอร่าห์ และเมื่อมาถึงฟาร์มของโซเฟีย ระหว่างที่โซเฟียไปเตรียมน้ำมารับรองแขก โจนาธานกระซิบถามเรื่องราวของโซเฟียจากจอร์จด้วยความอยากรู้ ซึ่งจอร์จก็เล่าไปตามที่ได้รู้มาได้ฟังที่จอร์จเล่า น้ำเสียงของโจนาธานแสดงความสนใจในตัวของโซเฟียออกมาชัดเจน แผนการบางอย่างผุดพรายขึ้นในใจของเขาทันที ด้วยการยื่นเงื่อนไขบางอย่างให้โซเฟียต้องตัดสินใจ…เงื่อนไขที่ทำให้แก้วน้ำในมือของโซเฟียถึงกับกระฉอก กระทั่งแก้วหลุดจากมือที่สั่น แตกกระจายเป็นเสี่ยงเหมือนกับหัวใจของเธอที่แตกสลาย เมื่อได้ยินข้อเสนอที่เธอเองก็คาดไม่ถึง“ฉันชอบเธอ ฉันอยากได้เธอไปเป็นนางระบำของฉันคนเดียว ไปอยู่ที่บ้านฉัน รับรองว่าเธอกับลูกจะมีกินมีใช้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายกว่านี้”โซเฟียนิ่งตะลึง
มาในบ้านด้วยความเป็นห่วงโซเฟีย ซาบรีน่ากลับเข้ามาทันที่จะเห็นหยาดน้ำตาใสๆของโซเฟียที่ไหลเป็นสาย รินลงมาที่ร่องแก้มระเรื่อแดงเพราะเอาหลังมือปาดเช็ดซ้ำๆ “เกิดอะไรขึ้นคะแม่”“ไม่มีอะไรหรอกลูก”“แล้วทำไมแม่ร้องไห้ คนพวกนั้นทำอะไรแม่”ซาบรีน่ารี่เข้ามาหา ทรุงร่างบางลงนั่งข้างๆผู้เป็นแม่ที่ทอดอาลัยตายอยากกับชีวิตซึ่งต้องเลือกทางเดิน โซเฟียตอบคำถามของลูกสาวด้วยการโผเข้ากอดร่างของซาบรีน่าเอาไว้แน่น ซาบรีน่ารู้สึกได้ถึงเนื้อตัวของแม่ที่สั่นเบาๆเพราะแรงสะอื้น เดาเอาว่าที่แม่ร้องไห้ คงเป็นเพราะเรื่องที่ถูกบีบบังคับ ขับไล่ออกจากฟาร์มอย่างแน่นอน “เราจะต้องย้ายออกจากฟาร์มใช่ไหมคะแม่” พอจะเดาได้ ถึงสถานการณ์อันตึงเครียดเมื่อครู่ “ใช่…เราจะต้องย้าย แต่ย้ายไปอยู่ที่บ้านของโจนาธาน” “อะไรนะคะ…ทำไมเป็นอย่างนั้น ไปทำไมคะแม่?” ดวงตาใสๆของซาบรีน่า วาวประกายขึ้นด้วยความสงสัย เขาไม่ได้ขับไล่ให้เธอกับแม่ไปอยู่ที่อื่น แต่กลับให้ไปอยู่ที่บ้านของเขา เป็นไปได้ยังไง? “แม่ต้องไปทำงานบ้านให้เขา เราต้องไปอยู่ที่บ้านของเขา 3 ปี เพื่อชดใช้หนี้สินและไ
“ดึกดื่นป่านนี้ คุณหนูจะไปไหนครับ” คนรับใช้ถามด้วยความแปลกใจ“ไปบ้านของจอร์จ…เร็ว! แล้วอย่าถามอะไรมาก”จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนออกไปด้วยความรวดเร็ว เสียงเท้าของแซนดร้าที่วิ่งลงบันไดบ้านไปเมื่อครู่ เสียงเฟืองและล้อรถม้าที่เสียดสีกับพื้นกรวดจากการออกตัวด้วยความเร็ว ดังขึ้นไปถึงชั้นบนของบ้าน โทนี่และซินเทียที่กำลังวิวาทะกันอยู่ในขณะนั้น รีบชะโงกหน้าออกมามอง“แซนดร้า…นั่นลูกจะไปไหน”ด้วยความตกใจ ซินเทียตะโกนไล่หลังรถม้าที่กำลังจะพาร่างของแซนดร้าหายลับไปในราตรีกาลอันมืดมิดจอร์จส่ายหน้า…น้ำตาซึม นึกตำหนิในอารมณ์ชั่ววูบของตนเอง ถ้าแซนดร้าเป็นอะไรไป เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นอันขาดสองเดือนผ่านไป“ช่างเป็นชุดแต่งงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด…” ซาบรีน่าซึ่งอยู่ในชุดวิวาห์ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม รำพึงออกมาลอยๆ มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก “เธอตะหากที่สมบูรณ์แบบ…ไม่ใช่ชุดแต่งงานสักหน่อย”คริสโตเฟอร์ในชุดเจ้าบ่าวสีเทาขรึม ก้าวเข้ามาใกล้ ทาบร่างกายกำยำใหญ่เอาไว้ที่ด้านหลังของซาบรีน่า กอดและก้มกระซิบเบาๆที่หลังใบหูเพียงปีแรกหลังแต่งงาน ทั้งสองก็ได้ทายาทเป็นลูกชายไว้สืบสกุล และอีกปีถัด
โทนี่ถอดหมวก ถอดเสื้อโค้ทสีดำออกช้าๆ แขวนไว้ที่หลังประตูแล้วก้าวขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านโดยไม่ลืมมองไปที่ห้องนอนของแซนดร้าผู้เป็นลูกสาว พบว่าเธอไม่อยู่ จำได้ว่าแซนดร้าบอกเอาไว้ว่าจะออกไปหาคริสโตเฟอร์ เกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรมที่ทำให้แซนดร้าดีใจจนเนื้อเต้น “ยังไม่นอนอีกหรือ” โทนี่ถามภรรยาที่ทอดร่างอยู่บนเตียงนอน อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าแม้เธอจะยังไม่หลับ ก็ไม่ได้หมายความว่าซินเทียกำลังรอคอยการกลับมาของเขา “คุณหายไปไหนตั้งนาน” ซินเทียถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ห่วงฉันด้วยหรือ” สามีขมวดคิ้ว นิ่วหน้า “ถามอะไรอย่างนั้น...ถามเหมือนคุณไม่รู้ใจฉัน คุณเป็นสามีของฉันนะโทนี่” ซินเทียตัดพ้อโทนี่อยากจะตอบว่า ‘ใช่…ฉันไม่เคยรู้ถึงจิตใจลึกๆของเธอเลย…ซินเทีย’ทว่าสุดท้าย เขาก็เก็บถ้อยคำยอกย้อนนั้นเอาไว้ในใจ “ไม่ห่วงคุณแล้วจะห่วงใคร…คุณเป็นสามีฉันนะโทนี่” เธอกล่าวให้เขาได้คิด “สามียังงั้นรึ!....ช่วยบอกหน่อยเถอะว่าฉันควรจะภาคภูมิใจกับตำแหน่งนี้ใช่ไหม?” โทนี่ทำน้ำเสียงเย้ยหยัน เหมือนกับคนที่สูญสิ้นศรัทธาในชีวิตคู่ของตนมานานแล้ว ซินเทียขมวดคิ้
สีหน้าของโทนี่เต็มไปด้วยความขมขื่น นิ่งฟังเสียงตึงตังของเตียงที่เคลื่อนไปกระแทกผนัง ดังอยู่เป็นจังหวะที่ต่อเนื่องและยาวนาน ยิ่งได้ยินยิ่งโกรธแค้น ชิงชัง และริษยาจอร์จที่บรรเลงลีลารักได้ยาวนานโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ไม่เหมือนกับเขาที่มักจะล้มเหลวในทุกครั้ง จากความบกพร่องของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวของกับการกลั้นเกร็งการหลั่งซึ่งไม่อาจบังคับได้อวัยวะชิ้นนั้นมันอยู่เหนือการควบคุมของเขามานานแล้ว สืบเนื่องมาจากประสาทรับความรู้สึกบางส่วนได้ถูกทำลายลงไปพร้อมๆกับการผ่าตัด ภายหลังจากอุบัติเหตุตกม้า โทนี่คว้าเหล้าในขวดขึ้นมากระดกดื่มเหมือนน้ำ สบถด่าตัวเองอยู่ในใจด้วยถัอยคำหยาบโลน ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองที่อ่อนแอทั้งกายและใจ ซินเทียคงหนักแน่นพอที่จะประคับประคองความซื่อสัตย์ต่อกันเอาไว้ได้ เขาคงไม่ตกอยู่ในสภาวะอันทุกข์ตรมขมขื่นเช่นนี้ จากนั้นไม่นาน โทนี่ก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ เขาหลับลงเพราะฤทธิ์สุราที่กรอกลงคอเพื่อให้ลืมทุกอย่างในชีวิต แม้รู้ดีว่าเหล้าอาจช่วยบิดเบือนความจริงอันเจ็บปวดได้ในช่วงสั้นๆก็ตาม จากเหตุการณ์อัปยศที่กำลังดำเนินอยู่นั้น โทนี่แทบจะไม่โทษซินเทีย เขาโยนความผิ
อีกครั้ง รั้งบั้นท้ายเปลือยร่อนไว้ในตำแหน่งที่พร้อมจะรองรับบางสิ่งซึ่งกำลังจะเคลื่อนเข้าสู่กันและกันหล่อนผ่อนลมหายใจเหมือนจะนับถอยหลัง ไม่ได้เหลียวกลับไปมอง หากก็เดาได้ถึงความเครียดเขม็งที่จรดเล็งลงตรงหลืบลับในสรีระของหล่อนเพียงพรวดสั้นๆ…ที่หล่อนจำต้องกัดฟันด้วยความทรมาน เสี้ยวสั้นๆที่เปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์ของเธอและเขาตลอดไป ซินเทียสูดและพ่นลมหายใจเข้าออกอย่างสับสน แบ่งรับแบ่งสู้กับความรู้สึกที่เติมเต็มเข้ามารุนแรงเหล้าหลายแก้วที่หล่อนดื่ม ความมึนเมาในตอนนั้น ทำให้โซเฟียไม่ได้ฉงนใจกับความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น ทว่าความรู้สึกอึดอัด รัด แน่น ก็ยืนยันว่า ‘ไม่ใช่โทนี่อย่างแน่นอน’เมื่อได้สติ…โซเฟียพยายามสะบัดสะโพกหนี หากเขาก็ดำดิ่งสู่แอ่งอารมณ์ของหล่อนไปแล้ว ความรู้สึกของซินเทียในตอนนั้น มันเหมือนกับมีรถไฟขบวนใหญ่ที่กำลังเคลื่อนผ่านเข้าไปในอุโมงค์ความปรารถนาอันมืดมิดและคับแคบของเธอ ซินเทียเหมือนผู้หญิงที่กำลังหวาดกลัวความมืด ได้แต่ภาวนาให้ความยาวลึกของรถขบวนนั้นเคลื่อนผ่านไปเสียที ยิ่งช้ายิ่งอึดอัด ยิ่งนานยิ่งทรมาน แต่เมื่อถึงที่สุดของมัน…กลับรู้สึกทรมานยิ่งกว่า ราวกับว่านรกและสวรรค์ได้ม
เหล้ารัมอีกขวดหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่นาน โทนี่ใช้มือหมุนขวดเปล่าไปมา มองดูมันกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ขวดเหล้าไม่ต่างอะไรกับจิตใจของเขาในตอนนั้น บางครั้งก็มั่นคง แข็งแกร่ง ทว่าอยู่ๆกลับอ่อนแอ ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า กลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนขวดเหล้า ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตของโทนี่ ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อที่ไร้ค่าขนาดนี้จากนั้นเขาก็ทอดร่างลงเหยียดยาว นอนหงายที่กลางพื้น มือก่ายหน้าผาก กวาดสายพาพร่าพรางไปที่เพดานบ้าน ราวกำลังค้นหาแมงมุมสักตัวที่อาจจะกำลังชักใยระโยงระยางอยู่ในตอนนั้นโทนี่ค้นพบว่านอกจากเหล้าจะไม่ช่วยให้เขาหยุดคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเก่าๆที่กร่อนกินใจ แต่มันยิ่งกลับไปกวนตะกอนความแค้นที่กาลเวลากดทับมันเอาไว้ ให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งเขาหยัดร่างซวนเซขึ้นมาจากพื้นด้วยดวงตาแดงก่ำ “คนทรยศ...คนชั่วช้า การที่ทำแบบนี้ มันเท่ากับว่าแกกำลังล้ำเส้นฉัน” โทนี่กล่าวถึงคนที่ตนกำลังโกรธ สาดเสียงสบถไปในความว่างเปล่า นอนฟังน้ำเสียงของตัวเองสะท้อนอยู่ในห้อง กังวานของมันกระทบผนังและสะท้อนกลับเข้าไปถึงหัวใจที่กำลังปวดแปลบ รู้สึกแสบเหมือนโดนสุราราดรดลงกลางบาดแผลหัวใจที่กลัดหนอง ความพิโรธสะท้อ
“ไม่แน่ใจขนาดนั้นหรอกมาธาร์…แต่ถ้าจะเป็นพินัยกรรมจริง คุณพ่อก็ต้องถูกบังคับให้เซ็นอย่างแน่นอน” “แต่ก็มีพยานรับรู้อย่างถูกต้องนะคะ” มาธาร์ให้เหตุผล “จะมีประโยชน์อะไร…ถ้าพยานเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่จอร์จวางเอาไว้ในกระดาน” คริสโตเฟอร์เปรียบเปรย มาธาร์หรี่ตา ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ “ถ้าคุณไม่ยอมรับพินัยกรรม หรือต้องการจะหาข้อจริงใดๆมาโต้แย้ง ก็ต้องรีบแล้วนะคะ เพราะในพินัยกรรมระบุเอาไว้ชัดว่าคุณจะต้องแต่งงานกับแซนดร้าภายในหนึ่งเดือนหลังจากที่พินัยกรรมฉบับนี้ได้ถูกเปิด” มาธาร์เตือนด้วยความหวังดี ที่บ้านของแซนดร้า ใกล้ค่ำของวันนั้น แซนดร้าที่กำลังอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจสุดขีด โผเข้ากอดกับซินเทียผู้เป็นแม่ ภายหลังจากตัวแทนจากสำนักงานกฏหมายที่ชื่อเดวิด แวะมาแจ้งข่าวให้แซนดร้าได้ทราบเกี่ยวกับเนื้อหาในพินัยกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับเธอ “แม่ได้ยินเหมือนกับที่หนูได้ยินใช่ไหมคะ” แซนดร้าละล่ำละลัก ถามออกมาด้วยความดีใจเหมือนต้องการคนยืนยัน ทันทีที่ร่างท้วมของเดวิดหายลับไปที่เบื้องหลังประตู “จริงแท้ที่สุด…แม่ดี
เป็นเพราะจอร์จให้ความเคารพโจนาธาน จอร์จไม่อยากได้ยินใครเอ่ยถึงใจนาธานในเชิงตำหนิติติงหรือลบหลู่เกียรติ“คุณท่านมีเหตุผลที่ทำแบบนี้…” จอร์จสัมทับความเห็น“ไม่รู้สึกหรือว่ามันออกจะแปลกพิลึก” คริสโตเฟอร์สงสัย“ผมเองก็ไม่เห็นว่าจะมีข้อไหนฟังดูพิลึกอย่างที่คุณว่า” จอร์จยืนกราน“ข้อสุดท้ายไง” ชายหนุ่มสวนขึ้นทันที“ข้อสุดท้ายรึ!…ผมก็ไม่เห็นว่าจะแปลกตรงไหน ในเมื่อคุณกับแซนดร้าก็รักกัน ใครๆก็รู้ว่าคุณทั้งคู่ คบหาดูใจกันอยู่ การที่คุณพ่อของคุณต้องการให้คุณแต่งงานโดยด่วนนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าท่านไม่อยากให้คุณต้องอยู่คนเดียว ไม่อยากให้คุณเหงา การมีใครสักคนดูแลเป็นเรื่องจำเป็นนะครับ และเรื่องที่ระบุให้คุณแต่งงาน ก็คงเพราะท่านมองการณ์ไกลไปถึงทายาทที่จะสืบสกุลต่อไป” จอร์จให้เหตุผล ซึ่งก็ฟังดูไม่เลวนักทว่าในความรู้สึกของคนที่ต้องรับผลแห่งพินัยกรรมกลับมองว่ากำลังโดนบังคับอย่างแรงคริสโตเฟอร์ยังเชื่อว่าโดยพื้นฐานอุปนิสัยของอุปนิสัย เขาไม่ใช่พ่อที่เผด็จการ ไม่เคยบังคับฝืนใจตนมาแต่ไหนแต่ไร คริสโตเฟอร์มองว่าความรักเหมือนการเดินทาง ผู้หญิงที่คบหาก็ล้วนแต่อยู่ในระหว่างดูใจกันทั้งสิ้น และความไม่แน่นอนในความ
แววตาของจอร์จในขณะนั้น ไม่ต่างอะไรกับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ มองเห็นประกายความไม่ซื่อสัตย์กำลังวูบไหวอยู่ในดวงตาที่จอร์จเองก็ทำเหมือนว่าจงใจที่จะไม่ปิดซ่อนมันอีกต่อไปความเงียบนำไปสู่ความตึงเครียดได้อย่างไม่น่าเชื่อ จอร์จปลดกระดุมเม็ดแรกตรงปกเสื้อที่ติดจนชิดลำคอออกช้าๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัด คลายเนคไทให้พอรู้สึกสบาย แม้อากาศในขณะนั้นก็ไม่ร้อน ทว่ากลับแลเห็นเม็ดเหงื่อผุดพรายไปทั่วหน้าผากเถิกกว้างของเขา“ธุระที่ว่า…แค่นี้ใช่ไหมจอร์จ” ทายาทเจ้าของคฤหาสน์ถาม “ครับ…ผมแวะมาเพื่อที่จะบอกว่าจะเปิดพินัยกรรมในวันพรุ่งนี้ ตามที่ท่านได้สั่งเอาไว้กับทางสำนำนักงานกฎหมายว่าหนึ่งสัปดาห์ภายหลังการตายของท่าน ให้เปิดอ่านพินัยกรรมได้” จอร์จกล่าวทิ้งเอาไว้ จากนั้นก็ลากลับออกไปเงียบๆคริสโตเฟอร์ยังคงครุ่นคิดถึงพินัยกรรมซึ่งตนเองก็เพิ่งได้รู้มาจากปากของจอร์จว่ามีอยู่ อดไม่ได้ที่จะนึกไปในทางร้าย ทว่าท้ายที่สุดก็พยายามคิดว่าโจนาธานอาจจะต้องการให้ทุกอย่างถูกต้อง ลายลักษณ์อักษรอาจช่วยให้ทุกอย่างสมบูรณ์ ผู้เป็นพ่อคงไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้นกับทายาทในภายหลัง แต่หากจะคิดไปในทางร้าย ก็อาจมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
“นี่มันถึงขั้นคอขาดบาดตายเชียวนะคะคุณคริสโตเฟอร์ ป้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจอร์จจะทำอย่างนั้นได้ จอร์จเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้าน เป็นคนสนิทที่คุณโจนาธานไว้วางใจที่สุดเลยก็ว่าได้” เสียงนั้นเบาจนเกือบกระซิบ “ก็เพราะความไว้วางใจนี่แหละ...ที่ฆ่าคุณพ่อ”แม้จะต้องสืบเสาะความจริงต่อ แต่น้ำเสียงของคริสโตเฟอร์ก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้มีเค้ามูลความจริง“ช่วยเล่าเรื่องของจอร์จให้ผมฟังทีเถอะ”โตเฟอร์ทำราวกับว่าผู้ชายที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ได้กลายเป็นคนแปลกหน้าที่เขาเริ่มสงสัย ว่าเขาอาจจะยังไม่รู้จักตัวตนของผู้ชายคนนี้ดีพอ เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาทิตย์ยังโผล่ไม่พ้นขอบฟ้า แสงสลัวของยามเช้าโรยตัวอยู่เหนือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตระหง่านง้ำอยู่ท่ามกลางอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลมาหลายสิบปีที่ประตูทางเข้าคฤหาสน์ ทันทีที่รถม้าจอดสนิท แลเห็นชายร่างท้วมใหญ่กำลังก้าวมาตามทางเดินเล็กๆที่ราดโรยเอาไว้ด้วยก้อนกรวดหยาบๆ เชื่อมต่อกับอิฐสีน้ำตาลเข้มที่ทอดไปสู่ประตูทางเข้าของตัวคฤหาสน์ หญ้าเขียวๆแซมอยู่ในรอยห่างของอิฐแต่ละก้อน“สวัสดีจอร์จ” มาธาร์เป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน หล่อนตื่นแต่เช้าตรู