“อะไรนะคะ คุณหนูปวดหัวเหรอคะ”
“เปล่า ๆ แค่บ่นไปเรื่อยน่ะ แล้วว่าแต่คุณชายเฉินอะไรนี่เขาชอบฉันหรือเปล่า”
“อืม เรื่องนี้…”
แค่เห็นสีหน้าของอาหงเธอก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
“คือว่าทางคุณนายที่เป็นลูกสาวอดีตนายพล คุณตาของคุณหนูรู้จักกับนายพลเฉินคุณพ่อของคุณชายรองเฉิน...”
“สรุปก็คือเหมือนกับว่าบ้านฉันบังคับเขากลาย ๆ สินะ”
“ยังมีเงื่อนไขความช่วยเหลือที่จะส่งยาและเครื่องนุ่งห่มให้กองทัพ ตระกูลเฉินก็เลยรับเงื่อนไขนี้ค่ะ”
“หึหึ น่าดีใจยิ่งนัก ไม่มีฉันอยู่ในเหตุผลนั้นเลยเกิดมาสวยแบบไร้ค่าเสียแล้วสิ”
“คุณหนูบ่นอะไรนะคะ”
“เปล่า ๆ ไปเถอะขึ้นได้แล้วมั้งตัวจะเปื่อยอยู่แล้ว”
“ค่ะ ๆ”
อาหงใช้เวลาไม่นานก็แต่งตัวให้เธอออกมาสวยราวกับอยู่ในภาพฝันยุคเก่าที่เธอเคยมองจากนิตยสารและซีรีส์ในทีวี แต่ก็ต้องยอมรับว่าลู่เหม่ยหลินคนนี้สวยมากจนไร้ที่ติ การที่เธอหลงตัวเองได้นั่นไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยสักนิด
“พระเจ้านี่ฉันเหรอ”
“อาหลินเสร็จหรือยังลูก ตายแล้วทำไมสวมแค่ไข่มุกเส้นเดียวล่ะไม่ได้สิ ติดเข็มกลัดนี้เพิ่มไปหน่อย ต่างหูล่ะเอามาเร็ว ๆ เข้า”
“มะ คุณแม่คะ มันมากไปหน่อยหนูหนักค่ะ”
“ฟางหยง” ถึงกับตกใจเมื่อมองมาที่ลูกสาวที่เรียกเธอว่า “คุณแม่” ซึ่งตามปกติลูกสาวของเธอพูดจาห้วนและชอบทำหน้ารำคาญทุกอย่างเหมือนโกรธคนทั้งโลกเพราะปมที่เธอไม่ใช่น้องคนสุดท้องทำให้เธอเอาแต่ใจจนอาละวาดและโทษว่าเป็นความผิดของพ่อและแม่ของตัวเอง
“เอ่อ… ถ้าอย่างนั้นใส่แค่ต่างหูเพชรอันเล็ก ๆ ก็ได้ อันนี้นะจ๊ะแม่จะใส่ให้”
“ไม่ต้อง ๆ ค่ะหนูใส่เองก็ได้ค่ะแม่แค่นี้เองแต่พวกนั้นไม่เอานะคะมันหนักและก็ดูเยอะมากเกินไป ไปทานข้าวกับผู้ใหญ่สวมไปอย่างกับเครื่องเพชรเดินได้แบบนี้เป็นขี้ปากเขาเปล่า ๆเดี๋ยวจะหาว่าหนูไม่รู้จักกาลเทศะ”
ฟางหยงไม่เคยคิดว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากลูกสาวคนเล็กของเธอได้ ปกติเธอชอบประโคมแต่งตัวหรูหราและสวมเครื่องประดับราคาแพงเพื่อให้คนอื่นไม่ดูถูกเธอที่เธอโง่และไม่มีความรู้แต่วันนี้กลับสวมเพียงแต่น้อยและยังพูดคำว่ากาลเทศะออกมาด้วย
“คุณแม่คะ เป็นอะไรไปคะ”
“เอ้อ… เปล่า ๆ แม่กำลังคิดว่าต้องสวมเสื้อคลุมไปหน่อยนะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว”
“ค่ะ”
เธอไม่ได้เถียงอะไรแต่ยอมให้คุณนายลู่จับเธอสวมชุดที่ดูเหมาะสมซึ่งเธอคิดว่าไม่จำเป็นต้องสวมเครื่องประดับมากมายลู่เหม่ยหลินก็ดูสวยตามวัยอยู่แล้ว
“ไปกันเถอะคุณพ่อรออยู่ข้างล่างแล้ว”
“คุณพ่อเหรอคะ”
คำว่า “คุณพ่อ” ดูห่างไกลจากเธอมากในชาติก่อนเพราะแม้แต่หน้าพ่อกับแม่เธอก็ไม่เคยเห็น ในเมื่อชาตินี้มีโอกาสมีพ่อแม่กับเขาเธอก็จะทำให้ดีแต่ว่าต้องผ่านเรื่องยุ่ง ๆ ในวันนี้ไปให้ได้เสียก่อน
“คุณคะอาหลินมาแล้วค่ะ”
“ลู่ตานถง” ละจากหนังสือพิมพ์ในมือก่อนจะหันมามองเธอ ใบหน้าของผู้ชายสูงอายุข้างล่างดูดุกว่าที่เธอคิด เขาสวมชุดสูทที่ดูดีซึ่งในยุคนี้ถือว่าต้องเป็นคนที่มีฐานะถึงจะสั่งตัดชุดอย่างที่พวกเธอสวมกันได้
“คุณพ่อ”
ลู่ตานถงกะพริบตาเล็กน้อยเมื่อลูกของเขาเรียกว่า “คุณพ่อ” ซึ่งปกติเธอจะเรียกเพียงห้วน ๆ ว่าพ่อเฉย ๆ อีกทั้งท่าทางที่แปลกไป ดูเรียบร้อยและดูสวยตามวัยทำให้คนเป็นพ่อมายี่สิบกว่าปีนี้ของเธอไม่คุ้นเคย
“อาหลินนี่ลูกไม่สบายหรือเปล่า ตัวร้อนไหมหรือว่าลูกนอนนานเกินไปถึงได้ดูแปลก ๆ ลูกรู้สึกเวียนหัวหรือ หรือ…”
“คุณคะ ฉันถามแล้วลูกไม่ได้เป็นอะไรแค่นอนนานไปเท่านั้น”
“จริงเหรอ”
เสียงจริงจังที่ถามขึ้นทำให้ทั้งคู่ตกใจ “ลู่ตานถง” แม้จะสวมสูทที่ดูหรูหราแต่มาดความเป็นพ่อค้าและพูดจาโผงผางของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปและเขาก็เป็นคนที่เข้ากับคนได้ง่ายอีกด้วย เหม่ยหลินรู้สึกโชคดีอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะมีครอบครัวที่ดีขนาดนี้ในชาตินี้และเริ่มไม่เข้าใจเจ้าของร่างว่าเธอยังไม่พอใจอะไรอีก และเกิดอะไรขึ้นทำไมเธอถึงเข้ามาอยู่ในร่างนี้
ร้านอาหาร
“คุณแม่คะหนูจะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อยคุณแม่กับคุณพ่อเข้าไปก่อนนะคะ”
“ให้แม่รอไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูทราบห้องแล้วเดี๋ยวตามไปได้ค่ะ”
“อ้อ งั้นก็เร็ว ๆ หน่อยนะให้ผู้ใหญ่รอนานมันจะไม่เหมาะ”
“ค่ะ”
ลู่เหม่ยหลินแค่อยากจะมาพักหายใจสักหน่อย ตลอดทางที่นั่งในรถมาพ่อกับแม่ของเธอเอาแต่คุยเรื่องของคุณชายเฉินคนนั้นไม่หยุดซึ่งเธอไม่เคยพบหน้าและไม่รู้เลยว่าเคยชอบเขาแบบไหน
แต่หากฟังจากที่อาหงบอก เธอไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของเขาเท่าไหร่นัก เพราะเขาทำงานในโรงพยาบาล ส่วนเธอเป็นสาวสังคมที่เอาแต่หว่านเงินเพื่อซื้อเพื่อนและใช้เงินเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในวงสังคม
“หายใจแทบไม่ออก ขอพักหายใจหน่อยเถอะ”
ตั้งแต่เธอตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ที่ถูกพามาที่ร้านอาหารกลางเมืองเธอก็แทบจะไม่ได้ตั้งสติกับตัวเองให้ดี ๆ เลยว่าจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะดูไม่ตลกต่อหน้าคนอื่น จู่ ๆ ต้องมาเจอกับคนที่จะต้องหมั้นด้วย เดี๋ยวนะ “หมั้นเหรอ”
“อะไรนะ นี่ไม่ใช่ว่าจะเป็นการนัดกันเพื่อคุยเรื่องการหมั้นหรอกนะ”
ลู่เหม่ยหลินพยายามหายใจเข้าออกอยู่นานก่อนจะรีบตั้งสติให้ได้ เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำและจะเดินเข้าไปที่โซนห้องส่วนตัวซึ่งพ่อกับแม่ของเธอเดินเข้าไปก่อนแล้ว แต่เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็ชนเข้ากับคนที่กำลังจะเดินเข้าไปข้างในเช่นกัน เมื่อรู้ตัวจึงรีบเงยหน้าและโค้งคำนับขอโทษเขาด้วยความรู้สึกผิด
“ขอโทษด้วยนะคะฉันไม่ทันได้มองคุณเป็นอะไรไหมคะ”
เมื่อเหม่ยหลินเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเขาเป็นผู้ชายในชุดสูทหรูและหล่อมากคนหนึ่ง ผิวขาวสูงสวมแว่นตาและสวมโค้ตพร้อมกับผ้าพันคอครบชุดก่อนที่เขาจะพูดอะไรเธอก็รีบดึงสติและก้มหัวขอโทษเขาอีกครั้ง
“ขอโทษอีกครั้งนะคะ ถ้าคุณไม่เป็นอะไรฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เธอก้มให้เขาทั้งหมดสามครั้งจนคนที่ถูกชนรู้สึกแปลกใจและหันมามองผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกัน ลู่เหม่ยหลินรีบเดินเข้าไปก่อนพวกเขา เมื่อเธอเดินเข้าห้องไปแล้วพวกเขาจึงหันมามองหน้ากัน
“นี่เธอจำฉันไม่ได้เหรอ”
“พี่รอง ถ้าผมเป็นเธอเห็นพี่ทำหน้าบึ้งแบบนั้นก็คงกลัวเหมือนกันแหละครับ”
“ฉันหน้าบึ้งเหรอ แต่ว่าเธอคือ…”
“ใช่แล้วเธอคือลู่เหม่ยหลินคนดังในหมู่สาว ๆ แต่ทำไมดูผิดจากที่ได้ยินมา นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอพี่สักหน่อย ปกติเธอคลั่งพี่จะตายใคร ๆ ก็รู้ดีแต่ท่าทางแบบนี้มันอะไรกัน เหมือนกับว่าเธอพึ่งจะเคยเห็นพี่อย่างนั้นแหละ”
“พูดมากน่า พ่อกับแม่มาหรือยัง”
“มานานแล้วรอแต่พี่นั่นแหละ นี่ถึงกับสั่งให้ผมออกเวรจากค่ายมารับพี่ที่โรงพยาบาลเลยนะเพราะกลัวว่าพี่จะไม่มาน่ะสิ”
“น่าเบื่อ ก็แค่อยากดองกับพวกพ่อค้าไม่ใช่หรือไง”
“หรือว่าพี่อยากจะเลือก “น้องหลิวซีอิ๋ง” ที่คุณย่าหามาให้แทนล่ะ ผมว่าเธอก็ดูน่ารักดีนะถ้าไม่พยายามดัดเสียงให้ดูน่ารักและร้องไห้บ่อยไปหน่อย”
“แต่ถ้าเทียบกับผู้หญิงอย่าง…”
“ลู่เหม่ยหลินเป็นคนหยิ่ง จองหองเอาแต่ใจตัวเองไม่ยอมคน ดื้อและอวดดี ซึ่งเทียบกับหลิวซีอิ๋งเด็กดีของคุณย่าที่ทั้งอ่อนหวานว่าง่ายเหมือนผ้าพับไว้ อืม เป็นพี่ก็เลือกยากจริง ๆ แต่เอาเถอะ เก็บเอาไว้ทั้งคู่ก็น่าสนุกดีนะครับ”
“พูดมากน่ะ ใครจะไปแต่งอะไรมากมายแค่คนเดียวก็วุ่นวายพอแล้ว”
“พี่จะยอมหมั้นกับลู่เหม่ยหลินจริงเหรอครับ”
“หึ ก็แค่หมั้นเพื่อแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือไม่ใช่เหรอ ถ้าจบแล้วไปกันไม่ได้....”
“พี่… อย่าบอกนะว่าพี่ไม่ได้คิดที่จะแต่งงานกับเธอจริง ๆ น่ะ”
“แต่งหรือไม่แต่งสำหรับฉันมันไม่ได้ต่างกันเลยยิ่งคนอย่างลู่เหม่ยหลินนั่น… ถ้าเป็นอย่างที่นายกับฉันเคยเห็นนายคิดว่าคนอย่างฉันจะรักเธอได้งั้นเหรอ”
ห้องส่วนตัวลู่เหม่ยหลินที่เดินเข้ามาในห้องส่วนตัวก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ในห้องมีทั้งพ่อแม่ของเธอและผู้ใหญ่อีกสองคนซึ่งเป็นผู้หญิงหน้าตายิ้มแย้มใจดีและผู้ชายที่ดุอีกคนหนึ่ง ซึ่งมองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าเขาคือนายพลเฉินพ่อของคุณชายเฉินคนนั้นอย่างแน่นอน“อ้าวอาหลินมาแล้วเหรอ มาทักทายคุณลุงคุณป้าเร็ว ๆ เข้า”เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปอย่างเรียบร้อยจนแม้แต่นายพลเฉินเองก็คิดว่าเธอแสร้งทำ เขาแสยะยิ้มนิดหน่อยเพราะไม่ได้ชอบพอเธอแต่ก็ไม่ได้แสดงออกว่าไม่ชอบเมื่อเธอหันมาโค้งทักทายพวกเขา“สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า ลู่เหม่ยหลินค่ะขอโทษด้วยนะคะที่ให้คุณลุงกับคุณป้าต้องรอนาน”ของนายพลเฉินถึงกับนิ่งไปเมื่อได้ยินลู่เหม่ยหลินที่ยืนทักทายและเอ่ยปากขอโทษพวกเขาเพียงแค่เดินเข้ามาช้า หรือนี่จะเป็นท่าทีใหม่ที่บ้านตระกูลลู่อบรมลูกสาวมางั้นเหรอ“ไม่เป็นไรหรอกเราเองก็พึ่งมา นั่งก่อนสิลูกชายผมต่างหากที่เสียมารยาทจนป่านนี้ก็ยังมาไม่ถึงเลย”“ขอบคุณค่ะ”นายพลเฉินต้องตกใจอีกครั้งเมื่อลู่เหม่ยหลินเอ่ยขอบคุณที่เขาเชิญเธอนั่ง ไวน์ขาวในมือแกว่งไปมาพร้อมกับมองท่าทางที่เปลี่ยนไปจากคนหยิ่งจองหองไม่เห็นหัวผู้ใหญ่อย่างเธอ แต่ผ่
ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตกใจไปเล็กน้อย คุณนายเฉินถึงขึ้นยกมือทาบอกเพราะไม่เคยคิดว่าเหม่ยหลินจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา แม้ว่าเฉินต้าเว่ยจะมองเธอนิ่ง ๆ ก็ตาม“หนูก็แค่ถามดูเท่านั้นเอง”“ได้ ไม่ผิดหรอกยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ที่จริงการหมั้นหมายก็เป็นส่วนหนึ่งหากว่าในอนาคตเธอไม่ยินยอม ก็สามารถถอนหมั้นกับผมได้เลย”เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะแอบยิ้มออกมา นี่ยังไม่ทันหมั้นกับเขาก็นึกถึงเรื่องถอนหมั้นแล้วงั้นเหรอ เขาเป็นเพื่อนเล่นของเธอหรือไง ตลอดเวลาเอาแต่พูดถึงเขาตามงานสังคมและข่มขู่ผู้หญิงหลายคนที่คิดจะเข้าหาเขาแต่ทำไมมาวันนี้กลับอยากจะถอนหมั้นเองเสียอย่างนั้น“เอาเป็นว่าอย่าพึ่งพูดเรื่องนั้นเลยนะคะ คุณลู่คะฉันว่าเรามาคุยเรื่องจัดงานกันดีกว่าค่ะ แขกที่จะเชิญมามีแค่ญาติ ๆ..”หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อหันมามองตาดุ ๆ ของแม่เธอก็ทำให้เหม่ยหลินรู้สึกอึดอัดเธอจึงขอตัวออกไปเดินเล่นในสวนเพื่อลดความเครียดในวันนี้ ซึ่งเธอออกไปไม่นานเฉินต้าเว่ยก็ตามเธอออกไปสวนด้านนอก"ให้ตายเถอะ มีโอกาสเกิดมาเป็นลูกคนรวยสักทีก็อยากจะอยู่ใช้เงินสักหน่อยทำไมจะต้องรีบหมั้นแล้วมาแต่งงานกับอีตาหน้าตายนั่นด้วยล่ะ"เธอบ่นไปพร้อม
“ฟางหยง” เพียงแค่ยกน้ำชาขึ้นมาจิบตามหลังจากที่เหม่ยหลินพูดตอกกลับสองแม่ลูกกลับไปโดยที่เธอไม่ต้องออกแรง คิดไม่ถึงว่าลูกสาวของเธอจะโตขึ้นมากขนาดนี้ หว่านเจินเหมือนกับถูกน้ำกรดสาดหน้าก็ไม่ปาน แม้แต่รุ่ยถิงก็ยังรู้สึกได้ว่าลู่เหม่ยหลินรับมือได้ยากกว่าเดิม“ว่าแต่รุ่ยถิงเรียนบัญชีมาไม่ใช่เหรอ ดีดลูกคิดเป็นหรือยัง”“คือว่า... ก็พอได้ค่ะ”“แค่พอได้เหรอ แย่จังที่จริงจะอาศัยเครื่องคิดเลขสมัยใหม่มาช่วยคิดน่ะใคร ๆ ก็เรียนได้แต่ศิลปะการดีดลูกคิดลับสมองได้ดีกว่า นี่คงไม่บอกนะว่าสอบผ่านมาได้ด้วยการใช้เครื่องคิดเลขช่วยน่ะ”“แต่ว่า… อาจารย์ก็ไม่ได้ห้ามให้เอาเข้าไปสอบนี่คะ”“ไอหยา!! อะไรนะอาถิงนี่ยังดีดลูกคิดไม่เป็นงั้นเหรอ แต่ที่ร้านของเราใช้ดีดลูกคิดตลอด ถึงจะคิดเงินได้เร็วพ่อบอกแล้วไงว่าอย่าไปพึ่งเครื่องมือพวกนี้มากมันเชื่อถือไม่ได้ ไม่ได้เรื่องเลย รีบ ๆ เอาของไปเก็บเถอะไป”“คุณพ่อคะ...”“คุณพ่อคะบัญชีที่เอามาให้หนูตรวจเมื่อวันก่อนมีผิดอยู่สองหน้านะคะ พ่อจะเอาไปให้ลุงกวงตรวจก่อนก็ได้ค่ะ ดูเหมือนว่าจะมีเงินเกินอยู่สามหยวนที่หาที่มาไม่ได้ น่าจะคิดเงินลูกค้าเกินหรือไม่ก็ลุงกวงคงลืมลงรายการไว้ค่ะ”“งั้
“น้องรู้เรื่องยาจีนพวกนี้ด้วยเหรอ”“คือว่าตอนเรียนมหาลัยมีอาจารย์มาสอนก็ครูพักลักจำมานิดหน่อยค่ะ”“คิดไม่ถึงว่าจะรู้มากถึงขนาดซื้อตำรับยาได้แต่ว่ายานั่นก็ทำให้อาเซียงลดอาการแพ้ท้องลงไปได้จริง ๆ นะครับคุณแม่ อาเซียงยังบอกว่าดื่มยาทุกคืนก่อนนอนแล้วเหมือนหลับสนิทไปเลยตื่นเช้ามาก็สดชื่นไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากอาหลิน”“ลองชิมขนมสิ น้องทำเองเลยนะเอาไว้รอต้อนรับลูกกลับบ้าน”รุ่ยถิงนั่งนิ่งราวกับเป็นอากาศ หว่านเจินเองก็ไม่ต่างกันเมื่อทุกคนหันความสนใจไปที่ขนมและชารสเลิศที่ลู่เหม่ยหลินเป็นคนสรรหามาให้“จริงสิ พี่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้อาหลินจะชอบอะไร พี่ก็เลยซื้อสร้อยมุกมาให้”“โอ้โหพี่รองได้สร้อยมุกเลยเหรอคะ”รุ่งอิงเผลอตัวพูดออกไปด้วยความน้อยใจซึ่งสำหรับเธอแล้วสร้อยมุกนั่นมันสวยมากและน่าจะดีกว่าลูกคิดที่เธอได้รับ“พี่รองคะ เมื่อกี้พี่บอกว่าลูกคิดของพี่เริ่มพังแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่เอาสร้อยมุกนั่นมาแลกกับลูกคิดอันนี้ของฉันดีไหมคะ”เหม่ยหลินหันมาที่พี่ใหญ่ก่อนที่จะหันไปที่สายตาละโมบของรุ่ยถิงที่กำลังมองกล่องไข่มุกของเธอซึ่งเป็นของขวัญที่เย่าหยางตั้งใจซื้อมาให้ เหม่ยหลินปิดฝากล่องลงพร้อมกับความตกใจของรุ่ยถ
เจ้าสาวในชุดกี่เพ้าเต็มรูปแบบพิธีการสีแดงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแขกในงานที่รีบหันไปดูก่อนที่เฉินหยวนลี่จะเดินมาเปิดประตูให้กับเจ้าบ่าวลงมาจากรถทันทีที่หมอเฉินในชุดสูทสีดำเนคไทแดงติดเข็มกลัดเจ้าบ่าวกางเกงสีดำเดินลงมาก็สะกดทุกสายตาให้หันไปมองโดยเฉพาะ “ลู่รุ่ยถิง” ที่ตกตะลึงกับความหล่อของว่าที่พี่เขยในทันที“แม่… นั่นคือ”“หมอเฉินยังไงล่ะ เฉินต้าเว่ยคุณชายรองตระกูลเฉิน”“เขาหล่อจังเลย ที่จริงแล้วหนูก็แต่งกับเขาได้ใช่ไหมคะถ้าพี่รองยอมเพราะตามธรรมเนียมแล้วผู้ชายมีเมียหลายคนได้ไม่ใช่เรื่องแปลก”“จะบ้าเหรอคิดอะไรแบบนั้น”“ก็…. หนูว่าเขาดูดีออกนี่คะอีกอย่างเขาเป็นถึงคุณหมอและตระกูลเฉินก็ยังเป็นตระกูลทหารที่เก่าแก่มีชื่อเสียง”“อยากเป็นเมียน้อยเหมือนแม่เหรอ แกเลิกคิดเรื่องบ้า ๆ นี้ไปได้เลยแม่ไม่มีทางยอมให้แกเป็นเบี้ยล่างนังลูกเมียใหญ่นั่นอีกหรอก”แต่ลู่รุ่ยถิงกลับไม่ได้คิดแบบนั้น เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่น่ามองและมีเสน่ห์เท่ากับเฉินต้าเว่ยมาก่อนเลย เขาทั้งดูดี หล่อและดูเป็นผู้ใหญ่ เมื่อหยวนลี่ยื่นช่อดอกไม้ให้เฉินต้าเว่ยก็เดินเข้าไปข้างในตรงที่โต๊ะพิธีหมั้นที่มีเจ้าสาวของเขานั่งอยู่วัน
รุ่ยถิงหน้าชาเหมือนกับถูกลากมาตบจนไม่มีความรู้สึก เธอแทบจะควบคุมสติไม่อยู่เมื่อนายพลเฉินและภรรยาเดินไปขึ้นรถโดยมีเหม่ยหลินและพ่อกับแม่เดินไปส่ง พี่ใหญ่เย่าหยางหันมามองเธอด้วยสายตาที่เคยใช้กับเหม่ยหลินมาก่อน สายตาของความโมโหและสมเพช“พี่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะทำตัวแบบนี้ในวันสำคัญ อาถิงเธอโตแล้วนะการที่จะพูดอะไรควรจะคิดให้มากกว่านี้ แม่เล็กครับถ้าครั้งหน้ายังมีเหตุการณ์แบบนี้อีกระวังนะครับว่าพวกคุณจะไม่ได้อะไรจากตระกูลลู่เลยแม้แต่อย่างเดียว”“พี่ใหญ่ลำเอียง พี่ใหญ่เข้าข้างแต่พี่รอง”เขาได้ยินคำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ครั้งนี้แค่เปลี่ยนจากเหม่ยหลินกลายเป็นรุ่ยถิงแทน“อาถิงลองกลับเอาไปคิดดูว่าสิ่งที่คุณพ่อลงโทษไป สิ่งที่พี่พูดผิดหรือเปล่า อีกอย่างคุณนายเฉินก็เป็นคนพูดออกมาแล้วเรื่องนี้ยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ แม่เล็กพาเธอกลับไปสงบสติอารมณ์เถอะครับ เรื่องการลงโทษคุณพ่อคงจะสั่งไปทีหลังช่วงนี้ก็งดมาที่ตึกใหญ่สักพักเถอะครับ”“อาหยาง คือว่าน้องยังเด็กอย่าถือสาแกเลย”“เธออายุยี่สิบสองแล้วนะครับ เรียนเกือบจะจบมหาลัยถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าแม่เล็กยังเอาแต่เหตุผลนี้มาอ้างผมว่าคนที่จะเดือดร้อนใ
เฉินต้าเว่ยเดินมาพร้อมกับแฟ้มในมือและใบหน้าที่ค่อนข้างบูดบึ้งนิดหน่อยเมื่อเดินเข้ามาหาเธอและโจเซฟที่กำลังจะเดินไปที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่“คุณหมอเฉิน เอ่อ…. พี่ต้าเว่ย”“ต้าเว่ย คุณคือคุณหมอเฉินต้าเว่ย ผมโจเซฟหมอคนใหม่ที่จะมารายงานตัว”ต้าเว่ยหันมามองที่ฝรั่งตัวโตข้าง ๆ เธอ ที่ยื่นมือมาจับมือกับเขาก่อนจะถามไถ่อีกฝ่ายด้วยความดีใจด้วยภาษาอังกฤษเช่นกัน“คุณโจเซฟ ยินดีมากครับผมคิดว่าคุณจะมาถึงอีกสองวันข้างหน้าเสียอีก ไม่คิดว่าจะมาถึงก่อนกำหนด”“โอ้ว ผมคิดพิเรนทร์นิดหน่อยน่ะสิก็เลยเดินเล่นมาเรื่อย ๆ จนหลงทาง โชคดีที่เจอไมลี่ย์ระหว่างทางเธอเลยอาสามาส่งเธอน่ารักมาก ๆ ว่าแต่พวกคุณรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ”“คือว่าตอนนี้คุณก็ได้พบกับคุณหมอแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะหมอโจว”“โอ้ ขอบใจมากไมลี่ย์”โจเซฟไม่รั้งรอเขายื่นมือออกไปให้เธอจับ เหม่ยหลินจับมือเขาก่อนที่จะหันไปมองต้าเว่ยที่มองเธอด้วยความตกใจเพราะเขาไม่คิดว่าเธอจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องถึงขนาดนี้“คือว่าออกมานานแล้ว ตอนนี้ทิ้งอาหงไว้ถ้าอย่างนั้น…”“คุณรอผมอยู่นี่เดี๋ยวผมมา นั่งรอตรงนั้นอย่าไปไหนเดี๋ยวผมจะเดินไปส่ง”“แต่ว่าฉันมากับอาหง”“ผมบอ
วันถัดมา “พอแล้วอาหง อันนี้ไม่เอาเยอะเกินไป อันนี้ก็ใหญ่ไป สวมสร้อยคอเล็ก ๆ ก็พอนี่มันงานเลี้ยงในบ้านนะ”“แต่ว่าคุณนายบอกว่าให้คุณหนูสวมเครื่องเพชรชุดนี้นะคะจะได้ไม่น้อยหน้าคนอื่น”“แค่ชุดขนเฟลอร์นี่ก็หนักจะตายอยู่แล้วอย่าเอาอะไรมาสวมให้มากเลย เอาต่างหูคู่เก่ามา”“แต่ชุดนี้เคยใส่ไปแล้วนะคะ”“ใส่แล้วก็ใส่ได้อีกทำไมล่ะ มันเบาที่สุดแล้ว”ไม่นานเสียงแตรรถยนต์ก็ดังขึ้นมาจากหน้าบ้าน รถของเฉินต้าเว่ยค่อย ๆ ขับเข้ามาในบ้านเพื่อมารับเธอตามเวลานัด ที่จริงต้องบอกว่าวันนี้เขามาถึงก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง“ตานี่ก็รีบเกินไปแล้วนี่มันยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย เร็ว ๆ เข้าอาหงกระเป๋าฉันล่ะ กล่องนั่นด้วยอย่าลืมยกไป”“ได้ค่ะ ๆ”เหม่ยหลินส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป อาหงเดินไปเปิดประตูและเดินตามเธอลงไป หมอเฉินนั่งรออยู่ที่โซฟาชั้นล่างเมื่อเธอเดินลงมาเขาก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง ดูเหมือนว่าคู่หมั้นของเขาจะสวยขึ้นในทุก ๆ ครั้งที่พบเธอ หรืออาจจะเป็นเพราะท่าทางที่นิ่งและดูสง่างามผิดกับเมื่อก่อนละมั้ง เธอเองก็มองมาที่เขาแล้วรู้สึกวูบวาบขึ้นมาที่หัวใจเหมือนกัน คุณหมอในชุดสูทสีดำเรี