“แกใครน่ะหล่อมากเลย” เสียงชะเอมพูดขึ้นมาอย่างหลงไหลเมื่อได้เห็นใบหน้าของคุณเพลิง“มีผู้ชายหล่อขนาดนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอเนี่ย” มีนยกมือขึ้นมาป้องปากตกตะลึงในความหล่อของคุณเพลิงที่ลงมาจากรถสปอร์ตคันหรูเขาหล่อ มันไม่แปลกที่เพื่อนของฉันจะพากันชื่นชมและตกตะลึง เพราะฉันก็เคยตกอยู่ในอาการนั้นมาก่อน แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าความหล่อและความดูดีมันก็เป็นแค่เปลือกภายนอก เพราะเขานั้นโหดร้ายที่สุด“คุณธนดลรอเราอยู่นะ รีบไปกันเถอะ” ฉันกระซิบบอกเพื่อนสองคนที่เอาแต่ต้องมองคุณเพลิงสายตาคมกริบของคุณเพลิงกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะจ้องมาหยุดที่ฉันกับเพื่อน ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเมื่อถูกสายตาแบบนั้นมองมาเหตุการณ์วันนั้นมันผุดเข้ามาในหัวอัตโนมัติ ทั้งที่พยายามจะลืม พยายามไม่คิดถึงแล้วแท้ ๆ แต่พอเจอหน้าฉันกลับห้ามความคิดเอาไว้ไม่ได้“แกเขามองมาทางนี้” ชะเอมหวีดขึ้นมาอย่างกับเจอดารามองตัวเอง“ไปกันได้แล้ว” ฉันดึงรั้งเพื่อนทั้งสองคนให้เดินตาม คุณเพลิงยังเอาแต่จ้องมองมาทางนี้จนฉันไม่กล้าสบตาเขา “ยัยเอย แกจะรีบดึงมาทำไมเนี่ย” มีนหันมาถาม“ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอมันดูไม่ดีนะ” ฉันดุเพื่อน“ว่าแต่ผู้ชายคนนั้นเ
วันต่อมา#มหาวิทยาลัยฉันกับเพื่อนต่างตื่นเต้นกับการเปิดเทอมวันแรกเราสามคนทำตัวไม่ค่อยถูกเพราะที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทยด้วยจึงทำให้รู้สึกเกร็ง ๆ แต่เพื่อน ๆ ที่คณะก็เอ็นจอยดี ทุกคนเป็นกันเองมาก ๆ เลยทำให้ฉันกับเพื่อนคลายความเป็นกังวลไปได้บ้างพอคนอื่น ๆ รู้ว่าเราเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนต่างก็อยากเข้ามาคุยด้วย ตอนแรกฉันคิดว่าจะไม่มีใครอยากคุยกับพวกเราซะอีกเราได้เพื่อนใหม่ด้วยเป็นฝาแฝดชายหญิง ชื่อจัสตินกับจัสมิน ทั้งสองคนเป็นกันเองและน่ารักมาก ๆ ช่วยสอนภาษาให้ฉันกับเพื่อนด้วย“วันนี้ไปปาร์ตี้ที่บ้านฉันไหม” จัสมินชวนฉันกับเพื่อน ทั้งที่เพิ่งพูดคุยกันแต่ด้วยความเฟรนลี่ของเธอจึงชวนพวกฉันอย่างสนิทสนม“คงไม่ได้หรอกจัสมิน พวกฉันต้องทำงานพาร์ทไทม์กันหลังเลิกเรียน” มีนตอบ“อ๋อ งั้นไม่เป็นไรเอาไว้ไปวันหยุดก็ได้ ^_^”“นี่ ๆ ขอถามหน่อยสิ” ชะเอมขยับเข้าไปถามใกล้ ๆ จัสมิน แล้วพูดแบบกระซิบ “จัสตินมีแฟนหรือยัง”ฉันกับมีนมองหน้ากัน ถึงชะเอมจะชอบหวีดผู้ชายหล่อ ๆ แต่ก็ไม่เคยถามแบบนี้กับใคร“ฮ่า ๆ บื้อแบบนั้นชาตินี้คงไม่มีแฟนหรอก” จัสมินตอบแล้วมองค้อนพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง พอรู้ว่าจัสตินไม่มีแฟนชะเอมก็ยิ้มน้อยยิ
ในขณะที่รถกำลังแล่นอยู่ฉันก็เอาแต่เงียบและใช้ความคิดหาวิธีหนี แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเสียงจากโทรศัพท์ของฉันเองฉันหันมองคุณเพลิงที่เหลือบตามามองเหมือนจะรำคาญเสียงโทรศัพท์ของฉันจึงรีบหยิบมันขึ้นมาเพื่อจะกดรับสาย แต่ทว่าไอ้หน้าจอนี่สิสัมผัสยากรูดนิ้วเป็นสิบครั้งก็ยังรับสายไม่ได้“ปิดเสียงโทรศัพท์ซะ” พอเสียงเรียกเข้ามันดังต่อเนื่องคุณเพลิงก็พูดขึ้นมาอย่างไม่ชอบใจ“ค่ะ”ฉันรีบกดปิดเครื่องไปเลย จะได้จบ ๆ เพราะปุ่มปิดเสียงด้านข้างมันหลุด ต้องหาไม้เล็ก ๆ มาจิ้มถึงจะลดเสียงได้คุณเพลิงมองโทรศัพท์ในมือของฉันก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมามองหน้า จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาหนัก ๆ“ไปห้างก่อน” เสียงของคุณเพลิงพูดขึ้นอีกครั้ง เขาสั่งคนขับรถมันโล่งอกที่ได้ยินคำสั่งนี้ เพราะอย่างน้อยฉันก็ไม่ได้ถูกเอาตัวไปทำเรื่องที่ไม่ดีก่อน การไปห่างอาจจะมีหนทางให้หนีรถหรูมาจอดในที่ห้าง มอง ๆ ไปก็คล้ายที่ไทย“ถ้าคุณเพลิงจะไปซื้อของงั้นเอยขอรออยู่ที่รถได้ไหมคะ” ฉันทำใจดีสู้เสือลองขอดู แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาอำมหิตและน้ำเสียงที่เกี้ยวกราด “ลงมา”สุดท้ายฉันก็จำใจลงจากรถเดินตามคุณเพลิงเข้ามาใน
ฉันวิ่งออกมาจากห้างโดยไม่สนสายตาใครถึงแม้จะถูกมองอย่างประหลาด พอวิ่งมาที่หน้าห้างแล้วก็รีบเรียกแท็กซี่กลับโรงแรมโชคดีที่พูดอังกฤษได้ไม่อย่างงั้นฉันคงกลับไม่ถูกแน่ ๆ#โรงแรม“ยัยเอยแกกลับแท็กซี่เหรอ ?” มีนที่กำลังยืนประจำหน้าฟอนต์ของโรงแรมเอ๋ยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ “แกทำแผนกนี้เหรอ?” ฉันเพิ่งรู้ว่าเอมได้ทำแผนกนี้“เปล่า ๆ พอดีพี่คนที่ยืนประจำไปเข้าห้องน้ำฉันก็เลยมาเฝ้าแทนให้”“อ๋อ…”“ว่าแต่แกเถอะ ไหนบอกจะมีรถของโรงแรมไปรับ ไหงได้ขึ้นแท็กซี่มา”“อ… เอ่อ” จะตอบไปว่ายังไงดีนะฉันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบตอบเมื่อหาข้ออ้างได้แล้ว “รถโรงแรมช้าน่ะฉันเลยกลับแท็กซี่”“อ๋อ ๆ แล้วนี่แกต้องไปทำงานไหม”“อื้อไปสิ” ฉันอ้างไปเพื่อให้เพื่อนไม่ต้องสงสัย ถ้าบอกว่าไม่ทำคงจะถูกจี้ถามหลายอย่าง“เลิกงานกี่ทุ่ม ฉันกับชะเอมว่าจะไปกินข้าวห้องแก”“ประมาณสามสี่ทุ่มน่ะ เดี๋ยวฉันรีบขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”“โอเคเลิกงานเจอกันนะ”ฉันยิ้มแห้งให้เพื่อนแล้วรีบสับขาเดินมาขึ้นลิฟต์ มีนกับชะเอมคงไม่สงสัยอะไร นี่สินะความรู้สึกของคนที่มีอะไรปิดบัง มันกลัวไปซะทุกอย่างเฮ้อ…พอมาถึงห้องฉันก็หยิบคีย์การ์ดขึ้นมาสแกน
ฉันหยิบชุดคลุมมาสวมใส่หลังจากที่คุณเพลิงเข้าไปแอบในตู้เสื้อผ้าแล้ว จากนั้นก็รีบไปเปิดประตูให้มีน“ช้ามากเลยแกฉี่จะราดอยู่แล้วเนี่ย อะนี่ฉันฝากเอาไปเก็บที่ครัวทีนะไม่ไหวแล้ว”มีนเอาถุงอาหารมาให้ฉันแล้วรีบวิ่งไปที่ห้องนอนเพื่อเข้าห้องน้ำ ทำเอาหัวใจของฉันมันเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะกลัวว่าคุณเพลิงจะโผล่ออกมาจากตู้เสื้อผ้าฉันรีบเอาของไปวางที่ครัวแล้วตามมีนไปอย่างระแวง แต่ก็โล่งอกที่คุณเพลิงรักษาคำพูด เขาไม่ออกมาให้เพื่อนฉันเห็น“เอย ห้องแกกว้างกว่าห้องพวกฉันอีกนะเนี่ย”“อ… อื้อ”“เตียงก็ใหญ่มาก ๆ ห้องสวยมาก ทำไมแกถึงได้ห้องดีจัง หรือว่า…” มีนยกมือขึ้นมาป้องปากแล้วทำตาโต “หรือว่าลูกชายของคุณธนดลชอบแก เขาชื่ออะไรนะ เพลิง ๆ อะไรนั่น”ฉันเบิกตากว้างเมื่อได้ยินมีนพูดแบบนั้น จึงรีบแก้ต่าง “จะบ้าเหรอแก คงเหลือว่างแค่ห้องนี้ละมั้ง”“ฉันคงคิดมากไปเองคุณเพลิงทั้งหล่อทั้งรวยล้นฟ้าขนาดนั้นจะมาชายตามองผู้หญิงธรรมดา ๆ แบบเราได้ยังไงเนอะ”“แกไม่รีบไปทำงานเหรอ”“วันนี้ไม่ค่อยยุ่ง ฉันขอนอนเล่นที่ห้องแกแป๊บนึงคงไม่มีใครรู้” พูดจบมีนก็เดินมานั่งลงบนเตียงแล้วเอนตัวนอนลงไปไม่มีใครรู้ได้ยังไงล่ะในเมื่อเจ้าของโร
“ลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า เธอต้องไปกับฉัน”“ปะ ไปไหนคะ แต่เอยนัดเพื่อนเอาไว้…” ฉันนอนอยู่บนเตียงกำผ้าห่มที่พันตัวแน่น“ฉันบอกให้ไปเธอก็ต้องไปไม่มีสิทธิ์ถามว่าจะไปไหน”“ทำไมต้องบังคับเอยด้วยคะ บอกกันดี ๆ ก็ได้นี่” สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่ชอบคือการถูกบังคับเพราะมันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองฉันรู้ว่าตอนนี้ไม่มีสิทธิ์ไปทักท้วงอะไรเพราะสถานะของฉันคือลูกหนี้ (ลูกหนี้แบบถูกมัดมือชก) ฉันไม่มีสิทธิ์ขัดอยู่แล้วแหละ“ฉันจะไปรอด้านนอกถ้าภายในห้านาทีเธอยังแต่งตัวไม่เสร็จ…” คุณเพลิงเดินมาใกล้ ๆ ฉันที่นอนอยู่ก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบพูด “ระวังจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าทั้งคืน”“…” ฉันเบือนหน้าหนีแต่กลับเป็นการเปิดโอกาสให้คุณเพลิงกดจูบลงมาที่ซอกคอ เขายิ้มมุมปากจากนั้นก็หยัดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินออกไปจากห้องในตอนนี้แรงจะลุกขึ้นยืนยังไม่มีเลย ผ้าปูที่นอนก็เปื้อนเลือด มันทั้งน่าขยะแขยงแงะน่าอับอายไม่ต่างจากครั้งแรกถึงจะเจ็บจนร้าวในขณะที่เดินแต่ก็ต้องจำทนลุกขึ้นมาหยิบเสื้อผ้าสวมใส่ เพราะมีเวลาจัดการตัวเองเพียงแค่ห้านาทีฉันจึงไม่สามารถอาบน้ำได้หลังจากแต่งตัวเสร็จฉันก็เดินออกมาด้านนอกห้องนอน เห็นคุณเพลิงนั่งรออยู่ที่โซฟ
“มันต้องแบบนี้สิวะ” คุณไฟมองมาทางฉันแล้วกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอปฯ ธนาคารเขากำลังซื้อขายฉันอยู่งั้นเหรอ ไม่คิดจะถามความสมัครใจของฉันเลยหรือไง“อ… เอยขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ฉันอ้างเหตุผลที่จะพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ก่อนที่อะไร ๆ จะเกิดขึ้นถึงฉันจะซื่อบื้อไปบ้างแต่ทั้งคู่พูดกันขนาดนั้นทำไมจะดูไม่ออก“เดี๋ยว” พอจะเดินไปที่ประตูเสียงของคุณไฟก็เรียกเอาไว้ซะก่อนทำให้ฉันหยุดชะงักแล้วหันมา “… คะ”“รู้หรือไงว่าห้องน้ำไปทางไหน เดินมั่ว ๆ ระวังจะเจอดี”“…” ไม่รู้ว่ามันเป็นคำขู่หรือแบบนั้นจริง ๆ แต่ก็ทำให้ฉันไม่กล้าออกไปข้างนอกแล้ว“กูโอนเงินให้มึงแล้วกูพาเธอไปได้เลยใช่ไหม ?”“อืม”“พรุ่งนี้เช้าจะส่งคืนให้นะครับคุณพี่ชาย” คุณไฟลุกขึ้นจากโซฟาเดินมา ฉันถอยหนีสามก้าวแล้วเอาแต่จ้องคุณเพลิง“เห็นเอยเป็นสินค้าที่จะขายต่อให้ใครก็ได้เหรอคะ” ฉันไม่เคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ มันโหดร้ายเกินไปแล้ว“เธอจะคิดแบบนั้นก็ได้” คุณเพลิงตอบกลับเสียงเรียบ เขามันเลือดเย็นจริง ๆ“ฉันกับไอ้เฮียเป็นพี่น้องกันใช่คนอื่นไกลที่ไหน”“แต่เอยไม่เต็มใจนี่คะ”“แปลว่าเธอเต็มใจอยู่กับฉันมาก ?” คุณเพลิงเลิก
“คุณเพลิงขายเอยเองนะคะ คิดว่าเอยเต็มใจมางั้นเหรอ”“เธอไม่มีสิทธิ์มาต่อปากต่อคำกับฉัน!!”“ผีเข้าเหรอวะไอ้เฮีย มึงจะหงุดหงิดทำไมในเมื่อขายเธอให้กูแล้ว”“มึงหุบปากไปเลยนะไอ้ไฟ” คุณเพลิงชี้หน้าน้องชายทำให้คุณไฟรีบปิดปากด้วยท่าทางยั่วโมโห“มึงทำอะไร ?”“ของหวงมึงกูจะกล้าทำอะไรวะ แค่แหย่เล่นนิดหน่อย” คุณไฟมองมาที่ฉัน คุณเพลิงเองก็มองเหมือนกันแล้วพูด “กูไม่ได้หวง”“เออกูเชื่อว่าที่มึงรีบตามมาถึงห้องกูขนาดนี้ไม่หวงเลยสักนิด”คุณเพลิงพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนจะกระชากตัวฉันออกไปจากห้องของน้องชาย“เดินช้า ๆ หน่อยได้ไหมคะ” ฉันท้วงเพราะถูกลากให้เดินตามแล้วคุณเพลิงเป็นคนสูงขายาว ส่วนฉันเป็นผู้หญิงขาสั้น ๆ มันก้าวไม่ทันเขาจู่ ๆ คุณเพลิงก็หยุดเดินแล้วหันมามองฉันครู่หนึ่งก่อนจะทำในสิ่งที่ตกใจสุดขีดร่างของฉันถูกอุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาวแล้วคุณเพลิงก็เดินไปทั้งที่ยังอุ้มฉันแบบนั้น“อ… อุ้มเอยทำไมคะ เอยเดินเองได้”“เงียบ ฉันรำคาญเสียงของเธอ”ฉันรีบเม้มปากแน่น แค่เสียงมันน่ารำคาญขนาดนั้นเลยหรือไง เกิดมาฉันก็เพิ่งเจอผู้ชายใจร้ายอย่างคุณเพลิงนี่แหละพอมาถึงที่รถร่างของฉันก็ถูกวางกระแทกลงที่เบาะ แค่วางลงดี ๆ เข
เวลาล่วงเลยผ่านไป ตอนนี้ฉันคลอดลูกชายที่น่ารักน่าชังออกมาแล้ว พี่เพลิงตั้งชื่อให้ลูกชายของเราว่า ดีแลนด์ ซึ่งชื่อก็ไม่ได้คล้องจองกับพ่อแม่แต่อย่างใด เป็นความชอบของคุณพ่อล้วน ๆ ตอนนี้น้องดีแลนด์อายุได้สองเดือนแล้ว ค่อนข้างเลี้ยงง่ายไม่งอแงเลยห้าเดือนแล้วที่ฉันไม่ได้กลับไทยแล้วคงต้องรอลูกโตกว่านี้ถึงจะพาขึ้นเครื่องบินได้ โชคดีหน่อยที่ได้คุยกับยายผ่านการวิดีโอคอลแบบเห็นหน้า ไม่อย่างนั้นคงต้องคิดถึงมากแน่ ๆวันนี้เพื่อนของฉันนัดเอาไว้ว่าจะมาเล่นกับหลาน เดี๋ยวคงจะมากันแล้ว มาอยู่ที่นี่ไม่เหงาเลยเพราะมีเพื่อน ๆ คอยแวะเวียนมาเล่นด้วยที่บ้านตอนนี้ฉันกับพี่เพลิงแต่งงานกันแล้ว เราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย“ดีแลนด์หลับไปแล้วเหรอ” พี่เพลิงเพิ่งกลับมาจากบริษัท ตั้งแต่คลอดดีแลนด์ออกมาเขาก็กลับบ้านเร็วทุกวัน“เพิ่งหลับไปเมื่อกี้เองค่ะ พี่เพลิงเหนื่อยไหมคะ” นี่คือคำถามที่ฉันมักจะถามพี่เพลิงทุกวันหลังจากเขากลับมาจากบริษัท“แค่เห็นหน้าภรรยาสุดสวยฉันก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” ไม่พูดเปล่าพี่เพลิงยังใช้มือหยิกแก้มฉันเบา ๆ ด้วย“นั่งลงสิคะเดี๋ยวเอยนวดให้”“เปลี่ยนจากนวดเป็นนาบแทนได้ไหม” พี่เพลิงถามเส
เพียงไม่ถึงห้านาทีทั้งครอบครัวของพี่เพลิงก็รู้ข่าวเรื่องที่ฉันท้อง เพราะเขาโทรไปบอก ทุกคนต่างดีใจกันยกใหญ่“แม่กับพ่อบอกว่าจะให้เราแต่งงานกันให้เร็วที่สุด”“เราเพิ่งหมั้นกันเองนะคะ ลูกคลอดแล้วค่อยแต่งก็ได้”“ไม่ได้ ต้องรีบแต่งถูกแล้ว”พี่เพลิงที่นั่งอยู่บนเตียงดึงฉันที่ยืนอยู่มาสวมกอด เขาใช้ฝ่ามือหนาลูบที่ท้องเบา ๆ“เธอท้องแล้วต้องย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศกับฉันนะรู้ไหม”“เอยยังอยากอยู่กับยายอยู่เลยนะคะ”“ถ้าอยู่ที่นี่ฉันจะดูแลเธอยังไง”“ให้เอยอยู่ที่นี่จนคลอด…”“ฉันไม่มีทางปล่อยให้เมียที่ท้องอยู่ไกลขนาดนี้แน่”“ไม่เอาแบบนี้สิคะพี่เพลิง”“เธอนั่นแหละอย่าดื้อ ตอนนี้กำลังจะเป็นแม่คนแล้วยังดื้ออยู่ได้”ฉันทำหน้าบึ้งเมื่อถูกดุ ก่อนจะคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ นั่นหมายความว่าฉันยอมไปอยู่ต่างประเทศกับพี่เพลิง“แต่ต้องสัญญานะคะว่าจะพาเอยกลับมาหายายที่ไทยทุกเดือน”“สัญญาครับ ไม่ต้องห่วงฉันจะจ้างแม่บ้านเพิ่มให้คอยดูแลและจะจ้างพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลสุขภาพยายของเธอ”“แบบนี้ทำให้เอยโล่งใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ^_^”“ไปห้างกัน” พี่เพลิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหลังจากพูดจบและตอนนี้เราก็อยู่กันที่ห้างสร
วันต่อมาตั้งใจว่าเมื่อคืนจะเผด็จศึกเด็กดื้ออย่างพี่เพลิงสักหน่อย แต่ว่าฉันนั้นอ้วกก็เลยได้นอนพักไปโดยไม่ทำอะไรเช้านี้ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะถูกรบกวนโดยฝ่ามือใหญ่ที่เอาแต่ลูบคลำไปทั่วทั้งตัว“เช้าแล้วนะ” เสียงแหบพร่ากระซิบบอกข้างหูฉันเบา ๆ“อื้อ พี่เพลิงอย่าเพิ่งกวนเอยสิคะ” ฉันตอบไปอย่างรำคาญ การถูกรบกวนเวลานอนเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดที่สุดเลยก็ว่าได้“วันนี้เธอมีเรียนนะ”“เพราะฉะนั้นพี่เพลิงก็ต้องปล่อยให้เอยนอนไงคะ” ฉันเถียงกลับโดยที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้น“ปกติเธอไม่ใช่คนขี้เซานะ วันนี้ทำไมถึงปลุกยากจัง”“เอยขอนอนต่ออีกหน่อยนะคะ”หลังจากพูดจบร่างกายที่อ่อนเพลียของฉันก็เตรียมพร้อมจะจำศีล แต่ทว่า!! กางเกงชุดนอนตัวบางดันถูกถอดออกไปจากเรียวขา“พี่เพลิง” ครั้งนี้ฉันลืมตาขึ้นมองพี่เพลิงตาดุ ใจคอเขาจะกวนแบบนี้ไปถึงไหนกัน“นอนไปสิ ฉันไม่ได้บังคับให้เธอตื่น” คนพูดหน้าทะเล้น ไม่พอแถมยังถอดกางเกงของตัวเองออกอีกด้วย“อื้อออไม่เอา เอยอยากนอน” ฉันเอามือปิดตรงนั้นของตัวเองเอาไว้ไม่ให้พี่เพลิงเอาแก่นกายสอดใส่เข้ามาได้“ถ้าอยากนอนก็นอนอยู่นิ่ง ๆ จะบิดไปมาทำไม”“พี่เพลิงเจ้าเล่ห์ที่สุดเลย” ฉันทำหน้าบึ้ง
ฉันยิ้มหวานก่อนจะแย่งแก้วไวน์จากมือพี่เพลิงมาดื่มทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธ แต่เพราะอยากมีความกล้าให้มากกว่านี้จึงต้องดื่มมัน“ขมจังค่ะ” ฉันยกมือขึ้นมาเช็ดปากหลังจากกระดกไวน์ไปหมดแก้ว“เขาให้จิบ ๆ ไม่ใช่ยกหมดแก้ว” พี่เพลิงบอกอย่างเอ็นดูในความไม่รู้ของฉัน“เอยไม่เคยดื่มนี่คะ”“แล้วจะดื่มทำไม”“ก็… ถ้าเมาเอยคงจะทำให้พี่เพลิงพอใจ” พูดจบฉันก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ก่อนจะพูดต่อ “เอยหมายถึงเรื่องบนเตียง”คนที่ได้ฟังประโยคนั้นเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะหยิบไวน์มาเทใส่แก้วแล้วดื่มฝ่ามือหนายกขึ้นมาประคองใบหน้าของฉันเอาไว้ก่อนจะกดจูบลงมาบนริมฝีปาก ไวน์ที่พี่เพลิงดื่มไปเมื่อครู่ถูกป้อนมาใส่ในปากของฉัน ก่อนที่จะผละริมฝีปากออก“อยากดื่มอีกไหม ?” พี่เพลิงถามเสียงหวาน“แค่นี้เอยก็เริ่มมึนหัวแล้วค่ะ”“พร้อมจัดการเด็กดื้อหรือยัง ?”“พ… พร้อมแล้วค่ะ”ฉันตอบอย่างเขินอาย สิ้นสุดคำตอบพี่เพลิงก็อุ้มร่างของฉันขึ้นแล้วเดินเข้ามาในห้องวางลงบนเตียงอย่างเบามือ จากนั้นก็คร่อมบนตัวของฉันเอาไว้“เอยต้องอยู่ด้านบนสิคะ” พูดจบฉันก็พลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนแทน“ฉันชอบที่เธอเร่าร้อนแบบนี้” พี่เพลิงบอกเสียงกระเส่า แววตาของเขามัน
หลังจากคุยเรื่องหมั้นเรียบร้อยแล้ววันนี้ทางครอบครัวพี่เพลิงได้พาครอบครัวฉันออกมากินข้าวนอกบ้าน ปกติยายไม่ชอบออกนอกบ้านเท่าไหร่แต่ครั้งนี้ยายยอมออกมากินข้าวด้วย“คุณยายครับ ผมซื้อบ้านเอาไว้หลังหนึ่งอยากจะให้ยายไปอยู่ที่นั่น ส่วนบ้านหลังนี้ผมจะลื้อแล้วสร้างหลังใหม่ให้ ยายโอเคหรือเปล่าครับ”“ถ้าพ่อหนุ่มคิดว่าดียายเองก็ไม่ขัด เพราะยายก็ไม่รู้จะอยู่ได้กี่ปี”“อย่าคิดแบบนั้นสิจ๊ะยาย ยายต้องอยู่รอดูลูกของหนูก่อนนะ”“ถ้างั้นก็รีบ ๆ มีซะสิ รีบ ๆ ปั๊มมันวันนี้เลย” คำตอบที่เร่งรีบของยายทำเอาฉันเบิกตากว้างเพราะตกใจ“ย… ยาย หนูยังเรียนไม่จบเลยนะคะ”“จริง ๆ รีบ ๆ มีหลานก็ดีนะหนูเอย พ่อกับแม่ก็อยากจะอุ้มหลายเร็ว ๆ” แม่ของพี่เพลิงพูดเสริมขึ้น ทุกคนเหมือนจะยินดีไม่ติดขัดอะไร คงมีแค่ฉันที่ค้าน“งั้นผมจะรีบปั๊มให้นะครับ” แบบนี้ก็เข้าทางพี่เพลิงเลยนะสิ เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยเชียว“เอยว่าเรียนจบแล้วค่อยคิดเรื่องมีลูกดีกว่าค่ะ ^_^”“ถ้าหนูเอยต้องการแบบนั้นเราก็ไม่ขัดจ้ะ แต่เรียนจบแล้วต้องรีบมีเลยนะ”แม่ของพี่เพลิงบอกด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้มีคนเดียวที่หน้าหงิกงอก็คือพี่เพลิงวันต่อมาวันนี้ทางบ้านฉันต้องย้ายออกไ
วันเวลาผ่านมาจนถึงวันที่พี่เพลิงต้องบินกลับต่างประเทศ#สนามบินพอต้องห่างกันใจฉันมันก็หวิว ๆ ถึงแม้จะรู้ดีว่าอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าพี่เพลิงก็จะกลับมา เขาจะมาขอหมั้นฉันอย่างเป็นทางการ“ไปถึงที่นู้นแล้วรีบโทรมาหาเอยนะคะ” “ไม่ชอบเลยที่ต้องห่างกันแบบนี้ แถมเธอยังชอบทำหน้าเศร้า” พี่เพลิงยกมือขึ้นมาลูบศีรษะฉันเบา ๆ“งั้นเอยจะยิ้มนะคะ” พูดจบฉันก็ฉีกยิ้มกว้าง แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูจะฝืน ๆ หน่อย ต้องห่างจากคนรักคงทำใจยิ้มอย่างดีใจไม่ได้หรอก“ฉันจะรีบเคลียร์งานแล้วกลับมาหาเธอ”“ต้องบินมาพร้อมคุณพ่อกับคุณแม่สิคะ ห้ามบินมาก่อนนะอีกแค่อาทิตย์เดียวเอง”“เวลาอาทิตย์เดียวสำหรับฉันมันนานมากจริง ๆ” พี่เพลิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะดึงฉันมาสวมกอดทุกการกระทำของเราทั้งคู่ตกอยู่ในสายตาของคุณธนดล ท่านมองเราทั้งคู่แล้วก็ยิ้มไม่ได้พูดแทรกปล่อยให้เราสองคนล่ำลากันอย่างเต็มที่หลังจากส่งพี่เพลิงขึ้นเครื่องแล้วฉันก็ต้องนั่งรถไปเรียนต่อ พยายามบอกกับตัวเองให้อดทนเข้าไว้อาทิตย์หน้าก็จะได้เจอกันแล้ว#ตอนเย็น“แฟนพี่เอยหนีกลับแล้วเหรอครับ ไม่มีคนคอยยืนเฝ้าที่บ้านเลย หรือว่าพี่เอยถูกทิ้ง” โอมน้องชายของฉันไม่ค่อยรู้เรื่องอ
ฉันได้แต่ยืนเงียบไม่กล้าสบตาพ่อของพี่เพลิง ท่านคงไม่อยากได้ฉันเป็นลูกสะใภ้แน่ ๆ“ยายของเธออยู่ข้างในบ้านใช่ไหม”“ช… ใช่ค่ะ”หลังจากคำตอบคุณธนดลก็เดินปรี่เข้าไปข้างในบ้าน ตอนนี้หน้าฉันเสียแล้ว ถ้าท่านพูดอะไรไม่ดีกับยายต้องเสียความรู้สึกมากแน่ ๆ“เอยว่าเราคงไปกันไม่รอดแล้วค่ะ” ฉันหันมาบอกพี่เพลิงที่กำลังยืนนิ่งอยู่“ทำไมเธอถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา”“พ่อของพี่เพลิงทำเหมือนไม่ชอบเอยแบบนั้น เราจะคบกันต่อได้ยังไง”“ฉันว่าเธอคิกมากไปนะเอิงเอย” ดูพี่เพลิงบอกสิ มาว่าฉันคิดมากได้ยังไงทั้งที่เห็น ๆ กันอยู่“คิดมากเหรอคะ ฟังจากน้ำเสียงพี่เพลิงก็น่าจะรู้” ฉันบอกเสียงสั่นก่อนหน้านี้ที่ทำก็แค่อยากดัดนิสัยไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันจบจริง ๆ พอมาเจอแบบนี้ทำให้ใจหวิว เหมือนเราต้องเลิกกันในวันนี้อย่างไงอย่างงั้น“มานี่ ไปฟังพ่อพูด” พี่อพลิงจับมือฉันจะพาเดินเข้าไปในบ้าน แต่ฉันสะบัดมือออก ถ้าเข้าไปฟังแล้วได้ยินอะไรอย่างที่คิดคงรับไม่ได้แน่ ๆ“ไม่ค่ะ เอยไม่ไป”“เธอนี่มันดื้อได้ใครนะ” พี่เพลิงขมวดคิ้วเข้มใส่ก่อนที่เขาจะคว้ามาจับมือฉันอีกครั้ง แล้วพาเดินเข้ามาในบ้านโดยที่ฉันร้องค้านอยู่“ไม่ค่ะ เอยบอกแล้วไงว่าไม
ฉันผลักตัวพี่เพลิงออกทำให้ตรงนั้นของเราหลุดออกจากกันทันที“ผลักทำไม” คนที่ถูกดันออกถามราวกับตัวเองไม่มีความผิด“เอยจะกลับแล้วค่ะ กรุณาใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วย” ฉันบอกเสียงเรียบก่อนจะชิงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าก่อนพี่เพลิงนั่งทำหน้ามุ่ยสำนึกผิด เขาไม่พูดอะไรได้แต่หยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่เงียบ ๆ#บ้านตลอดทางเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยจนกระทั่งถึงบ้าน ฉันหันมามองพี่เพลิงแล้วทำหน้าไม่พอใจใส่“คืนนี้เอยขอนอนคนเดียวนะคะ”“ล… แล้วฉันล่ะ เธอจะให้ฉันนอนที่ไหน” ใบหน้าคมคายเริ่มซีดเผือดเมื่อฉันบอกว่าจะนอนคนเดียว“พี่เพลิงหาที่นอนได้อยู่แล้วค่ะ แต่ถ้ามันหาไม่ได้จริง ๆ ก็นอนในรถไปเลย”“ขอโทษแล้วทำไมถึงยังโกรธอยู่อีก”“ขอโทษแล้วเอยต้องหายโกรธด้วยเหรอคะ”พูดจบฉันก็เปิดประตูลงจากรถทิ้งให้พี่เพลิงอยู่แบบนั้น เขาก็ไม่กล้าตามมานะ คงรู้ว่าฉันเอาจริงและตัวเองก็ผิดจริง ๆเข้ามาในห้องฉันก็ยังไม่นอน การทะเลาะกันมันทำให้ยากที่จะนอนหลับ ฉันคอยแอบย่องเดินมาส่องดูว่ารถของพี่เพลิงยังจอดอยู่หรือเปล่า จนแล้วจนเล่ารถก็ยังจอดอยู่ หมายความว่าเขานอนในรถจริง ๆ #วันต่อมาฉันไม่เจอพี่เพลิงรถก็ไม่อยู่ แต่เพราะต้องรีบไปเรียนบวกกั
ทั้งที่มีอะไรกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าครั้งนี้มันต่างออกไป สีหน้าท่าทางที่หน้ากลัวของพี่เพลิงทำให้ฉันสั่นไปทั้งตัว“เรากลับบ้านกันดีกว่านะคะ” ฉันพยายามขอร้อง“บอกแล้วไงว่าเธอต้องโดนอบรมสั่งสอน”“เอยไม่ผิดอะไรสักหน่อย”“คนผิดมักไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง” พี่เพลิงตอบเสียงเย็น ก่อนจะพูดต่อ “อ่า เจอแล้ว”สิ้นสุดคำพูดเสียงไฟเลี้ยวรถก็ดังขึ้น ฉันมองไปตรงหน้าคือม่านรูด พอมีรถขับเข้าก็จะมีคนคอยส่องไฟเรียกให้ตามไป รถของพี่เพลิงขับมาจอดที่ในม่านรูด“พี่เพลิงเอยไม่ชอบที่แบบนี้”“ลงรถ” แทนที่จะฟังกันแต่เขากลับกระชากเสียงใส่ฉันพี่เพลิงลงไปจากรถก่อน ตอนนี้พนักงานกำลังเปิดห้องให้ ส่วนฉันก็ยังนั่งอยู่ในรถไม่ยอมลงจนกระทั่งพนักงานม่านรูดคนนั้นเดินหายไป พี่เพลิงเปิดประตูทางฝั่งที่ฉันนั่งแล้วดึงให้ลงมาจากรถเขาดูจะโกรธเอามาก ๆ“อ… เอยเจ็บนะคะ”“เจ็บก็ดีจะได้จำ” เขาบอกเสียงแข็งแล้วลากฉันเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินไปล็อกประตูให้เรียบร้อย“เป็นบ้าไปแล้วเหรอคะ” ฉันถามเสียงสั่น“เพราะเธอที่ทำให้ฉันเป็นบ้า”“พี่เพลิงพาเอยกลับบ้านนะคะ เรากลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่านะ” ฉันขอร้องอีกครั้งแต่อีกค