เป็นความบังเอิญหรือจงใจสะกดรอยตามมา เธอก็สุดจะคาดเดาได้ แต่ความไม่ประมาทย่อมดีที่สุด เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่บ้านเธอวันก่อนทำให้ไม่วางใจคนตรงหน้านัก
“ไม่รบกวนคุณดีกว่าค่ะ ฉันกลับเองได้”
อีกฝ่ายมีทีท่าผงะไปนิดๆ นายปิยะแอบขุ่นข้องหมองใจกับคำว่า ‘คุณ’ ของคนเป็นลูก ดูเหมือนรุจารินจะได้รับกรรมพันธุ์ความหยิ่งยโสจองหองจากเมียเก่าของเขามาเต็มตัวทีเดียว คิดแล้วก็ให้หงุดหงิดไม่น้อย
“ฝนตกหนัก พ่อจอดรถตรงนี้นานๆ ไม่ได้ ขึ้นรถก่อนเถอะเดี๋ยวพ่อไปส่ง” พร้อมคำพูด มือของฝ่ายนั้นก็คว้าข้อมือเธอหมับ และหญิงสาวก็สะบัดมือทันทีด้วยความตกใจ และดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็คงตกใจเช่นกัน นายปิยะหน้าถอดสี แววตาสำนึกผิดเจือด้วยความหมองหม่นน้อยใจคู่นั้นทำเอาหญิงสาวแอบรู้สึกผิดนิดๆ หากคิดว่าเป็นเจตนาดี ก็ดูเหมือนเธอจะทำลายน้ำใจอีกฝ่ายไปไม่น้อย
“พ่อขอโทษนะลูก พ่อแค่เป็นห่วงกลัวหนูโดนฝนไม่สบาย เหมือนตอนเด็กๆ ไง เวลาหนูตากฝนหรือโดนละอองฝนนิดเดียวก็จะเป็นหวัดทุกที” หัวใจคนฟังกระตุกนิดๆ เมื่อยามได้ยินความหลังจากปากบิดาบังเกิดเกล้า
“แต่ไม่เป็นไรนะถ้าหนูรังเกียจพ่อ พ่อมันก็เลวน่ารังเกียจเองจริงๆ สมควรให้หนูกับแม่โกรธ แต่ขอให้หนูรู้ไว้ว่าพ่อสำนึกผิดและละอายใจทุกครั้ง”
รุจารินมองท่าทีอ่อนลงผิดกับวันก่อนที่พบกันที่บ้านอย่างชั่งใจ หากเป็นการแสดงก็ถือว่าบิดาเธอแสดงได้แนบเนียนมาก แต่ถ้าไม่ใช่การแสดงล่ะ มันก็น่าคิด...
“ถ้าหนูไม่ไว้ใจพ่อ งั้นก็ไม่เป็นไรลูก พ่อคงเลวมากจนเกินที่ลูกจะให้อภัย งั้นพ่อจะไม่มาให้หนูเห็นหน้าอีกแล้วกัน แต่ร่มนี่หนูเก็บไว้ใช้นะลูก เปียกฝนจะไม่สบาย แม่ของหนูก็จะเป็นห่วงด้วย”
ว่าแล้วชายมากวัยก็ยัดร่มใส่มือของลูกสาว ก่อนที่จะเดินคอตก ไหล่ลู่ตากฝนกลับไปที่รถ รุจารินเหลือบไปเห็นตำรวจจราจรเดินฝ่าสายฝนมาแต่ไกลเพราะรถจอดในที่ห้ามจอด เสี้ยววินาทีนั้นเอง ความถูกผิดในหัวใจเธอก็ตีกันให้สับสนวุ่นวาย แล้วสุดท้ายร่างระหงก็ลุกพรวดขึ้น พร้อมยื่นร่มในมือกางกั้นสายฝนให้ผู้เป็นบิดาอย่างลืมตัว
“ลูกจ๋า!” นายปิยะหน้าชื่นขึ้น ก่อนที่จะสลดลงในนาทีต่อมา
“เอาร่มของคุณคืนไปเถอะค่ะ หนูไม่ต้องการ”
“ไม่เป็นไรลูก พ่อไม่เป็น...”
“และถ้าไม่รบกวนคุณจนเกินไป หากพบรถเมล์หรือรถแท็กซี่ข้างหน้าก็ช่วยจอดให้หนูลงนิดนึงแล้วกันค่ะ” สีหน้าคนเป็นพ่อสดชื่นในพริบตา
“ดะ...ได้ลูกได้ หนูบอกมาแล้วกัน พ่อจะจอดให้ตามที่ลูกต้องการ”
รุจารินถอนหายใจเบาๆ เอาเถอะน่า ก็แค่รับน้ำใจไว้นิดหน่อย คงไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยื่นไมตรีมาให้โดยไม่หวังผลตอบแทนนี่นา
รถของนายปิยะไม่ใช่รถคันเดียวกับสมัยที่รุจารินกับแม่ยังอยู่ที่บ้านหลังนั้น แม้จะดูเก่าไปหน่อยแต่สภาพภายในก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ดีที่ฝนตกอากาศไม่ร้อนอบอ้าวมากนัก หากเจ้าของรถก็ยังคงเปิดแอร์เบาๆ
“หนาวไหมลูก พ่อมีเสื้อสูทที่เบาะด้านหลัง หนูจะหยิบมาห่มก่อนก็ได้นะ”
แน่นอนว่าหญิงสาวไม่หันไปหยิบเสื้อของอีกฝ่าย ยังคงนิ่งเฉย จนกระทั่งรถติดไฟแดง คนเป็นพ่อจึงหันไปหยิบเสื้อสูทตัวนั้นมายื่นคลุมให้เสียเอง
“ไม่เป็นไรค่ะ จ๋าไม่หนาว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบติดเย็นชา
“คลุมไว้เถอะลูก อากาศเย็นๆ เดี๋ยวจะไม่สบาย แม่หนูจะเป็นห่วง” คนขับตัดบท พอดีกับที่ไฟเขียวพอดี รุจารินจึงยอมคลุมเสื้อตัวนั้นเป็นการตัดรำคาญและเพราะเห็นแก่คำว่าแม่จะเป็นห่วง
กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของพ่อโรยรินแตะจมูกของเธอชวนให้คิดถึงวันเก่าเมื่อยามเป็นเด็กอีกครั้ง เธอชอบเอาเสื้อสูทของพ่อมาสวมเล่น เพราะชอบกลิ่นหอมสะอาดๆ ของน้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกลิ่นอาฟเตอร์เชฟของอีกฝ่าย ที่ทำให้จิตใจสงบผ่อนคลาย คราวนี้ก็เช่นกัน แต่ดูเหมือนเสื้อตัวนี้คงอยู่ในรถนานไปหน่อยจึงมีกลิ่นอับปนฉุนแปลกๆ ผสมมาจางๆ ด้วย
“หนูทำงานตำแหน่งอะไรเหรอ”
“พนักงานทั่วไปค่ะ” ตอบไปแบบเสียไม่ได้
“อืม...ดีจริง เมื่อกี้ตอนเห็นหนูสวมชุดนี้พ่อเกือบจำไม่ได้ หนูสวยเหมือนแม่ตอนสาวๆ ไม่มีผิด” ผู้โดยสารสาวนั่งนิ่งไม่ตอบ ตามองตรงไปข้างหน้า อันที่จริงคงเป็นเพราะอากาศเย็นๆ ทำให้เธอเริ่มง่วงงุน
“แล้วนี่หนูมีแฟนหรือมีใครมาจีบบ้างหรือยังละลูก”
“ยะ...” คำว่ายังถูกกลืนลงคอไป พร้อมกับเปลี่ยนคำถามทันควัน “ถามทำไมเหรอคะ”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรลูก พ่อก็แค่อยากเตือน ผู้ชายสมัยนี้น่ะไว้ใจยากจะคบใครต้องดูให้ดีๆ ว่าเจ้าชู้หรือเปล่า”
กำลังจะโต้กลับไปว่า...เหมือนพ่อใช่ไหมคะ แต่กระนั้นในเมื่อเรื่องมันจบลงไปนานแล้ว เธอก็ไม่อยากรื้อฟื้นสิ่งใดขึ้นมาอีก
“หิวไหมลูก”
“ไม่ค่ะ”
อีกฝ่ายพยายามชวนคุยอย่างไม่ย่อท้อแม้คำตอบจะเริ่มสั้นลงทุกทีๆ เมื่อม่านตาของหญิงสาวชักจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาคู่งามพยายามกะพริบถี่ๆ ไล่ความง่วงงุน พลางมองข้างทางเพื่อหารถเมล์หรือรถแท็กซี่ที่ขับผ่านแต่ก็ไร้วี่แวว ฝนตกแบบนี้รถราในเมืองกรุงหายากยิ่งกว่างมเข็ม จนท้ายที่สุดหญิงสาวก็ไม่อาจต้านทานความง่วงได้อีกต่อไป
“ลูกจ๋า...”
“...”
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ นายปิยะจึงหันไปมอง ก็เห็นลูกสาวนั่งหลับคอพับคออ่อนไปเสียแล้ว จึงลองสะกิดปลุก
“ลูกจ๋า...ลูก”
พอเห็นอีกฝ่ายนอนนิ่งไม่ไหวติง เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น เขาจึงระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกปนด้วยความรู้สึกผิดบาปลึกๆ ในใจ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำต่อคนที่ได้ชื่อว่าลูกสาว
ใช่! ถึงเขาจะไม่ค่อยได้เลี้ยงดูอีกฝ่ายมาสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรหญิงสาวตรงหน้าก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเขา
หากไม่ใช่เพราะเข้าตาจนจริงๆ เขาคงไม่ต้องเลือกผลักลูกสาวคนโตตกนรกด้วยตัวเองเช่นนี้ แต่ครั้นจะไม่ทำเขาก็คงโดนฆ่าตาย หรือหากจะยอมส่งลูกสาวอีกคนให้ นางปราณีก็ไม่ยอมแน่ ปิยะดาเพิ่งอายุสิบเก้าปี อายุยังน้อยเกินกว่าที่จะไปเผชิญเรื่องบ้าบอพวกนี้ แต่กับรุจารินแม้อายุอานามจะมากกว่านิดหน่อย หากทว่าเขาแอบเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่าความฉลาดของอีกฝ่ายอาจจะทำให้เอาตัวรอดจากเงื้อมมือไอ้เสี่ยวิปริตนั่นได้ หรือหากไม่รอดมือจริงๆ ลูกสาวของเขาก็คงมีวิธีรับมือที่ดีกว่าปิยะดาผู้เป็นน้อง ซึ่งอ่อนกว่าทั้งอายุและไหวพริบสติปัญญา“พ่อขอโทษนะที่ต้องทำแบบนี้กับหนู...”มือสั่นเทาเอื้อมไปลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยาวสลวย รุจารินได้ความสวยของภรรยาเก่าเขามาทุกกระเบียดนิ้ว ตอนเด็กก็เป็นเด็กหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู โตขึ้นมาก็สะสวยหยาดเยิ้มไปทั้งเรือนร่าง แต่ความสวยที่ว่ากลับจะต้องมาแปดเปื้อนราคีคาวอันแสนโสมมและวิปริตจากชายที่แก่คราวพ่อคราวลุงนั่นจนชีวิตต้องแปดเปื้อนมัวหมอง หัวอกพ่อย่อมปวดร้าวยอกแสยง ภายในใจหนุ่มใหญ่กำลังโต้เถียงกันเองอย่างบ้าคลั่งไม่! เขาทำไม่ได้หรอก เขาจะทำแบบนี้กับลูกไม่ได้!แต่ถ้าไม่ทำก็ต้องตายนะตายแล้วไง
“เอ้า! มีอะไรจะสั่งเสียอีกล่ะ ทำยึกยักน่ารำคาญ หรืออยากจะเปลี่ยนใจไปเป็นอาหารไอ้เข้ก่อนดีวะ” คนฟังกลืนน้ำลายฝืดคอ ทำใจกล้าก่อนเอ่ย“ผมขออุ้มเข้าไปเอง”“พี่ยะ!” นายปิยะไม่ฟังเสียงภรรยาที่ยืนหน้าบูดบึ้งขัดอกขัดใจ“เธอรออยู่ที่นี่แหละไม่ต้องเข้าไป เดี๋ยวพี่จะเข้าไปคนเดียว” ว่าแล้วเขาก็รีบช้อนร่างอันไร้สติของบุตรสาวและเดินตามสมุนทั้งสองของเสี่ยเข้าไปด้านในด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง‘ด้านใน’ ที่ว่านั่นคือส่วนที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปจากด้านหน้าที่เปิดเป็นไนต์คลับหรูหรา หากคนวงในรู้กันดีว่าจริงๆ แล้วไนต์คลับนั่นเปิดเพื่อบังหน้า แต่ทว่าธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินมหาศาลคือบ่อนการพนันขนาดใหญ่ที่เปิดอยู่ตรงชั้นใต้ดินของไนต์คลับนั่นต่างหาก แม้จะเคยเข้ามาที่บ่อนแห่งนี้หลายครั้งแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ชายมากวัยได้ล่วงเข้ามาถึงด้านในเขตต้องห้ามของเสี่ยอำพล ซึ่งเจ้าตัวเรียกขานว่าเป็นสวนสนุก แต่หลายคนที่เข้าไปแล้วว่ากันว่าน้อยคนนักจะรอดออกมาในสภาพเดิมก่อนเข้าไปชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของสภานที่นั่งเอกเขนกบนโซฟาด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ผิดกับผู้มาเยือนที่ทำท่าจะขาดอากาศหายใจอยู่รอมร่อ“นั่นหรือของเล่นชิ้นใหม่ของฉัน อืม.
“จะไปรู้เหรอวะ เห็นคนก่อนๆ ที่ถูกส่งมาก็บอกสดใหม่แบบนี้ แล้วไง สดที่นี่แต่เน่าเฟะเละเทะมาจากที่อื่นทั้งนั้น นังคนสวยนี่ก็คงเหมือนๆ กัน ผู้หญิงสมัยนี้มีซักกี่รายวะที่สดซิงๆ หายากอย่างกับงมเข็ม เดี๋ยวนี้สิบสองสิบสามก็มีผัวกันหมดแล้ว”“เอาน่าลูกพี่ สดไม่สด พอผ่านมือเสี่ยมันแล้วก็...เยินทั้งตัว! เหมือนกันหมดละน่า” เสียงที่น่ารังเกียจหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ชวนให้คนฟังใจเต้นระทึก สมองมึนเบลอพยายามประมวลผลเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ยากเต็มทีนี่มันเรื่องอะไรกัน ฝันหรือจริง เธออยู่ที่ไหนกันแน่ ทุกอย่างล้วนไร้ซึ่งคำตอบ“พูดแล้วแม่งเปรี้ยวปากว่ะ สวยๆ แบบนี้ กว่าเสี่ยจะเบื่อ ส่งต่อมาถึงมือพวกเราก็คงพรุนทั้งตัวแล้ว”“เสียดาย ที่จริงพวกเราน่าจะช่วยเสี่ยทดสอบสินค้าก่อนนะลูกพี่ เบาๆ มือหน่อย เสี่ยคงไม่รู้หรอกน่าว่าอีนี่โดนพวกเราชอนไชจนพรุน...”ผลัวะ!“ไอ้เวร มึงนี่ปากวอนหัวแบะแล้วไง เดี๋ยวใครผ่านมาได้ยิน คาบไปฟ้องเสี่ยขึ้นมา ได้ชิบหายกันหมดล่ะคราวนี้”“โธ่ลูกพี่...จะกลัวอะไร นอกจากพี่กับผมในนี้ไม่มีใครซักหน่อย”“เออ! อย่าประมาท รีบไปเถอะ เดี๋ยวพอเสี่ยมา ยานั่นก็เริ่มออกฤทธิ์พอดี”ยา? ยาอะไรกัน...รุจารินพยา
“กรี๊ดดดด”รุจารินเบิกตาโพลง เหงื่อกาฬแตกพลั่กๆ เธอพยายามกรีดร้อง แต่ทว่าเสียงที่ออกมานั้นเบาหวิวราวกับสายลมพัดผ่านใบไม้แห้ง ความกลัวสุดชีวิตทำให้เธอพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดกระเสือกกระสนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ครั้งแรกไม่สำเร็จ เธอล้มแปะลงบนเตียงที่เดิมอย่างน่าอนาถ หากภาพสุดหลอนตรงหน้าทำให้เธอต้องพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดแล้วทันใดนั้นเองประตูห้องก็เปิดผลัวะออกมาอีกครั้ง เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างอรชรล้มกลิ้งลงมาจากเตียงมากองแทบเท้าใครคนหนึ่งอย่างสิ้นท่า“จุ๊ๆ จะไปไหนจ๊ะคนสวย” รุจารินขนลุกเกรียวเมื่อได้ยินเสียงกระเส่าเอ่ย“กะ...แกเป็นใคร”“ไม่เอาน่า แก เกออะไรกัน พูดเพราะๆ หน่อยสิจ๊ะ เสี่ยจะได้เอ็นดูหนูเยอะๆ ไง”ไม่ว่าเปล่าคนพูดยังโน้มกาย พร้อมใช้ปลายนิ้วหยาบกร้านไล้ที่ข้างแก้มของเธอ แล้วบังคับเชยคางมนขึ้นมา ตอนนั้นเองที่หญิงสาวได้เห็นใบหน้าอสุรกายในคราบมนุษย์ได้ชัดเจน“สวยจริงๆ” พร้อมคำพูดสายตาชั่วร้ายคู่นั้นก็จ้องมองพินิจใบหน้าสวยไล่ลงมาหยุดที่ทรวงอกที่สะท้อนขึ้นลงอย่างจาบจ้วงรุจารินรู้สึกกลัวสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ เธอโตพอจะรู้สถานการณ์ตรงหน้าดีว่าสิ่งที่จะเกิดต่อจากนี้จะเปลี่ยนชีวิตตัวเองไป
หนีไป! คำสุดท้ายที่หลุดจากปากเหยื่อร่วมชะตากรรมเดียวกัน แต่ก็นั่นแหละ เธอจะหนีอย่างไรในสภาพลูกไก่ในกำมือเช่นนี้ ฟั่บ! ฟั่บ!“โอ๊ย!”ร่างบางสะดุ้งเฮือก นิ่วหน้า รู้สึกชาวูบที่สะโพกกลมกลึงของตน กระโปรงชุดทำงานที่สวมมีรอยขาดเป็นริ้ว อาศัยทีเผลอเพียงนิดเดียว เจ้าเสี่ยชั่วนั่นก็หันไปคว้าแส้ที่ผนังมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และคงไม่ต้องสงสัยว่ามันเอามาทำไมถ้าไม่ใช่เอามาทำร้ายเหยื่ออย่างเธอนี่ไง“ว่าไง...จะยอมดีๆ หรืออยากเจ็บตัวก่อนดีเอ่ย” ว่าแล้วก็เงื้อแส้หนังสีดำขลับขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้หญิงสาวหัวใจแทบหยุดเต้นหากเธอขัดขืน คงมีสภาพไม่ต่างจากเด็กสาวที่นอนไร้วิญญาณตรงนั้น เธอยังไม่อยากตาย ไม่อยากตายในสภาพน่าสมเพชแบบนั้น แม่ของเธอรู้เข้าคงหัวใจสลายตายตามแน่นอน แล้วเธอควรทำยังไงดีเล่า จะเอาตัวรอดจากนรกขุมนี้ได้ยังไง...“มามะ คนดีชิมรสแส้หน่อยจะได้หายพยศ...” ดวงตาคู่งามไหวระริกมองแส้หนังที่เงื้อสูงด้วยความหวาดกลัว“ยะ...ยอม หนูยอมแล้ว” เหยื่อสาวรีบยกมือไหว้ปลกๆ รีบเอ่ยโพล่งออกไปตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เพื่อหยุดมือของอีกฝ่ายไว้ก่อนที่มันจะสร้างความเจ็บปวดให้อีกครั้ง“หืม? ว่าอะไรนะ”
ร่างแบบบางกระเสือกกระสนหนีทั้งที่ไม่รู้ว่าจะหนีไปไหน เธอวิ่งไปตามทางเดินที่มีแสงไฟสลัว ราวกับฉากในนิยายสยองขวัญช่างบีบหัวใจเธอเหลือเกิน แต่พอคิดถึงสภาพของเด็กสาวคนนั้นทำให้หญิงสาวต้องกัดฟันวิ่งหนีอย่างทุลักทุเล แม้ต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายหน โกรธจนน้ำตาไหลออกมา เมื่อคิดถึงคนที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ในสภาพนี้พ่อของเธอทำได้ยังไงกัน ไม่คิดบ้างหรือว่าเธอเป็นลูก ถึงไม่ได้เลี้ยงดูมาตั้งหลายปี แต่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ทำไม...คำถามนั้นไร้คำตอบ แผลที่เข่าปวดตุ๊บๆ ยามที่ต้องออกแรงก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความหวังเอาวะ ดีกว่าตายอย่างอนาถ นาทีนี้ต่อให้ต้องคลานหนีเธอก็ต้องทำแล้ว หูแว่วได้ยินเสียงฝีเท้าไล่หลังมาก็ทำให้ใจหายวาบ รีบเหลียวซ้ายแลขวาหาที่ซ่อนตัว รอจนเห็นลูกสมุนไอ้เสี่ยหื่นนั้นหลงวิ่งไปอีกทาง อาศัยจังหวะที่ไม่มีใครทันสังเกตเร้นกายหลบออกไปจากที่แห่งนั้นทันที แล้วหูเธอก็แว่วได้ยินเสียงเอะอะตามหลังมา“เฮ้ย! นังนั่นหายไปไหนแล้ววะ ไวชิบหาย...เด็กเสี่ยหนีไปแล้ว!”เคร้ง! ใครสักคนเอากระป๋องหรืออะไรสักอย่างวางเกะกะที่พื้นทำให้หญิงสาวเผลอสะดุด ดีที่ไม่ล้ม แต่ไม่ดีที่เสียงมันดังก้องไปทั้งทางเ
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ หากนี่คือมารยาหญิงเขาต้องยอมรับว่ามันเนียนมากทีเดียว ยอมรับว่าใจเขาอ่อนยวบไปหน่อยๆ เพราะหยดน้ำอุ่นๆ ที่รินรดอก แน่ล่ะ ผู้ชายที่ไหนจะใจแข็งได้ หากมีร่างนุ่มนิ่ม และทรวงอกอวบหยุ่นที่กะด้วยสัมผัสไม่น่าจะไซซ์มินิบดเบียดเข้าหาเขาราวกับจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวเช่นนี้“คุณอยากให้ผมพาไปไหนล่ะ”“ที่ไหนก็ได้ค่ะ พาฉันออกไปจากที่นี่ที ไปเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”ฮั่นแน่...เปิดทางให้ซะด้วยแม่คุณ“ที่ไหนก็ได้งั้นเหรอ” พลเมืองดีก้มลงกระซิบถามข้างหู“ค่ะ ไปจากที่นี่ พาฉันออกไปจากที่นี่...” หญิงสาวเอ่ยซ้ำๆ เหมือนคนขวัญเสียกรรมของเวร...เจ้าของกำแพงอกอุ่นถอนใจอีกรอบ ธุระของเขาก็ยังไม่เสร็จเสียด้วยสิ ขืนกลับไปมือเปล่า เขาจะโดนพ่อไล่เตะไหมละนี่ เอาไงดีวะ หากจะปล่อยเจ้าของร่างอรชรนี้ไว้ ก็ดูจะแล้งน้ำใจ ไหนๆ คนเดือดร้อนมาต้องการให้เขาช่วยนี่นา ส่วนเรื่องที่โดนสั่งมาเขาค่อยจัดการทีหลังก็ได้เอาก็เอาวะ!“ก็ได้ งั้นไปเถอะ” ชายหนุ่มโอบร่างนุ่มนิ่มที่เอาแต่สโลว์ซบอกเขาไม่ยอมปล่อยเดินออกไปจากไนต์คลับไปทั้งสภาพปาท่องโก๋คู่แฝดแบบนั้น“เดี๋ยวครับ!” เสียงการ์ดหน้าประตูเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นหนุ่มสาวในสภาพกอดก
แต่เดี๋ยวก่อน! เธอจะมาแก้ผ้าตรงนี้ไม่ได้“นี่คุณจะทำอะไรเนี่ย”“ฉันร้อนค่ะ ร้อนมากๆ หิวน้ำด้วย หิวมาก” ไม่พูดเปล่า แม่ตัวดียังแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากโดยไม่รู้ตัว หากน่าแปลกที่กิริยาของเธอทำให้ลมหายใจของเขาสะดุด แต่ก็อดตงิดๆ ในใจไม่ได้ทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อนอะไรเลย เมื่อเย็นฝนก็เพิ่งตกกระหน่ำออกจะเย็นๆ ด้วยซ้ำ แต่แม่นี่กลับบ่นร้อน ไม่บ่นเปล่ายังพยายามยืนยันคำพูดด้วยการแก้ผ้าแก้ผ่อนตัวเองเสียด้วยจะบ้าตาย นี่เธอกะยั่วตัณหาเขาใช่ไหมเนี่ย!“คุณจะมาแก้ผ้าตรงนี้ไม่ได้นะ” ชายหนุ่มเตือนด้วยน้ำเสียงกร้าว มือใหญ่รีบตะปบมือเรียวที่กำลังจะทึ้งชายเสื้อตัวเองออกจากกระโปรงทรงสอบสีดำเรียบร้อยราวกับสาวออฟฟิศจอมระเบียบนั่นจนรุ่ยร่ายสาวออฟฟิศ? หึ...ดูท่าเธอต้องเป็นสาวออฟฟิศที่ร้อนแรงไม่เบา แถมยังซ่อนรูปมากๆ เสียด้วย ใช่แต่เขาที่สังเกตเห็น ดูเหมือนคนที่เดินผ่านหรือยืนอยู่แถวนั้นก็แอบกลืนน้ำลายฝืดคอโดยเฉพาะหนุ่มๆ และไม่หนุ่ม พากันเหลียวมองตามคนในอ้อมแขนเขาตาแทบถลนทีเดียว“ไปเหอะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงห้วนๆ รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาตงิดๆ “ผมรู้แล้วว่าควรจะพาคุณไปที่ไหนดี”“เราจะไปไหนคะ” คนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลั
“เห็นไหม ยานั่นไม่ขมแล้ว”“คะ...คุณจูบฉันอีกแล้วนะคนฉวยโอกาส”“ผมป้อนยาคุณต่างหาก โอ๊ย!” ชายหนุ่มแสร้งร้องโอดโอยเมื่อถูกคนป่วยทุบอกปั๊กๆ ฐานขโมยจูบทีเผลอ“ทำแบบนี้ทำไม ถ้าแม่ฉันมาเห็นเข้าจะว่ายังไง”“ก็ไม่ว่าอะไร หรือคุณอยากให้ผมว่าอะไรล่ะ”“นี่คุณ อย่ามาเล่นลิ้นแบบนี้นะคะ ฉันไม่ชอบ”“แล้วคุณชอบแบบไหนล่ะ ผมจะได้จัดให้ตามที่คุณชอบ” สายตาวาวชวนหวามของคนพูดทำให้หญิงสาวชาวาบไปทั้งร่าง เมื่อสบสายตายั่วเย้าคู่นั้น หัวใจก็เริ่มไม่เป็นของเธออีกครั้ง“ผมพูดจริงนะ หรือถ้าคุณโอเค จะให้ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่คุณฟังแล้วรับผิดชอบคุณก็ยังได้”“รับผิดชอบ? คุณจะรับผิดชอบฉันในฐานะอะไรล่ะคะ”“นั่นแล้วแต่คุณเลย อยากได้แบบไหนก็บอกมา”อยากได้แบบไหนเหรอ...หญิงสาวฉุกคิด นั่นสิ ที่แท้แล้วเธออยากคบเขาแบบไหนกันแน่นะ คนรักก็ไม่น่าใช่ คนรู้ใจก็ไม่เชิง หรือจะแบบคู่นอนก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ จู่ๆ สมองก็ดันมีผู้หญิงอีกคนโผล่แทรกเข้ามากวนใจให้สมองชะงัก“แต่คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ลืมแล้วหรือไงคะ”“ผมไม่ได้ลืม คุณต่างหากที่ลืม ผมบอกแล้วว่ากำลังจะหาทางขอยกเลิกการหมั้น” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ “ผมไม่ได้ล้อคุณเล่น แต่ผมคิดมานานแล้
“นั่นคุณหัวเราะอะไรคะ แล้วมาบ้านฉันทำไมกันแน่”“ก็บอกแล้วว่ามาเยี่ยมไข้”“ไม่จริง มาจับผิดมากกว่า”“ก็แล้วคุณทำผิดอะไรไหมล่ะ” ภูเบศแกล้งเอ่ยหน้านิ่ง แต่ดวงตาพราว “ผมจะได้จับ...”“มะ...ไม่ เอ่อ...นี่คุณ!” “คุณอยู่กับแม่ที่นี่แค่สองคนเหรอ” เห็นอีกฝ่ายอึกอัก หน้าแดงเรื่อสมใจ เขาจึงยอมเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เธอเก้อเขินมากไปกว่านี้ พลางมองไปรอบกาย“ห้องสะอาดน่าอยู่ดีนะ แต่แคบไปหน่อย”“เรื่องของฉัน” คนป่วยสะบัดเสียงใส่อย่างไม่สบอารมณ์ “คุณรีบกินรีบกลับไปดีกว่าค่ะ ที่นี่ทั้งเล็กและแคบมาก ไม่เหมาะจะต้อนรับคนมีระดับอย่างคุณหรอกค่ะ”“ทำไมหนีมาไม่ยอมรอผมก่อน” นั่นไง นอกจากจะเป็นแมวแล้วยังเป็นฝ่ายสืบสวนอีกด้วย“ทำไมต้องรอคะ ตัวเราสองคนไม่ได้ติดกันเสียหน่อย” ภูเบศมองใบหน้าหวานที่อิดโรย ขอบตาบวมช้ำ แต่ยังอุตส่าห์มีแรงรวนเขาอย่างมันเขี้ยว“คุณแน่ใจหรือว่าเราไม่เคยตัวติดกัน ผมว่าเราสองคนน่ะยิ่งกว่าเคยตัวติดกันอีกนะ”“คนบ้า อย่ามาทะลึ่งที่บ้านฉันนะ” คนป่วยแหวเสียงเขียว ใบหน้าร้อนผ่าว“อย่าเพิ่งชวนทะเลาะเลยน่า ผมหิวแล้วกินข้าวกันเถอะ หรือว่าอยากให้ผมป้อนก็ได้นะ คุณไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ” แขกไม่ได้รับเ
“พอดีผมได้ยินว่าวันนี้คุณจ๋าเธอลางานไม่สบายเลยแวะมาเยี่ยม อ้อ...รอสักครู่นะครับ” ฝ่ายนั้นผลุนผลันไปที่รถและกลับมาอีกครั้งพร้อมกระเช้าผลไม้ในมือ“ของเยี่ยมไข้ครับ”“อ้าว งั้นเหรอคะ แล้วทำไมไม่เชิญเจ้านายลูกขึ้นไปข้างบนล่ะจ๊ะ”“คือพอดีจ๋าเห็นว่าท่านจะกลับแล้วน่ะค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เชิญ” คนป่วยเอ่ยหน้าตาเฉย “อะไรกันคะ เพิ่งมาจะรีบกลับแล้วเหรอคะ ทานอะไรมาหรือยัง ดิฉันตั้งโต๊ะอาหารเช้าไว้แล้ว ถ้าท่านไม่รังเกียจ...”โอ๊ะ เรียกผมธรรมดาดีกว่าครับ อย่าเรียกทงท่านเลย ผมไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างหรอกครับ” เขาเอ่ยพลางปรายตามองใครบางคนที่กำลังเบ้ปากกับนกกับไม้อย่างมันเขี้ยว“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณภูเบศ”“เรียกผมเบสเถอะครับ”“ค่ะ หากคุณเบสไม่รังเกียจอาหารบ้านๆ ก็ขอเชิญ”“แม่คะ...” รุจารินร้องลั่น“ไม่รังเกียจหรอกครับ ถ้าคุณแม่ไม่ว่างั้นผมก็ขออนุญาตฝากท้องสักมื้อ” รุจารินอ้าปากค้าง หันไปมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู“ด้วยความยินดีค่ะ ไปลูก เชิญค่ะคุณ”“แม่คะ แต่ว่า...”“ขอบคุณครับคุณแม่”โอ๊ย...เธออยากจะบ้าตาย ทำไมเรื่องมันกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้นะกลิ่นหอมๆ ของอาหารรสเด็ดลอยมาแตะจมูกตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้อ
คนถูกถามไม่ขำ รุจารินจ้องหน้าเจ้านายตัวแสบตาเขียวปัด ในใจคุกรุ่นจนแทบจะหักคออีกฝ่ายได้ แต่เธอต้องพยายามข่มอารมณ์ไว้เพราะเกรงใจพลกฤษณ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยต้องพลอยมาผจญกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง“นี่ค่ะขนมของพี่พล”“อ่ะ...อ๋อ ครับ” พลกฤษณ์ที่โดนคู่ต่อสู้น็อกยังไม่หายงงยื่นมือไปรับถุงใส่กล่องขนม แต่อารามรีบร้อนปนตกประหม่าทำให้เผลอจับโดนมือคนส่งถุงเข้าอย่างจังหมับ!“อ๊ะ! พี่ขอโทษครับน้องจ๋า”คิ้วเข้มๆ ของใครบางคนกระตุกทันพลัน ตาดุกร้าวจ้องมือฝ่ายนั้นเขม็ง“ไม่เป็นไรค่ะ” รุจารินส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเข้าใจ โดยไม่ทันเห็นสายตาพิฆาตที่จ้องอยู่ ผิดกับพลกฤษณ์ที่เห็นสายตาคู่นั้นอย่างจัง“นี่ค่าขนมครับ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ”“ค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะที่ช่วยอุดหนุน ฝากความคิดถึงให้น้าดวงด้วยนะคะ ถ้ามีโอกาสจ๋ากับแม่จะแวะไปเยี่ยมที่บ้านนะคะ”หญิงสาวเอ่ยด้วยไมตรี โดยทำเป็นไม่สนใจใครบางคนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับข้างๆ“ไหนคุณบอกว่าไม่สบายไงครับที่รัก ออกมาตากลมนานๆ แบบนี้เดี๋ยวก็ไข้กลับกันพอดี” คำนั้นทำให้คนเป็นส่วนเกินแอบถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”คนตัวร้ายรวบเอาหญิงสาวม
รถเก๋งคันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าหลบมุมที่อะพาร์ตเมนต์กลางเก่ากลางใหม่แห่งนั้นได้สักพักใหญ่แล้ว แต่ทว่าคนขับยังคงนั่งแช่ในรถ ดวงตาคมเข้มมองไปที่ด้านหน้าประตูทางเข้า แม้จะมีที่อยู่จากเอกสารเรซูเม่พนักงานในมือก็เถอะ แต่การจะสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปมันก็ดูจะแปลกๆ ไปหรือเปล่ายัยนั่นไม่สบายมากไหมนะ จะว่าไปเมื่อเช้าหน้าเธอก็ดูซีดๆ อยู่เหมือนกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ที่จริงเขาก็แค่อยากเห็นกับตาแค่นั้นว่าเธอไม่เป็นอะไรมากจะได้สบายใจ หรือถ้าเป็นมากก็จะได้ช่วยเหลือขณะที่ชายหนุ่มครุ่นคิด ตามองตรงไปที่ประตูทางเข้ารอคอย แล้วทันใดนั้นเองสายตาเขาก็เห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนเดินออกมา คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นนิดๆ คิดว่าตัวเองตาฝาดไป หากเมื่อเพ่งสายตามองชัดๆ ก็ยิ่งแน่ใจว่าใช่อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าป่วยการเมือง ยัยนั่นตั้งใจหลบหน้าเขาชัดๆ มันน่า...อยากรู้นักว่าถ้าเจอหน้ากันเธอจะแก้ตัวยังไง“ทางนี้ครับน้องจ๋า”ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามที่คิด จู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนดังขึ้นเสียก่อนภูเบศปรายตามองไปทางต้นเสียงที่ดังมาจากรถที่จอดเยื้องๆ เขาไปไม่ไกลนัก ก็ได้เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งโบกมือส่งยิ้มหวานให้เลขาสาวของเขาลูกตาเป็นปร
“ไปพักสักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวที่เหลือแม่ทำต่อเอง”“ใกล้เสร็จแล้วนี่คะแม่ อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่ลูกค้าจะมารับขนมแล้วด้วย ทำให้เสร็จก่อนค่อยไปพักทีเดียวดีกว่า” คำตอบกลับมายิ่งทำให้คนเป็นแม่หนักใจ ยิ่งเห็นใบหน้าซีดเซียวของลูกสาวสุดที่รักก็ยิ่งเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นลมล้มป่วยไปตอนไหน“ยังพอมีเวลาอยู่ งั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินอะไรรองท้องซักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปก่อน เหลือไม่เยอะแล้วเดี๋ยวแม่ทำต่อเอง”ถ้าขืนปฏิเสธมารดาของเธอคงเป็นห่วงกังวลไม่เลิกรา ทำให้หญิงสาวจำใจรามือจากขนมที่เพิ่งใส่ลงกล่องเสร็จไปอีกหนึ่ง“ก็ได้ค่ะ งั้นจ๋าขอไปล้างหน้าล้างตาหน่อยละกันนะคะ เดี๋ยวจะได้มาช่วยแพคของต่อ” สีหน้าอิดโรยของลูกสาวทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับตกใจ“ตายจริง ทำไมหน้าตาโทรมเป็นแบบนี้ล่ะลูก”รุจารินลูบใบหน้าตัวเอง พลางฝืนยิ้มกลบเกลื่อน “จ๋าไม่เป็นไรค่ะ”จะไม่โทรมอย่างไรได้ ในเมื่อต้องอดนอนเพราะเขาคนนั้นไม่ยอมให้เธอได้นอนง่ายๆ รุจารินกัดริมฝีปากเมื่อคิดถึงตัวการที่ทำให้เธอไม่ได้นอนทั้งคืน“ไปให้หมอตรวจหน่อยดีกว่านะแม่ว่า”“จ๋าไม่ได้เป็นอะไรเลยจริงๆ ค่ะแม่ แค่เพลียนิดหน่อย นอนพักหน่อยเดี
“เดี๋ยวครับ!” วรรณิภาชะงัก “ผมเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ต้องยกเลิกนัดแล้วนะครับ เท่านี้แหละ ขอบคุณครับ”คนรับคำสั่งถึงกับตาค้างเหวอไปอีกหนกับการเปลี่ยนคำสั่งแบบสายฟ้าแลบของท่านรองประธานหนุ่มรูปงาม วรรณิภาจำใจตอบรับคำสั่ง ในใจภาวนาให้เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องหายป่วยไวๆ จะได้มารับมือคุณเจ้านายสุดหล่อตรงหน้าเสียเองพอคล้อยหลังเลขาเฉพาะกิจ ภูเบศก็กระแทกลมหายใจหนักๆ รู้สึกหงุดหงิดกับทุกอย่างรอบตัวขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ หรือจะบอกให้ถูกคือ เขาไม่อยากยอมรับต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องว้าวุ่นใจอยู่ตอนนี้ต่างหากเป็นไข้เนี่ยนะ! เมื่อเช้าก็เห็นอาการยังดีๆ อยู่นี่นา หรือว่าจะช็อกกับเหตุการณ์เมื่อเช้าจนล้มป่วย หรือว่าเพราะเมื่อคืนเขาหักโหมกับเธอมากไปยิ่งคิดใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ่งยุ่งเหยิง กองแฟ้มที่รอการเซ็นต์อนุมัติถูกผลักออกไปเบาๆ เพราะเจ้าตัวไม่มีอารมณ์จะอ่านเสียแล้ว จิตใจว้าวุ่นครุ่นคิดสะระตะเขาควรไปเยี่ยมเธอที่บ้านดีไหมนะ ถ้าไปเธอจะหลงคิดว่าตัวเองสำคัญกับเขาเกินกว่าฐานะเจ้านายลูกน้องไหม มันจะกลายเป็นว่าเขาให้ความหวังเธอมากไปหรือเปล่า จริงอยู่ที่ว่าเขาอยากจะถอนหมั้นกับสลิลดา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปักใจลงเอยกับ
เอาเถอะ ไว้เงินเดือนออกเธอจะเอามันมาใช้ให้เขาทุกบาททุกสตางค์ก็แล้วกัน แม้สิ่งที่เสียไปแล้วเธอเอากลับคืนมาไม่ได้ แต่เธอจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ เธอไม่ต้องการให้ใครมาตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงหน้าด้านที่แย่งแฟนชาวบ้าน และไม่ต้องการทำร้ายผู้หญิงด้วยกันเหมือนที่ครั้งหนึ่งพ่อเธอเคยทำร้ายจิตใจแม่เด็ดขาดแต่ทำไมนะ...หัวใจถึงรู้สึกทรมานแบบนี้ มันทั้งเจ็บลึกและทรมานเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาคนนั้น ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดครอบครองเป็นเจ้าของเขาได้ แล้วต่อจากนี้ชีวิตเธอจะเป็นเช่นไร เธอจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงดีเธอจะมองหน้าเขาติดได้อีกหรือเมื่อต้องทำงานด้วยกันร่างบางทรุดฮวดกอดเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้แน่น ปลดปล่อยน้ำตาไหลริน สีหน้าหม่นหมอง ต่อจากนี้เธอควรทำยังไงดี...“อืม...ไม่เลวนี่ คุณดูดีใช้ได้เลย”ภูเบศมองเรือนร่างระหงในชุดทำงานแบบเพนท์สูทสีน้ำเงินเข้มอย่างพอใจ ด้วยดีไซน์หรูและแบบชุดทรงเข้ารูปทำให้เห็นทรวดทรงองค์เอวของคนใส่ชัดเจนทำให้รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าซ่อนรูปไม่น้อยเลย แต่คงจะดูดีกว่านี้ถ้าเจ้าตัวจะยิ้มเสียบ้าง ไม่ใช่ทำหน้านิ่งเฉยเย็นชาเป็นราชินีหิมะอยู่เช่นนี้ “คุณรอ
ภูเบศส่ายหน้าไปมา มองตามหลังคู่หมั้นที่ปึงปังออกไปราวกับพายุทอร์นาโด ด้วยสีหน้าหนักใจ ถึงแม้จะเตรียมใจล่วงหน้าว่าต้องเจอเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ที่คิดจะดึงเลขาสาวมาร่วมแผนปลดอิสรภาพของตนแบบลับๆ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อยากทำให้ฝ่ายนั้นเดือดร้อนเช่นนี้ เมื่อคิดถึงเลขาสาว เขาก็รีบปิดประตูหน้าบ้านพร้อมล็อกกลอนแน่นหนา เผื่อว่าคู่หมั้นสาวจะย้อนกลับมาอาละวาดอีกหน แล้วเดินปราดไปที่ห้องนอน“เปิดประตูได้แล้ว”เงียบกริบ...ไม่ใช่ว่ายัยนั่นตกใจจนช็อกตายไปแล้วหรอกนะ ชายหนุ่มชักห่วง รีบไปเอากุญแจสำรองมาไขประตูอย่างรวดเร็วห้องว่างเปล่า สายตาคมเข้มเหลียวมองหาร่างอรชรมาสะดุดตาที่ประตูตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้มเล็กน้อย ร่างสูงจึงตรงเข้าไปกระชากมันออกภูเบศใจหายวาบเมื่อได้เห็นสภาพของเลขาสาวที่นั่งกอดเข่าคุดคู้หลบตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกจากรังน่าสงสารจับใจ ใบหน้าสวยหวานซีดเผือดไร้สีเลือดหม่นหมอง พอเงยหน้าเห็นเขาเธอก็สะดุ้งสุดตัว รีบขยับกายหนี แต่เขากลับเป็นฝ่ายดึงร่างเธอเข้ามากอดปลอบขวัญเสียเอง แม้อีกฝ่ายจะดิ้นขลุกขลักจะหนีจากอ้อมกอดนั้นแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเธอ คิดว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้โฮแต่ก็กลับไม่ หากมีเพียงเสีย