จวนสกุลเฟิ่ง
หลังจากที่ส่งฉินกงกงกลับวังแล้ว กู่ม่านชิงได้ขอตัวกลับจวนตนเอง ส่วนเสนาบดีเฟิ่งจินหยวนกับเฟิ่งฮู
หยินต่างพากันแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน เหลือเพียงเฟิ่งอวี่เหิงที่ไม่มีอะไรให้ทำ นางจึงมานั่งปักผ้าอยู่ที่ศาลาเพียงลำพัง"คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู แฮ่ก ๆ ๆ"
"ใจเย็น ๆ ชินชิน มีอะไรทำไมถึงได้ร้อนรนถึงเพียงนี้"
"องค์ชายสามเสด็จมาเจ้าค่ะ ตอนนี้รอคุณหนูอยู่ที่เรือนรับรองแล้ว"
สตรีที่กำลังปักถึงกับชะงักกับคำพูดของสาวใช้
"เจ้าว่าอย่างไรนะ? ชินชิน"
"องค์ชายสามเสด็จมาที่จวนต้องการมาพบคุณหนูเจ้าค่ะ"
ได้ยินคำย้ำจากสาวใช้ของตน นางก็นิ่งไป ภายในใจนางเต็มไปด้วยความสงสัย องค์ชายสามจะมาหาข้าทำไมกัน ทั้งที่ตอนนี้เราสองคนไม่ต่างจากคนแปลกหน้าต่อกันแล้ว
ชินชินเห็นคุณหนูของตนเองนิ่งไปก็อดเป็นกังวลไม่ได้
"คุณหนู..."
"ข้าไม่เป็นไร" ใบหน้างามมีเพียงรอยยิ้มเบาบาง
หลังจากได้รับรายงานจากสาวใช้ เฟิ่งอวี่เหิงได้เดินมายังเรือนรับรอง เห็นว่ามีบุรุษคุ้นหน้ายืนรอนางอยู่
"เฟิ่งอวี่เหิงถวายพระพรองค์ชายฟู่อวิ้นหลงเพคะ"
คำพูดห่างเหินจากปากของสตรีตรงหน้า พลันทำให้เขารู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที เพราะเหตุใดกัน? ทั้งที่แต่ก่อนนางเรียกไม่เห็นว่าจะมีความรู้สึกเช่นนี้เลย
"เหิงเหิง ไม่ต้องมากพิธีกับข้าถึงเพียงนั้นเจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่เถิด"
เหิงเหิงรึ? ให้เรียกท่านพี่รึ? หึ น่าขันสิ้นดี พอถูกถอนหมั้นก็ให้เรียกชื่อแบบสนิทสนมขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เฟิ่งอวี่เหิงไม่ได้ยินดีกับคำอดีตคู่หมั้นของตนเรียกอย่างสนิทสนมเลยแม้แต่น้อย นางกล่าวออกไปด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่เย็นชา
"หม่อมฉันเรียกเช่นนั้นไม่ได้ พระองค์เป็นถึงองค์ชายสามผู้สูงศักดิ์ ส่วนตัวหม่อมฉันเป็นเพียงสามัญชนเท่านั้น จะไปตีเสมอพระองค์ได้เช่นไร อีกอย่างหม่อมฉันก็เรียกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว"
"เหิงเหิง..."
"หากไม่เป็นการล่วงเกิน พระองค์โปรดเรียกหม่อมฉันว่าเฟิ่งอวี่เหิงเช่นเดิมเถิดเพคะ หรือเรียกว่าคุณหนูเฟิ่งอย่างที่ผู้เรียกอื่นเรียกกันจะดีกว่า เพราะตอนนี้หม่อมฉันไม่ได้เป็นคู่หมั้นขององค์ชายแล้ว เราต่างเปรียบเสมือนกับคนแปลกหน้าต่อกัน"
ได้ยินคำพูดไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ในใจฟู่อวิ้นหลงหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนไม่สามารถกล่าวสิ่งที่ตนตั้งใจว่าหากเจอหน้ากัน ตนจะทำดีกับนาง จะคุยกับนางอย่างสนิทสนมเหมือนดั่งที่นางเคยต้องการ
แต่พอมาเจอท่าทีเย็นชาพร้อมกับสายตาของนางที่จ้องมองเขา มันไม่เหมือนกับที่ตนเคยได้รับในอดีต สายตาในอดีตที่เฟิ่งอวี่เหิงมองมา เป็นสายตาราวกับว่าเขาคือทุกอย่างของนาง
แต่สายตาที่ตนได้รับตอนนี้มันทำให้ใจเจ็บยิ่งนัก เป็นสายตาเย็นชาที่ตนไม่เคยได้รับจากสตรีตรงหน้าเลยสักครั้งเดียว
เฟิ่งอวี่เหิงเห็นคนตรงหน้าเงียบไป จึงได้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ
"องค์ชายมีเรื่องอันใดกับหม่อมฉันหรือเพคะ"
"เหิงเหิง เหตุใดเจ้าจึงถอนหมั้นกับข้า เป็นเพราะข้าไม่สนใจเจ้า เพราะข้าไม่มีเวลาให้เจ้าหรือเป็นเพราะข้าไปเฝ้าฟางเอ๋อร์เมื่อวานนี้ เจ้าโกรธข้าเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่? ถ้าข้าขอโทษเจ้าแล้วเรามาเริ่มกันใหม่ เราเริ่มกันใหม่ดีหรือไม่เหิงเหิง เรามาทำเหมือนยามที่เรารู้จักกันในตอนแรกข้าจะ..."
"ไม่มีความหมายแล้วเจ้าค่ะ"
ไม่รอให้ฟู่อวิ้นหลงพูดจบ เฟิ่งอวี่เหิงกล่าวตัดบทสนทนาขึ้นมาทันที
"เจ้าหมายความว่าเช่นไร?"
"หม่อมฉันหมายความว่าเปล่าประโยชน์เพคะ"
ฟู่อวิ้นหลงได้ยินเช่นนั้นถึงกับมีใบหน้าที่ซีดเผือด ขณะกำลังจะเดินเข้าไปหาสตรีตรงหน้า เฟิ่งอวี่เหิงกลับเดินถอยหลังตามก้าวที่ฟู่อวิ้นหลงเดินเข้ามาหาเพื่อรักษาระยะห่างกับเขาอย่างเห็นได้ชัด
"เพราะเหตุใด..."
"..." เฟิ่งอวี่เหิง
"เจ้าสัญญากับข้าแล้วไม่ใช่รึ ว่าเจ้าจะแต่งกับข้า"
ได้ยินเช่นนั้นนางก็มีท่าทีบึ้งตึงขึ้นมาทันที กล้ามากล่าวคำสัญญากับนางได้อย่างไร
ไม่ใช่เพราะท่านหรืออย่างไรที่เป็นผู้ผิดสัญญากับข้าก่อนแต่กลับมากล่าวหาเหมือนกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของนางได้เช่นไร
"องค์ชายกำลังเข้าใจผิดไปนะเพคะ หม่อมฉันไม่ใช่ผู้ผิดสัญญา แต่คนที่ผิดสัญญาระหว่างเราคือพระองค์ต่างหาก!""ข้า..." ฟู่อวิ้นหลงถึงกับเอ่ยคำพูดไม่ออกเมื่อโดนจี้ถูกจุดชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายเงียบไปจนไม่รู้ว่าตนเองจะพูดสิ่งใดต่อ ตัวเขาคิดแต่หาทางให้เฟิ่งอวี่เหิงยอมกลับมาหาตนเช่นเดิม หากนางใจอ่อนแล้วยอมกลับมาเป็นเช่นเดิมก็จะรีบแต่งนางเข้าวังทันทีนางจะได้ไม่ต้องไปเป็นสตรีของผู้ใดสตรีเพียบพร้อมเช่นนางนั้นต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าบุรุษ การที่ได้แต่งนางเข้าจวนนั้นมีทั้งอำนาจและชื่อเสียงใครบ้างที่ไม่ต้องการ"ข้า...ข้าแต่งกับเจ้าคนเดียวไม่ได้เจ้าก็รู้ แต่ข้าก็ให้เกียรติเจ้าได้เป็นชายาเอกของข้า ที่มีทั้งฐานะและชื่อเสียงในแคว้นนี้ ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่างขอแค่เจ้ามาเป็นชายาเอกของข้า ข้าให้เจ้าได้หมด เหิงเหิงมาเป็นชายาเอกให้ข้าเช่นเดิมเถิดนะ"ฟู่อวิ้นหลงพยายามเกลี้ยกล่อมเฟิ่งอวี่เหิงทุกหนทาง พยายามยกให้เห็นถึงฐานะและชื่อเสียงของชายาเอกว่ามีดีอย่างไรบ้าง เผื่อนางจะกลับมาหาเขาเช่นเดิมเฟิ่งอวี่เหิงได้ยินเช่นนั้นรู้สึกเจ็บใจ ดวงตางามถึงกับน้ำตาคลอ นางเคยหลงรักบุรุษที่มักมากผู้นี้ได้อย่างไรกัน ไม่ได้นะเหิงเหิ
หลังจากฟู่อวิ้นหลงกลับไปแล้ว เฟิ่งฮูหยินก็รีบไปหาบุตรสาวของตนที่เรือนทันที"อาเหิงลูกแม่""ท่านแม่"เฟิ่งฮูหยินเห็นบุตรสาวของตน ก็เข้าไปสวมกอดเพื่อเป็นการปลอบโยนบุตรสาวตน"เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ องค์ชายสามต่อว่าอะไรเจ้าหรือไม่?"เฟิ่งฮูหยินเฝ้ามองบุตรสาวของตนตั้งแต่แรก แต่ที่ตนไม่ยอมเข้าไปหาทั้งคู่ เพราะอยากให้บุตรสาวได้สะสางเรื่องทุกอย่างกับองค์ชายสามฟู่อวิ้นหลงให้เรียบร้อย ภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องมีเรื่องบาดหมางใจต่อกัน"ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ องค์ชายไม่ได้ต่อว่าอะไรข้าเลย ท่านแม่สบายใจได้"พูดจบหญิงสาวก็ลุกหมุนตัวให้มารดาดูอย่างอารมณ์ดี ตนเลือกจะพูดแต่สิ่งที่ให้มารดาไม่เป็นกังวลเท่านั้น แม้ในใจยังรู้สึกจุกในอกแต่ต้องยอมตัดเสียตอนนี้คนเป็นแม่เห็นบุตรสาวอารมณ์ดีก็รู้สึกเบาใจ เพราะว่าตนเป็นห่วงกลัวว่านางจะใจอ่อนและเสียใจอีกครั้ง…หลายอาทิตย์ต่อมา ฝั่งจวนสกุลอี้ตอนนี้ซือจินได้ขึ้นมาเป็นฮูหยินรองของจวนสกุลอี้แล้ว เพราะนางได้ไปเป่าหูอี้ชิงหลางว่าองค์ชายสามฟู่อวิ้นหลงจะมาหมั้นหมายบุตรสาวของตนเพื่อแต่งเป็นชายารองอี้ชิงหลางครั้นได้ยินเรื่องที่อนุคนโปรดเอ่ยถึงกับหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี เขาเอง
ตั้งแต่ฮ่องเต้ฟู่เหวยหมิงออกราชโองการถอนหมั้นให้แก่เฟิ่งอวี่เหิงกับฟู่อวิ้นหลงเวลาก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว แต่ผู้คนยังพูดคุยเรื่องการถอนหมั้นอยู่ต่อเนื่องว่าสาเหตุเกิดจากอะไรผู้คนต่างพากันพูดไปต่างๆ นานา แต่เสียงส่วนมากว่าเป็นเพราะเฟิ่งอวี่เหิงนั้นมีนิสัยร้ายกาจ ที่ผ่านมานางเองก็ชอบดุด่าว่าสตรีอื่นที่ยุ่งกับองค์ชายสาม และยังลงมือกับสตรีเหล่านั้นอย่างไม่ลังเลทั้งหมดเป็นเพราะความใจแคบของนาง เป็นเหตุให้ฟู่อวิ้นหลงทนนิสัยของนางไม่ได้จนถึงขั้นขอถอนหมั้น แต่ใครจะไปรู้ว่าความจริงนั้นมีเพียงหนึ่งจวนสกุลเฟิ่งกู่ม่านชิงมาหาเฟิ่งอวี่เหิงที่จวนแต่เช้าเพราะวันนี้นางมีนัดไปเที่ยวตลาดด้วยกัน“แม่ยังไม่อยากให้เจ้าไปข้างนอกตอนนี้เลย ข่าวลือของเจ้ายังเป็นที่พูดถึงไม่หยุดปาก แม่กลัวว่าเจ้าจะคิดมากอีก”เฟิ่งฮูหยินออกความคิดเห็น ไม่ใช่ว่านางไม่อยากให้บุตรสาวไปข้างนอก แต่เพราะยังมีข่าวลือเกี่ยวกับบุตรสาวของนางอยู่“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่” เฟิ่งอวี่เหิงพูดปลอบมารดา“ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ หลานจะปกป้องเหิงเหิงเอง ถ้ามีคนมาว่าร้ายนาง ข้าจะเป็นคนจัดการเองเจ้าค่ะ!” กู่ม่านชิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังห
อี้หลิงฟางแสร้งทำท่าทีอ่อนโยน ส่งรอยยิ้มให้กับกู่ม่านชิงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหวาน"ไม่ใช่เจ้าค่ะคุณหนูกู่ เพียงแต่ข้าโดนคุณหนูเฟิ่งเดินชนเลยอยากเรียกร้องความเป็นธรรมกับคุณหนูเฟิ่งเท่านั้นเองเจ้าค่ะ""เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้งต่อหน้าข้า ข้าไม่ใช่คนโง่"กู่ม่านชิงรึจะไว้หน้าคนที่มาทำร้ายสหายตน และในเมื่อคนผู้นั้นมาอยู่ตรงหน้านางแล้ว กู่ม่านชิงก็ไม่คิดจะปล่อยไปง่าย ๆ เช่นกันสหายของอี้หลิงฟางที่ตอนแรกตั้งใจจะพากันมาเย้ยหยันเฟิ่งอวี่เหิงรีบพากันหลบไปข้างหลังของอี้หลิงฟางทันที ใครจะกล้าไปมีเรื่องกับกู่ม่านชิงกัน นอกจากนิสัยที่ไม่เหมือนสตรีในห้องหอแล้ว ยังเป็นบุตรสาวคนโปรดของอดีตแม่ทัพใหญ่ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังเกรงพระทัยถึงสี่ส่วนเฟิ่งอวี่เหิงเห็นสหายของตนเองกำลังมีโทสะ จึงรีบเดินเข้าไปดึงสติสหายของตนไว้ เนื่องจากตนไม่อยากให้กู่ม่านชิงต้องมีข่าวลือไม่ดีที่สาเหตุเกิดจากตัวนาง"อย่าชิงเอ๋อร์ ตัวเจ้าจะเป็นข่าวลือ ข้าไม่อยากให้สหายของข้าต้องแปดเปื้อนไปด้วย เรากลับกันเถิด"ได้ยินที่สหายตนเข้ามาห้ามกู่ม่านชิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย แต่ก่อนที่พวกตนจะเดินจากไป อี้หลิงฟางก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน
เสียงดังทรงอำนาจของฟู่เฟยเทียนทำเอาผู้คนที่หันไปมองถึงกับตกตะลึงไม่เว้นแม้แต่ฟู่อวิ้นหลงและอี้หลิงฟาง"เสด็จพี่...""ถวายพระพรรุ่ยอ๋องพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ"ฟู่เฟยเทียนหันคุยกับฟู่อวิ้นหลงผู้ที่เป็นน้องชายต่างมารดาด้วยน้ำเสียงกดดัน"เจ้าสำรวมตนหน่อยเถิดที่นี่ไม่ใช่วังหลวง"ฟู่อวิ้นหลงได้ยินที่พี่ชายต่างมารดาตนกล่าวถึงกับชะงัก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าน้ำเสียงที่เอ่ยถึงตนเป็นน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ของฟู่เฟยเทียน"เสดะ...รุ่ยอ๋องตักเตือนถูกต้องแล้ว เป็นข้าเองที่ไม่สำรวมขอรุ่ยอ๋องโปรดอภัย"ฟู่เฟยเทียนไม่ได้สนใจคนที่เอ่ยขออภัยกับตนเลยแม้แต่น้อย เพราะสายตานั้นมองจับจ้องไปยังสตรีสองนางที่กำลังเลือกซื้อของอย่างสนุกสนานโดยไม่ได้สนใจผู้ใดเลยสักนิด'ผ่านเหตุการณ์ที่ผู้คนมองว่าตนร้ายกาจ แต่นางกลับไม่ใส่ใจซ้ำยังเลือกซื้อของได้อย่างสบายอารมณ์ ช่างน่าสนใจจริง ๆ'ฟู่เฟยเทียนมองดูสตรีที่เลือกซื้อของพลันยกยิ้มมุมปากอย่างเผลอตัว แต่ทว่ารอยยิ้มก็หุบลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงสตรีอีกผู้"อี้หลิงฟางถวายพระพรรุ่ยอ๋องเพคะ" อี้หลิงฟางย่อคำนับพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กับคนตรงหน้า"..."ฟู่เฟยเทียนไม่ได้ตอบสิ่งใดเพียงปรายตามองสตรี
ซือจินฟาดฝ่ามือเข้าไปยังใบหน้าสวยของบุตรสาวตนเอง จนเป็นรอยแดงเถือกอี้หลิงฟางยกมือขึ้นมาลูบแก้มของตนเองที่โดนตบอย่างแผ่วเบา "ทะ...ท่าน ท่านแม่ ท่านตบข้า?""ข้าไม่เคยสอนเจ้าให้ขาดสติเช่นนี้ หากเจ้ายังต้องการแก้แค้นนางอวี่เหิงนั่น เจ้าต้องรู้จักคุมอารมณ์ของตนด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วคนที่ลำบากจะเป็นเจ้าเอง!" ซือจินพูดจบนางก็เดินหันหลังกลับทันที แต่ก่อนจะเดินออกจากเรือนนางได้หันมากล่าวคำบางอย่างกับบุตรสาวของตน"เป็นบุตรของข้าแล้วอย่างไร แต่ก็เป็นเพราะข้าสั่งสอนเจ้าไม่ใช่รึถึงมาได้ขนาดนี้ เจ้าที่เป็นแค่บุตรอนุแต่ได้เป็นถึงได้เป็นคนโปรดปรานขององค์ชาย” ซือจินมองหน้าบุตรสาวด้วยแววตาแข็งกร้าว“ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งออกไปไหน สำนึกความผิดตนในเรือนสักหนึ่งเดือนเป็นอย่างไรเผื่อจะมีสติขึ้นมาบ้าง" น้ำเสียงเจือปนไปด้วยความโกรธซือจินพูดจบก็ออกจากเรือน และไม่ลืมสั่งสาวใช้ให้กักบริเวณอี้หลิงฟางที่เรือนเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อไม่ให้นางออกไปไหน โดยไม่คิดสนใจหันกลับมามองดูบุตรสาวของตนเลยแม้แต่น้อยอี้หลิงฟางได้ยินมารดาตนย้ำถึงเรื่องนางเป็นบุตรอนุ ทำให้นางนึกถึงคำด่าทอของเฟิ่งอวี่เหิง เหมือนภาพซ้ำ ๆ เกิดขึ้นในหั
เพียะ!!"หยุดนะ! อวี่เหิง!""ไม่เพคะ หม่อมฉันทนเห็นภาพแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว"ก่อนหน้านั้นขณะที่เฟิ่งอวี่เหิงกำลังปักผ้าอยู่ในจวนก็ได้รับรายงานจากสาวใช้ของตนว่าเห็นองค์ชายสามฟู่อวิ้นหลงหรือคู่หมั้นของตน ไปรับประทานอาหารเหลาที่โรงเตี๊ยมกับอี้หลิงฟางเพียงลำพัง นอกจากนั้นองค์ชายสามยังนำรถม้าส่วนตัวไปรับอี้หลิงฟางถึงจวนด้วยตนเอง โดยไม่ได้สนใจคำครหาซุบซิบนินทาของชาวบ้านแม้แต่น้อยหลังจากที่ได้รับรายงานเฟิ่งอวี่เหิงก็รีบเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมที่ทั้งคู่อยู่ทันที นางบุกเข้าไปที่ห้องของสองคน ตนก็ได้พบเจอกับภาพที่เสมือนมีดกรีดลงหัวใจสตรีนางหนึ่งอยู่ในอ้อมกอดของฝ่ายชาย ซึ่งกำลังคีบอาหารป้อนใส่ปากคู่หมั้นของตน ได้ยินเสียงทั้งคู่พูดคุยอย่างมีความสุขราวกับเป็นคู่รักกันเฟิ่งอวี่เหิงเห็นแบบนั้นถึงกับสติขาด เดินเข้าไปกระชากแขนอี้หลิงฟาง พร้อมกับสาดฝ่ามือเข้าไปที่ใบหน้างามทันทีเพียะ!!ฟู่อวิ้นหลงถึงกับตะลึงเมื่อเห็นเฟิ่งอวี่เหิงลงไม้ลงมือกับอี้หลิงฟางต่อหน้าตนเยี่ยงนี้ เขาลุกไปกระชากตัวเฟิ่งอวี่เหิงให้ออกห่างพร้อมกับดึงอี้หลิงฟางเข้ามากอดในอ้อมอกของตนเองทั้งตวาดใส่คู่หมั้นของตนเองด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี
ขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงของคนคนหนึ่งดังขึ้นมา"พ่อจะทูลขอกับฝ่าบาทเรื่องถอนหมั้นให้เจ้าเอง""ท่านพี่//ท่านพ่อ"ทั้งสองคนหันหน้าไปตามเสียงทุ้มที่เอ่ย ปรากฏว่าเป็นประมุขของจวนสกุลเฟิ่ง 'เสนาบดีเฟิ่งจินหยวน'ความจริงเฟิ่งจินหยวนกลับมาถึงจวนได้สักพักแล้ว เนื่องจากได้ยินข่าวลือของบุตรสาวที่เกิดขึ้นในวันนี้ จึงรีบกลับมาที่จวนทันทีเมื่อมาถึงจวนก็ได้ยืนมองดูสองแม่ลูกที่เป็นแก้วตาดวงใจของตนเองกอดกันร้องไห้ คนเป็นพ่อเห็นบุตรสาวของตนเองร้องไห้ปานจะขาดใจ เพราะเรื่องที่คู่หมั้นของตนเองไปกับหญิงอื่น เมื่อเฟิ่งอวี่เหิงรู้จึงตามไปอาละวาดถึงขั้นลงไม้ลงมือ จนองค์ชายสามได้ประกาศว่าจะแต่งอี้หลิงฟางเข้าวัง ทำให้เป็นข่าวลือทั่วทั้งเมืองหลวง"ลูกพ่อ""ท่านพ่อ... ฮือออ" เฟิ่งอวี่เหิงเห็นเช่นนั้นก็วิ่งเข้าไปสวมกอดบิดาทันที ทางเสนาบดีเฟิ่งก็อ้าแขนรับอ้อมกอดของลูกสาวที่ตนรัก พร้อมลูบหัวเพื่อปลอบโยน"เจ้าไม่ต้องคิดสิ่งใดให้ปวดหัว เรื่องถอนหมั้นพ่อจะไปทูลขอกับฝ่าบาทเอง""ฝ่าบาทจะทรงยอมให้ถอนหมั้นหรือเจ้าคะ"เสนาบดีเฟิ่งไม่พูดเปล่า นำนิ้วเกลี่ยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนวลใสของบุตรสาวตนเองอย่างเบามื
ซือจินฟาดฝ่ามือเข้าไปยังใบหน้าสวยของบุตรสาวตนเอง จนเป็นรอยแดงเถือกอี้หลิงฟางยกมือขึ้นมาลูบแก้มของตนเองที่โดนตบอย่างแผ่วเบา "ทะ...ท่าน ท่านแม่ ท่านตบข้า?""ข้าไม่เคยสอนเจ้าให้ขาดสติเช่นนี้ หากเจ้ายังต้องการแก้แค้นนางอวี่เหิงนั่น เจ้าต้องรู้จักคุมอารมณ์ของตนด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วคนที่ลำบากจะเป็นเจ้าเอง!" ซือจินพูดจบนางก็เดินหันหลังกลับทันที แต่ก่อนจะเดินออกจากเรือนนางได้หันมากล่าวคำบางอย่างกับบุตรสาวของตน"เป็นบุตรของข้าแล้วอย่างไร แต่ก็เป็นเพราะข้าสั่งสอนเจ้าไม่ใช่รึถึงมาได้ขนาดนี้ เจ้าที่เป็นแค่บุตรอนุแต่ได้เป็นถึงได้เป็นคนโปรดปรานขององค์ชาย” ซือจินมองหน้าบุตรสาวด้วยแววตาแข็งกร้าว“ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งออกไปไหน สำนึกความผิดตนในเรือนสักหนึ่งเดือนเป็นอย่างไรเผื่อจะมีสติขึ้นมาบ้าง" น้ำเสียงเจือปนไปด้วยความโกรธซือจินพูดจบก็ออกจากเรือน และไม่ลืมสั่งสาวใช้ให้กักบริเวณอี้หลิงฟางที่เรือนเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อไม่ให้นางออกไปไหน โดยไม่คิดสนใจหันกลับมามองดูบุตรสาวของตนเลยแม้แต่น้อยอี้หลิงฟางได้ยินมารดาตนย้ำถึงเรื่องนางเป็นบุตรอนุ ทำให้นางนึกถึงคำด่าทอของเฟิ่งอวี่เหิง เหมือนภาพซ้ำ ๆ เกิดขึ้นในหั
เสียงดังทรงอำนาจของฟู่เฟยเทียนทำเอาผู้คนที่หันไปมองถึงกับตกตะลึงไม่เว้นแม้แต่ฟู่อวิ้นหลงและอี้หลิงฟาง"เสด็จพี่...""ถวายพระพรรุ่ยอ๋องพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ"ฟู่เฟยเทียนหันคุยกับฟู่อวิ้นหลงผู้ที่เป็นน้องชายต่างมารดาด้วยน้ำเสียงกดดัน"เจ้าสำรวมตนหน่อยเถิดที่นี่ไม่ใช่วังหลวง"ฟู่อวิ้นหลงได้ยินที่พี่ชายต่างมารดาตนกล่าวถึงกับชะงัก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าน้ำเสียงที่เอ่ยถึงตนเป็นน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ของฟู่เฟยเทียน"เสดะ...รุ่ยอ๋องตักเตือนถูกต้องแล้ว เป็นข้าเองที่ไม่สำรวมขอรุ่ยอ๋องโปรดอภัย"ฟู่เฟยเทียนไม่ได้สนใจคนที่เอ่ยขออภัยกับตนเลยแม้แต่น้อย เพราะสายตานั้นมองจับจ้องไปยังสตรีสองนางที่กำลังเลือกซื้อของอย่างสนุกสนานโดยไม่ได้สนใจผู้ใดเลยสักนิด'ผ่านเหตุการณ์ที่ผู้คนมองว่าตนร้ายกาจ แต่นางกลับไม่ใส่ใจซ้ำยังเลือกซื้อของได้อย่างสบายอารมณ์ ช่างน่าสนใจจริง ๆ'ฟู่เฟยเทียนมองดูสตรีที่เลือกซื้อของพลันยกยิ้มมุมปากอย่างเผลอตัว แต่ทว่ารอยยิ้มก็หุบลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงสตรีอีกผู้"อี้หลิงฟางถวายพระพรรุ่ยอ๋องเพคะ" อี้หลิงฟางย่อคำนับพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กับคนตรงหน้า"..."ฟู่เฟยเทียนไม่ได้ตอบสิ่งใดเพียงปรายตามองสตรี
อี้หลิงฟางแสร้งทำท่าทีอ่อนโยน ส่งรอยยิ้มให้กับกู่ม่านชิงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหวาน"ไม่ใช่เจ้าค่ะคุณหนูกู่ เพียงแต่ข้าโดนคุณหนูเฟิ่งเดินชนเลยอยากเรียกร้องความเป็นธรรมกับคุณหนูเฟิ่งเท่านั้นเองเจ้าค่ะ""เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้งต่อหน้าข้า ข้าไม่ใช่คนโง่"กู่ม่านชิงรึจะไว้หน้าคนที่มาทำร้ายสหายตน และในเมื่อคนผู้นั้นมาอยู่ตรงหน้านางแล้ว กู่ม่านชิงก็ไม่คิดจะปล่อยไปง่าย ๆ เช่นกันสหายของอี้หลิงฟางที่ตอนแรกตั้งใจจะพากันมาเย้ยหยันเฟิ่งอวี่เหิงรีบพากันหลบไปข้างหลังของอี้หลิงฟางทันที ใครจะกล้าไปมีเรื่องกับกู่ม่านชิงกัน นอกจากนิสัยที่ไม่เหมือนสตรีในห้องหอแล้ว ยังเป็นบุตรสาวคนโปรดของอดีตแม่ทัพใหญ่ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังเกรงพระทัยถึงสี่ส่วนเฟิ่งอวี่เหิงเห็นสหายของตนเองกำลังมีโทสะ จึงรีบเดินเข้าไปดึงสติสหายของตนไว้ เนื่องจากตนไม่อยากให้กู่ม่านชิงต้องมีข่าวลือไม่ดีที่สาเหตุเกิดจากตัวนาง"อย่าชิงเอ๋อร์ ตัวเจ้าจะเป็นข่าวลือ ข้าไม่อยากให้สหายของข้าต้องแปดเปื้อนไปด้วย เรากลับกันเถิด"ได้ยินที่สหายตนเข้ามาห้ามกู่ม่านชิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย แต่ก่อนที่พวกตนจะเดินจากไป อี้หลิงฟางก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน
ตั้งแต่ฮ่องเต้ฟู่เหวยหมิงออกราชโองการถอนหมั้นให้แก่เฟิ่งอวี่เหิงกับฟู่อวิ้นหลงเวลาก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว แต่ผู้คนยังพูดคุยเรื่องการถอนหมั้นอยู่ต่อเนื่องว่าสาเหตุเกิดจากอะไรผู้คนต่างพากันพูดไปต่างๆ นานา แต่เสียงส่วนมากว่าเป็นเพราะเฟิ่งอวี่เหิงนั้นมีนิสัยร้ายกาจ ที่ผ่านมานางเองก็ชอบดุด่าว่าสตรีอื่นที่ยุ่งกับองค์ชายสาม และยังลงมือกับสตรีเหล่านั้นอย่างไม่ลังเลทั้งหมดเป็นเพราะความใจแคบของนาง เป็นเหตุให้ฟู่อวิ้นหลงทนนิสัยของนางไม่ได้จนถึงขั้นขอถอนหมั้น แต่ใครจะไปรู้ว่าความจริงนั้นมีเพียงหนึ่งจวนสกุลเฟิ่งกู่ม่านชิงมาหาเฟิ่งอวี่เหิงที่จวนแต่เช้าเพราะวันนี้นางมีนัดไปเที่ยวตลาดด้วยกัน“แม่ยังไม่อยากให้เจ้าไปข้างนอกตอนนี้เลย ข่าวลือของเจ้ายังเป็นที่พูดถึงไม่หยุดปาก แม่กลัวว่าเจ้าจะคิดมากอีก”เฟิ่งฮูหยินออกความคิดเห็น ไม่ใช่ว่านางไม่อยากให้บุตรสาวไปข้างนอก แต่เพราะยังมีข่าวลือเกี่ยวกับบุตรสาวของนางอยู่“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่” เฟิ่งอวี่เหิงพูดปลอบมารดา“ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ หลานจะปกป้องเหิงเหิงเอง ถ้ามีคนมาว่าร้ายนาง ข้าจะเป็นคนจัดการเองเจ้าค่ะ!” กู่ม่านชิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังห
หลังจากฟู่อวิ้นหลงกลับไปแล้ว เฟิ่งฮูหยินก็รีบไปหาบุตรสาวของตนที่เรือนทันที"อาเหิงลูกแม่""ท่านแม่"เฟิ่งฮูหยินเห็นบุตรสาวของตน ก็เข้าไปสวมกอดเพื่อเป็นการปลอบโยนบุตรสาวตน"เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ องค์ชายสามต่อว่าอะไรเจ้าหรือไม่?"เฟิ่งฮูหยินเฝ้ามองบุตรสาวของตนตั้งแต่แรก แต่ที่ตนไม่ยอมเข้าไปหาทั้งคู่ เพราะอยากให้บุตรสาวได้สะสางเรื่องทุกอย่างกับองค์ชายสามฟู่อวิ้นหลงให้เรียบร้อย ภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องมีเรื่องบาดหมางใจต่อกัน"ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ องค์ชายไม่ได้ต่อว่าอะไรข้าเลย ท่านแม่สบายใจได้"พูดจบหญิงสาวก็ลุกหมุนตัวให้มารดาดูอย่างอารมณ์ดี ตนเลือกจะพูดแต่สิ่งที่ให้มารดาไม่เป็นกังวลเท่านั้น แม้ในใจยังรู้สึกจุกในอกแต่ต้องยอมตัดเสียตอนนี้คนเป็นแม่เห็นบุตรสาวอารมณ์ดีก็รู้สึกเบาใจ เพราะว่าตนเป็นห่วงกลัวว่านางจะใจอ่อนและเสียใจอีกครั้ง…หลายอาทิตย์ต่อมา ฝั่งจวนสกุลอี้ตอนนี้ซือจินได้ขึ้นมาเป็นฮูหยินรองของจวนสกุลอี้แล้ว เพราะนางได้ไปเป่าหูอี้ชิงหลางว่าองค์ชายสามฟู่อวิ้นหลงจะมาหมั้นหมายบุตรสาวของตนเพื่อแต่งเป็นชายารองอี้ชิงหลางครั้นได้ยินเรื่องที่อนุคนโปรดเอ่ยถึงกับหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี เขาเอง
"องค์ชายกำลังเข้าใจผิดไปนะเพคะ หม่อมฉันไม่ใช่ผู้ผิดสัญญา แต่คนที่ผิดสัญญาระหว่างเราคือพระองค์ต่างหาก!""ข้า..." ฟู่อวิ้นหลงถึงกับเอ่ยคำพูดไม่ออกเมื่อโดนจี้ถูกจุดชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายเงียบไปจนไม่รู้ว่าตนเองจะพูดสิ่งใดต่อ ตัวเขาคิดแต่หาทางให้เฟิ่งอวี่เหิงยอมกลับมาหาตนเช่นเดิม หากนางใจอ่อนแล้วยอมกลับมาเป็นเช่นเดิมก็จะรีบแต่งนางเข้าวังทันทีนางจะได้ไม่ต้องไปเป็นสตรีของผู้ใดสตรีเพียบพร้อมเช่นนางนั้นต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าบุรุษ การที่ได้แต่งนางเข้าจวนนั้นมีทั้งอำนาจและชื่อเสียงใครบ้างที่ไม่ต้องการ"ข้า...ข้าแต่งกับเจ้าคนเดียวไม่ได้เจ้าก็รู้ แต่ข้าก็ให้เกียรติเจ้าได้เป็นชายาเอกของข้า ที่มีทั้งฐานะและชื่อเสียงในแคว้นนี้ ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่างขอแค่เจ้ามาเป็นชายาเอกของข้า ข้าให้เจ้าได้หมด เหิงเหิงมาเป็นชายาเอกให้ข้าเช่นเดิมเถิดนะ"ฟู่อวิ้นหลงพยายามเกลี้ยกล่อมเฟิ่งอวี่เหิงทุกหนทาง พยายามยกให้เห็นถึงฐานะและชื่อเสียงของชายาเอกว่ามีดีอย่างไรบ้าง เผื่อนางจะกลับมาหาเขาเช่นเดิมเฟิ่งอวี่เหิงได้ยินเช่นนั้นรู้สึกเจ็บใจ ดวงตางามถึงกับน้ำตาคลอ นางเคยหลงรักบุรุษที่มักมากผู้นี้ได้อย่างไรกัน ไม่ได้นะเหิงเหิ
จวนสกุลเฟิ่งหลังจากที่ส่งฉินกงกงกลับวังแล้ว กู่ม่านชิงได้ขอตัวกลับจวนตนเอง ส่วนเสนาบดีเฟิ่งจินหยวนกับเฟิ่งฮูหยินต่างพากันแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน เหลือเพียงเฟิ่งอวี่เหิงที่ไม่มีอะไรให้ทำ นางจึงมานั่งปักผ้าอยู่ที่ศาลาเพียงลำพัง"คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู แฮ่ก ๆ ๆ""ใจเย็น ๆ ชินชิน มีอะไรทำไมถึงได้ร้อนรนถึงเพียงนี้""องค์ชายสามเสด็จมาเจ้าค่ะ ตอนนี้รอคุณหนูอยู่ที่เรือนรับรองแล้ว"สตรีที่กำลังปักถึงกับชะงักกับคำพูดของสาวใช้"เจ้าว่าอย่างไรนะ? ชินชิน""องค์ชายสามเสด็จมาที่จวนต้องการมาพบคุณหนูเจ้าค่ะ"ได้ยินคำย้ำจากสาวใช้ของตน นางก็นิ่งไป ภายในใจนางเต็มไปด้วยความสงสัย องค์ชายสามจะมาหาข้าทำไมกัน ทั้งที่ตอนนี้เราสองคนไม่ต่างจากคนแปลกหน้าต่อกันแล้วชินชินเห็นคุณหนูของตนเองนิ่งไปก็อดเป็นกังวลไม่ได้"คุณหนู...""ข้าไม่เป็นไร" ใบหน้างามมีเพียงรอยยิ้มเบาบางหลังจากได้รับรายงานจากสาวใช้ เฟิ่งอวี่เหิงได้เดินมายังเรือนรับรอง เห็นว่ามีบุรุษคุ้นหน้ายืนรอนางอยู่"เฟิ่งอวี่เหิงถวายพระพรองค์ชายฟู่อวิ้นหลงเพคะ"คำพูดห่างเหินจากปากของสตรีตรงหน้า พลันทำให้เขารู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที เพราะเหตุใดกัน?
ณ วังขององค์ชายสามฟู่อวิ้นหลง"เจ้าว่าอย่างไรนะ!"หลังจากได้รับรายงานจากข้ารับใช้คนสนิท ฟู่อวิ้นหลงถึงขั้นตวาดเสียงดังทั้งจวน ใบหน้าเขาซีดเผือดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน"เรียนองค์ชาย ฝ่าบาททรงมีราชโองการถอนหมั้นพระองค์กับคุณหนูเฟิ่ง" ข้ารับใช้คนสนิทของฟู่อวิ้นหลงรายงานเรื่องที่ได้ยินมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด"ไม่จริง จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่องการถอนหมั้นเลย"สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่เชื่อในเรื่องที่ข้ารับใช้นำมารายงานแม้แต่น้อย"ไปเตรียมเกี้ยวให้ข้า ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อตอนนี้"ข้ารับใช้ได้รับคำสั่งจึงเดินออกไป เพื่อไปเตรียมเกี้ยวให้ฟู่อวิ้นหลงตามคำสั่งที่ได้รับ"นางน่ะรึจะกล้าถอนหมั้นข้า ต้องมีผู้ใดไปเป่าพระกรรณของเสด็จพ่อเป็นแน่"ฟู่อวิ้นหลงไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเฟิ่งอวี่เหิงจะขอถอนหมั้นกับตน เพราะเขารู้ดีว่านางทุ่มเทให้เขาเพียงใด ตนชี้นกเป็นนก ชี้ไม้ก็เป็นไม้ แล้วอยู่ ๆ จะมีราชโองการถอนหมั้นได้อย่างไร ต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่ณ ห้องทรงงานของฮ่องเต้"ถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ" ชายผู้สูงศักดิ์ในชุดสีทองที่กำลังอ่านฎีกาอยู่นั้นไม่ได้สนใจผู้มาเยือนตนแต่อย่างใด เขาสนใจแต
วังหลวง หน้าห้องอักษรขององค์ฮ่องเต้ฟู่เหวยหมิง"ฉินกงกง ข้ามาขอเข้าเฝ้าเสร็จพ่อ ไปแจ้งกับเสด็จพ่อให้ข้าทีว่ามีเรื่องจะกราบทูล""เรียนองค์ชาย ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่าวันนี้มิให้ผู้ใดเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"ฟู่อวิ้นหลงได้ยินถึงกับขมวดคิ้วเสด็จพ่อเป็นอะไร เหตุใดวันนี้จึงไม่ให้เข้าเฝ้ากัน"แม้แต่ข้าผู้เป็นโอรสของเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ?""เป็นเช่นนั้นขอรับ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่าหากไม่ใช่เรื่องตายห้ามผู้ใดเข้าเฝ้าเด็ดขาดขอรับ"ทั้งที่ตั้งใจว่าจะมาทูลขอให้เสด็จพ่อออกราชโองการสมรสให้แก่ตนกับอี้หลิงฟาง แต่เสด็จพ่อทรงมีรับสั่งถึงขั้นว่าหากไม่ใช่เรื่องตายห้ามให้ผู้ใดเข้าเฝ้าเด็ดขาด แปลว่าวันนี้เสด็จพ่อคงไม่ต้องการพบผู้ใดจริง ๆ เอาเถิด พรุ่งนี้ค่อยมาเข้าเฝ้าใหม่ก็ยังไม่สาย"หากเป็นความประสงค์ของเสด็จพ่อ ข้าก็คงต้องกลับก่อนแล้วจะมาเข้าเฝ้าใหม่ในเช้าวันพรุ่งนี้ ฝากฉินกงกงแจ้งกับเสด็จพ่อให้ข้าด้วย""พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย กงกงผู้นี้จะแจ้งกับฝ่าบาทให้เอง""อืม เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน"หลังจากที่ฟู่อวิ้นหลงจากไปแล้ว ฉินกงกงได้เข้าไปรายงานกับฮ่องเต้ทันที"ที่ให้ไปสืบเรื่องเจ้าสามกับบุตรสาวสกุลอี้ที่ชื่ออี้หลิงฟางเล่า ได้