#มหาวิทยาลัยฉันโทรไปบอกพ่อกับแม่แล้วว่าพี่ติณกลับมาแล้ว คงกลับไปที่บ้านไม่ได้ ก่อนจะวางสายพ่อก็พูดเรื่องจะพาฉันย้ายไปต่างประเทศอีกครั้ง แต่ก็เหมือนเดิมฉันไม่ตอบอะไรนอกจากฟังเงียบๆ แต่ครั้งนี้ฉันเริ่มลังเลอยู่บ้างวันนี้ฉันแทบไม่มีสมาธิเรียนหนังสือเลยก็ว่าได้ เพราะสมองเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ลูกน้องพี่ติณโทรมาเมื่อคืน“แกไปดื่มกับพี่วินแบบนั้นพี่ติณไม่โกรธแย่หรอน้ำมนต์” ใบข้าวถามหลังจากที่เราเรียนเสร็จแล้ว“โกรธสิ” ฉันตอบตามตรง “แต่ฉันก็เจอเขาทำโทษไปแล้ว”“ทำโทษหรอ แบบไหนแล้วแกเจ็บไหม ?” แอนนาที่ฟังอยู่รีบถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้ แต่ฉันอ้ำอึ้งไม่กล้าพูด “ยัยแอน! แกจะจี้ถามเพื่อนทำไมดูสิหน้ามันแดงหมดแล้ว” ใบข้าวบอกแอนนาเสียงดุ “คงจะลงโทษบนเตียง ถูกไหม ?“ ไนท์พูดขึ้น นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา “ไอ้ไนท์ มีหมาในปากหรือไง” ใบข้าวรีบหันไปดุไนท์อีกคน “ฉะ ฉันขอตัวก่อนนะ” “แกจะรีบไปไหน ไม่ไปเดินห้างด้วยกันก่อนหรอ ?” แอนนาท้วงขึ้น“เอาไว้วันหลังนะ วันนี้ฉันไม่ว่าง” ฉันรีบเดินแยกออกมาจากเพื่อนๆ วันนี้พี่ติณไม่ได้ให้ใครมารอรับฉันจึงต้องนั่งแท็กซี่กลับเอง แต่ไม่ได้กล
“กลัวหนูจะหนีอย่างนั้นหรอคะ เพราะอะไร อยากทรมานหนูต่อไปเรื่อยๆ หรือว่า….” “ไม่” พี่ติณชิงตอบก่อนแต่ไม่รู้ว่าเขาตอบมาอย่างนั้นมันหมายความว่ายังไง “พูดมาสิคะหนูรอฟัง” “เธอยังไม่สัญญา” สายตาคมกริบจ้องมองใบหน้าฉันอย่างคาดคั้น “เมื่อกี้พี่ติณพูดไม่ดีกับหนู จำได้หรือเปล่าคะ” ฉันถามย้อนกลับ แต่พี่ติณไม่ได้พูดอะไรตอบ คำพูดที่เขาถามก่อนหน้านี้ทำเอาฉันเสียความรู้สึกมากจริงๆ นะ “แล้วฉันต้องพูดยังไง ?” “ก็พูดดีๆ ไงคะ” “เธอยังไม่สัญญา” พี่ติณวนกลับมาถามคำนี้อีกครั้ง “ค่ะ หนูจะไม่หนีไปไหน จะอยู่ให้พี่ติณทรมานไปแบบนี้เรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ความจริง” ฉันตอบในเชิงประชด พี่ติณถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นเขาก็เริ่มพูด “ฉันเจอเอกสารที่มีพิรุธหลายอย่างแต่ยังไม่สามารถเอาออกมาจากบริษัทของอากิตได้ คงต้องใช้เวลาสักพัก” “เรื่องเอกสารมันเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุครั้งนั้นด้วยหรือเปล่าคะ” “อืม เอกสารบางส่วนถูกกำจัดทิ้ง ลูกน้องของพ่อฉันก็หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ” “แล้วพี่ติณยังปักใจเชื่อว่าครอบครัวของหนูกับครอบครัวของเฮียเหนือเป็นฝ่ายผิดอยู่หรือเปล่าคะ” “……” พี่ติณไม่ตอบอะไร แปลว่าเขายังเชื่อแบบนั้นอยู่ใช่ไหม
ใบหน้าเกี้ยวกราดของพี่ติณกำลังจ้องฉันเขม็ง เขามองเหมือนกำลังจินตนาการว่ากำลังจับฉันหักคออยู่“อยู่ที่นี่คงทำให้พี่ติณอึดอัด ถ้าอย่างนั้นหนูกลับไปบ้านก่อนนะคะ” “ฉันจะกลับแล้วเหมือนกัน” “ไหนบอกว่ามีประชุมไงคะ” ฉันถามกลับอย่างงุนงง จำได้ว่าตอนที่เข้ามาในห้องพี่ติณเป็นคนพูดเองว่ามีประชุม แล้วเขาจะกลับบ้านได้ยังไง “มีประชุมพรุ่งนี้” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยบอกก่อนที่ร่างหนาจะเดินออกไปจากห้องโดยไม่ได้รอฉัน ฉันคิดครู่หนึ่งว่าควรจะกลับออกไปพร้อมพี่ติณหรือจะนั่งแท็กซี่กลับดี ถ้านั่งรถไปกับเขามันก็คงจะอึดอัดจนแทบกลั้นหายใจ ยิ่งตอนนี้พี่ติณกำลังหงุดหงิดเพื่อเลี่ยงการทะเลาะฉันควรนั่งแท็กซี่กลับดีกว่า ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงาน แต่ทว่าพี่ติณไม่ได้ไปไหนเขาหยุดยืนที่หน้าลิฟต์แล้วมองมาทางฉัน “หนูขอนั่งแท็กซี่กลับนะคะ” “มีเงิน ?” พี่ติณขมวดคิ้วเข้มถาม “อ่า! กลับไปบ้านพ่อกัวแม่เธอคงจะให้เงินเอาไว้เยอะเลยสินะ มีเท่าไหร่เอามาให้ฉันให้หมด”ฉันเม้มปากแน่นนึกอยากจะวิ่งหนีแต่ไม่ทันเพราะตอนนี้พี่ติณได้มาหยุดตรงหน้าและจับแขนฉันเอาไว้ “เรื่องนั้นก็ได้ความคืบหน้าแล้ว ยังจะใจร้ายกับ
“เธอต้องไปกับฉัน โทรไปยกเลิกนัดกับเพื่อนซะ!!” พี่ติณเดินมาขวางทางฉันเอาไว้ “ไหนไม่อยากให้หนูไปด้วย” “ปล่อยให้ไปคนเดียวคงจะร่านไปทั่ว” ดูสิ คำพูดของพี่ติณมันน่าฟังที่ไหน พูดมาแต่ละคำทำเอาหน้าฉันชาไปหมดแล้ว ฉันไม่เข้าใจเพราะตอนอยู่ที่บริษัทเหมือนพี่ติณจะเริ่มใจอ่อน เขามีท่าทางกลัวว่าฉันจะหนีไป เขายอมพูดอย่างใจเย็นและยอมเล่าว่าได้เรื่องคืบหน้าอะไรบ้าง แต่ผ่านไปไม่นานเขาก็กลับมาใจร้ายเหมือนเดิม เป็นเพราะอะไรกัน!! “ส่งข้อความไปบอกเพื่อนของเธอซะ” ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์บอกเพื่อนในแชตกลุ่มว่าไม่ต้องไปเเล้วและบอกเหตุผลว่าพี่ติณบังคับให้ฉันไปกับเขา “พอใจหรือยังคะ!!” ฉันยกโทรศัพท์ให้พี่ติณดู เขาเงียบไม่พูดอะไร #คลับคลับนี้เป็นของพี่เมฆเพื่อนพี่ติณ คนค่อนข้างเยอะมากเลยทีเดียว ตอนแรกฉันคิดว่าจะได้มานั่งดื่มรวมกับผู้คนอื่นๆ ที่มาเที่ยว แต่เปล่าเลย พี่ติณพาฉันขึ้นมาที่ชั้นสองมันเป็นห้องส่วนตัวสำหรับดื่ม “ทำไมถึงมาดื่มที่ห้องแบบนี้ล่ะคะ ด้านล่างคลับหนูเห็นมีโต๊ะว่างอยู่”“ฉันอยากดื่มแบบส่วนตัว” “อ๋อ! หนูลืมไปพี่เมฆบอกว่าจะจัดเตรียมผู้หญิงไว้ให้ อยากล้วงอยา
ฉันเอนตัวออกห่างจากพี่ติณแล้วจ้องมองลึกเข้าไปที่ดวงตาคู่นั้น อยากจะรู้ว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ฉันก็ไม่สามารถคาดเดาอะไรจากสายตาคู่นั้นได้เลย “หนูอยากดื่มกับกายสองคน พี่ติณกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นเถอะค่ะ” ฉันพูดประชดอีกครั้งแล้วพยายามดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดจากวงแขนแกร่งอีกครั้ง แต่ทว่ายิ่งดื้นพี่ติณก็ยิ่งโอบรัดแน่นขึ้น “เพิ่งเจอกับมันแค่ไม่กี่ชั่วโมง เรียกชื่อเหมือนเอากับมันมาแล้วหลายครั้ง” พี่ติณเอ่ยเสียงเย็น“หยาบคายที่สุด!!” “ฉันก็หยาบคายแบบนี้อยู่แล้วคำพูดของเธอมันไม่ทำให้สะเทือนหรอก มีคำอื่นที่ดีกว่านี้ไหม ?” “ก็เหมือนกับพี่ติณไงคะ เพิ่งเจอกับผู้หญิงคนนั้นแต่ทำเหมือนเคยมีอะไรกับเธอมาแล้วหลายครั้ง เอะ! หรือว่ามีแล้วนะ….” ฉันพูดยอกย้อน แต่มันก็น่าคิดว่าพี่ติณกับผู้หญิงคนสั้นจะเคยมีอะไรกันแล้วจริงๆ ได้ยินเธอชวนไปห้องด้วยหนิ!!“ฉันไม่ได้มั่วขนาดนั้น” “หรอคะ แต่หนูจำได้ว่าพี่ติณเคยแย่งผู้หญิงของเฮียเหนือมา คนที่ชื่อลดา….” “จะพูดถึงชื่อมันทำไม!!” พอฉันพูดถึงเฮียเหนือพี่ติณก็ทำท่าไม่พอใจ “ลดอคติสักทีค่ะ” ฉันเอามือวางบนอกข้างซ้ายของพี่ติณ “ลังเลหรอคะ” พี่ติณพ่นลมหายใจ
#มหาวิทยาลัยฉันมาเรียนด้วยอาการที่ยังปวดจริงๆ เมื่อคืนก็ดื่มไปไม่มากแต่ทำไมอาการของฉันเหมือนกับคนที่ดื่มหนักขนาดนี้นะ “น้ำมนต์แกดื่มหนักหรอเมื่อคืน” แอนนาถามฉันที่อาการไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่ “ไม่นะ” “หน้าแกอย่างกับคนเมาค้างแหนะ” ฉันไม่ได้ตอบอะไรเพราะไม่อยากพูดมาก มึนหัวเวียนหัวไปหมด ตอนนี้ฉันกับแอนนากำลังเดินไปหาเพื่อนที่ห้องเรียน ใบข้าวกับไนท์ไปรออยู่นั่นแล้ว วันนี้เรามีเรียนกันแค่ช่วงเช้า ฉันไม่ได้บอกพี่ติณไว้เพราะอยากจะไปนอนเล่นที่ห้องใบข้าวสักพัก อยากจะปรึกษาอะไรกับใบข้าวด้วย “มาแล้วค่ะเพื่อนทรยศ เมื่อคืนนี้แกเทพวกฉันยัยน้ำมนต์” ใบข้าวพูดในเชิงหยอกล้อเมื่อเห็นฉันเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ตัวเอง“ฉันก็อยากไปกับพวกแก แต่แกก็รู้ว่าฉันขัดพี่ติณไม่ได้”“แกทำได้แต่ไม่ยอมทำต่างหาก” ใบข้าวรีบพูดสวนขึ้นมา มันก็จริงเพราะเมื่อคืนฉันเองก็ดื้อรั้นกับพี่ติณไม่ใช่น้อย หากฉันเป็นแบบนั้นได้ตลอดมันคงจะดี “เลิกเรียนฉันขอไปนอนเล่นที่ห้องแกนะ” ฉันบอกใบข้าว“อื้อได้อยู่แล้วสิไม่เห็นต้องขอเลย” ใบข้าวบอกกับฉันแล้วหันไปถามไนท์ “วันนี้นายไม่ต้องไปหลบผู้หญิงที่ห้องฉันนะ” “แล้วแต่สถานการณ์”
หัวใจดวงน้อยมันกระตุกวูบกับคำถามของใบข้าว รู้สึกไม่ดีเอาซะเลย “ถ้าแกไม่ท้องแล้วทำไมถึงมีอาการแปลกๆ แบบนี้ ?”“เมื่อคืนฉันไปดื่มมาคงจะเมาค้างอยู่ ตะ แต่ตอนนี้แกช่วยรีบๆ เก็บอาหารที่โต๊ะไปเก็บได้ไหม” ฉันบอกอย่างอ้อนวอนตอนนี้กลิ่นมันตีขึ้นจมูกแล้ว เหม็นจนอ้วกจะพุ่งอยู่แล้ว “อื้อๆ” ใบข้าวพยักหน้าตอบก่อนจะรีบเก็บอาหารไปไว้ในครัว เมื่ออาหารตรงหน้าถูกยกไปเก็บฉันก็ค่อยๆ เอามือที่ปิดจมูกออก ตอนนี้รู้สึกว่าหายใจได้คล่องกว่าเดิมแล้ว “ลองไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจดูไหม” ใบข้าวที่เดินออกมาจากห้องครัวเสนอความคิดเห็น “ฉันบอกว่าไม่ได้ท้องไง” “ประจำเดือนแกมาครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ เดือนไหน ?” “……” เมื่อเจอกับคำถามนี้ฉันก็นิ่งไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะลืมไปเลยว่าตัวเองไม่ได้เป็นประจำเดือนช่วงที่ผ่านมา “ถ้าไม่อยากซื้อมาตรวจก็ไปตรวจที่โรงพยาบาล เพื่อความสบายใจนะน้ำมนต์”ฉันจิกเล็กลงบนฝ่ามือของตัวเองอย่างลืมตัว “ฉะ ฉันไม่ได้ท้อง ฉันไม่อยากท้องกับพี่ติณ”ถึงหัวใจของฉันมันจะไม่รักดีคอยเอาแต่หวั่นไหวตลอดเวลา ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกชอบพี่ติณมากขนาดไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องท้องฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย ที่ผ่านมามันก
ฉันกำที่ตรวจครรภ์ในมือแน่น ลมหายใจเริ่มติดขัดเมื่อพี่ติณค่อยๆ โน้มตัวลงมา ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา มันช่วยชีวิตฉันเอาไว้ พี่ติณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายแล้วปรายตามองฉันอยู่( ครับอา ) เขาหันหลังเดินออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกห้อง มันทำให้ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็รีบเอาที่ตรวจครรภ์ซ่อนไว้ใต้หมอนทันที แต่ที่เป็นปัญหาใหญ่คือฉันจะไปหายาที่ไหนมาอ้างกับพี่ติณ ในห้องนี้ไม่มียาอยู่เลย ด้วยความที่คิดอะไรไม่ออกฉันจึงตัดปัญหาด้วยการวิ่งมาเข้าห้องน้ำเพื่อหลบพิรุธ เพราะคิดว่าถ้าหากพี่ติณคุยกับอาของเขาเสร็จต้องเดินกลับมาแน่ๆ “น้ำมนต์” เสียงทุ้มเข้มของพี่ติณเอ่ยเรียกชื่อฉันอยู่ด้านนอก หัวใจดวงน้อยมันเต้นรัวๆ ฉันจะให้พี่ติณเห็นที่ตรวจครรภ์ไม่ได้ ไม่รู้ว่าผลจะออกมายังไงเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะรับรู้อะไรทั้งนั้น “น้ำมนต์” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อฉันอีกครั้ง “นะ หนูเข้าห้องน้ำอยู่ค่ะ” “เอายาเข้าไปในห้องน้ำด้วยว่างั้น” “…อะ อื้อค่ะ หนูถือมากินในห้องน้ำด้วย” “รีบๆ ออกมา ฉันรออยู่”เฮือก! ทำยังไงพี่ติณถึงจะยอมออกไปจากห้องนะ มันอึดอัดมากเลยตอนนี้ “คือหนูจะอาบน้ำด้วย พี่ติณลงไปดื่
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ