ฉันกำที่ตรวจครรภ์ในมือแน่น ลมหายใจเริ่มติดขัดเมื่อพี่ติณค่อยๆ โน้มตัวลงมา ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา มันช่วยชีวิตฉันเอาไว้ พี่ติณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายแล้วปรายตามองฉันอยู่( ครับอา ) เขาหันหลังเดินออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกห้อง มันทำให้ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็รีบเอาที่ตรวจครรภ์ซ่อนไว้ใต้หมอนทันที แต่ที่เป็นปัญหาใหญ่คือฉันจะไปหายาที่ไหนมาอ้างกับพี่ติณ ในห้องนี้ไม่มียาอยู่เลย ด้วยความที่คิดอะไรไม่ออกฉันจึงตัดปัญหาด้วยการวิ่งมาเข้าห้องน้ำเพื่อหลบพิรุธ เพราะคิดว่าถ้าหากพี่ติณคุยกับอาของเขาเสร็จต้องเดินกลับมาแน่ๆ “น้ำมนต์” เสียงทุ้มเข้มของพี่ติณเอ่ยเรียกชื่อฉันอยู่ด้านนอก หัวใจดวงน้อยมันเต้นรัวๆ ฉันจะให้พี่ติณเห็นที่ตรวจครรภ์ไม่ได้ ไม่รู้ว่าผลจะออกมายังไงเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะรับรู้อะไรทั้งนั้น “น้ำมนต์” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อฉันอีกครั้ง “นะ หนูเข้าห้องน้ำอยู่ค่ะ” “เอายาเข้าไปในห้องน้ำด้วยว่างั้น” “…อะ อื้อค่ะ หนูถือมากินในห้องน้ำด้วย” “รีบๆ ออกมา ฉันรออยู่”เฮือก! ทำยังไงพี่ติณถึงจะยอมออกไปจากห้องนะ มันอึดอัดมากเลยตอนนี้ “คือหนูจะอาบน้ำด้วย พี่ติณลงไปดื่
ฉันไม่ยอมไปเปิดประตูให้พี่ติณเอาแต่นั่งร้องไห้ไม่ได้สติ มันโทษใครไม่ได้นอกจากตัวฉันเองที่ไม่คำนึงถึงเรื่องนี้ หากว่าฉันป้องกันอย่างจริงจังตั้งแต่แรกเรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น( แกใจเย็นๆ นะน้ำมนต์แล้วตั้งสติ บ้านพี่ติณอยู่แถวไหนเดี๋ยวฉันจะไปหา ) ( ขะ เขาอยู่หน้าห้อง อึก~ ใบข้าวถ้าพี่ติณเปิดประตูเข้ามาแล้วฉันจะทำยังไง ) ( แกต้องตั้งสติร้องไห้แบบนี้มีหวังโดนสงสัยแน่ๆ )( เขาต้องถามว่าฉันร้องไห้ทำไม อึก~ )( แกไปเปิดประตูแล้วอ้างไปก่อนว่าหมาตายหรืออะไรก็พูดไป ส่งโลเคชั่นมาด้วยนะ ) ( อื้อ อึก~) ใบข้าววางสายไปฉันจึงรีบส่งโลเคชั่นให้เธอ ก่อนจะเช็ดน้ำตาออกจากแก้มพยายามตั้งสติแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตูให้พี่ติณ เมื่อประตูถูกเปิดออกก็เห็นกับใบหน้ายักษ์ของพี่ติณที่จ้องฉันเขม็ง แต่สายตาก็ดูอ่อนลงเมื่อมองเห็นคลาบน้ำตาที่พวงแก้มของฉัน “ร้องไห้ ?” “มะ หมาที่บ้านตายค่ะ หนูเสียใจเลยร้องไห้” ฉันอ้างไปตามที่ใบข้าวบอก ทำให้แววตาของพี่ติณกลับมาแข็งกร้าวอีกครั้ง “แค่หมาตาย ?” “อื้อ” พี่ติณขมวดคิ้วเข้มเขาคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาเสียงเย็น “ที่บ้านเธอเลี้ยงหมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” “
#โรงพยาบาลในที่สุดฉันก็โดนพี่ติณลากตัวมาถึงโรงพยาบาลจนได้ และตอนนี้ฉันก็กำลังร้องไห้โวยวายอยู่ในห้องตรวจ โดยมีหมอกับพยาบาลพากันยืนมองอย่างสนใจว่าฉันร้องไห้ทำไม “หนูบอกว่าไม่ตรวจๆๆๆ อึก~” ฉันตะเบ็งเสียงบอกพี่ติณกับหมอที่จะตรวจท่าเดียวเลย“จะร้องไห้ทำซากอะไร” พี่ติณบอกจากนั้นก็หันไปพูดกับหมอ “ตรวจเลยครับคุณหมอ” “ไม่ หนูไม่ตรวจอย่ามายุ่งนะ อึก~”“อาการเป็นแบบไหนครับเล่าให้หมอฟังหน่อย” หมอถามฉัน“อึก~ ไม่มีอาการอะไรทั้งนั้นหนูปกติดี” “เธอเหม็นอาหาร ช่วงนี้เหมือนพะอืดพะอมจะอ้วกบ่อยครับ” พี่ติณเป็นคนบอกอาการของฉันให้หมอรู้ “มะ ไม่ใช่นะคะ อึก~”“หยุดร้องไห้เป็นเด็กแล้วยอมให้หมอตรวจ” พี่ติณพูดแล้วใช้สายตาข่มขู่ฉัน “ก็บอกว่าไม่อยากตรวจไง อึก~ จะมายุ่งทำไม”“เธอเป็นเมียฉันทำไมจะยุ่งไม่ได้” คำพูดของพี่ติณทำให้หมอและพยาบาลต่างพากันเลิ่กลั่กไปตามๆ กัน “ไม่ใช่เมีย อย่ามาพูดบ้าๆ”“เอากันแทบทุกวันไม่ใช่เมียได้ยังไง” “พี่ติณ!! อึก~” ถึงฉันจะร้องไห้แต่ตอนนี้มันก็โกรธที่พี่ติณพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนที่ไม่รู้จัก “อาการที่บอกมาเหมือนแฟนของคุณกำลังตั้งครรภ์อยู่นะครับ” หมอพูดแทรกขึ้นมาเฮือก!! ฉันจะห
ฉันงุนงงกับคำพูดของพี่ติณไม่น้อย แต่ก็มีหวังว่าเขาจะยอมคืนอิสระให้ เพราะถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้ยินคำว่าจะรับผิดชอบออกมาจากปากของเขา แล้วก็เหมือนว่าจะไม่ได้ยินดีอะไรที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคน “หนูขอตัวก่อนนะคะ” “เธอยังไม่ได้บอกฉันว่าไปไหนมา ?” พี่ติณวนกลับมาถามคำถามเดิมอีกครั้ง “ก็บอกแล้วไงคะว่าไปทำแท้งมา” “ตอบดีๆ ได้ไหมน้ำมนต์” “ลืมไปแล้วหรอคะ หนูเคยพูดว่าถ้าหนูท้องหนูจะทำแท้ง พี่ติณเองก็บอกให้ลองดูหนิ” “ฉันไม่คิดว่าเธอจะทำลง” พูดจบพี่ติณก็เดินมาใกล้ๆ แต่ฉันเลือกถอยหนี “ถึงตอนนี้หนูจะยังไม่ทำแต่มันก็ไม่แน่หรอกค่ะ ในเมื่อยังไงพี่ติณก็ไม่ได้ต้องการให้เขาเกิดมาอยู่แล้ว”“ฉันบอกไปเมื่อไหร่ว่าไม่ต้องการ ?”“เรื่องบางเรื่องการกระทำมันสำคัญมากกว่าคำพูดอีกนะคะ”“……”“ถ้าเด็กคนนี้ต้องเกิดมาแล้วเจอกับความเจ็บปวดแบบหนู ก็อย่าให้เขาเกิดมาจะดีกว่าค่ะ” หมับ!! ฝ่ามือหนาของพี่ติณคว้ามาบีบปลายคางของฉันแน่นหลังจากที่พูดแบบนั้นออกไป เขาจ้องหน้าฉันเขม็งเหมือนว่ากำลังโกรธจนฟิวขาด “เธอคิดจะทำแท้งจริงๆ ?”“คิดว่าหนูกล้าหรือเปล่าล่ะคะ” “แต่นั่นมันลูกฉัน ฉันไม่อนุญาต!!” พี่ติณตวาดเสียงดังลั่นบ้
หัวใจดวงน้อยมันกระตุกวูบเมื่อได้ยินพี่ติณบอกว่าจะแต่งงานกับฉัน ที่มาวันนี้ฉันไม่คิดว่าเขาจะพูดเรื่องนี้เลย ไม่เคยคิดว่าพี่ติณจะพูดถึงเรื่องแต่งงานกับฉันออกมา “น้ำมนต์ท้องครับ ผมจะรับผิดชอบเอง” พี่ติณพูดอีกครั้ง คำพูดนั้นทำให้พ่อและแม่ต่างมองฉันด้วยสายตาที่ผิดหวัง ทั้งที่ฉันจะเป็นคนบอกพ่อกับแม่เรื่องนี้เองแท้ๆ เขามีสิทธิ์อะไรมาพูดตัดหน้าฉัน “หนูไม่แต่งนะคะ” ฉันรีบแย้งขึ้นมาทันที “เธอต้องแต่งงานกับฉัน” พี่ติณพูดสวนขึ้นมาทันควัน “นะ น้ำมนต์ท้องหรอลูก” แม่ยกมือขึ้นมาทาบอกแล้วถามฉัน “ท้องเมื่อไหร่ทำไมถึงไม่บอกพ่อกับแม่”ฉันก้มหน้าลงหลบสายตาที่ผิดหวังของพ่อกับแม่ ฉันเองก็รู้สึกผิดที่ทำสิ่งผิดพลาดแบบนี้ “…หนูเพิ่งรู้ค่ะ หนูตั้งใจจะบอกพ่อกับแม่วันนี้ อยากพูดด้วยตัวเอง” บรรยากาศภายในห้องเงียบชวนให้อึดอัด ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ฉันรับรู้ถึงความผิดหวังที่พ่อกับแม่มีในตอนนี้ จะยังไงก็ได้ขอแค่อย่ายอมให้ฉันแต่งงานกับพี่ติณ ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น “ไหนๆ ก็ท้องแล้วแต่งๆ ให้มันจบไปดีกว่านะครับ จะได้ไม่ต้องมาพูดลับหลังว่าผมไม่มีความรับผิดชอบ” เป็นพี่ติณที่พูดขึ้นมาทำลายความเงียบ “ยังทำร้ายน้อง
ฉันอึ้งกับคำพูดของพี่ติณ เขาถึงกับต้องขู่กันด้วยคำนี้เชียวหรอ การจดทะเบียนสมรสมันก็เหมือนกับการผูกมัด ตั้งใจจะผูกมัดกันขนาดนั้นเลยหรือไง“พี่ติณเป็นอะไร จู่ๆ ก็ไปพูดเรื่องแต่งงาน ไหนจะเรื่องจดทะเบียนอีก” ฉันถามผู้ชายที่นั่งข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ “เป็นผัวเธอ เป็นพ่อของเด็กในท้องเธอ” พี่ติณตอบเสียงเรียบ เขาไม่ได้มองฉันตอนนี้สายตากำลังจับจ้องที่ถนนอย่างจดจ่อ “ไม่เกลียดหนูแล้วงั้นหรอคะ ?”“……” เขาเงียบไม่ได้ตอบอะไร สรุปรู้สึกยังไงกับฉันหรือที่ทำแบบนี้เพราะอยากจะได้ลูก จบคำถามของฉันเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อพี่ติณพาฉันแวะไปโรงพยาบาล ใช่ค่ะเขาพาฉันมาฝากครรภ์และในสมุดฝากครรภ์ก็ลงชื่อพ่อของเด็กไว้ชัดเจน นั่นก็คือพี่ติณและหมอก็ให้ยาแก้แพ้ท้องมาด้วย#คฤหาสน์หลังใหญ่ พี่ติณเดินนำขึ้นบันไดมาที่ห้องนอนของฉัน เขาเดินไปนอนที่เตียงโดยที่ฉันยังไม่อนุญาต“ไม่ไปนอนห้องตัวเองล่ะคะ หนูอยากนอนคนเดียว” “ฉันอยากนอนกับเธอ”“ทำไมถึงอยากนอนกับหนู ?”“ก็ไม่ทำไม แค่อยากนอน” พี่ติณบอกเสียงเย็น เขาถอดเสื้อที่สวมใส่อยู่ออกเพื่อเตียมตัวจะนอน มันคือปกติของเขา เวลานอนพี่ติณไม่ชอบใส่เสื้อ เขาเป็นคนขี้ร้อน ฉันไม่อย
“มะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ไหนบอกว่าจอดรถรออยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัยไง” “ถ้าไม่มาดักรอคงไม่ได้ยินอะไรดีๆ แบบนี้” “…….” แบบนี้เรียกว่าแผนแตกหรือเปล่า ฉันไม่มีโอกาสแก้ตัวได้เลยเพราะพี่ติณคงได้ยินทั้งหมด “กลับไปคุยกันที่บ้าน” แขนของฉันถูกพี่ติณกระชากให้เดินตามเขามาที่รถ ย้ำว่ากระชาก! นั่นจึงทำให้อารมณ์ของฉันมันเริ่มเดือด“จะรุนแรงทำไมคะ บอกกันดีๆ ก็ได้” ฉันสะบัดแขนออกจากมือของพี่ติณอย่างไม่ชอบใจ “คุยดีๆ แบบที่เธอคิดจะหนี ?” พี่ติณถามกลับมาอย่างหาเรื่อง เขาจ้องหน้าฉันเขม็ง “เป็นเด็กหรือไง” “พี่ติณนั่นแหละเป็นเด็กหรือไง!!” ฉันตวาดถามกลับจากนั้นก็รีบเดินตรงมาที่รถโดยทีพี่ติณเดินตามมาติดๆ #บ้านของพี่ติณ พอขึ้นมาบนห้องพี่ติณก็เริ่มถามเข้าประเด็นที่ฉันคิดจะหนี ตอนนี้เขากำลังยืนเท่าเอวอยู่ตรงหน้าของฉันที่นั่งบนปลายเตียง“คิดแบบนั้นมานานเท่าไหร่แล้ว ?”“นานแล้วค่ะ คิดตลอดเวลา” “แต่โชคคงไม่เช้าข้างเธอเท่าไหร่” “เอาโทรศัพท์ของหนูคืนมา” ฉันทวงโทรศัพท์คืนจากพี่ติณ เขายึดเอาโทรศัพท์ของฉันไปหน้าตาเฉยเลย ขอคืนก็ไม่ยอมคืนให้ “เรื่องงานแต่งฉันคงต้องรีบจัดการเร็วๆ นี้” ฉันมองหน้าพี่ติณด้วยแววตาที
คำตอบของพี่ติณทำให้ฉันแน่นิ่งไป เขาเชื่อคำพูดของฉันแล้วหรอ เชื่อสิ่งที่ฉันบอกเรื่องอุบัติเหตุในครั้งนั้นแล้วใช่ไหม แล้วทำไมไม่พูดมันออกมาเลยว่าเจออะไรที่บ้านของอากิต ทำไมต้องถามว่าฉันไม่อยากรู้หรอ “ปล่อยได้แล้วค่ะ มันอึดอัด” ฉันที่เงียบไปครู่หนึ่งเริ่มดิ้นอีกครั้ง “ถ้าฉันปล่อยเธอจะยอมคุยกันดีๆ หรือเปล่า” “กำลังขอร้องอยู่หรอคะ เป็นแบบนี้ดูไม่ใช่พี่ติณเลยนะ” ฉันถามแบบประชด “…ฉันกำลังพยายาม” “อย่าฝืนเลยค่ะ เป็นแบบเดิมก็ดีอยู่แล้วหนูจะไม่เรียกร้องขอให้พี่ติณมาใจดีกับหนูเพราะลูก” พี่ติณเงียบไปครู่ใหญ่เลย ฉันเองก็ยังคงดิ้นบนตักแกร่งอยู่อย่างนั้นแต่ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดพ้นสักที “ฉันโง่มากใช่ไหมที่เชื่อสิ่งผิดๆ มาตลอด” หลังจากที่เงียบไปนานพี่ติณก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่หรอกค่ะ แค่พี่ติณไม่ควรทำร้ายหนูขนาดนี้ ไม่ควรทำร้ายเฮียเหนือด้วย แล้วก็ควรรับฟังคนอื่น ไม่ใช่เอาแต่จมปักกับอะไรผิดๆ” “….ถ้าฉันอยากจะขอโทษตอนนี้มันสายไปหรือเปล่า” “……” ฉันเฝ้ารอให้เขาพูดมาตลอด แล้วทำไมถึงอยากจะมาพูดเอาตอนนี้ ที่ผ่านมาทำไมไม่พูด “ฉันขอ…..” “เปลี่ยนไปแบบนี้เพราะหนูท้องหรอคะ ก่อนหน้านี้ก็ใจร้ายอยู่นี่”
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ