“ห้ามผิดคำพูดนะคะ” ฉันย้ำอีกครั้ง เพราะมั่นใจว่าถ้าทุกอย่างถูกคลี่คลาย ชีวิตของฉันก็จะเป็นอิสระ“ฉันพูดคำไหนคำนั้น” ได้ยินพี่ติณยืนยันแบบนี้ก็ทำให้โล่งอกขึ้นมาหน่อย จริงอยู่ที่ฉันเคยลังเลกับความรู้สึกของตัวเอง แต่ต่อให้ชอบมากแค่ไหนฉันก็ไม่อยากถูกทำร้ายความรู้สึกไปเรื่อยๆ “ไม่กินข้าวหรือไง” พี่ติณถามขึ้นมาขณะที่ฉันกำลังจะเดินออกไปจากตรงนี้ “หนูแบ่งส่วนของตัวเองไว้ไปกินที่ห้องแล้วค่ะ” “นั่งลง” พอจะเดินอีกก้าวพี่ติณก็ออกคำสั่ง ฉันจึงหันมองหน้าเขาอีกครั้งอย่างแปลกใจ “…คะ ?”“ฉันบอกให้เธอนั่งลง” ถึงจะงุนงงแต่ฉันก็ยอมนั่งลงตามคำสั่งของเขาอยู่ดี “จนกว่าฉันจะกินข้าวเสร็จ เธอห้ามลุกไปไหน” เกินไปแล้ว! ฉันก็หิวเป็นเหมือนกันนะ วันทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรเลยด้วย จะมาให้นั่งดูตัวเองกินแบบนี้หรือไง ฉันทำได้แค่บ่นในใจเพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องนั่งรอพี่ติณอยู่ดี “ฝีมือดีขึ้นนี่ ก่อนหน้านี้รสชาติไม่ได้เรื่อง” พี่ติณตักอาหารคำแรกเข้าปากแล้วพูดชม คำชมนั้นมันทำให้ใจชื้นมากๆ จนเผลอยิ้มออกมา“ได้ข่าวว่าพ่อเธอให้บัตรเครดิตกับบัตรเอทีเอ็มไว้” “ค่ะ” พี่ติณถามแปลก อายุขนาดนี้แล้วก็ต้องมีบัตรพวกนั้นอยู่แล้วใ
#ร้านเหล้า ดีหน่อยที่พี่ติณไม่ได้นั่งโต๊ะเดียวกันกับฉัน เขานั่งแยกออกไปซึ่งโต๊ะก็อยู่ไม่ไกลจากพวกฉันเท่าไหร่นัก “ไม่เห็นบอกเลยว่าพี่เขาจะมาด้วย” ใบข้าวกระซิบถามฉัน ตอนนี้ฉันนั่งอยู่กับยัยข้าวสองคน ส่วนแอนนากับไนท์ไปเข้าห้องน้ำ “ก็ไม่คิดว่าจะมาไง ถ้าฉันไม่ยอมก็ไม่ได้ออกมาดื่มกับพวกแก นี่ถ้าฉันไม่ใช่คนนัดไว้คงไม่มาแน่ๆ ถ้าจะคอยมาดูกันแบบนี้” ฉันบ่นให้ใบข้าวฟังสายตามองพี่ติณที่กำลังดื่มเหล้าอย่างใจเย็น “มันก็เป็นเรื่องดีๆ นะแก ใช่ไหมล่ะ” “ดียังไง ?”“บางทีเขาอาจจะหวงแกไง อยู่ด้วยกันมันก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างสิ”“….หวั่นไหวงั้นหรอ มันคงไม่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนนี้หรอก” “ถึงขั้นตามมาที่ร้านเหล้าแบบนี้มันก็ไม่แน่นะ อาจจะหวงแกก็ได้”“ไม่ใช่หรอก ฉันก็เป็นแค่สัตว์เลี้ยงที่เขาขังเอาไว้ในกรง เวลาจะไปไหนมาไหนก็ต้องมีเจ้าของคอยตามไปทุกที่ แค่นั้นเอง” พูดจบฉันก็ยกเหล้าดื่ม ถึงแม้รสชาติมันจะไม่น่ากลืนลงคอเท่าไหร่ แต่อารมณ์ตอนนี้มันอยากดื่มมากๆ “ทำไมแกพูดเหมือนตัวเองไม่มีค่าแบบนั้นยัยน้ำมนต์” ใบข้าวมองดุฉัน ถ้าเธอรู้ว่าฉันต้องเจอกับอะไรบ้างคงไม่ถามแบบนี้ “เลิกพูดถึงเขาเถอะ ทำให้บรรยากาศเสียเปล่าๆ”
Talk น้ำมนต์#เช้าฉันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นเพราะแสงแดดที่มันสาดส่องเข้ามารบกวนภายในห้อง พอรู้สึกตัวมันก็ปวดหัวจนแทบจะระเบิด แถมยังมีอาการจะอ้วกด้วย คงเป็นเพราะดื่มหนักไปหน่อย เมื่อคืนจำไม่ได้เลยว่าหลังจากดื่มหนักติดกันหลายแก้วแล้วฉันทำอะไรบ้าง ภาพมันตัดไปเลย แต่คิดว่าคงไม่มีอะไรเมาแล้วก็คงจะหลับที่โต๊ะ ฉันค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเรือนร่างของตัวเองมันเปลือยเปล่า จึงรีบคว้าเอาผ้าห่มมาคลุมตัวเองไว้ แล้วค่อยๆ เปิดผ้าแล้วก้มหน้าดูว่าท่อนล่างนั้นเปลือยเปล่าเหมือนกันหรือเปล่า สรุปคือตอนนี้ฉันแก้ผ้าอยู่ และที่สำคัญพอมองไปรอบๆ ห้องแล้ว ปรากฎว่าห้องที่นอนอยู่ตอนนี้คือห้องของพี่ติณ เสื้อผ้าของฉันมันถูกถอดกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นห้อง มันเกิดอะไรขึ้น…“ฉะ ฉันมานอนที่ห้องพี่ติณได้ยังไง” ฉันถามกับตัวเอง พยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าตัวเองมานอนอยู่บนเตียงของพี่ติณได้ยังไง แล้วมาแก้ผ้าอยู่แบบนี้ ปะ แปลว่าเมื่อคืนฉันกับพี่ติณมีอะไรกันงั้นหรอ ทำไมฉันถึงใจง่ายเวลาเมาแบบนี้นะ อุตส่าห์ปฏิเสธเขาไปแล้วแท้ๆ แกร็ก! เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ฉันรีบก้มหน้าลงเพราะรู้ดีว่าคนที่เ
#มหาวิทยาลัย“น้ำมนต์ฉันคิดว่าวันนี้แกต้องขาดแล้วซะอีก” แอนนารีบท้วงขึ้นเมื่อเห็นฉันเดินมา “นั่นสิ รู้ไหมว่าเมื่อคืนแกเมามาก” ใบข้าวพูด“ใช่ เมาแล้วน่ากลัวฉิบ!” ไนท์พูดเสริมอีกแรง คำทักทายของเพื่อนๆ ทำให้ฉันต้องหยุดคิดว่าเมื่อคืนนี้เผลอทำอะไรบ้าๆ ไปหรือเปล่า “แกคงจำไม่ได้สินะ ดีแล้วๆ อย่าไปจำเลย” แอนนาจับมือฉันให้นั่งลงข้างๆ ตัวเอง “เนอะ ถ้าจำได้ต้องอายมากแน่ๆ อุ๊ย!” ใบข้าวรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเมื่อเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรออกมาต่อหน้าฉัน“ยัยข้าว เงียบปากไปเลยนะ” แอนนาหันไปดุใบข้าวทำให้เธอรีบเม้มปากแน่นทันที “พวกแกปิดบังอะไรฉันอยู่ เมื่อคืนฉันทำอะไร ?” ฉันถามแต่เหมือนทุกคนไม่อยากจะพูด ฉันจึงจ้องหน้าไนท์แทนเพราะไนท์คงไม่กล้าโกหก “ว่าไงไนท์ เมื่อคืนฉันทำอะไรที่มันน่าอายลงไปงั้นหรอ” “อ่า! ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าต้องไปซื้อน้ำกิน เดี๋ยวไปก่อนนะเจอกันที่ห้องเรียน” ไนท์โบกมือลาจากนั้นก็รีบลุกขึ้นเดินไปเลย ที่คิดว่าไนท์จะไม่โกหกคงคิดไปเองสินะ ทำไมเพื่อนทุกคนต้องปิดบังด้วย หรือเมื่อคืนฉันทำอะไรที่มันน่าอาย ขายขี้หน้ามากๆ ลงไป “แอนนา ใบข้าว” ฉันเรียกชื่อเพื่อนทั้งสองคน ทำให้สะดุ้งไปตาม
ถึงจะเคยกล้าเถียง กล้าสู้ แต่ครั้งนี้ฉันไม่สามารถห้ามห้ามความกลัวของตัวเองเอาไว้ได้ เพราะสีหน้าและแววตาของพี่ติณนั้นมันน่ากลัวมากจริงๆ “บอกฉันว่ามาทำโปรเจ็คกับเพื่อน ที่แท้ก็แอบนัดมันไว้นี่เอง” พี่ติณมองหน้าพี่วินด้วยสายตาที่ดุดัน “เราทำงานกันจริงๆ นะคะ ส่วนพี่วินเขาเป็นเพื่อนกับพี่บาสพี่ชายข้าวเอง เขาแค่มาเอาของเดี๋ยวก็กลับกันแล้วค่ะ” ใบข้าวเห็นท่าไม่ดีก็เลยพูดให้ แต่ดูจากสายตาของพี่ติณแล้วเขาไม่ได้เชื่อสิ่งที่ใบข้าวพูดเลย เขาเชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น “ฉันแค่จะมาเข้าห้องน้ำ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น” พี่วินพูดขึ้น โชคดีที่เขายังพูดแบบนี้ ถ้าเกิดพูดอีกอย่างคงได้มีปัญหาแน่ๆ “กลับกันดีกว่านะคะ” ฉันเดินมาจับแขนพี่ติณจะพาเขาออกไปจากห้อง แต่พี่ติณกลับผลักออกจนแผ่นหลังของฉันกระแทกเข้ากับผนังห้อง“โอ้ย~” ฉันร้องออกมาเสียงหลง แอนนากับใบข้าวจึงรีบมาประคองตัวไว้ “ทำแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรอคะพี่ติณ น่าเสียดายที่แอนเคยชอบพี่” แอนนาหันไปจ้องพี่ติณเขม็ง “ฉันไม่เคยขอให้เธอมาชอบ” พี่ติณตอบแบบไม่สนใจแล้วพุ่งปรี่มากระชากแขนฉัน ทั้งที่เขาเพิ่งจะผลักฉันแท้ๆ แขนมันแทบจะหลุดแล้ว ทำไมต้องรุนแรงขนาดนี้ด้
เสื้อผ้าบนตัวของฉันถูกฉีกขาด กระโปรงถูกถกขึ้นมากองไว้บนหน้าท้อง กางเกงซับในและกางกางในตัวจิ๋วถูกพี่ติณกระชากจนขาดลุยไม่ต่างอะไรจากเสื้อนักศึกษาที่ถูกกระชากไปก่อนหน้านี้ เมื่อเขาจัดการกับตัวฉันเสร็จก็ลุกขึ้นยืนแล้วถอดเสื้อผ้าของตัวเอง โดยที่ฉันก็นอนอยู่นิ่งๆ ร่างหนาถาโถมแทรกเข้ามากลางลำตัวฝ่ามือใหญ่จับหว่างขาของฉันทั้งสองข้างให้ชันขึ้นแล้วจับแก่นกายใหญ่ถูขึ้นลงแวกกลีบทั้งสองข้าง“ทำไมไม่ใส่ถุงยาง อ๊ะ~” พอท้วงออกไปก็ถูกพี่ติณอัดกระแทกเอวสอบแรงๆ มันทำให้ฉันเกร็งไปทั้งตัวเพราะเจ็บ “ไม่ใส่” เสียงเข้มเอ่ยตอบ จากนั้นก็เริ่มกระแทกเอวสอบอย่างป่าเถื่อน ปัก ปัก ปัก! การกระทำของพี่ติณมันรุนแรงมากกว่าครั้งไหนๆ เขาอัดกระแทกเอวสอบถาโถมใส่ไม่ยั้งเหมือนกำลังลงโทษฉันที่ดื้อรั้น “อึก พะ พอก่อน อ๊ะ หนูเจ็บ” ฉันที่ทนความเจ็บไม่ไหวจึงพยายามจะหนี ทั้งใช้เท้าถีบที่แผงอกแกร่งเพื่อผลักตัวออกจากแก่นกายใหญ่ แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะพี่ติณใช้มือจับรั้งสะโพกฉันไว้ “ปากเก่งมาก ทำไมตอนนี้ถึงเจ็บ ซี๊ด~” ปัก ปัก ปัก! ยิ่งฉันดิ้นก็จะถูกอัดกระแทกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงเนื้อที่มันกระทบกันในครั้งนี้มันดังมากกว่าทุกครั้ง
Talk ติณบริษัท #ภายในห้องทำงาน“นายเรียกหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ” “ไปสืบเรื่องอุบัติเหตุในครั้งนั้นของพ่อกูอีกครั้ง” “ได้ครับ ว่าแต่เรื่องนี้ต้องแจ้งคุณกิตก่อนหรือเปล่าครับนาย” “ไม่ต้อง! ห้ามให้อากิตรู้เรื่องนี้เด็ดขาด” “ครับ” ให้หลังจากที่ลูกของผมเดินออกไปจากห้อง ผมก็พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะพิสูจน์ผมคงไม่ต้องให้ลูกน้องตามสืบเรื่องนี้อีกครั้ง แต่ก็ดีน้ำมนต์เธอจะได้ยอมรับสักทีว่าครอบครัวของตัวเองทำระยำไว้ขนาดไหน แกร็ก! ประตูห้องทำงานถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างของอากิตที่แทรกตัวเดินเข้ามาในห้อง “มีอะไรหรือเปล่าครับอา” ผมถาม “หนูเอมี่มาที่เมืองไทยวันนี้แกควรไปรับนะ เธอมาคนเดียวเห็นว่าอยากจะมาเที่ยวเมืองไทย ไม่ได้มานานแล้ว” ผู้หญิงชื่อเอมี่ที่อากิตพูดถึงคือลูกเจ้าของนักธุรกิจรายใหญ่ที่ฮ่องกงผู้หญิงที่อากิตพยายามจะจับคู่ให้ผม ตั้งแต่พ่อเสียชื่ออากิตก็เข้ามาจัดการทุกอย่างในชีวิตของผม แต่ผมไม่ค่อยจะเชื่อฟังเท่าไหร่ “ทำไมต้องไปรับด้วยมันไม่ใช่ธุระของผม” “จะให้อาบอกอีกกี่ครั้งว่าถ้าแกยอมหมั้นกับทางนั้น เม็ดเงินมหาศาลก็จะหลั่งไหลเข้ามาในบริษัทเรา” “แล้วทำไมอาไม่หมั้นเ
ฉันขึ้นมาทำความสะอาดห้องชั้นบน เป็นห้องที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องของพี่ติณ ในขณะที่กำความสะอาดอยู่ใจฉันมันก็เหม่อลอยคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย มันรู้สึกไม่ดีที่เห็นพี่ติณพาผู้หญิงเข้ามาในบ้าน ฉันรู้ตัวว่าไม่ควรไปหวงเขา แต่มันกลับอดหวงไม่ได้ ทั้งที่พี่ติณทำอะไรแย่ๆ กับฉันตั้งหลายอย่างทำไมฉันถึงไม่เลิกชอบเขาสักที หรือฉันควรจะมีใครสักคนเผื่อจะทำให้ลืมความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับพี่ติณได้ แต่ถ้าฉันมีแฟนแล้วพี่ติณรู้คงจะเป็นเรื่องใหญ่ แกร็ก! ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาทำให้ฉันที่กำลังคิดฟุ้งซ่านได้สติ รีบทำความสะอาดต่อโดยไม่หันมองว่าใครเข้ามาในห้อง แต่ถ้าไม่ใช่พี่ติณก็คงเป็นผู้หญิงคนนั้น “เธออยู่ที่นี่นานหรือยัง” เสียงผู้หญิงถามฉันแล้วเดินมาหยุดตรงหน้า ใบหน้าหวานแต่มันแฝงไปด้วยความร้ายกาจ “ไม่นานเท่าไหร่ค่ะ” “เป็นคนใช้จริงๆ น่ะหรอ ท่าทางของเธอไม่ได้เหมือนคนใช้เลยสักนิด” เธอยกมือขึ้นกอดอกถามฉันด้วยน้ำเสียงที่ชวนหาเรื่อง “ฉันเป็นแม่บ้านค่ะ” ฉันขยับตัวหนี ไม่อยากจะมีปัญหาอะไร เพราะปัญหาที่มีอยู่มันก็หนักอึ้งจนหัวแทบจะระเบิด “แม่บ้านหรือคนใช้มันก็ความหมายเดียวกัน”“ค่ะ” “มาอยู่ที่นี่คงไม่คิดจะจับติณใช่ไหม”
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ