ฉันกำผ้าปูที่นอนแน่น ก่อนจะพูดกับพี่ติณ “ถะ ถ้าอย่างนั้นพี่ติณก็ไปทำกับคนอื่นเถอะค่ะ” “ต้องการแบบนั้นจริงๆ ?” พี่ติณถามย้ำ ไม่รู้ว่าจะถามย้ำเพื่ออะไร คิดว่าฉันอยากจะมีอะไรกับเขามากเลยหรือไง “…หนูไม่อยากมีอะไรกับพี่ติณ” ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองใบหน้าฉันครู่หนึ่งก่อนที่พี่ติณจะลุกขึ้นจากตัวฉัน“ออกไป” พี่ติณบอกเสียงเย็น เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าฉันเลยด้วยซ้ำ“…ค่ะ” ฉันรีบลุกขึ้นออกไปจากห้องโดยไม่ถามว่าแผลที่หัวของพี่ติณเขาจะให้ทำแผลต่อหรือเปล่า #ภานในห้องนอนตอนนี้ถึงแม้ว่าฉันจะพยายามข่มตาตัวเองให้นอนหลับเท่าไหร่มันก็ไม่สามารถหลับลงได้ ทั้งที่เลือกให้พี่ติณไปทำแบบนั้นกับผู้หญิงคนอื่นเองแท้ๆ แต่ฉันกลับหวงเขา ก็เพราะว่าฉันชอบพี่ติณนี่ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะร้ายกาจไม่ได้อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อนฉันก็ยังชอบเขาอยู่ดี “เฮ้อ! หยุดคิดอะไรบ้าๆ สักทีน้ำมนต์” ฉันบ่นตัวเองที่เอาที่คิดฟุ้งซ่าน แบบนี้เมื่อไหร่จะนอนหลับสีกที ป่านนี้พี่ติณคงทำอะไรต่อมิอะไรกับผู้หญิงคนอื่นอยู่….เฮ้อ!! ฉันคิดอะไรบ้าๆ อีกแล้ว วันต่อมาหลังจากทำงานบ้านให้พี่ติณเสร็จแล้วฉันก็มามหาวิทยาลัย โดยมีลูกน้องของพี่ติณขับรถมาส่ง กริ้ง~
“ห้ามผิดคำพูดนะคะ” ฉันย้ำอีกครั้ง เพราะมั่นใจว่าถ้าทุกอย่างถูกคลี่คลาย ชีวิตของฉันก็จะเป็นอิสระ“ฉันพูดคำไหนคำนั้น” ได้ยินพี่ติณยืนยันแบบนี้ก็ทำให้โล่งอกขึ้นมาหน่อย จริงอยู่ที่ฉันเคยลังเลกับความรู้สึกของตัวเอง แต่ต่อให้ชอบมากแค่ไหนฉันก็ไม่อยากถูกทำร้ายความรู้สึกไปเรื่อยๆ “ไม่กินข้าวหรือไง” พี่ติณถามขึ้นมาขณะที่ฉันกำลังจะเดินออกไปจากตรงนี้ “หนูแบ่งส่วนของตัวเองไว้ไปกินที่ห้องแล้วค่ะ” “นั่งลง” พอจะเดินอีกก้าวพี่ติณก็ออกคำสั่ง ฉันจึงหันมองหน้าเขาอีกครั้งอย่างแปลกใจ “…คะ ?”“ฉันบอกให้เธอนั่งลง” ถึงจะงุนงงแต่ฉันก็ยอมนั่งลงตามคำสั่งของเขาอยู่ดี “จนกว่าฉันจะกินข้าวเสร็จ เธอห้ามลุกไปไหน” เกินไปแล้ว! ฉันก็หิวเป็นเหมือนกันนะ วันทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรเลยด้วย จะมาให้นั่งดูตัวเองกินแบบนี้หรือไง ฉันทำได้แค่บ่นในใจเพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องนั่งรอพี่ติณอยู่ดี “ฝีมือดีขึ้นนี่ ก่อนหน้านี้รสชาติไม่ได้เรื่อง” พี่ติณตักอาหารคำแรกเข้าปากแล้วพูดชม คำชมนั้นมันทำให้ใจชื้นมากๆ จนเผลอยิ้มออกมา“ได้ข่าวว่าพ่อเธอให้บัตรเครดิตกับบัตรเอทีเอ็มไว้” “ค่ะ” พี่ติณถามแปลก อายุขนาดนี้แล้วก็ต้องมีบัตรพวกนั้นอยู่แล้วใ
#ร้านเหล้า ดีหน่อยที่พี่ติณไม่ได้นั่งโต๊ะเดียวกันกับฉัน เขานั่งแยกออกไปซึ่งโต๊ะก็อยู่ไม่ไกลจากพวกฉันเท่าไหร่นัก “ไม่เห็นบอกเลยว่าพี่เขาจะมาด้วย” ใบข้าวกระซิบถามฉัน ตอนนี้ฉันนั่งอยู่กับยัยข้าวสองคน ส่วนแอนนากับไนท์ไปเข้าห้องน้ำ “ก็ไม่คิดว่าจะมาไง ถ้าฉันไม่ยอมก็ไม่ได้ออกมาดื่มกับพวกแก นี่ถ้าฉันไม่ใช่คนนัดไว้คงไม่มาแน่ๆ ถ้าจะคอยมาดูกันแบบนี้” ฉันบ่นให้ใบข้าวฟังสายตามองพี่ติณที่กำลังดื่มเหล้าอย่างใจเย็น “มันก็เป็นเรื่องดีๆ นะแก ใช่ไหมล่ะ” “ดียังไง ?”“บางทีเขาอาจจะหวงแกไง อยู่ด้วยกันมันก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างสิ”“….หวั่นไหวงั้นหรอ มันคงไม่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนนี้หรอก” “ถึงขั้นตามมาที่ร้านเหล้าแบบนี้มันก็ไม่แน่นะ อาจจะหวงแกก็ได้”“ไม่ใช่หรอก ฉันก็เป็นแค่สัตว์เลี้ยงที่เขาขังเอาไว้ในกรง เวลาจะไปไหนมาไหนก็ต้องมีเจ้าของคอยตามไปทุกที่ แค่นั้นเอง” พูดจบฉันก็ยกเหล้าดื่ม ถึงแม้รสชาติมันจะไม่น่ากลืนลงคอเท่าไหร่ แต่อารมณ์ตอนนี้มันอยากดื่มมากๆ “ทำไมแกพูดเหมือนตัวเองไม่มีค่าแบบนั้นยัยน้ำมนต์” ใบข้าวมองดุฉัน ถ้าเธอรู้ว่าฉันต้องเจอกับอะไรบ้างคงไม่ถามแบบนี้ “เลิกพูดถึงเขาเถอะ ทำให้บรรยากาศเสียเปล่าๆ”
Talk น้ำมนต์#เช้าฉันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นเพราะแสงแดดที่มันสาดส่องเข้ามารบกวนภายในห้อง พอรู้สึกตัวมันก็ปวดหัวจนแทบจะระเบิด แถมยังมีอาการจะอ้วกด้วย คงเป็นเพราะดื่มหนักไปหน่อย เมื่อคืนจำไม่ได้เลยว่าหลังจากดื่มหนักติดกันหลายแก้วแล้วฉันทำอะไรบ้าง ภาพมันตัดไปเลย แต่คิดว่าคงไม่มีอะไรเมาแล้วก็คงจะหลับที่โต๊ะ ฉันค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเรือนร่างของตัวเองมันเปลือยเปล่า จึงรีบคว้าเอาผ้าห่มมาคลุมตัวเองไว้ แล้วค่อยๆ เปิดผ้าแล้วก้มหน้าดูว่าท่อนล่างนั้นเปลือยเปล่าเหมือนกันหรือเปล่า สรุปคือตอนนี้ฉันแก้ผ้าอยู่ และที่สำคัญพอมองไปรอบๆ ห้องแล้ว ปรากฎว่าห้องที่นอนอยู่ตอนนี้คือห้องของพี่ติณ เสื้อผ้าของฉันมันถูกถอดกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นห้อง มันเกิดอะไรขึ้น…“ฉะ ฉันมานอนที่ห้องพี่ติณได้ยังไง” ฉันถามกับตัวเอง พยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าตัวเองมานอนอยู่บนเตียงของพี่ติณได้ยังไง แล้วมาแก้ผ้าอยู่แบบนี้ ปะ แปลว่าเมื่อคืนฉันกับพี่ติณมีอะไรกันงั้นหรอ ทำไมฉันถึงใจง่ายเวลาเมาแบบนี้นะ อุตส่าห์ปฏิเสธเขาไปแล้วแท้ๆ แกร็ก! เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ฉันรีบก้มหน้าลงเพราะรู้ดีว่าคนที่เ
#มหาวิทยาลัย“น้ำมนต์ฉันคิดว่าวันนี้แกต้องขาดแล้วซะอีก” แอนนารีบท้วงขึ้นเมื่อเห็นฉันเดินมา “นั่นสิ รู้ไหมว่าเมื่อคืนแกเมามาก” ใบข้าวพูด“ใช่ เมาแล้วน่ากลัวฉิบ!” ไนท์พูดเสริมอีกแรง คำทักทายของเพื่อนๆ ทำให้ฉันต้องหยุดคิดว่าเมื่อคืนนี้เผลอทำอะไรบ้าๆ ไปหรือเปล่า “แกคงจำไม่ได้สินะ ดีแล้วๆ อย่าไปจำเลย” แอนนาจับมือฉันให้นั่งลงข้างๆ ตัวเอง “เนอะ ถ้าจำได้ต้องอายมากแน่ๆ อุ๊ย!” ใบข้าวรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเมื่อเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรออกมาต่อหน้าฉัน“ยัยข้าว เงียบปากไปเลยนะ” แอนนาหันไปดุใบข้าวทำให้เธอรีบเม้มปากแน่นทันที “พวกแกปิดบังอะไรฉันอยู่ เมื่อคืนฉันทำอะไร ?” ฉันถามแต่เหมือนทุกคนไม่อยากจะพูด ฉันจึงจ้องหน้าไนท์แทนเพราะไนท์คงไม่กล้าโกหก “ว่าไงไนท์ เมื่อคืนฉันทำอะไรที่มันน่าอายลงไปงั้นหรอ” “อ่า! ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าต้องไปซื้อน้ำกิน เดี๋ยวไปก่อนนะเจอกันที่ห้องเรียน” ไนท์โบกมือลาจากนั้นก็รีบลุกขึ้นเดินไปเลย ที่คิดว่าไนท์จะไม่โกหกคงคิดไปเองสินะ ทำไมเพื่อนทุกคนต้องปิดบังด้วย หรือเมื่อคืนฉันทำอะไรที่มันน่าอาย ขายขี้หน้ามากๆ ลงไป “แอนนา ใบข้าว” ฉันเรียกชื่อเพื่อนทั้งสองคน ทำให้สะดุ้งไปตาม
ถึงจะเคยกล้าเถียง กล้าสู้ แต่ครั้งนี้ฉันไม่สามารถห้ามห้ามความกลัวของตัวเองเอาไว้ได้ เพราะสีหน้าและแววตาของพี่ติณนั้นมันน่ากลัวมากจริงๆ “บอกฉันว่ามาทำโปรเจ็คกับเพื่อน ที่แท้ก็แอบนัดมันไว้นี่เอง” พี่ติณมองหน้าพี่วินด้วยสายตาที่ดุดัน “เราทำงานกันจริงๆ นะคะ ส่วนพี่วินเขาเป็นเพื่อนกับพี่บาสพี่ชายข้าวเอง เขาแค่มาเอาของเดี๋ยวก็กลับกันแล้วค่ะ” ใบข้าวเห็นท่าไม่ดีก็เลยพูดให้ แต่ดูจากสายตาของพี่ติณแล้วเขาไม่ได้เชื่อสิ่งที่ใบข้าวพูดเลย เขาเชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น “ฉันแค่จะมาเข้าห้องน้ำ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น” พี่วินพูดขึ้น โชคดีที่เขายังพูดแบบนี้ ถ้าเกิดพูดอีกอย่างคงได้มีปัญหาแน่ๆ “กลับกันดีกว่านะคะ” ฉันเดินมาจับแขนพี่ติณจะพาเขาออกไปจากห้อง แต่พี่ติณกลับผลักออกจนแผ่นหลังของฉันกระแทกเข้ากับผนังห้อง“โอ้ย~” ฉันร้องออกมาเสียงหลง แอนนากับใบข้าวจึงรีบมาประคองตัวไว้ “ทำแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรอคะพี่ติณ น่าเสียดายที่แอนเคยชอบพี่” แอนนาหันไปจ้องพี่ติณเขม็ง “ฉันไม่เคยขอให้เธอมาชอบ” พี่ติณตอบแบบไม่สนใจแล้วพุ่งปรี่มากระชากแขนฉัน ทั้งที่เขาเพิ่งจะผลักฉันแท้ๆ แขนมันแทบจะหลุดแล้ว ทำไมต้องรุนแรงขนาดนี้ด้
เสื้อผ้าบนตัวของฉันถูกฉีกขาด กระโปรงถูกถกขึ้นมากองไว้บนหน้าท้อง กางเกงซับในและกางกางในตัวจิ๋วถูกพี่ติณกระชากจนขาดลุยไม่ต่างอะไรจากเสื้อนักศึกษาที่ถูกกระชากไปก่อนหน้านี้ เมื่อเขาจัดการกับตัวฉันเสร็จก็ลุกขึ้นยืนแล้วถอดเสื้อผ้าของตัวเอง โดยที่ฉันก็นอนอยู่นิ่งๆ ร่างหนาถาโถมแทรกเข้ามากลางลำตัวฝ่ามือใหญ่จับหว่างขาของฉันทั้งสองข้างให้ชันขึ้นแล้วจับแก่นกายใหญ่ถูขึ้นลงแวกกลีบทั้งสองข้าง“ทำไมไม่ใส่ถุงยาง อ๊ะ~” พอท้วงออกไปก็ถูกพี่ติณอัดกระแทกเอวสอบแรงๆ มันทำให้ฉันเกร็งไปทั้งตัวเพราะเจ็บ “ไม่ใส่” เสียงเข้มเอ่ยตอบ จากนั้นก็เริ่มกระแทกเอวสอบอย่างป่าเถื่อน ปัก ปัก ปัก! การกระทำของพี่ติณมันรุนแรงมากกว่าครั้งไหนๆ เขาอัดกระแทกเอวสอบถาโถมใส่ไม่ยั้งเหมือนกำลังลงโทษฉันที่ดื้อรั้น “อึก พะ พอก่อน อ๊ะ หนูเจ็บ” ฉันที่ทนความเจ็บไม่ไหวจึงพยายามจะหนี ทั้งใช้เท้าถีบที่แผงอกแกร่งเพื่อผลักตัวออกจากแก่นกายใหญ่ แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะพี่ติณใช้มือจับรั้งสะโพกฉันไว้ “ปากเก่งมาก ทำไมตอนนี้ถึงเจ็บ ซี๊ด~” ปัก ปัก ปัก! ยิ่งฉันดิ้นก็จะถูกอัดกระแทกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงเนื้อที่มันกระทบกันในครั้งนี้มันดังมากกว่าทุกครั้ง
Talk ติณบริษัท #ภายในห้องทำงาน“นายเรียกหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ” “ไปสืบเรื่องอุบัติเหตุในครั้งนั้นของพ่อกูอีกครั้ง” “ได้ครับ ว่าแต่เรื่องนี้ต้องแจ้งคุณกิตก่อนหรือเปล่าครับนาย” “ไม่ต้อง! ห้ามให้อากิตรู้เรื่องนี้เด็ดขาด” “ครับ” ให้หลังจากที่ลูกของผมเดินออกไปจากห้อง ผมก็พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะพิสูจน์ผมคงไม่ต้องให้ลูกน้องตามสืบเรื่องนี้อีกครั้ง แต่ก็ดีน้ำมนต์เธอจะได้ยอมรับสักทีว่าครอบครัวของตัวเองทำระยำไว้ขนาดไหน แกร็ก! ประตูห้องทำงานถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างของอากิตที่แทรกตัวเดินเข้ามาในห้อง “มีอะไรหรือเปล่าครับอา” ผมถาม “หนูเอมี่มาที่เมืองไทยวันนี้แกควรไปรับนะ เธอมาคนเดียวเห็นว่าอยากจะมาเที่ยวเมืองไทย ไม่ได้มานานแล้ว” ผู้หญิงชื่อเอมี่ที่อากิตพูดถึงคือลูกเจ้าของนักธุรกิจรายใหญ่ที่ฮ่องกงผู้หญิงที่อากิตพยายามจะจับคู่ให้ผม ตั้งแต่พ่อเสียชื่ออากิตก็เข้ามาจัดการทุกอย่างในชีวิตของผม แต่ผมไม่ค่อยจะเชื่อฟังเท่าไหร่ “ทำไมต้องไปรับด้วยมันไม่ใช่ธุระของผม” “จะให้อาบอกอีกกี่ครั้งว่าถ้าแกยอมหมั้นกับทางนั้น เม็ดเงินมหาศาลก็จะหลั่งไหลเข้ามาในบริษัทเรา” “แล้วทำไมอาไม่หมั้นเ
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ