ไม่ว่าจะถามอะไรไปก็ไม่ได้คำตอบกลับมาฉันจึงเงียบจนกระทั่งพี่ติณเช็ดตัวให้ฉันเสร็จ เขาลุกออกจากห้องไปพร้อมกับกะละมัง ส่วนฉันก็ได้แต่ถอดหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ปวดหัวมากแค่ไหนในเวลานี้มันกลับนอนไม่หลับ สมองของฉันมันคิดถึงแต่เรื่องงี่เง่าที่เพิ่งขอร้องพี่ติณไป พี่ติณหายไปครู่ใหญ่ ในขณะที่ฉันกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่พี่ติณก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งเขาถือชามมาด้วย ฉันเองก็ไม่รู้ว่าชามอะไรเพราะจมูกมันไม่รับรู้กลิ่น จนกระทั่งพี่ติณเอาชามที่ตัวเองถือมาวางลงบนโต๊ะข้างๆ เตียงฉันถึงได้รู้ว่ามันคือข้าวต้ม“กินซะ จะได้กินยา” “เป็นห่วงหนูหรอคะ” ฉันมองหน้าพี่ติณเพื่อรอคำตอบแต่เขากลับหันหน้าหนี “พี่ติณออกไปข้างนอกเถอะค่ะ เดี๋ยวจะติดไข้หนู” ก่อนหน้านี้ฉันอารมณ์ร้ายพูดประชดประชัน แต่พอเห็นว่าพี่ติณเช็ดตัวให้ เอาข้าวต้มมาให้ ฉันที่เคยปากร้ายก็พูดดีกับเขาอย่างง่ายดาย ต่างจากพี่ติณทั้งที่ไม่พูดดีๆ กับฉันเลย ถึงแม้ว่าฉันจะป่วย“ฉันจะออกไปจากห้องก็ต่อเมื่อเธอกินข้าวหมดแล้วกินยา” คำพูดของพี่ติณมันทำให้ฉันคิดถึงเรื่องราวในอดีต ตอนนั้นฉันป่วยทั้งเฮียแล้วก็พี่ติณต่างก็เป็นห่วงมากๆ แต่จะมีแค่พี่ติณที่ชอบ
พอได้ปรับความเข้าใจกับแอนนาแล้วฉันก็สบายใจขึ้นเยอะเลย วันนี้แอนนาชวนฉันไปที่คลับด้วยแต่ฉันก็ต้องปฏิเสธเพราะถ้าไปแล้วพี่ติณรู้ก็คงจะเกิดเรื่อง ไม่รู้ว่าพี่ติณไปทำอะไรที่ฮ่องกง เขาหายไปเป็นอาทิตย์แล้ว ฉันก็ควรจะดีใจที่พี่ติณไม่อยู่บ้านจะได้ไม่มีคนคอยใช้ ไม่ต้องมาฟังคำพูดร้ายๆ แต่มันกลับเอาแต่คิดถึงแล้วก็อยากเจอหน้า “พี่ติณจะกลับมาเมื่อไหร่หรอคะ” ฉันถามลูกน้องของพี่ติณที่กำลังเดินสำรวจความปลอดภัยอยู่ “ไม่ทราบเหมือนกันครับ” พอได้ฟังคำตอบฉันก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินกลับมาที่ห้อง วันนี้ฉันไม่มีเรียน เห็นว่าเสื้อผ้ามันเต็มตะกร้าแล้วจึงเอามาซัก กำลังจะเอาผ้าลงเครื่องสมองของฉันมันก็คิดถึงคำพูดของพี่ติณที่บอกว่าห้ามซักผ้าในเครื่อง ฉันจึงหยิบกะละมังมาหนึ่งใบเปิดน้ำจากก็อกใส่แล้วก็เทผงซักฟอกลง ฉันนั่งลงแล้วใช้มือหยิบผ้าขึ้นมาขยี้เบาๆ ด้วยท่าทางที่เก้ๆ กังๆ เพราะไม่เคยทำมาก่อน “ใช้แปรงถูสิครับ” ลูกน้องของพี่ติณเดินผ่านมาพอดีเขาจึงช่วยแนะนำ “อ๋อค่ะ” ฉันหันมองซ้ายขวาเห็นแปรงวางอยู่จึงหยิบขึ้นมาถูๆ กับผ้า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะการซักผ้าด้วยมือแบบนี้น่ะ “ไม่ใช่แบบนั้นครับต้องถู
มันจุกในอกเมื่อได้ยินคำตอบของพี่ติณ ในเมื่อเขาเรียกผู้หญิงคนอื่นมาแล้วจะให้ฉันมาด้วยทำไม “ถะ ถ้าอย่างนั้นหนูขอกลับไปรอที่บ้าน…” พี่ติณจ้องหน้าฉันเขม็งแล้วรีบพูดขัด “ไม่ได้!! กลับไปนั่งที่เดิมซะ” ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบแล้วเดินมานั่งบนโซฟาเงียบๆ ผู้หญิงที่เข้ามาใหม่เธอหยิบเหล้าแล้วเดินไปหาพี่ติณ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่แสนจะเอาอกเอาใจ “ดื่มเหล้าไหมคะเดี๋ยวพลอยจะชงให้” “อืม” พี่ติณพยักหน้าตอบ ทีกับผู้หญิงคนนี้พี่ติณกลับตอบตกลงง่ายดาย แต่กับฉันเขาทำท่าทางแข็งกร้าวใส่ ทุกอย่างที่ฉันทำให้เขาก็มักจะต่อต้าน“เรียกพลอยมาหา แต่มีผู้หญิงคนอื่นอยู่ด้วยแบบนี้พลอยน้อยใจนะคะ” เธอพูดบอกพี่ติณเสียงเล็กเสียงน้อยแล้วหย่อนก้นนั่งลงบนตักของเขาแถมยังหันมามองฉันแล้วแสยะยิ้มให้ ผู้หญิงคนนี้นิสัยไม่ดีเอาซะเลยที่ตรงนั้นฉันก็นั่งมาก่อน พี่ติณชำเรืองตามามองฉันโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรผู้หญิงคนนั้น “สูบบุหรี่ไหมคะเดี๋ยวพลอยจุดให้” “อืม ก็ดี” เธอลุกออกจากตักของพี่ติณแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าของเขา มันทำให้ฉันตกใจมากเพราะคิดว่าเธอจะทำอะไรที่มันน่าเกลียด แต่ทว่าเธอก็แค่ล้วงมือไปหยิบซองบุหรี่ออ
“กระแทกแรงแบบนั้นแก้วได้แตกพอดีไอ้ติณ” เพื่อนของพี่ติณรีบท้วงเมื่อเห็นว่าพี่ติณกระแทกแก้วแบบนั้น แต่พี่ติณก็ไม่ได้ตอบกลับอะไร “เหล้าหมดแล้วเดี๋ยวพลอยชงให้ใหม่นะคะ” ผู้หญิงที่นั่งบนตักของพี่นิณรีบหยิบแก้วมาชงเหล้าให้เขา“พี่ชื่ออะไรหรอคะหนูจะได้เรียกชื่อถูก” ฉันถามเพื่อนของพี่ติณ “เมฆครับ แล้วน้องชื่ออะไร ?”“น้ำมนต์ค่ะ ^_^” จู่ๆ พี่เมฆก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆ ด้วยความที่ฉันตกใจจึงรีบเอนตัวหนี “มองใกล้ๆ ยิ่งน่ารัก” เขาพูดกับฉันก่อนจะหันไปบอกพี่ติณ “กูตกหลุมรักน้องแล้วว่ะไอ้ติณ” “มึงตกหลุมรักผู้หญิงง่ายขนาดนั้น ?”“ถ้าคนมันใช่มองแค่แวบเดียวมันก็ใช่” “คำพูดนี้ไม่ควรออกจากปากผู้ชายเหี้ยๆ แบบมึง” “น้องน้ำมนต์อย่าไปฟังมันนะครับ พี่รักใครแล้วรักจริง ^_^” นี่สินะที่เขาเรียกว่าผู้ชายเจ้าชู้ เจอกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมาบอกว่ารักฉัน ใครบ้างจะเชื่อ “ผู้ชายปากหวานเชื่อไม่ได้หรอกค่ะ” ฉันแกล้งพูดแซว ปกติถ้าเจอผู้ชายจู่โจมฉันจะไม่กล้าโต้ตอบ แต่เพราะพี่ติณอยู่ตรงนี้ด้วยฉันจึงอยากจะทำในสิ่งที่สวนทางกับความรู้สึกของตัวเอง “เคยชิมแล้วหรอครับถึงว่าปากพี่หวาน” “ชิมได้ด้วยหรอคะ ^_^” “ตอบแบบนี้อันตราย
“มึงหวงคนใช้ ? กูว่าคงมีอะไรพิเศษมากกว่านั้นแล้วมั้ง” ตึกตัก ตึกตัก! หัวใจดวงน้อยของฉันมันเต้นรัวกับคำพูดของพี่เมฆ คำพูดนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกว่าพี่ติณกำลังหวงฉันอยู่จริงๆ ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็เอาแต่จ้องฉันเขม็ง “ไปห้องน้ำ” พี่ติณยื่นหน้ามากระซิบบอกข้างๆ กับหูของฉัน “ไปทำไมคะ” ไม่ตอบอะไรแต่พี่ติณกลับลุกขึ้นยืน แถมยังดึงให้ฉันลุกขึ้นยืนตามตัวเองด้วย “พะ พี่ติณหนูไม่ไป” “ไอ้ติณมึงจะทำอะไรวะ” พี่เมฆท้วงเมื่อเห็นพี่ติณกระชากฉันให้ลุกขึ้น “เดี๋ยวกูมา” พูดจบพี่ติณก็หยิบขวดเหล้าขึ้นมากระดก เขาดื่มมันราวกับน้ำเปล่า ปัก! เสียงพี่ติณวางขวดเหล้ากระแทกลงบนโต๊ะแรงๆ จากนั้นเขาก็ลากให้ฉันเดินตามตัวเองมาทางห้องน้ำ ซึ่งห้องน้ำมันก็อยู่ภายในห้องทำงานของพี่ติณ แค่เดินแยกออกมาไกลนิดหน่อย พี่ติณจับตัวฉันยัดเข้ามาภายในห้องน้ำจากนั้นก็แทรกตัวเข้ามาแล้วจัดการล็อกประตู ฝ่ามือใหญ่รวบแขนของฉันขึ้นเหนือศีรษะแล้วกดให้ตัวฉันแนบชิดติดขอบผนังห้องน้ำ ก่อนที่พี่ติณจะยื่นหน้ามาใกล้ๆ ลมหายใจร้อนผ่าวของเขากระทบลงมาบนใบหน้าของฉัน และลมหายใจนั้นก็มีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์ ดูจากท่าทางตอนนี้พี่ติณคงเริ่มจะเมาแล้วแน่ๆ มันก็
“เดี๋ยวฉันให้ลูกน้องซื้อยาคุมฉุกเฉินให้กินก็แล้วกัน” พี่ติณบอกในขณะที่กำลังใส่กางเกง “ไม่ต้องค่ะเดี๋ยวหนูซื้อมากินเอง ตอนนี้หนูขอกลับบ้านก่อนนะคะ จะต้องรีบไปซื้อยาคุมด้วย” ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ายาคุมฉักเฉินมันมีหน้าตาเป็นยังไง เดี๋ยวคงต้องไปถามที่ร้านขายยาน่าจะมี “เธอยังไปไหนไม่ได้ ถ้าฉันยังไม่กลับ”“แต่หนูต้องรีบกินยาคุมนะคะ หนูไม่อยากท้อง” “แตกในแค่ครั้งเดียวคงไม่ท้อง” พี่ติณดูไม่เดือดร้อนจริงๆ เขาจะมั่นใจได้ยังไงว่ามันจะไม่ท้อง แล้วถ้าเกิดมันท้องขึ้นมาล่ะ “แล้วถ้าเกิดหนูท้องล่ะคะ พี่ติณจะรับผิดชอบงั้นหรอ” “…ฉันไม่อยากมีลูก โดยเฉพาะลูกที่เกิดมาจากเธอ”มันจุกจนแทบจะพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำตอบของพี่ติณ ถ้าเขายืนยันแบบนั้นแล้วทำไมไม่ให้ฉันรีบไปหาซื้อยาคุมมากิน “ฉันจะออกไปด้านนอก” พูดจบพี่ติณก็เปิดประตูห้องน้ำออกไป ฉันรีบปิดประตูห้องน้ำแล้วล็อกมัน จากนั้นก็ล้างคลาบน้ำกามของพี่ติณที่มันเปรอะเปื้อนอยู่เต็มหว่างขาของตัวเอง ฉันกังวลเรื่องนี้มากๆ กลัวมากๆ ว่าตัวเองจะท้อง จึงตัดสินใจโทรถามแอนนา เพราะแอนนาน่าจะรู้เรื่องนี้ดี ( ว่าไงน้ำมนต์ ) ( แอนนาคือฉันมีเรื่องจะปรึกษาแกว่างหรือเปล่า )(
พี่ติณยังไม่ได้พูดอะไรพี่เมฆก็เดินกลับมาพอดี “ไอ้ติณกูต้องกลับแล้วนะมีธุระด่วนว่ะ” “อืม” พี่ติณพยักหน้าตอบ “พี่กลับแล้วนะครับคนสวย ^_^” ก่อนจะเดินออกไปพี่เมฆหันมายิ้มหวานให้ฉัน พอได้นั่งอยู่กับพี่ติณสองคนบรรยากาศมันก็ชวนให้อึดอัด ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมาทำลายความเงียบ “เข้ามา” สิ้นสุดคำสั่งของพี่ติณประตูห้องก็ถูกเปิดออก ลูกน้องของพี่ติณยื่นถุงบางอย่างมาให้เขา แล้วพูด “ของที่นายสั่งได้แล้วครับ” “อืม จะไปไหนก็ไป” “ครับ” “ของเธอ” พี่ติณยื่นถุงในมือตัวเองมาให้ฉัน“อะไรหรอคะ” “ยาคุมฉุกเฉิน” พอได้ยินแบบนั้นฉันก็รีบคว้ามือไปรับถุงจากพี่ติณมาทันที นึกว่าเขาจะไม่ใส่ใจแล้วซะอีก “รีบๆ ไปกินซะ” “…ค่ะ” ฉันลุกขึ้นเดินมาหาขวดน้ำแล้วแกะยากินหนึ่งเม็ด เพราะอ่านที่ฉลากเขาบอกให้กินหนึ่งเม็ดก่อน หลังจากที่กินยาคุมฉุกเฉินแล้วมันก็ทำให้ฉันสบายใจขึ้นมากๆ ส่วนพี่ติณก็นั่งดื่มคนเดียว อยากจะรู้จังว่าเมื่อกี้พี่ติณจะตอบว่าอะไร แต่ก็ไม่กล้าถามอีกครั้ง “เหม่ออะไร ?” เสียงท้วงของพี่ติณทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง เมื่อได้สติหัวใจดวงน้อยมันก็เต้นรัวๆ เพราะตอนนี้พี่ติณขยับหน้าเ
ฉันนิ่วหน้าเพราะเจ็บที่พี่ติณออกแรงบีบแขนแรงขึ้น“เข้ามาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงแบบนี้ หนูผิดหรอคะที่ป้องกันตัว” “ที่นี่บ้านของฉัน จะเข้าออกห้องไหนไม่จำเป็นต้องขออนุญาต” “แต่หนูก็ระแวงเป็นนะคะยิ่งบ้านพี่ติณมีแต่ผู้ชาย หนูก็คิดว่ามีคนแอบย่องมาทำมิดีมิร้ายสิ” ฉันอธิบายเหตุผลให้คนที่เข้าใจอะไรยากๆ แบบพี่ติณฟัง “อีกอย่างห้องมืดแบบนั้นหนูจะไปรู้ได้ยังไงว่าเป็นพี่ติณ ทำไมไม่ส่งเสียงออกมาล่ะคะ” “ไม่มีใครกล้ายุ่งกับผู้หญิงของฉัน”ตึกตัก ตึกตัก! หัวใจดวงน้อยเต้นรัวเมื่อได้ยินคำว่า ‘ผู้หญิงของฉัน’ จากปากพี่ติณ“ปะ ไปทำแผลก่อนดีกว่าค่ะ เลือดไหลเยอะแล้ว” ถึงพี่ติณจะใจร้ายกับฉันยังไงแต่สุดท้ายฉันก็เป็นห่วงเขา ยิ่งได้เห็นว่าเลือดมันไหลออกมามากขนาดนั้นยิ่งเป็นห่วงเอามากๆ “แต่หนูว่าเลือดไหลออกมากขนาดนี้ไปโรงพยาบาลดีกว่านะคะ น่าจะได้เย็บแน่เลย” “ไม่ไป แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!!” พี่ติณปล่อยมือออกจากแขนฉัน ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินออกไปจากห้อง ด้วยความเป็นห่วงฉันจึงรีบวิ่งมาดักหน้าเขาเอาไว้ “ยังไม่ชอบไปโรงพยาบาลเหมือนเดิมสินะคะ” ที่ฉันพูดแบบนี้ก็เพราะว่าพี่ติณเป็นคนที่เกลียดโรงพยาบาลตั้งแต่ไหนแต่ไร
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ