“แกลิสบอกผมแล้ว แล้วก็จำเงาพี่เขยได้นะครับแม้จะแกล้งทำทีอ่านแท็บเล็ต” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง
ในขณะที่แกลิสทำผมสีแดงอมชมพู น้องชายของเธอตัดผมสั้นเกรียน ถ้าหากไม่ใช่เพราะเครื่องแบบนักวิจัยที่สวมอยู่ คนอื่นอาจนึกว่ากลีเป็นพวกศิลปินหรืออะไรทำนองนั้น เพราะเขาเจาะระเบิดหูข้างซ้าย แถมยังสักลายไว้ตามแขนอีก และเพราะกลีเคยเป็นรุ่นน้องร่วมทีมวิจัยสมัยที่แม็กซิมอนยังมีชื่อ เขาย่อมรู้ว่าแม็กซิมอนอยากมีส่วนร่วมกับการประชุมมากแค่ไหน เพราะมันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาหลงใหลมาตลอดทั้งชีวิต...เอชโอวัน
“เอานี่” เขาโยนสิ่งที่มีลักษณะเหมือนเพชรเล็ก ๆ สองเม็ดมาให้ “ใส่หูแล้วอย่าให้จับได้” ว่าแล้วก็ปิดประตูออกไป แม็กซิมอนยัดเข้าไปในหูทันที แต่ได้ยินเสียงคนขยับ คงเป็นเสียงกลีเดินกลับไป
เขาหัวเราะ “รู้ดีจริง ๆ”
พอกลีกลับเข้าไปนั่งที่ตัวเองในห้องประชุมแล้ว แม็กซิมอนจึงได้ยินเสียงข้างใน พวกเขาเริ่มประชุมไปสักพักแล้ว
“...เราไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ทำให้คนกลุ่มนี้มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไป แต่เรากำลังพูดถึงการส่งผ่านรูปแบบความสามารถ..
แม็กซิมอนรออีกหนึ่งชั่วโมง ลูซินด้าจึงพาเขาเข้าพบซีโนฮอฟ เอไลโต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแห่งนี้ แล้วยังเป็นหนึ่งในสภาปกครองอันประกอบไปด้วยสมาชิกผู้เรืองปัญญาจากหลายสาขา การทหาร กฎหมาย วิศวกรรม นวัตกรรม อวกาศ ภาษาศาสตร์ และอื่น ๆ แม้ซีโนฮอฟเป็นหัวหน้าใหญ่ในกลุ่มสาขาวิจัยทางการแพทย์ แต่เนื่องจากเคสเอชโอวันและทอยซิตี้เป็นเคสพิเศษ หน่วยทหารจึงมีเอี่ยวชั้นผู้บริหารอยู่สูงขึ้นไปอีก และกว่าจะผ่านเข้าแผนกยังต้องสแกนม่านตาผ่านระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ทว่าเมื่อเข้ามายังห้องทำงานของซีโนฮอฟกลับพบเพียงร่างโฮโลแกรม นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ใช้วิธีเข้าประชุมผ่านการสื่อสารทางไกลร่างโฮโลแกรมซีโนฮอฟยืนอยู่หลังโต๊ะทำงาน พอเขาหันมาเห็นแม็กซิมอนจึงผายมือให้นั่ง ลูซินด้านั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ ในมือถือแท็บเล็ตพร้อมจดรายละเอียด“ลูบอกว่าคุณมีเรื่องสำคัญที่ต้องพบผมโดยเฉพาะ”“ครับ” แม็กซิมอนกล่าว ซีโนฮอฟมีนัยน์ตาเรียวคมและแทบจะชิดกลืนไปกับคิ้ว ใบหน้าจึงเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หากนับตามอายุ แม็กซิมอนแก่กว่าเพียงยี่สิบปี แต่ลักษณะทางกายภาพของซีโนออฟอ่อนเยาว์กว่า ที่น่า
รอยเท้าบนพื้นทรายลากยาวไปตามตรอกจากนั้นเลือนหายไปกลายเป็นรอยล้อรถแทนที่ เขาหยุดอยู่ตรงนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วจำไม่ได้ แต่ร่องรอยของสองคนนั้นมีเพียงแค่นี้ เสียงย่ำเท้าของอีกคนตามมาด้านหลัง“เธอคิดว่าพวกมันไม่เห็นกล้องเหรอ เธอคิดว่าพวกมันไม่มีทางไม่รู้ว่าพวกเธออยู่ไหนเหรอ” เทสซ่าไม่ตอบ เธอแค่วางมือบนไหล่เขาเพื่อปลอบใจการเริ่มต้นใหม่ขรุขระตั้งแต่วินาทีแรก เสียงน้ำฝนดังเป็นจังหวะช้า ๆ ก่อนจะตกรัวลงมาเป็นห่าใหญ่ น้ำจากเบื้องบนกระทบศีรษะเพียงนิดหน่อย เพราะเทสซ่ายื่นแขนกางร่มบังให้ ไม่นานทรายไหลมากองรวมกัน ร่องรอยทั้งหมดไม่เหลืออีกแล้ว เขาปาดละอองน้ำฝนและเหงื่อที่คลุกเคล้าเป็นน้ำเดียวกันออกจากแก้ม แดดร้อนอบอ้าวมาหลายวัน คืนนี้ฝนจึงตกหนัก“พวกเขาอาจหายไปในราซา มีคนหายไปเสมอ สองสามคนต่ออาทิตย์ ส่วนใหญ่เป็นพวกเร่ร่อนไม่มีชิป ไม่มีที่นอน” เสียงเทสซ่าสั่น “เข้าข้างในเถอะไมเคิล พวกเรามีเรื่องให้ถกเยอะแยะ”เขาไม่ขยับ พวกเขาถกกันมาหลายรอบแล้ว และสุดท้ายก็จบลงที่ความว่างเปล่า“เรมีบอกว่าพวกนายจะอยู่ที่นี่”เข
“ไม่หรอก ยากอยู่” ฟีบี้เถียง “เรื่องปล้นชิปก็น่าคิดนะ ขนาดเจ้าของบาร์ยังเตือนเลยว่าอย่าไปไหนเปลี่ยว ๆ ตามลำพัง”“แต่ถ้าปล้นก็ไม่น่าต้องเอาตัวไป” อเล็กซ์ว่า “หรือทั้งสองอย่าง”“จะว่าไป ฉันฝัน...” มินนี่แทรกขึ้น โคดี้กับฟีบี้พร้อมใจกันถอนหายใจยาว “ฉันพูดจริงนะ” เด็กสาวยืนกราน แววตาหาได้ล่องลอยอย่างเมื่อก่อนไม่ “ฉันคิดว่าเป็นฝีมือเบ็กกี้ เบ็กกี้พยายามติดต่อฉัน หลายคืนมานี้ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองนอนนิ่งอยู่บนเตียง ขยับไม่ได้ เห็นดวงไฟสว่างจ้า อึดอัดมากเลย...”“เดี๋ยวนะ” ไมเคิลกับเรมีร้องออกมาพร้อมกัน ตกใจด้วยกันทั้งคู่“คือ ฉะ...ฉันก็เห็นอะไรคล้าย ๆ แบบนี้ ดวงไฟและความอึดอัดแบบ...” เรมีพยายามอธิบาย ดวงตาสีน้ำตาลชำเลืองมองไมเคิลเหมือนจะถามว่า ใช่หรือเปล่า เขาพยักหน้าหงึก ๆ น่าตลกที่ทั้งสองเป็นรูมเมทกัน แต่ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยเพราะต่างคิดว่ามันเป็นแค่ฝัน ถึงแม้จะฝันติดต่อกันมาสองสามวันแล้วก็ตามคนทั้งโต๊ะเริ่มสนใจฟังมินนี่ขึ้นม
“ดีนะที่อเล็กซ์เลี้ยงเบียร์เมื่อกี้”เขาชะงักมือที่กำลังจะหยิบเบคอน “หา” นึกว่าเทสซ่ายกเบียร์ของเธอให้เขาเสียอีก (แน่นอนว่าพอเธอส่งให้ เขาไม่คิดถามว่าเลี้ยงหรือไม่สักนิด ให้คือให้)เรมียักไหล่ “อาคุสะกับอเล็กซ์เพิ่งชนะเควสประจำวันไป สองคนนั้นเลยมีเงินอื้อเลย”“หนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยชิปกับคูปองเสบียงราคา ถ้าหารสองก็จะคนละหกพัน!” ไมเคิลกล่าวเหมือนท่องจำ (“หกพันสองร้อยสิบนะ อันที่จริง” เรมีแก้) “แม่ง” ว่าแล้วก็หยิบเนื้อสันในลงในตะกร้าทันที ไม่เข้าใจเลย ทั้งที่ตัวเองวิ่งเร็วและมีพละกำลังเหนือคนอื่น แต่ก็ยังไม่สามารถหยิบธงโง่ ๆ ได้ นี่สินะที่ปาสคาลบอกว่ากลยุทธ์ที่ดีนั้นสำคัญ“มันราคาสามร้อยกว่าเลยนะ” อีกฝ่ายเตือนเขายักไหล่ “พรุ่งนี้ไปเล่นเควส อย่างน้อยก็ได้มาอีกสองร้อยห้าสิบ แล้วเวลาที่เหลือฉันจะทำงานล้างจานอย่างเดียว”เรมีฟังแล้วทำท่าคิดคำนวณในหัว “โอเค นายจะได้ชิปประมาณหกร้อยถึงเจ็ดร้อย แล้วเรื่องอเล็กซิสกับเบ็กกี้ล่ะ พวกเราจะมีเวลาสืบไหม&rdq
อากาศข้างนอกร้อนอบอ้าว แต่ข้างในระอุยิ่งกว่า บลูไม่ละสายตาไปจากดวงตาสองสีที่กำลังจับจ้องการเคลื่อนไหว จนกระทั่งเธอหลับตา ริมฝีปากเผยอก่อนครางออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสุขสุดยอด บลูครางในลำคอกระหึ่มด้วยความรู้สึกเดียวกันก่อนเอนตัวลงนอนทับร่างเปลือยเปล่า กลิ่นหอมจากตัวเดสซิเรทำให้เขานึกสงสัยว่าเธออาบน้ำมันหอมระเหยสกัดจากดอกไม้ทุกชนิดบนโลกหรืออย่างไร มือของเขาจับปลายผมสีทองไล่วนตรงเนินอก ฟังเสียงลมหายใจเข้าออกและจังหวะหัวใจที่เต้นช้าลง ยายบ้านี่ไม่ต่างจากม้าพยศที่ต้องการให้ครูฝึกอย่างเขาคอยปราบอยู่ตลอดไม่นานเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล เขาลุกขึ้นปล่อยให้เธอนอนพักอยู่บนโซฟา “นึกยังไงถึงตัดผมสั้นข้างเดียว” แล้วใช้เท้าจิกเสื้อผ้าขึ้นมาสวมทีละชิ้น “ฮื้อ?”“ถ้ามันไม่เวิร์ค ก็ยังเหลืออีกข้างที่ยาวไง”นั่นสินะ ถ้าออกจากปากคนอื่นคงฟังดูงี่เง่า แต่เมื่อออกจากปากเดสซิเร มันฟังดูสมเหตุสมผลได้อย่างน่าเหลือเชื่อ “ลุกเถอะ เจ้าเพียซมาแล้ว” เขาโกยเสื้อผ้าของเธอแล้วโยนใส่ หญิงสาวทำเสียงจิ๊จ๊ะเสียงฝีเท้าดังตึงตังใกล้ขึ้นทุกที เขากดดันเดสซิเรด้วยการจ้องอยู่อย่างนั้นจนเธอค่อย ๆ ลุกขึ้น สวมเสื้อผ้าอย่างเชื่องช้า
“เขาก็เป็นแบบนี้” เดสซิเรยักไหล่ ไม่ใส่ใจคำพูดของบลู “แต่เด็กคนนั้นน่ารักดีนะ ฉันชอบ ถึงจะดูนิ่ง ๆ ไปหน่อยก็เถอะ เฮ้อ อยู่กับพวกนายไม่มีใครมีเซ้นส์เลย ไปผูกมิตรดีกว่า” เธอเดินเหมือนเต้นรำแล้วออกไปอีกคน บลูเกาหัวยิก ๆ“เอมอนช่วยเด็กคนนั้นเพราะต้องการตอบแทน” ริงโก้เป็นฝ่ายเริ่มเล่า บลูอยากจะขอบคุณเขาสักร้อยรอบ “พวกเราปะกับกลุ่มเมลิสซ่าเข้าให้ นายก็รู้จักน้องตัวเอง พอเป็นผู้หญิง หมอนั่นก็ทำตัวสุภาพบุรุษ อีพวกนั้นร้ายจะตาย เล่นก็แรง เด็กคนนั้นช่วยเตือนให้ตอนจะถูกเล่นงาน พวกเราเลยเอาชนะเมลิซซ่าได้”“ร้องเตือน? โง่ชะมัด” บลูกอดอก โดยปกติแล้ว ไม่มีใครวิ่งทื่อ ๆ หรือล้มหุ่นยนต์เพื่อเคลียร์เอาธงหรอก แต่ละทีมล้วนต้องสกัดอีกทีมไม่ให้เข้าถึงธงได้ง่าย ๆ ด้วย “เด็กใหม่”“ใช่” ริงโก้เล่าต่อ “เธอไม่รู้เรื่องหยิบธง ไม่รู้เรื่องสกัดขา ไม่รู้เรื่องอะไรเลย สู้กับหุ่นอย่างเดียว แต่เพราะแบบนี้เอมอนเลยอยากตอบแทน”“ใจสู้ใช้ได้นะ” โอลิแวนเสริม แต่เมื่อเจอสายตาแฟนหนุ่มก็รีบท
เนื่องจากมติเอกฉันท์ว่าบรูโน่ต้องออกไป เย็นวันนั้นบลูกับเดสซิเรจึงเดินจ้ำอ้าวไปยังห้องหมายเลขสี่ของชั้นสอง หากมองเผิน ๆ คงดูเหมือนตึกบ้านเช่าทั่วไป ทั้งประตูไม้และกำแพงฉาบปูนเปลือย แต่พวกเขาใช้เวลาสองปีกว่าจะมีชิปพอซื้อตึกเป็นของตัวเอง แต่มันก็แลกกลับชีวิตของเพื่อน จากกลุ่มนับสิบคน เหลือสี่ จนมีเดสซิเรและโอลิแวนเข้ามาเพิ่ม ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ใช้สแกนนิ้วมือ รวมทั้งกลอนประตูก็ใช้วิธีนี้ ทันทีที่มาถึงจุดหมาย เขาเคาะประตู มีเสียงตะโกนออกมาดังลั่นว่า “ไม่จ่ายโว้ย ไม่มี ไม่มี เข้าใจกันบ้างสิวะ” มุมปากของผู้ที่อยู่เหนือกว่ากระตุกเป็นรอยยิ้ม ใช่ ถึงต้องใช้วิธีสแกนนิ้วแต่เพราะพวกบลูเป็นเจ้าของตึก ดังนั้นในหกคนนี้จึงมีสิทธิเข้าห้องไหนก็ได้เมื่อเห็นพ้องกัน และเมื่อนั้นระบบจะปลดคำสั่งสแกนนิ้วของห้องนั้นออกไป กลายเป็นห้องว่าง วิธีนี้นำมาใช้กับเวลาเลิกสัญญาเช่า เพียงบิดลูกบิดแล้วเปิด พวกเขาก็เข้าถึงตัวผู้เช่าจอมเบี้ยวหนี้บรูโน่ก้มตัวลง ท่าทีผิดจากน้ำเสียงตอนแรก “ได้โปรดเถอะบลู ฉันไม่มีชิปให้นายเลย”เขาส่ายหน้า “สองเดือนแล้วบรูโน่ ไม่มีข้อแม้
“อื้อ เขตราซาจึงถูกปิด” พวกเขาเดินเข้าไปในซูเปอร์ “นี่ไง เราซื้อข้าวกันที่นี่ เธอน่าจะเห็นว่ามีร้านอาหารอยู่บ้าง แต่ชิปแค่นี้คงไม่เหมาะกินอะไรแบบนั้น ยิ่งดึก ข้าวกล่องจะลดราคา ระบบก็คล้าย ๆ ...ที่พวกเราจากมา” เขาหัวเราะเบา ๆ นิวโฮปหรือ แทบลืมไปแล้วว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร “เธอเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือเปล่า”“เปล่า”“งั้นก็แปลก”“ทำไมเหรอ” อเล็กซิสขมวดคิ้ว เธอชอบหยุดเดินเพื่อซัก บลูจึงเร่งให้เลือกของ“ได้ยินว่ารักษาตัวอยู่กับเฒ่าทรอยเป็นวัน ๆ...”“สี่วัน”“นั่นแหละ”ด้านในซูเปอร์เหมือนร้านค้าปกติ มีแผนกของแห้ง เนื้อสัตว์ อาหารสำเร็จรูป ของใช้ บลูหยิบขนมปังแถวลงตะกร้า อเล็กซิสถืออีกตะกร้า พอเห็นราคาของแล้วไม่กล้าหยิบ “ทำไมถึงว่าแปลก” เด็กสาวยังซักบลูหยิบเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ลงตะกร้ามากมาย “เพราะไอ้เฒ่าทรอยนะสิ...”“ทำไมล่ะ เขาดูแลฉันดีมาก”ชายหนุ่มส่ายหัวกับความไม่รู้ของเด็ก “นั
“เออฉันนี่...” เขาหันไปยิงอีกตัว ปืนในมือแสตนเนอร์อานุภาพร้ายแรงกว่าปืนปกติ เพียงนัดเดียวก็เป่าหัวหุ่นเหล็กกระจุย รอบตัวเริ่มชุลมุนหนักขึ้นทุกที เขารู้สึกเหมือนทุกคนเบียดเป็นวงล้อม กลุ่มทหารเปิดวงจรอะไรบางอย่างที่คล้ายกับสร้างเกราะที่มองไม่เห็นขึ้นมากันไม่ให้เขากับอเล็กซิสเป็นลูกหลง (แม้จะแส่หาเรื่องเข้ามาเอง) เมื่อพวกเขาทำลายบานเหล็กได้สำเร็จก็รีบพากันออกมาทั้งหมด“บ้าชะมัด ฉันบอกให้พวกเธอรอ แล้วเข้ามาได้ไง” แสตนเนอร์ตามมาเอ็ด ทั้งเขาและอเล็กซิสคล้องแขนแล้วก้มหน้า ทหารคนหนึ่งรีบดึงดาบในมือออกไปด้วยโดยไม่หันมามองว่าสีหน้าไมเคิลอาลัยมันแค่ไหน ดูเหมือนว่าหุ่นยนต์มีหน้าที่ปกป้องตึก เมื่อผู้บุกรุกออกไป มันกลับไม่ตาม ทั้งหมดมองกลับไปเห็นหุ่นเหล็กยืนสงบ ดวงตาสีแดงอับแสงลง“คุณจะโกรธพวกเราไม่ได้” เพื่อนสาวดูท่าจะรวบรวมความกล้าได้ก่อน “พวกคุณไม่บอกอะไรเราเลย ฉันอยากจะช่วยเบ็กกี้” อเล็กซิสระเบิดออกมาได้แป๊บเดียวเท่านั้น ท่าทางดั่งสิงโตเมื่อกี้หายกลายเป็นลูกแมวเมื่อเธอมองสภาพทหารบางคนที่รอดออกมา ร่างพวกเขาโชกเลือด ไมเคิลรู้ดี
กลุ่มทหารยกพลกันมาสองคันรถ ตัวรถถังกึ่งรถบรรทุกจุคนได้ราวยี่สิบ เขานับเมื่อทั้งหมดออกมาจากรถ บวกกับพลเดินเท้าอีกหยิบมือก็ได้สี่สิบกว่า ทั้งหมดสวมชุดป้องกันและอาวุธพร้อม ไมเคิลตัดสินใจดูเชิงอยู่ห่าง ๆ พวกเขากำลังจะบุกเข้าไปในตึกสูงเจ็ดชั้นซึ่งเมื่อก่อนน่าจะเป็นศูนย์บังคับการกลางของเขตราซา ตัวตึกเป็นทรงห้าเหลี่ยมขนาดกว้างพอดู ไมเคิลกับอเล็กซิสเล็งไว้ว่าจะเข้าไปหลังจากพักเหนื่อยแต่ถูกตัดหน้าเสียก่อน เจ้าหน้าที่รายหนึ่งถือแผ่นจอสกรีนแบบที่พวกเขาชอบพกกัน (มีไว้ครอบครองเพียงแค่ข้าราชการ) กดอะไรบางอย่างแล้วปรึกษากับเจ้าหน้าที่อีกคน สักพัก คนที่สองยกมือหมุนรอบหนึ่ง ทหารทุกนายหันหน้ามาพร้อมเพรียง“ระวังตัวให้มากที่สุด และพยายามหาตัวประกันให้เจอ ผู้ต้องสงสัยทุกรายขอให้จับเป็น แต่หากขัดขืน สังหารทิ้งได้ทันที เราจะไม่เสียกำลังพลของเราเพื่อแลกกับพวกมัน นอกจากปกป้องตัวประกัน คำสั่งของท่านซีโนฮอฟเป็นอันว่าที่สุด”ทั้งหมดยกมือขวาทาบอกตอบพร้อมกันว่า “ขอรับ!”เขามองหน้าอเล็กซิส “ซีโนฮอฟ เธอเคยได้ยินชื่อนี้ไหม”เพื่อนข้างตัวส่ายหน้า &ldqu
รสช็อกโกแลตในปากออกขมมากกว่าหวาน เขาคลี่ซองดูเห็นว่ามันเป็นรสดาร์ก หยิบผิดหรือนี่ อันที่จริงเขาน่าจะพอเดาที่มาอารมณ์หดหู่ของเธอได้ “มันไม่ใช่ความผิดของเธอนะ”อเล็กซิสยังคงไม่สบตา เขามองเธออย่างเข้าใจ เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการแพทย์ช่วยลบรอยแผลทุกอย่างออกจากตัวเธอ เขาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าเธอถูกกระทำอะไรบ้าง มีเพียงรอยหมัดของหนุ่มผิวแทนคนนั้นที่ฝากไว้บนหน้า สิ่งเดียวที่เขาสังเกตเห็นคือเธอผอมลงและเงียบผิดปกติ มันมีบางอย่างในใจที่เธอเก็บไว้แล้วไม่บอกใคร เขารู้สึกเช่นนั้น เพราะท่าทางของเธอเหมือนกับแม่ยามคิดถึงพ่อ เอาแต่โทษตัวเอง หมกมุ่นกับความคิดร้ายต่าง ๆ นานา และแม้ปาสคาลจะปลอบเธอเท่าไร แม่ก็ไม่เคยสดใสขึ้นอีกเลยเขานั่งลง เผชิญหน้ากับอเล็กซิส “เธออยากมาที่นี่ ส่วนหนึ่งเพื่อหาร่องรอยเบ็กกี้ และอีกส่วนคือเธอไม่อยากเจอคนอื่นใช่ไหม”อเล็กซิสไม่ตอบ เขาไม่ชอบเวลาเธอเงียบแบบนี้เลย ปกติแล้ว มันควรเป็นตัวเขาสิ แต่ตั้งแต่เวดถูกพาตัวไปไหนก็ไม่รู้ จนอเล็กซ์งี่เง่าแล้วพวกเขาเลิกกัน แล้วมาเรื่องนี้เอง ไมเคิลไม่คิดว่าอเล็กซิสคนเดิมจะกล
ฝนตกเหมือนไม่มีวันหยุด แม้ไมเคิลสวมชุดกันฝนไว้แต่มันไม่ได้สบายตัวเท่าไรนัก เพราะเมื่อขยับจะเกิดเสียงเสียดสี ทำไมตกกระหน่ำอย่างนี้วะ มันเหมือนกับไม่ใช่ฝน แต่เป็นมวลน้ำเทโครมลงบนหัว แถมยังรู้สึกว่าน้ำซึมผ่านเสื้อข้างใน เขาไม่ชอบให้ตัวเปียกเหนอะหนะ“ตกหนักชะมัด ตกหนักที่สุดเท่าที่เคยอยู่มาแล้ว” เรมีกอดอก ส่วนอเล็กซิสยืนรอเงียบ ๆ คนอื่นอาจหาว่าบ้าที่พวกเขาตัดสินใจลักลอบเข้าเขตราซาโดยใช้เวลาไตร่ตรองไม่ถึงนาทีดี ในเมื่อมีกฎห้ามไม่ให้เข้า แต่ใช่ว่าไม่มีคนทำ ตรงกันข้าม มีคนลักลอบเข้าไปเยอะแยะ เมื่อวานก่อน ไมเคิลกับเรมีเข้าไปในตลาดมือสองแล้วพบว่าพวกพ่อค้านำสินค้าราคาถูกมาจากเขตนี้ พวกเขาลักลอบเข้าไปหยิบของเหลือทิ้งมาขายต่อหรือใช้เองบ่อยครั้ง สบู่แชมพูอายุสองปี เศษเสื้อผ้า ทุกอย่างที่ยังไม่หมดอายุ ราคาของในตลาดจึงถูกกว่าในซูเปอร์ และเมื่อเขาบอกเรื่องนี้กับอเล็กซิส เธอต้องการตามหาเบ็กกี้ที่นี่เรมีมองนาฬิกาแล้วก้มตัวลงหยิบอิฐออกทีละก้อน ปากบ่นไป “เทสซ่าจะยอมให้หมอนั่นมาหรือเปล่า พักหลังทำตัวเป็นคุณแม่ขี้บ่นอยู่”ไมเคิลไม่คิดว่าเธอทำตัวเป็นคุณแม่หรอก เทสซ่าห่างไกลจากคำนี้มาก แต่เพราะเธอต้องทำหน้า
เธอกลับเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง อเล็กซิสพยายามปลุกสติตัวเอง เล็บของเบ็กกี้จิกลึกมากขึ้นทุกที เลือดไหลทะลักจากใต้ผิว ทุกอย่างช้าลงตรงข้ามกับความรู้สึกที่ทวีคูณ เล็บค่อย ๆ ฉีกออกจากกัน บางนิ้วฝังแล้วกรีดลงบนเนื้อเธอ หนังค่อย ๆ ปริแยกออกพร้อมลาวาสีเลือดเอ่อล้น กล้ามเนื้อขึ้นเป็นเส้นหนาเกร็งไปจนถึงขมับ ตัวเธอถูกยกขึ้นสูงแล้วดิ่งลงปะทะกับพื้น ริมฝีปากชิมน้ำสกปรกและคราบเลือด ใบหน้าถูไถลไป...ตื่น!เธอลืมตาโพล่ง ความทรงจำชัดขึ้นทุกทีจนอเล็กซิสแทบไม่อยากนอน แต่แล้วจำต้องหลับตาอีกรอบเพราะเจ็บเบ้าตาก่อนจะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดก่อนไอสำลักออกมา มือใครสักคนแปะอยู่บนศีรษะแล้วเลื่อนมาจับไหล่เธอไว้ อเล็กซิสลุกขึ้นนั่งทันที ตกใจ พอมองเต็มตาจึงเห็นดวงตาสีฟ้าเข้มจ้องกลับมา“ไมเคิล...”คงเรียกว่าเป็นเด็กหนุ่มผมเงินไม่ได้แล้ว เพราะเฉดผมสีน้ำตาลเริ่มโผล่ออกมามากขึ้น มุมปากของเขาเชิดขึ้น อมยิ้มบาง ๆ “เธอผอมไปนะ”ทันใดนั้น อเล็กซิสโผเข้ากอดเขา เธอไม่ได้ฝันไป และข้างหลังไมเคิลคือเรมีที่นั่งมองพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น เธอกวาดตามอง
เธอนิ่งคิดเมื่อเดสซิเรถามคำถามนี้ เพราะเหตุนี้วันนี้เธอจึงตัดสินใจจะพบไมเคิล แต่ขณะเดียวกันก็ไม่แน่ใจความคิดตัวเอง “ก็...”ข้างหลังตึกมีพื้นที่โล่ง ๆ ขนาดเท่าครึ่งสนามบาสเกตบอล เอมอนสวมเสื้อกล้ามเผยผิวแทนแกว่งแขนไปมา เขาพยักหน้าให้หญิงสาวข้างอเล็กซิสแต่นัยน์ตานั้นเป็นประกายปิดบังความสนใจของตัวเองไม่อยู่ แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะอธิบายเป็นคำพูดยาก สิ่งหนึ่งที่อเล็กซิสมั่นใจคือ เอมอนหลงรักเดสซิเร เขาไม่ได้มองเธอเป็นเพื่อน-กิน-กัน-มัน-ดีแต่อย่างใด แต่ฝ่ายหญิงคิดอย่างไร เธอเดาไม่ออกเด็กสาวกวาดตามองโดยรอบแต่ไม่เห็นอุปกรณ์ใด ๆ เลยนอกจากนวมสีน้ำเงิน“นายนี่นะ จะฝึกสาว” เดสซิเรกอดอก ทำเสียงดูแคลน “แน่ใจรึ”ชายหนุ่มยักไหล่ “ก็...ฉันทำร้ายผู้หญิงไม่ลงเธอก็รู้” เขาโยนนวมชกให้อเล็กซิส “ดังนั้น เริ่มบทเรียนด้วยการโดนตัวฉันให้ได้ดีกว่า”เดสซิเรผิวปาก ทึ่ง “เข้าใจคิดนี่”ทว่าคนที่ถูกฝึกกลับผิดหวัง อเล็กซิสอยากให้เขาทำให้เธอแข็งแกร่ง“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเสียใจสิ จ
ผ้าห่มสีขาวสะอาดส่งกลิ่นหอมจากการอบความร้อนฆ่าเชื้อ เธอพยายามลุกขึ้นแต่เหมือนติดอยู่ในร่างนี้ เสียงกรีดร้องของเอเลน่าดังเข้าโสตประสาทประหนึ่งมีพลังสั่นคลอนสะเทือนไปจนถึงแกนหูข้างใน อเล็กซิสหันไปเห็นเธออยู่ในสภาพมัดติดกับเตียง เธอร้องระบายความเจ็บปวดข้างในจนขากรรไกรแทบฉีกออกจากกัน “ฆ่าฉันซะ ฆ่าฉันซะ” ราวเหล็กบนเตียงกระตุกรัว อเล็กซิสมองดูเหมือนเตียงจะถล่มตามแรงเคลื่อนไหว เสียงหวีดร้องกรีดหัวใจจนอยากตะโกนบอกให้พวกเขา...ฆ่าเธอซะ ทำตามที่เธออ้อนวอน“เราจะทำอย่างไรดีคะคุณหมอ” “ทำตามที่เธอปรารถนา เราช่วยเธอไม่ได้แล้ว” อเล็กซิสมองทรอย เห็นแต่เพียงแผ่นหลังและผมสีเทา พวกเขาเข็นเตียงเธอออกไปตามคำสั่ง ไม่นานเสียงเอเลน่าสงบลง และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเด็กสาว“มันอยู่ในตัวเธอด้วย”เธอส่ายหน้า “ฉันกำลังจะตายเหมือนเธอเหรอคะ”ทรอยไม่ตอบ“มันอยู่ในตัวเธอ”“มันอยู่ในตัวเธอ”อเล
“อย่าปล่อยเด็ดขาด”น้ำตาเด็กสาวไหลรินหยดลงบนแขน ความเค็มของน้ำตาทำให้แผลแสบร้อนนิด ๆ นิ้วของเบ็กกี้จิกลึกลงบนแขนจนเลือดไหลซิบ อเล็กซิสกัดฟันทนความเจ็บปวดทุกอย่าง ขืนตัวรั้งเพื่อนไว้ไม่ให้พวกมันเอาตัวไปได้ ชายสองคนต่างพยายามแยกพวกเธอออกจากกันราวกับเล่นชักเย่อ “ใช้มันซะ เบ็กกี้ ได้โปรด” เธอขอร้อง “ได้โปรด...” เด็กสาวหวีดร้อง เล็บที่จิกอยู่กับเนื้อฉีกขาดฝังอยู่ข้างในเนื้อของเธอ บางนิ้วมีเล็บแข็งเกินจึงเฉือนฉวัดขูดผิวเป็นรอยยาว เสียงดังตุบกลางหลังเด็กสาว เบ็กกี้ล้มฟุบลงกับพื้น ยูฟุนแบกร่างเธอออกไปพร้อมกับเด็กอีกคน“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” เกรกอรี่พึมพำแล้วเหวี่ยงตัวอเล็กซิสลงไปกองกับพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำโสโครกผสมเลือดเจิ่งนอง เธอตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นไม่ทันไรก็ล้มลง เด็กแฝดที่ยังเหลืออีกคนถูกโขกกับกำแพงดังจนคล้ายกับกะโหลกแตก ร่างอ่อนปวกเปียกไถลครูดลงเหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิต อเล็กซิสปากสั่น เกรกอรี่ย่างสามขุมแล้วกดหน้าเธอลงกับพื้นก่อนจะมัดมือไพล่หลัง เธอดิ้นจนแขนเสียดสีกับเชือก รอยแผลที่เบ็กก
อาคุสะนอนอยู่บนเตียงนิ่งเหมือนไม่ได้ยินใครทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เธอตะลึงมากที่สุดคือออร่าหลากสีที่ล้อมเป็นรัศมีรอบตัวเขา พอเธอเขยิบเข้าไป อเล็กซ์ดึงแขนรั้งไว้ทันที “อย่า มันอันตราย”ชายหนุ่มเกาแก้มตัวเอง “ฉันโดนแล้ว มันเหมือนกับพลังของเขากระจายรอบตัว ถ้าเธอเข้าไปในรัศมีนั้นจะเหมือนคนบ้า ทั้งร้องไห้ หัวเราะ ด่าทุกสิ่ง ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะสงบลงได้”หญิงสาวเขยิบถอยหลังทันที ออร่าที่พุ่งออกมาทำให้อาคุสะเหมือนกับเจ้าชายนิทราต้องสาปประมาณนั้น “มันเกิดอะไรขึ้น เพราะแบบนี้ใช่ไหม พวกนายถึงไม่ส่งข่าวมา”เขาพยักหน้า ชายหนุ่มเชื้อเชิญให้เธอหาที่นั่งเอง ส่วนเขาเดินเก็บของผ่านหน้าไปมา ปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น “พวกเราชนะเควสทั้งสองระดับ วันต่อมาระดับสามเปิด พวกเราก็เลยลอง”“บ้าไปแล้ว” เทสซ่าร้อง“ก็จริง” เขาหัวเราะ เธอไม่ได้เห็นเสียงหัวเราะของเขามานานแล้วตั้งแต่เบนจากไป หนุ่มผมดำผู้นี้มีลักษณะเหมือนคนหลายบุคลิก บางครั้งยียวน บางครั้งเงียบขรึม บางครั้งกราดเกรี้ยว “อาคุสะเกือบตาย