White Talkผมสูดปากเมื่อความอ่อนนุ่มนั้นตอดรัดแก่นกายผม ชั่วขณะที่สอดเข้าไปมันทั้งตึงแน่น คับแคบบีบรัดจนผมแทบระเบิด พอปายร้องด้วยความเจ็บปวดผมจึงรู้ ช่องทางรักที่ผ่านเข้าไปอย่างยากลำบากเป็นเพราะเธอไม่เคย....“ฮึก ปายเจ็บ เอาออกไปนะ... “ปายส่งเสียงแผ่ว พลางตบตีผม ทั้งผลักทั้งดัน พอเธอขยับในกายก็ยิ่งตอดรัดจนผมเผลอตอกย้ำ ขยับเอวลงไป“ชู่ว์ ปาย อย่าดิ้น” ผมร้องห้ามเสียงพร่า ก้มลงไปจูบซับเหงื่อตรงขมับให้ “อย่าเกร็ง เดี๋ยวมันจะดีขึ้น”ผมเลื่อนมือไปปลุกเร้าด้านล่าง ใช้นิ้วโป้งเสียดสีปุ่มรักของปายให้รู้สึกร่วมไปกับผม“อื้อ วะ ไวท์...”“รู้สึกดีขึ้นใช่ไหมที่รัก ไม่เกร็งนะ”ผมปลอบ พลางขยับเอว ปายโอบกอดผม ร่างกายของเราสองคนชื้นไปด้วยเหงื่อ“อา…อ๊ะ!!”ปายส่งเสียงครางซ้ำก่อนเลื่อนมือมาจิกบ่าผมไว้แน่น อารมณ์ผมตอนนี้มันพุ่งแรงสุด ๆ อยากจะกระโจน จาบจ้วงไปกับความตอดรัดแต่ก็กลัวปายจะเจ็บ“อืม...ค่อย ๆ ขยับ ที่รัก...ไวท์สัญญามันจะไม่เจ็บ”ผมค่อย ๆ ขยับเข้าออก พอเข้าที่ปายก็เริ่มขยับตอบ ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มแดงก่ำไปด้วยไฟปรารถนา ริมฝีปากบวมเจ่อน่าลิ้มลองจนผมโน้มตัวไปดูดดื่ม สอดลิ้นเข้าไปควานหาความหวานด้านใ
มองตัวเองผ่านกระจก ร่างกายมีแต่ร่องรอยฝากรัก ซอกคอ...ทรวงอก แดงเป็นจ้ำจนน่าตกใจ ฉันถอนหายใจยาว มาถึงตอนนี้จะเสียใจไปทำไม ก็ตัดสินใจเองนี่ พอคิดได้ก็เดินเข้าไปชำระร่างกาย อาบน้ำเสร็จหยิบชุดนักศึกษาตัวเองที่ทิ้งไว้บนราวตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้มันคงมีกลิ่นเน่าหน่อย ๆ ทำไงได้ล่ะ ใส่ ๆ มันไปก่อน ถึงบ้านค่อยเปลี่ยน ฉันคิด ขณะหยิบมันมาสวมใส่ พอทุกอย่างเรียบร้อย ฉันเปิดประตูแล้วเดินออกมา สายตามองไปยังเตียงนอน ไวท์ยังคงหลับลึกไม่รู้สึกตัว ฉันเดินเข้าไปใกล้เขา มองใบหน้าคมสันที่หลับตาพริ้ม อยู่ในห้วงนิทราอย่างเป็นสุขจบกันเสียที ทุกสิ่งที่ฉันทำร้ายเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ วันนี้ฉันได้ชดใช้ให้เขาหมดแล้ว หวังว่าเขาจะรักษาคำพูดไม่มาข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับฉันอีกฉันปิดไฟในห้องแล้วเดินออกมาจากห้องนอน ค่อย ๆ ปิดประตู เดินจนออกมานอกบ้าน ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี ตอนนี้น่าจะเช้ามืด พายุฝนโหมกระหน่ำเมื่อคืนทำให้เช้านี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ฉันเดินสูดอากาศยามเช้าริมทะเล กอดตัวเองด้วยความหนาวยามเมื่อลมพัดมายืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก่อนเหลียวมองไปทางบ้านพักเป็นระยะ คอยสังเกตว่าไฟในบ้านจะเปิดเมื่อไร กลัวว่าเขาจะตื่นขึ้นมาพอไม่เจอ
ผลัวะ!!ผมสะบัดหน้าไล่ความมึนงง ยกมือห้ามพี่เชนที่จะเข้ามาอัดผมซ้ำ“เดี๋ยวสิพี่! มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด...”ผลัวะ!!พี่เชนไม่ฟังผม เข้ามาอัดซ้ำไม่ยั้งจนผมล้มลง ผมพยายามยกมือปัดป้อง เชี่ยเอ๊ย! จะตอบโต้ก็ไม่ได้ นี่พี่เมีย และผมก็ผิดจริง ผมส่งสายตาให้ปายที่ยืนเกาะขอบประตูมองผมถูกพี่เชนอัดปายสบตาผมก่อนเบือนหน้าหนีฉิบหาย โดยพี่เมียอัดไม่พอ เมียยังโกรธผมอีก...เสียงตุบตับดังรัว ๆ ผมทั้งเจ็บทั้งมึน อยากสวนไปสักทีแต่กลัวเวลาง้อเมียพี่เชนจะต้องขัดขวางแน่ ๆ ตอนนี้คงเกลียดขี้หน้าผมสุด ๆ ดูจากแรงอัดที่ใส่มาไม่ยั้ง ผมปัดมือเท่าที่จะปัดได้ หน้าผมตอนนี้คงบวมเหมือนหมู ปากคงแตกแล้วตอนนี้“โอเค! ผมผิด ผมขอโทษ!” ผมตะโกนแทรกหมัดที่สวนเข้ามา พี่เชนชะงัก หายใจหอบ ลุกขึ้นก่อนมองผมด้วยสายตาเย็นเหยียบ“ไอ้ลูกหมา มึงมันหน้าตัวเมีย!”“พี่จะด่าจะอัดผมก็เชิญ ผมผิด แต่ให้ผมได้อธิบายก่อน...” พูดเสร็จก็ต้องสูดปากด้วยความเจ็บ พี่แม่งหมัดนักฉิบ!“มึงไม่ต้องมาอธิบายอะไรให้กูฟัง โน่น! คนที่มึงควรอธิบาย ขอโทษ มันน้องกู!”ผมมองปายอย่างอ้อนวอน ผมรู้ว่าทำแบบนี้มันโคตรเฮงซวย แต่ทำไงได้ อารมณ์มันมาก่อนเหตุผล แต่พอรู้ว่าเป็น
ฉันบีบ ๆ นวด ๆ หัวไหล่พี่เชน ทำหน้าตาเหมือนหมาน้อย“ไม่ได้ผลหรอก ไป จะนอนก็นอนไป อย่ากวน คนกำลังขับรถ”ฉันมองค้อนเมื่อลูกอ้อนไม่ได้ผล ความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ความง่วง ความอ่อนเพลียที่สะสม ฉันจึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วและแล้วฉันก็ไข้แตกตามระเบียบ....พอกลับจากชลบุรี ฉันนอนหลับระหว่างทาง ถึงบ้านหัวก็รู้สึกหนักอึ้งลุกไม่ไหวจนพี่เชนต้องอุ้มออกจากรถ ฉันกุมหัวตัวเองแล้วส่งเสียงร้องโหยหวน แม่งเอ๊ย...ทำไมปวดหัวจนแทบระเบิด แล้วไอ้อาการหนาวสั่นมันคืออะไร เนื้อตัวก็เหมือนจะแตกร้าวไปหมด“ฮือ ปวดหัว หนาว พี่เช๊นน ปายหนาววว”ฉันร้องครวญคราง น้ำตาไหลอาบแก้ม ท่าทางก๋ากั๋นตอนอยู่บนรถหายวับไปกะตาพี่เชนที่กำลังอุ้มฉันขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านบ่นกระปอดกระแปด“โอ๊ย จะมางอแงทำไม บอกว่าให้ไปโรงพยาบาลก็ไม่ไป หนาวพี่ก็เอาเสื้อคลุมให้นี่ไง เดี๋ยวก็ถึงห้อง อดทนอีกนิดสิ”“ก็ปายอายนี่...” ใครจะกล้าไปโรงพยาบาล ตอนตรวจร่างกายก็เห็นหมดสิว่าฉันไปทำอะไรมา ขนาดคอยังแดงเป็นจ้ำ จนแทบไม่มีที่ว่าง ใต้ร่มผ้าไม่อยากจะพูด ถ้าพี่เชนเห็นก่อนนะ....ควักปืนยิงไวท์ทิ้งไปแล้ว =__= ;“จ้ะ แม่คนหน้าบาง” พี่เชนแขวะ ก่อนอุ้มฉันหยุด
3 ชั่วโมงผ่านไป“อือ....”ฉันส่งเสียงครวญคราง พลิกตัวกระสับกระส่ายไปมา อาการหนาวสั่นไม่ลดลงสักนิดถึงแม้จะนอนคลุมโปงด้วยผ้าห่มสองชั้นก็ตาม เปลือกตาก็หนักอึ้งจนลืมแทบไม่ขึ้น ฉันบ่นงึมงำฝืนตัวเองลุกขึ้นมา นอนมาเกือบครึ่งวันอาการปวดหัวก็ยังไม่ลด แน่ล่ะ... ฉันยังไม่ได้กินยาฉันพยุงตัวเองลงจากเตียง ลากสังขารเดินออกจากห้อง ลงไปหายามากิน ยาลดไข้วางอยู่บนโต๊ะ ฉันรินน้ำเต็มแก้วก่อนโยนยาเข้าปากแล้วตามด้วยน้ำ ทิ้งตัวลงนั่งนวดคลึงขมับตัวเองเบา ๆจู่ ๆ ก็เป็นไข้ ทั้งที่ไม่ได้ตากฝนเสียหน่อยหรือเพราะเพิ่งไปทำ.... อย่างนั้นมา ฉันถึงไข้แตกแบบนี้ T^Tปวดหัวจนจะระเบิด แถมร่างกายก็เมื่อยขบ เดินแต่ละย่างก้าวช่างทรมาน ฮือออ…..ฉันบ่นกระปอดกระแปดลากสังขารขึ้นห้องต่อ จะโทร.หาไมค์ หาใครก็ไม่ได้ โทรศัพท์มือถือฉันตอนนี้มันเป็นเศษซากแถวข้างทางนู้นฉันเดินเหมือนผีตายซากปีนขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง กระชับผ้าห่มมาคลุมโปงต่อ....2 ชั่วโมงผ่านไป“อืม ไข้ลดลงแล้ว เดี๋ยวก็ปลุกมากินข้าวกินยาอีกรอบละกัน”“เออ ขอบใจมากนะไอ้ไวน์ที่มาดูให้”เสียงใครมาพูดอยู่บนหัวฉันเนี่ย....ฉันขมวดคิ้วทั้งที่ตายังหลับ แล้วหันกายหนีไปอีกข้างเพรา
ฉันสำลักไอค่อกแค่ก ทุบอกตัวเองรัว ๆ ก่อนยกน้ำขึ้นดื่ม แล้วตอบพี่เชน“พี่บ้า ถามอะไรแบบนี้” คนกำลังซึ้ง กำลังกินข้าวเอร็ดอร่อย ทำเอาพ่นข้าวออกมาจนดูไม่ได้เลย -__-^“เอ้า ก็ห่วง ครั้งเดียวมันก็ติดได้นะเว้ย ถ้าไม่ได้ป้องกันเดี๋ยวพี่ไปซื้อยาคุมฉุกเฉินให้ นี่ผ่านมากี่ชั่วโมงแล้ววะ”พี่เชนบ่นงึมงำ ตั้งท่าจะเดินออกไปข้างนอกเพื่อไปซื้อยาคุมให้ฉันจริง ๆ ฉันรีบร้องห้าม“พี่เชน!”“อะไร” พี่เชนเหลียวกลับมา ฉันกวักมือเรียกหย่อย ๆ ก่อนกระซิบข้างหู“ป้องกันแล้ว ไม่ต้องไปซื้อ”“เออ ดี” พี่เชนพยักหน้า “ยาคุมฉุกเฉินมันก็อันตรายว่ะ”พี่เชนทำหน้าประมาณ....รู้ผลลัพธ์ของการทำอะไรโดยไม่คิดป่ะ แบบนี้ใช่ ก่อนเดินออกจากห้องครัวไปฉันแทบจะปาช้อนใส่ ความรู้สึกซึ้งตื้นตันเมื่อครู่ขอคืนได้ไหม...ฉันร้องคร่ำครวญในใจก่อนตักโจ๊กใส่ปากรัว ๆ เพื่อระบายความอัดอั้นChan Talkผมเดินออกมาจากห้องครัว ตรงไปหาไอ้ไวน์ที่นั่งรออยู่ ไอ้ไวน์เงยหน้าขึ้นมองผม“ปายกินข้าวอยู่ กินเสร็จมึงก็ตรวจไข้ให้น้องกูอีกทีนะ”“อืม” ไอ้ไวน์ตอบรับ ก่อนถามผม “แล้วตกลงเมื่อวานน้องปายหายไปไหน กลับมาก็ไข้ มึงบอกไปตากฝน ไปตากฝนที่ไหนมา....”“พอ ๆ เลิกถ
หลายวันผ่านไป ห้างสรรพสินค้า Sตกบ่ายพี่เชนก็พาฉันมาเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือ วันนี้ฉันใส่เสื้อคอเต่าแขนสั้นสีครีมก่อนสวมทับด้วยเอี๊ยมกระโปรง แน่ล่ะ ที่ยอมทนร้อนใส่เสื้อคอเต่าก็เพราะได้รอยบนคอมันยังไม่จางน่ะสิ T^Tฉันไม่คิดจะโผล่ไปมหา’ ลัยอีก ในเมื่ออีกสองสามวันจะปิดเทอม จึงลาป่วยยาวไปเลย ตอนนี้จิตใจฉันยังบอบช้ำ ไม่มีอารมณ์จะไปตอบคำถามใคร เพราะวันที่ฉันถูกไวท์ลากขึ้นรถไปคนมองกันทั้งคณะ ป่านนี้คงเล่าลือกันไปไกล บางทีฉันก็คิดว่าโชคดีที่โทรศัพท์มือถือฉันพัง จะได้ไม่ต้องคอยรับสายใคร ตอบคำถามใครให้เสียสุขภาพจิต“มีรุ่นที่ถูกใจไหมปาย หรือจะเอารุ่นเดิมที่เคยใช้”ฉันมองโทรศัพท์มือถือที่เรียงรายตรงหน้า สุดท้ายเลยตัดสินใจใช้รุ่นเดิมที่เคยใช้ พี่เชนพาฉันไปจ่ายเงิน ฉันมองพี่เชนที่กำลังล้วงกระเป๋าเงินตัวเองก็ร้องห้าม“ปายจ่ายเองน่า พอมีเงินเก็บ”พี่เชนทำเสียงจิ๊จ๊ะ ก่อนยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน“ไม่ต้องเลย พี่ซื้อให้อย่ามาปฏิเสธ ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้า พอถึงวันนั้นห้ามมาขออะไรอีก”ฉันส่ายหน้ายิ้ม ๆ พี่ชายใครเนี่ย น่ารักที่สุดในโลกเลย“ค่า ขอบคุณมากนะคะ ปายรักพี่เชนจัง”ฉันเอนหน้าซบต้นแขนพี่เ
พอเห็นฉันปฏิเสธไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนยอมไปด้วยพี่เชนก็ถอนหายใจยาว“เออ ๆ ตามใจ ไม่ไปก็ไม่ไป พี่ไปก็กลัวเมาหนักอาจจะค้างที่นั่นนะ”“เมาแล้วไม่ต้องขับ นอนนู้นเลย ปายกลัวเกิดอุบัติเหตุ” ฉันบอกพี่เชน “ปายดูแลตัวเองได้น่า”“ให้มันจริง” พี่เชนยังคงบ่นงึมงำเพราะความเป็นห่วงฉันยื่นมือไปลูบไหล่พี่ชายสองสามที ยิ้มหวานหยดให้ ตลอดทางจนมาถึงบ้านฉันชวนพี่เชนพูดคุยอย่างร่าเริง พยายามทำตัวใจเป็นปกติ ทั้งที่บาดแผลในใจยังคงไม่จางหายไม่นานก็ถึงบ้าน มีรถเก๋งยาริสจอดรออยู่ด้านข้าง... เป็นรถไมค์ ฉันจำได้ พูดถึงไมค์หลังจากวันที่เกิดเรื่องไมค์ก็หายไป พอถามพี่เชนพี่เชนก็บอกไม่รู้ ฉันเคยโทร.หาไมค์โดยใช้โทรศัพท์มือถือพี่เชนก็ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าทางไมค์มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าฉันลงจากรถแล้วเดินไปเคาะกระจกรถยาริสที่ติดเครื่องไว้ ไมค์ที่นอนเอนเบาะอยู่พลันรีบลุกขึ้น ก่อนเลื่อนกระจกรถลง“ปาย แกหายไปไหนมา โทร.หาก็ไม่ติด” เสียงของไมค์เจือด้วยความเป็นห่วงแถมยังร้อนรน ใบหน้าเหยเกเหมือนอยากร้องไห้ ท่าทางของไมค์ไม่ใช่แค่เป็นห่วงฉัน มันเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น“เข้าไปในบ้านก่อนเถอะแก ค่อยคุยกันตรงนี้มันร้อน” ฉันบอกไมค์
สะพานบุญโขกู้สุ่ย บ้านแพมบกไวท์พาฉันมาที่สะพานไม้ไผ่ แหล่งท่องเที่ยวอีกทีหนึ่งของแม่ฮ่องสอน ห่างไกลจากตัวเมืองประมาณสิบกิโลเมตร ตลอดการเดินทางลำบากมาก ทั้งชันและแคบ โชคดีที่ไม่ใช่ฤดูฝน ถนนเลยพอให้รถสปอร์ตขับผ่านไปได้ แต่กว่าจะถึงที่หมายฉันแอบสงสารรถคันหรูที่ตอนนี้มันคงจะคลุกฝุ่นจนหมอง เมื่อรถจอดฉันหันไปมองเขาอย่างแปลกใจที่เขารู้จักสถานที่แบบนี้ด้วย นึกว่าเด็กเมืองกรุงอย่างเขาจะพาฉันไปในเมือง เที่ยวห้างสรรพสินค้า ดูหนังอะไรแบบนี้“มองอะไรปาย”“รู้จักที่แบบนี้ด้วยเหรอ เมื่อก่อนเคยมาเที่ยว? ”“ไม่เคย นี่มาครั้งแรก และไม่เคยมาแม่ฮ่องสอนด้วย”“หืม...”“สมัยนี้มันยุคสี่จีนะยายบ๊อง แค่ค้นหาสถานที่เที่ยวจังหวัดนั่นนี่มันก็เจอแล้ว จีพีเอสก็มี มาไม่ถูกก็ไม่รู้จะพูดยังไง”ไวท์พูดจบก็ยกมือขึ้นเขกหัวฉันเบา ๆ ฉันย่นจมูกใส่ ก็คนมันไม่ทันได้นึกถึงนี่ แม่ฮ่องสอนก็มีหลายอำเภอ ฉันยังเที่ยวไม่ทั่วเลย ก็เลยแปลกใจที่เขารู้จักที่นี่เราสองคนลงจากรถ สะพานบุญโขกู้สุ่ยตั้งอยู่หน้าหมู่บ้านแพมบก บริเวณทางเข้ามีร้านค้าชุมชนตั้งอยู่ ขายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ไวท์เดินเข้าไปซื้อน้ำเปล่ามาสองขวด ก่อนยื่นให้ฉันหนึ่งขว
ฉันยืนมองคนงานพากันยกลังส้มขึ้นรถบรรทุกของลูกค้าที่มาซื้อถึงในสวน ตั้งแต่กลับจากกรุงเทพฯ งานที่รออยู่ก็ล้นมือ ประกอบกับเป็นช่วงที่คนงานลางานเพื่อกลับไปทำนา คนงานในสวนจึงมีไม่พอ ทั้งวันฉันต้องดูแลงานในสวน แล้วก็ต้องไปจัดการงานในรีสอร์ตอีกต่อหนึ่ง โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเทศกาลนักท่องเที่ยวยังไม่มากนัก ก็ไม่รู้ทำไมแม่ถึงได้ปิดบังฉันว่าไม่มีปัญหาอะไร งานที่สวนปกติ ทั้งที่ฉันกลับมาเห็นมันไม่ใช่ที่แม่บอกเลย คนงานไม่พอ งานล้นมือ ไม่อยากจะคิดถ้าฉันไม่กลับมาด้วย แม่จะต้องหัวหมุนดูแลคนเดียวไม่มีเวลาพักผ่อนแน่ ๆ“เรียบร้อยหรือยังจ๊ะปาย” แม่เดินมามือข้างนึงถือขวดน้ำก่อนจะยื่นให้ฉัน“ขอบคุณค่ะ” ฉันยื่นมือมารับ แล้วเปิดฝายกน้ำขึ้นดื่มด้วยความกระหาย พอดื่มจนพอใจก็ตอบคำถามแม่ “อีกล็อตหนึ่งก็ครบแล้วค่ะ ปายจะเช็คอีกรอบหนึ่งก็เสร็จ”“เหนื่อยไหม กลับมาก็ไม่ได้พักเลย”“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ แต่ก่อนปายก็ช่วยแม่นี่ งานในสวนปายคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กแม่ก็รู้ สบายมากค่ะ”“ขอบใจนะลูก หมดรอบนี้ก็คงจะได้พักแล้วล่ะ แล้วนี่ก็มาเกือบอาทิตย์แล้วยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย เพื่อนฝูงก็พากันถามหา วันก่อนแม่เจอตั้มที่ตลาดยังถา
ผมเปิดประตูห้องก่อนก้าวเข้าไป ห้องตกแต่งโทนเรียบง่าย เครื่องเรือนหรูหรามีระดับ แต่ผมกลับไม่ชอบมัน มาค้างหนึ่งเดือนแค่ครั้งสองครั้ง ไม่สนว่าผู้ชายคนนั้นจะว่ายังไง ปกติถ้าไม่ยุ่งอยู่กับงานสังสรรค์ ติดอีหนู ผู้ชายคนนั้นก็ไม่นึกถึงผมหรอก เราต่างคนต่างอยู่มานานแล้ว ผมอยากจะไปค้างกับแม่ ย้ายไปอยู่ด้วยแต่ก็กลัวทำให้แม่เดือดร้อนจากผู้ชายบ้าอำนาจผมล้มตัวลงนอนบนเตียง กางแขนกางขาเหม่อมองเพดาน สุดท้ายเพราะยังไม่สร่างเมาดีก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง..เช้าวันต่อมา“เออ ดี! โผล่หัวมากลางดึก เช้ามาก็ไป เห็นบ้านฉันเป็นโรงแรมหรือยังไง”น้ำเสียงกระแทกแดกดันดังขึ้นทันทีที่ผมกำลังจะเดินผ่าน ผู้ชายคนนั้นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ แต่ตอนนี้หันมามองผมด้วยสีหน้าบึ้งตึง“ผมมีธุระ”ผมตอบแค่นั้นก่อนทำท่าจะก้าวขาเดินต่อ“เฮอะ! หน้าอย่างแกมีธุระด้วย”“พ่อมีอะไรจะพูดก็รีบพูดมาดีกว่า ผมจะรีบไป”“เย็นนี้กลับมาด้วย ฉันจะพาแกไปทำความรู้จักคุณมานพ ท่านเป็นรัฐมนตรีฯ เย็นนี้เป็นวันเกิดท่าน”“ทำไมผมต้องไป ผมไม่รู้จักท่านเสียหน่อย เชิญพ่อไปคนเดียวเถอะ”“แกต้องไป! ฉันจะพาแกไปรู้จักลูกสาวคนเดียวของท่าน”“อ๋อ กะให้ผมไปดูตัว ทำ
“ก็พี่ไม่บอกว่าปายไปไหน”พี่เชนมองผมด้วยหางตา สุดท้ายก็ยอมเอ่ยปาก“ปายกลับบ้าน”บอกแค่นี้? แล้วผมจะตรัสรู้เรอะ! ผมสบถในใจส่วนฉากหน้าก็ฉีกยิ้ม ทำตัวเป็นน้องเขยที่ดี ไม่โต้เถียง“บ้าน? บ้านที่ไหน พี่บอกเส้นทางให้ผมที”“มึงจะตามน้องกูไป”“ครับ ผมจริงจัง ผมจะไปหาปาย ผมจะเข้าไปคุยกับแม่ปายว่าเรียนจบเราจะแต่งงานกัน เราจะ....”“พอ! มึงพล่ามอะไรของมึงวะ! เฮอะ แดกเหล้าจนเหม็นหึ่ง เมาหนักนะมึง คุยไปถึงเรื่องอนาคตแต่งการแต่งงาน ถามพี่อย่างกูสักคำไหม”“ผมแต่งกับปายไม่ได้แต่งกับพี่นี่”“ถุย! เห็นแก่ที่มึงเมาเหมือนหมา กูไม่เอาเรื่องเอาความอะไรมึงก็แล้วกัน ปายกลับแม่ฮ่องสอน นอกนั้นมึงไปตามหาเอาเอง ไป ๆ กูตอบคำถามแล้วก็ไสหัวไป มึงจะง้อ จะจีบอะไรอย่าลากกูไปยุ่ง ทีหลังอย่ามาถามเรื่องปายกะกู กูไม่ได้ขัดขวางมึง แต่ก็ไม่ได้ชอบมึงถึงขนาดยินดีที่มึงคบกับน้องกู”ผมฟังพี่เชนพล่าม พี่แกมองผมด้วยสายตาหงุดหงิด ก่อนจะเดินหมุนตัวเข้าร้านไปตุบ!ไอ้พันรบเดินมาถึงตัวผมเมื่อไรไม่รู้ มันตบบ่าผมดังตุบ“พี่เมียมึงเหรอ”เสียงไอ้บอมถาม มันเดินมาหยุดข้างผม“เออ”“หน้าคุ้น ๆ”“อยู่มหา’ ลัยเดียวกับเราไง” ผมตอบไอ้รบ “เรียนทัน
White Talksหลายวันผ่านไปโครม!ผมเตะเก้าอี้ที่มันขวางทางจนปลิวไปอยู่แทบเท้าไอ้พันรบ วันนี้ผมมานั่งกินเหล้าที่ผับของมัน ส่วนไอ้บอมกับไอ้เวียร์มันบอกจะตามมาดึก ๆ ผมหันไปมองเก้าอี้ที่นอนตะแคงอย่างเฉยชา เดินไปถึงโต๊ะแล้วนั่งลงก่อนยกแก้วที่มันชงไว้ขึ้นมาดื่มฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ไหลผ่านคอยิ่งทำให้ผมร้อน หงุดหงิด กระสับกระส่ายปึก!ผมวางแก้วเหล้าอย่างแรงเป็นการระบายอารมณ์“มึงเป็นอะไรไอ้ไวท์”มันมองผม แล้วถาม“ไม่รู้”ผมตอบแค่นั้นก่อนยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มต่อ ไอ้รบเป็นคนไม่ค่อยพูดมันเงียบ ๆ มึน ๆ พอเห็นผมไม่บอกมันก็แดกเหล้าต่อ เราสองคนยกแก้วเหล้าขึ้นเงียบ ๆ คนในร้านยังไม่มีเพราะยังเป็นช่วงหัวค่ำ จะมีก็แต่เจ้าของร้านอย่างมันที่บ้ามาแดกเหล้าเป็นเพื่อนผมตั้งแต่หัววันนี่แหละไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร พอเงยหน้าขึ้นจากแก้วเหล้าคนก็แออัดเต็มร้าน เสียงเพลงดังกระหึ่ม ไอ้รบลุกขึ้นบอกว่าจะไปดูลูกน้องหลังร้านหน่อย ผมโบกมือไล่มันไปก่อนนั่งกินเหล้าเงียบ ๆ มีผู้หญิงสองสามคนที่เดินโฉบไปโฉบมา ท่าทางเชื้อเชิญผม ผมแค่ยิ้มก่อนกลับไปสนใจเหล้าในแก้วต่อไม่มีอารมณ์ สวยแค่ไหนก็เถอะ ผมอยากเจอปายแค่นั้นใช่ หลายวันมานี่ปายไม่
“ไวท์โอเคนะ มีอะไรระบายให้ปายฟังได้”“โอเคสิ ตอนนี้ไวท์โอเค ขอแค่มีปายอยู่ข้าง ๆ ไวท์ก็พอ”“อะไรกัน แล้วถ้าวันไหนฉันไม่อยู่ข้างนายล่ะ” ฉันพูดขึ้นเล่น ๆ แต่ไวท์กลับเงียบไปอึดใจก่อนตอบกลับ“ไม่มีวันนั้น เพราะไวท์จะไม่ยอมให้ปายทิ้งไวท์แน่ ๆ ปายก็รู้ว่าชีวิตไวท์มีคนที่สำคัญกับไวท์แค่ไม่กี่คนและปายเป็นหนึ่งในนั้น”ฉันฟังเสียงเขาที่ดูเข้มขึ้นก็รู้สึกแปลก ๆ จะว่าดีใจมันก็ไม่เชิง คำพูดของไวท์มันฟังดูเหมือนเขายึดติดกับฉันมากเกินไป และมันไม่ดีเท่าไร...เราไม่ควรจะเอาชีวิตกันและกันมาผูกติดกันมากเกินไป“เอ่อ...เอาเป็นว่าตอนนี้ปายกำลังดูใจ พิจารณาไวท์ ให้โอกาสไวท์อยู่ ไวท์คงรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้อยู่ในช่วงที่ปายกำลังให้โอกาส”ฉันอดย้ำความสัมพันธ์ของเราไม่ได้“รู้ครับ และไวท์จะไม่ทำให้ปายหลุดลอยไปอีกแล้ว” เสียงไวท์ตอบกลับมาจริงจังและแฝงไปด้วยความหมายบางอย่างที่ฉันทำเป็นมองข้าม รู้อยู่หรอกว่าเขาแสดงความเป็นเจ้าของ แต่ฉันเป็นคนไม่ใช่สิ่งของ ฉันไม่ใช่ของใคร ฉันก็คือฉัน แต่ถ้าพูดตรงไปฉันก็กลัวว่าเขาจะโมโหอะไรขึ้นมาอีก คงต้องค่อย ๆ คุย แบ่งความสัมพันธ์ให้ชัดเจน ฉันเป็นแค่แฟนของเขาน้ำเสียงไวท์สั่นนิด ๆ ฉันจึ
เช้าวันต่อมาฉันตื่นอีกทีก็เจ็ดโมงเช้า พอลุกขึ้นมองตัวเองในชุดของเมื่อวานก็ทำหน้าย่น เหม็นเหงื่อตัวเอง จึงเดินหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ เสียงโทรศัพท์มือถือดังแทบจะทันทีที่ปิดประตูห้องน้ำ ฉันจึงไม่ออกไปรับคิดว่าอาบน้ำเสร็จค่อยโทร.กลับพอเสร็จธุระส่วนตัว ฉันจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู สายแรกเป็นของไมค์...อีกสายเป็นของไวท์ฉันเลือกโทร.กลับหาไมค์ก่อน ไม่นานไมค์ก็รับสาย“ปาย! เมื่อวานมีอะไรกัน”ฉันยื่นโทรศัพท์ออกห่างหู เสียงไมค์ดังแว้ดจนแสบแก้วหูไปหมด“แกจะร้องลั่นหาพระแสงอะไรฮะ แล้วทำไมรู้? ”“ก็บนโลกออนไลน์เขาแชร์กันเป็นพันแล้วยะ...ที่มันดังน่ะเพราะผู้ชายของแกนะรู้เปล่า”“ผู้ชายของฉัน? ”“เออสิ ฉันก็เพิ่งรู้ว่าไวท์เป็นลูกชายคนเดียวของนักการเมืองชื่อดัง บ้านเขาน่ะรวยมาก แกเรียนที่เดียวกับเขาไม่คุ้นนามสกุลเขาเลยหรือ นามสกุล...”“คนละไวท์หรือเปล่า” ฉันบอกอย่างไม่ค่อยเชื่อ หรือมันก็อาจจริงก็ได้ เพราะฟังนามสกุลที่ไมค์บอกก็เป็นนามสกุลไวท์จริง ฉันแค่รู้ว่าไวท์เป็นลูกหลานคนรวย ดูจากคอนโดฯ บ้านพักตากอากาศที่ไป หรือรถที่ขับ เพียงแต่ฉันไม่ได้สนใจลึกขนาดนั้นว่าเขาเป็นลูกใครหลานใคร เมื่อก่อนเราต่างคนต่างอย
พอฉันเดินเข้าบ้านก็เห็นแม่นั่งรอตรงโซฟา พี่เชนที่คุยโทรศัพท์หน้าตาเคร่งเครียดเดินลงบันไดมา ก่อนจะหยุดตรงหน้าฉัน พอกดวางสายก็พูดขึ้น“ปาย นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมไอ้ไวน์เข้าโรงพยาบาล มันบอกว่าปายพาแฟนไปอัดมัน”ฉันเดินผ่านพี่เชนมานั่งลงข้างแม่“เอาล่ะ ปายจะเล่าทีเดียวนะ พี่เชนจะเชื่อน้องหรือเพื่อนตัวเองก็พิจารณาเอา ส่วนแม่หนูสาบานว่าเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องจริง ไม่โกหกพกลมสักนิดเดียว”แล้วฉันก็เล่าตั้งแต่แม่บอกให้ฉันไปเดินเล่นกับพี่ไวน์ จู่ ๆ พี่ไวน์ก็ตาขวางทำตัวรุ่มร่ามกับฉัน แสดงท่าทางเป็นเจ้าของทั้งที่มันไม่ใช่ ฉันถามแม่ว่าที่พาไปร้านอาหารก็เพราะมีแผนจะพาฉันไปดูตัวหวังจับคู่ให้ลูกชายเพื่อนใช่ไหม แม่ที่นั่งฟังฉันเล่าจนจบ ก็พูดขึ้น“ใช่ แม่ติดต่อกับอุ่นมาได้เกือบเดือนมีคุยกันเรื่องอนาคตของลูก ๆ เราสนิทกันมากจนมีความคิดที่จะดองกัน แล้วอีกอย่าง ไวน์ก็เป็นเพื่อนเชน แม่เคยสอบถามเชน นิสัยใจคอไวน์ก็ไม่เลว สุภาพ อ่อนโยน เรียนเก่ง”“แล้วนี่มันสมัยไหนแล้วคะ!” ฉันอดตัดพ้อด้วยความน้อยใจไม่ได้ ความคิดที่จะจับคู่ฉันกับลูกชายเพื่อนทำให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ มันไม่ใช่ความทรงจำที่ดีเลยจริง ๆ ความรู้สึ
ไวท์พุ่งปราดเข้ามา ฉวยจังหวะที่พี่ไวน์ตะลึงดึงฉันออก พอพ้นอ้อมกอดพี่ไวน์ฉันรีบหลบอยู่ด้านหลังมือจิกหลังไวท์แน่น“น้องปาย! กลับมาหาพี่!”เสียงพี่ไวน์ตะคอกอย่างโกรธจัด ฉันขยุ้มหลังเสื้อไวท์ รู้สึกกลัวจนตัวสั่น“บ้าหรือเปล่าวะ ปายเป็นเมียกูจะไปหามึงทำไม”“ไม่จริง ปายเป็นคู่หมั้นกู มึงนั่นแหละมาเสือกทำไม เรื่องของผัวเมีย”ฉันทนไม่ไหวยื่นหน้าไปด่าไอ้พี่ไวน์ทันที“มโนแล้ว ปายไม่ได้เป็นอะไรกับพี่!”“เมียเหรอ กล้าพูดนะ ขอเอาเลือดปากมึงออกบ้างเถอะ....”ไวท์คำรามก่อนพุ่งไปชกอีกฝ่ายดังเปรี้ยง! เพราะทางนั้นไม่ทันได้ตั้งตัวจึงล้มไปกองที่พื้นอย่างหมดท่า และพอจะลุกขึ้นมาไวท์ก็เข้าไปคร่อมก่อนประเคนหมัดไม่ยั้งผลัวะ!เสียงกำปั้นกระทบเนื้อทำให้ฉันส่งเสียงร้องห้ามอย่างตกใจ ความจริงอยากจะให้ไวท์อัดไอ้คนขี้โมเมจนสลบเหมือดอยู่หรอก แต่เพราะนี่เป็นร้านอาหาร ตอนนี้มีลูกค้าสองคนที่กำลังจะกลับยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปหรืออัดคลิป แล้วแม่ฉันและน้าอุ่นก็ยังอยู่ในร้าน“ไวท์! หยุด พอแล้ว!”เสียงไอ้พี่ไวน์ร้องแหกปากดังลั่นพลางปัดกำปั้นท่าทางดูไม่ได้ ใบหน้า จมูกเริ่มมีเลือดออก ฉันจึงร้องห้ามอีกครั้ง ไวท์ยังคงชกอีกฝ่าย ฉัน